ซูโหย่วเผิง
งานชิ้นแรกของผู้กำกับราศีกันย์
ได้ฝ่ายโปรดิวเซอร์มาจากการแนะนำของ จ้าวเวย เข้มงวดทุกตารางนิ้วในกองถ่าย ในชีวิตจริงกลับเป็นคนง่ายๆซะงั้น
ซูโหย่วเผิง
ผลงานชิ้นแรกของผู้กำกับราศีกันย์
ภาพยนตร์เรื่องใหม่ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายของ เหยาเซี่ยม่าน กำหนดเข้าฉายเมื่อวันที่ 24 เมษายน นี่เป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของ ซูโหย่วเผิง ระหว่างที่สัมภาษณ์นั้น เขาปฎิเสธการทำหนังรักวัยรุ่น “ที่จริงแล้วตอนแรกที่ถูกชวนไปทำหนัง ผมปฎิเสธไปครับ…………”
นักข่าว: ไต่อ้ายปิง
จ้าวเวย เพื่อนแท้ ช่วยแนะนำทีมโปรดิวเซอร์ให้ โหย่วเผิง กับการกำกับหนังครั้งแรก
ปลายปี 2013 ตอนที่ ซูโหย่วเผิง รับหน้าที่เป็นกรรมการในรายการ 《China Got Talent》นั้น หนังเรื่อง 《So young》ที่กำกับโดย จ้าวเวย เข้าฉายไปแล้วครึ่งปี “พอผมพูดถึงโปรเจคเรื่อง 《โจ่วเอ่อ》จ้าวเวย ก็ได้เอานิยายเรื่อง โจ่วเอ่อ กลับไปอ่านหลังเลิกงาน ใช้เวลาอ่านไป 2 ชั่วโมง แล้วมาให้คำแนะนำผม”มีความรักแบบหนึ่งเรียกว่า “เสี่ยวเยี่ยนจือและองค์ชายห้า”------- สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้กำกับมือใหม่ที่ยังหยิบจับอะไรไม่ถูกคนนี้โล่งใจไปไม่น้อยเลยล่ะ อีกทั้งยังช่วยแนะนำทีมโปรดิวเซอร์ฝีมือให้กับ โหย่วเผิง ด้วย
นักข่าว:ได้ข่าวว่าหนังที่จะทำครั้งแรกนั้นไม่ใช่เรื่อง โจ่วเอ่อ ใช่ไหมครับ?
ซูโหย่วเผิง :ตอนนั้นที่ กวางเสี้ยน ชวนผมไปเป็นผู้กำกับ แรกๆผมก็ปฎิเสธไปครับ โปรเจคที่คุยกันตอนนั้นก็ไม่ใช่ โจ่วเอ่อ ด้วย หลังจากนั้นผมก็ได้อ่านนิยาย โจ่วเอ่อ ผมรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้มันลึกซึ้ง แฝงไปด้วยความเจ็บปวด ความตาย การถ่ายโทษและอภัย หนังวัยรุ่นทั่วไปมักจะไม่นำเสนอเรื่องราว “ด้านมืด”แบบนี้ แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งเหล่านี้มันใกล้เคียงกับความจริงมากกว่าพวกความสุขไร้เดียงสา สิ่งที่อยากนำเสนอและอยากท้าทายตนเองได้มีช่องทางปลดปล่อยที่เหมาะสมพอดี และทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้นครับ
นักข่าว:เคยมีข่าวว่าคุณกับ เหยาเซี่ยม่าน มีปัญหากันเพราะบทพูดบทเดียว เธอบอกว่า “ผู้กำกับราศีกันย์อยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด”
ซูโหย่วเผิง:สำหรับเรื่องบท ยังไงก็ต้องมีเรื่องความเห็นไม่ตรงกันบ้าง เซี่ยม่าน เป็นนักเขียนที่ดี แต่ในเรื่องการเขียนบทนั้นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกเหมือนกัน การเขียนบทละครและนิยายมีความแตกต่างอยู่มาก ตัวอย่างเช่น เธออยากให้ตัวละครแต่ละตัวคงไว้ให้เหมือนเดิมตามนิยายต้นฉบับ แต่ว่าการถ่ายหนังมีข้อจำกัด เราไม่สามารถรักษาให้เหมือนต้นฉบับได้ทุกอย่าง หลังจากค่อยๆปรับกันไปช่วงนึง ก็เริ่มที่จะเข้ากันได้มากขึ้น ผมและเธอได้เติบโตด้วยกันครับ
นักข่าว:คุณกะประมาณในการรักษาหนังให้เหมือนต้นฉบับอย่างไรบ้างครับ
ซูโหย่วเผิง:ยังไงผมก็อยากคงต้นฉบับไว้ให้ได้มากที่สุดอยู่แล้ว ผมอยากนำเสนอ โจ่วเอ่อ ที่เป็นต้นฉบับให้กับแฟนๆนักอ่าน ในหนังจะเพิ่มเติมความเข้าใจในแบบของผมและความลึกซึ้งเข้าไปด้วย เซี่ยม่านได้ดูหนังแล้ว เธอบอกว่าคงความเป็นต้นฉบับได้ดี ผมเป็นคนค่อนข้างรอบคอบ อยากให้แฮปปี้กันทุกฝ่ายครับ
นักข่าว:ทีมนักแสดงในเรื่องมีแต่เด็กใหม่ทั้งนั้นเลย สาเหตุมาจากความดื้อรั้นของผู้กำกับเองรึเปล่าครับ
ซูโหย่วเผิง : ทีมนักแสดงก่อนหน้าที่ได้เลือกไว้ยิ่งใหญ่มากเลยนะครับ บอกได้เลยว่ามีแต่คนดังๆทั้งนั้น แต่ว่าพอมาคำนึงถึงตารางเวลาและอายุแล้ว สุดท้ายแล้วก็ต้องตัดสินใจใช้นักแสดงใหม่ ไม่ใช่ความดื้อรั้นหรอกครับ(หัวเราะ) ตัวละครตามต้นฉบับอายุค่อนข้างน้อย ฉะนั้นเลยอยากนำเสนอเรื่องราวที่ค่อนข้างเรียวไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งให้ผู้ชมครับ
เห็นเงาตัวเองในตัว โอวหาว
สมัยที่เป็นนักแสดงนั้น ซูโหย่วเผิง ชอบคิดเรื่องการแสดง เรียกตัวเองว่า“ผู้คลั่งไคล้ในการแสดง”การเป็นผู้กำกับสามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้พอดี “ก่อนที่จะคุยกับนักแสดงเรื่องตัวละครนั้น ทุกตัวละครได้ผ่านการแสดงในสมองของผมครั้งแล้วครั้งเล่า” ชอบแสดงขนาดนี้ ทำไมไม่ให้บทตัวเองซักบทล่ะ? “ไหนๆก็รับหน้าที่ผู้กำกับแล้ว ก็ตั้งใจทำงานเบื้องหลังให้เต็มที่ดีกว่าครับ อีกอย่างผมไม่มีเวลาไปคิดเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ หวังว่าผู้ชมจะตั้งใจโฟกัสไปที่นักแสดงครับ”
นักข่าว:โอวหาว ผันตัวจากนักร้องสู่นักแสดง เห็นเงาตัวเองในตัวเขาบ้างรึเปล่าครับ?
ซูโหย่วเผิง:ผมเห็นเงาตัวเองตอนวัยรุ่นในตัวเขา มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เหมือนกับว่าคุณที่ได้ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว และกำลังนั่งดูชีวิตวัยรุ่นของตนเอง โอวหาว ค่อนข้างรั้นในเรื่องการแสดงเหมือนกัน เขาพยายามและตั้งใจมาก มักจะเข้าสู่ตัวละครได้ก่อนการถ่ายทำทุกครั้ง ผมชื่นชมเขาในเรื่องนี้มาก ในเรื่องความลำบากในวัยรุ่น เขาก็ค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ฝีมือการแสดงเหนือความคาดหมายของผมไปเยอะเลย เขาเป็นคนหนึ่งที่เรื่องราวในชีวิต
นักข่าว :ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมเขาถึงบอกว่า “ถูกผู้กำกับกดดันจนจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว”ล่ะครับ?
ซูโหย่วเผิง:มีฉากโดดน้ำอยู่ฉากนึง ตอนนั้นเขาเพิ่งฝึกว่ายน้ำได้ไม่นาน ฉะนั้นก็เลยถ่ายทำกันค่อนข้างลำบาก ผมเชื่อว่าเขาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ก็เลยใช้วิธีกดดันเขา หลอกเขาไปว่า “จะโดดไม่โดด ถ้าไม่โดด ผมจะเปลี่ยนตัวแล้วนะ”เพียงแค่คำๆนี้ ทำให้สามารถผ่านฉากสุดทรหดนี้ไปได้อย่างราบรื่น สมัยที่ผมผันตัวจากนักร้องเป็นนักแสดง ก็ผ่านเรื่องราวแบบนี้มาเหมือนกัน เหมือนดัดแด้ก่อนกลายเป็นฝีเสื้อ ทุกความสำเร็จต้องผ่านอุปสรรคทั้งนั้น หากยังวัยรุ่นก็จงอย่ากลัวความล้มเหลว
นักข่าว:เฉินตูหลิน นักศึกษาปี 3 ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อนเลย คุณไม่คิดว่าการเลือกเธอมันเสี่ยงไปเหรอครับ?
ซูโหย่วเผิง:บุคลิก หน้าตา และประสบการณ์ชีวิตของเธอค่อนข้างตรงกับตัวละคร เพียงแต่ว่าต้องฝึกวิธีถ่ายทอดมันออกมาเท่านั้น เธอไม่มีประสบการณ์หรือเทคนิคด้านการแสดงมาก่อนเลย การทำแบบนี้ก็เสี่ยงมากเหมือนกัน แต่ว่าเธอสามารถรับแรงกดดันได้ดีมาก ถ่ายติดต่อกัน 20 กว่าเทค ทีมงานก็แทบไม่ไหวกันแล้ว แต่เธอไม่เคยคิดจะยอมแพ้เลย
นักข่าว:หยางหยางเพิ่งมาเลือกได้ตอนหลังๆใช่ไหมครับ?
ซูโหย่วเผิง:ฉีเกอ เป็นบทที่แสดงค่อนข้างยาก บุคลิกของหยางหยางตรงกับ ฉีเกอ ที่ผมคิดไว้ เราเพิ่งมาเจอเขาตอนหลังๆ ตอนที่มาออดิชั่นเหมือนว่าจะไม่ได้พักผ่อนมา ให้ความรู้สึกแบบไม่ยอมคน ซึ่งตรงกับตัวละครที่เราต้องการพอดี
เรียกตัวเองว่า “นักหาข้อผิดพลาด”, “ไม่น่ากลัวเหมือนที่คุณคิดไว้หรอก”
ซูโหย่วเผิง ใช้ 5 คำมาอธิบายถึงความรู้สึกการเป็นผู้กำกับครั้งแรก “เรียนรู้และใช้เวลาให้คุ้มค่า” ไม่มีใครรู้ว่าคุณจะถ่ายทำหนังแบบไหน เพราะฉะนั้นต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะส่งต่อความคิดให้ทีมงานในแต่ละฝ่าย เรื่องที่คาดไม่ถึงสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ระหว่างการจัดการกับปัญหาเหล่านั้นใช้ทั้งเวลาและแรงกายแรงใจ ยังดีที่ผมมีทีมโปรดิวเซอร์มากประสบการณ์คอยช่วย “ผมคว้าทุกโอกาศที่จะสามารถคุยกับพวกเขา ฟังไปเรียนรู้ไป แล้วค่อยบอกความคิดของผมให้พวกเขา”
นักข่าว:คุณเตรียมพร้อมที่ลำบากตั้งแต่ก่อนถ่ายทำเลยรึเปล่าครับ
ซูโหย่วเผิง :พูดตามตรงว่า ความกดดันระหว่างการถ่ายทำทำให้ผมรู้สึกท้อมาก บางครั้งก็ถึงขั้นอยากยอมแพ้เลย แต่ว่าทุกครั้งถ่ายฉากดีๆออกมาได้ ก็จะเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้ง หลังจากที่ออกจากมหาวิทยาลัย น้อยมากที่ผมจะทุ่มเทให้กับเรื่องๆหนึ่งเป็นปี ระหว่างที่ดำเนินการนั้น ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร แต่ผมค่อยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าจะประมาทไม่ได้ ต้องทำเต็มที่จนวินาทีสุดท้าย
นักข่าว:ในฐานะที่เป็นผู้กำกับราศีกันย์ คุณเข้มงวดกับนักแสดงรึเปล่าครับ?
ซูโหย่วเผิง :ผลงานเรื่องแรกสำคัญต่อผู้กำกับและนักแสดงเป็นอย่างมาก เข้มงวดคือการแสดงความรับผิดชอบต่อทางค่าย และนักแสดง ผมไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่พวกคุณคิดไว้ครับ .........แต่ก็รู้สึกตกใจกับตนเองบ้างเหมือนกัน เพราะว่าในชีวิตจริงแล้วผมเป็นคนง่ายๆ ปล่อยเรื่องทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติของมัน แต่ตอนถ่ายทำนั้นแสดงออกถึงสัญชาตญาณของราศีกันย์ออกมาชัดเจนเลย จับรายละเอียดทุกเม็ด ผมเป็น “นักหาความผิด”ในกองถ่ายเลย ไม่ยอมให้มีความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งที่ตะโกนว่า“ผ่าน”นั้น ก็ยังรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก เพราะว่านั่นหมายความว่ามันไม่มีโอกาศแก้ไขเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว การเป็นผู้กำกับนั้นมีทั้งความสำเร็จและความกดดันในขณะเดียวกันจริงๆครับ
นักข่าว:ทีมงานบอกว่ามักจะเห็นคุณออกมาพร้อมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยนึง และคิดว่าผู้กำกับคนนี้แปลกจัง
ซูโหย่วเผิง:การถ่ายทำค่อนข้างลำบาก ส่วนมากก็จะกินแต่ข้าวกล่องหรือไม่ก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เราถ่ายทำกันตั้งแต่หน้าร้อนจนถึงหน้าหนาว จากร้อนที่สุดถึงหนาวที่สุด สภาพอากาศที่เลวร้าย บวกกับความกดดันเรื่องเวลา ทำให้ผมผอมลงเยอะเหมือนกันครับ
นักข่าว:ในปีนี้ คุณได้ค้นพบความสามารถอะไรในตัวเองบ้างครับ
ซูโหย่วเผิง:ได้รู้ถึงความสามารถในการเล่าเรื่องของตนเอง ในฐานะที่เป็นผู้กำกับ คุณสามารถถ่ายทอดความคิดของคุณผ่านผลงาน ผมได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ ถ้าจะพูดถึงเรื่องความสามารถล่ะก็ น่าจะเป็นการถ่ายทอดตัวละครของแต่ละตัว เหนื่อยแต่ก็สนุกมาก การเป็นผู้กำกับสามารถฝึกเรื่องการสื่อสารของผมด้วย ต้องถ่ายทอดความเข้าใจในตัวละครของผมให้นักแสดง และค่อยชี้แนะให้พวกเขาแสดงความรู้สึกนั้นออกมาให้ได้ เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันครับ