Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > SCOOPS & SPECIALS

2010 หยิบบทความดีเลิศให้แก่ญาติพี่น้องมิตรสหายแบ่งปันรับรู้

(1/3) > >>

Chomnath:
หยิบบทความดีเลิศให้แก่ญาติพี่น้องมิตรสหายแบ่งปันรับรู้

21 - เมษายน - 2010

นักเรียนคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ไทเป  ผลคะแนนการเรียนดีเด่น  แต่ด้านมนุษย์สัมพันธ์แล้วเป็นนักเรียนอย่างไงๆอยู่

ตั้งแต่เล็กเขาก็คือแก้วตาดวงใจของคนในบ้าน   คุณพ่อรักมาก   คุณแม่เอ็นดู
 
       แต่ว่ามีบางเรื่องเป็นรอยประทับที่ไม่สามารถลบออกได้ ยังอยู่ในสมองของนักเรียนมัธยมต้นคนนี้ 





 
       เขามีน้องชายคนหนึ่งอายุน้อยกว่าเขา 6 ปี   น้องชายมีขื่อว่า โหย่วเหวิน    ชื่อเล่น ซืออี้    พ่อแม่คาดหวังว่าน้องชายของเขาด้านวิชาการสามารถก้าวหน้าขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น
   
      ในบ้านของเขามีทั้งหมด 4 คน   คุณพ่อ  คุณแม่  น้องชาย   และตัวเขา

     เนื่องจากเด็กคนหนึ่งมีอายุ 15 ปี  ใครจะรู้ว่าอนาคตอีกไม่นาน   ในชีวิตของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่    แต่ว่าบางเรื่องรู้แล้วก็ใช่ว่าคือ ความโชคดี   เส้นทางข้างหน้า คือ ดีหรือร้ายล้วนไม่มีใครรู้

       ตอนที่เขาจบมัธยมต้น   เห็นในทีวีช่องสถานีโทรทัศน์หัวซื่อ รับสมัครผู้ช่วยพิธีกร   จึงเกิดความสนใจ
เขาบอกกับคุณแม่ว่า   เขาอยากไปสมัคร
 
        แต่แล้ว   เนื่องจากประสบการณ์การทำงานก็ไม่มี   เขาไม่รู้จะกรอกใบเรื่องประวัติอย่างไง  ได้ให้คุณแม่ในฐานะเป็นครูช่วยเหลือเขา   อีกทั้งยังต้องปิดบังคุณพ่อไว้   เพราะยังไม่มีประสบการณ์ในเรื่อง การงาน  ซึ่งคุณแม่ก็ได้มาช่วยดูตรงจุดนี้ รวมทั้งยังช่วยปิดบังไม่ให้คุณพ่อรู้เรื่องการสมัครนี้

         คุณแม่นั้น  นับแต่ให้กำเนิดเขาออกมาแล้วก็ไม่ได้ไปทำงาน   อยู่แต่ในบ้านเป็นแม่บ้านที่ดีดูแลเอาใจใส่เลี้ยงลูก   ดูแลเอาใจใส่ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้าน   และคนในบ้านรวมทั้งตัวเขาล้วนไม่ชอบเก็บกวาด   แต่ว่าคนที่เหมาะอยู่ในบ้านคือ ผู้หญิง   เธอสามารถบังคับตัวเองให้ไปทำหน้าที่นี้ได้   นอกจากคุณแม่แล้ว  ไม่มีใครทำงานบ้านได้เลยสักคน

         นับแต่เขาเกิดมา  คุณแม่ได้มาทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัวดูแลเอาใจใส่เขาอย่างใกล้ชิด  รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างในบ้าน เพราะทุกคนในบ้านรวมทั้งเขาไม่เคยเก็บกวาด   งานนี้เหมาะสำหรับผู้หญิงในบ้าน  เป็นคุณแม่คนเดียวที่ทำหน้าที่นี้
                                                               
   
   

Chomnath:
ตั้งแต่เล็กเขามีความใฝ่ฝันเป็นดารา

       ตัวเขาอยากเรียนอิเล็คโทน  อยู่ในวงดนตรีของโรงเรียน   สาเหตุที่เขาชอบดนตรี   โดยทั่วไปมาจากในใจลึกๆ ที่ชอบโดยไม่รู้สาเหตุ
 
       เขาชอบร้องเพลงเวลาอาบน้ำ   เวลาทำการบ้านเขาชอบร้องพึมพำร้องเพลงที่กำลังนิยม

        นักร้องที่เขาชอบมีหลากหลาย  ทั้งนักร้องฝั่งเอเชีย  และตะวันตก  เขาอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน บังเอิญได้ฟังเพลงที่ไพเราะของมาดอนน่า   สิ่งนี้ยึดมั่นอยู่นานในใจส่วนลึกของเขา

        ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเรื่องธรรมดาบนหตุผล   เขาเคยจินตนาการ   ต้องมีสักวันหนึ่งสามารถเหมือนกับพวกเขา ได้มีแฟนเพลงเป็นแฟนเพลงของตัวเอง  อยู่ต่อหน้าร้องเพลงของตัวเขาเองให้แก่แฟนเพลงฟัง     เขายังได้เสียงตบมือกึกก้อง







        เขาใจแสนซื่อและจริงจัง   แล้วยังหน้าตาดี   เขาคิดเองว่าที่เขาร้องเพลงอยู่ในห้องน้ำนั้นไม่มีใครรู้   ที่จริงทั้งบ้านต่างก็รู้   เพียงแต่เงียบๆ ไม่เอ่ยเสียงออกมา   ใครก็ไม่พูด   ปล่อยเขาร้องเพลงให้แก่ตัวเองฟังอย่างเงียบๆ

         เพราะฉะนั้นเขาไปถ่ายรูปใบใหญ่มารูปหนึ่ง   รูปถ่ายที่เห็น คือ ตัวเขาสวมแว่นสายตา   โดยทรงผมเป็นทรงคล้ายรังนก   นำรูปถ่ายใบใหญ่ที่ไม่มีอะไรสะดุดตาเลย   เอาประวัติติดไว้ที่ประตูของคุณแม่

         เขียนอย่างภูมิใจไปในใบสมัครว่าเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมปลาย (โรงเรียนมัธยมปลาย เจี้ยงกั๋วเมืองไทเป)

         มัธยมปลายที่ดีที่สุดของไต้หวัน   คือโรงเรียนชายเจี้ยงจง   และโรงเรียนหญิงเป่ยอี้หนี่   ซึ่งเมื่อสามารถสอบเข้าโรงเรียนชายและโรงเรียนหญิงทั้ง 2 แห่ง   ล้วนแน่ใจและมั่นใจถึงความสามารถการเรียนทำให้คนเชื่อถือตามตัวหนังสือที่ระบุไว้
   
         เขานั่งอยู่ที่บ้านเพื่อรอคอยโทรศัพท์ในวันเวลาที่ร้อนรน   ก็เทียบเท่ากับการประกาศผลสมัครเข้า ม. ปลายของวันเวลาที่ผ่านพ้นได้ยาก  นี่เป็น ครั้งแรกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง   กระทบก้าวแรกชั่วชีวิตที่กำลังจะมาถึง
           
         บ่ายวันนั้นเขาได้รับโทรศัพท์เพื่อไปสัมภาษณ์   โดยเขาจะต้องมีท่าเต้นของตัวเองใช้เวลา 30 วินาที  มาแสดงที่ห้องฝึกซ้อมด้านข้างสถานีโทรทัศน์หัวซื่อเป็นการทดสอบ   เขาตื่นเต้นมาก   เพราะว่าข้ามไปวันที่ 2 ต้องสัมภาษณ์โดยการแสดงท่าเต้น  เขาไม่เคยเต้นรำมาก่อนเลย   ต้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวหลายรุ่นที่เต้นรำอยู่ในสวนสาธารณะ  และได้รับคำแนะนำให้ใช้เพลง (ปู้เสี่ยงซุ่ยเตอหงอู่เสีย ) หมายถึง ไม่อยากนอนของเรื่องรองเท้าสีแดง ประกอบการเต้น  เมื่อหัดเต้นแล้ว  ถึงวันที่ไปแสดงท่าเต้นได้ชวนเพื่อน ม.ต้นอีก 2 คนไปเป็นเพื่อนพร้อมเขาเพื่อเป็นกำลังใจ



   
        เข้าไปห้องฝึกซ้อม   ชั่วเดี๋ยวเดียวรู้สึกตัวเองเหมือนโลกแคบลง สักชั่วครู่กลายเป็นกว้างขึ้น   ทั่วทั้งวันได้รู้จักกับนักเรียนแต่งชุดฟอร์มต่างกัน 

เมื่อเดินขึ้นชั้นบน   มองหัวมุมเลี้ยวบันได ได้เห็น จางกั๋วหยง ใส่เสื้อผ้าบาเล่โบราณอยู่




Chomnath:


: พึ่งพาต้อง..........จางกั๋วหยง มาทำอะไรหนอ ?
 
       ต่อมาเขาจึงรู้จริงๆแล้วเขาคือ เฉินจื้อเผิง    เขาเต้นบาเล่สวยมาก   เทียบกับมืออาชีพไม่มีอะไรแตกต่างกัน

        ดูจนมากมายแล้วในที่สุดก็เลือกเต้นรำ  คนที่ทำให้เขาอ้าปากตาค้าง  เป็นความประทับใจอย่างลึกซึ้ง คือ บุคคลหนึ่งเรียกว่า พี่รูปหล่อ อู๋ฉีหลง
 
        เขาหล่อมาก ได้พูดว่า   “ผมเต้นรำไม่ค่อยเป็น   ปกติผมเรียนฝึกมวยอยู่แล้ว”  เพลงที่เขานำมาเข้าประกอบกับเพลงมวยคาราเต้ของเขา   ในที่สุดท่าตีลังกาที่สวยงามทำให้ทุกคนอึ่งไปเลย

    “ผมชื่อ ซูโหย่วเผิง   ชอบดนตรี   เชิญพบกับ เพลง "ปู้เสี่ยงซุ่ย เตอหงอู่เสีย"  (หมายถึง ไม่อยากนอนของรองเท้าสีแดง)"







         เมื่อถึงคิวเขาขึ้นบนเวที   เริ่มเสียงเพลงเขาก็เต้นช้าไป 1 จังหวะ   จากต้นจนจบเพลงก็ช้าไป 1 จังหวะเหมือนเดิม   รวมทั้งไม่มีอายสักนิดมีความภูมิใจที่ได้แสดงจนจบ    ต่อมาเรื่องนี้ทำให้เขากลับมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

         โหย่วเผิง    และคุณแม่เขา  ต่างเกิดวันเดียวกันคือจันทรคติวันที่ 15 เดือน 8   เพราะฉะนั้นในบ้านมีพระจันทร์ 2 ดวง   จึงตั้งชื่อ เผิง    หรือไม่ก็หวังว่าอนาคตเขาสามารถมีเพื่อนเยอะ   คงไม่โดดเดื่ยว

        รอจน ประกาศคนที่ 5 แล้ว    เสียงกระซิบอยู่ในใจเขา  “จะตายแล้ว   ครั้งนี้จบสิ้นแล้ว”  พอคิดจบ  ก็มีการประกาศชื่อเขาออกมา  “ซูโหย่วเผิง”

        ในที่สุดจาก 12 คน คัดเหลือ 6 คน   ทั้ง 6 คนนี้ต้องรอหลังอัดถ่ายหนังเรื่อง  นักต่อสู้ในวัยหนุ่ม ถึงสัปดาห์หน้า  เพื่อดูว่าอยู่หน้ากล้องถ่ายดูแล้วเข้ากล้องหรือไม่   ค่อยมาตัดสินใจ คัดให้เหลือ 3 คน  เพื่อมาก่อตั้ง กลายมาเป็นอนาคตที่โด่งดังไปทั่ว 2 ชายฝั่งทะเลในนาม “เสี่ยวหู่ตุ้ย” (ช่องแคบ 2 ชายฝั่งทะเล หมายถึงจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน)

        ในที่สุด   โฉมหน้า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ก็ปรากฏขึ้น   เสือสายฟ้าแลป..........อู๋ฉีหลง   เสือหนุ่มหล่อ..........เฉินจื้อเผิง   เสือเชื่อฟัง........ซูโหย่วเผิง




 
         หลายปีต่อมา  ซูโหย่วเผิงจึงรู้ว่าเหตุที่เขาถูกเลือกเข้าทีม “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ไม่ใช่อะไรอื่นเลย  เพียงเพราะเขา คือนักเรียนที่มาจากโรงเรียนเจี้ยนจง  ซึ่งจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่รายการโทรทัศน์จากความคิดนี้ของ จางเสี่ยวเยี่ยน เอง  เหตุนี้จึงเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักที่สุด

          แรกเริ่ม“เสี่ยวหู่ตุ้ย” เพียงแต่เป็นผู้ช่วยจัดรายการ “ชิงชุนต้าตุ้ยค่า”   จริงๆ แล้วเพียงแต่เป็นผู้นำเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ ให้แก่พนักงานเท่านั้น  มาเสริมบรรยากาศในรายการ

          กลุ่มของพวกเขา   แรกเริ่มล้วนเป็นเด็กใหม่ทั้งหมดเป็นผู้ช่วยพิธีกร  โดยเรียกตัวเองว่า “เสาหลักของรายการ”........เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหามเสานี้ไว้…




Chomnath:



        แต่ว่าไม่มีใครคาดคิด   “เสี่ยวหู่ตุ้ย”  เป็นเพียงผู้ช่วยพิธีกร   ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินรายการหลัก  แต่กลับได้รับความสนใจอย่างมาก  แถมเป็นในแบบรุนแรงอย่างนึกไม่ถึง  แต่ละอาทิตย์จดหมายเกือบทั้งหมดที่มาจะเป็นของเขาทั้ง 3 คน   แม้กระทั่งพิธีกร เฉาหลัน และ จื้อเหว่ย ก็ถูกกลบหมด  เหมือนเสียงคลื่น

         บริษัทได้ตัดสินใจจัดสรรงานให้แก่พวกเขาเพิ่มอีกงาน   ซึ่งเป็นการเปิดเวทีใหม่เอี่ยมสำหรับ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”   โดยให้ร่วมกับวงนักร้องชื่อ “อิวฮวง” ออกอัลบั้มร่วมกัน   ในอัลบั้มนี้ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้ร้องเพลงเดี่ยวเพลงแรก คือเพลง  “ชิงผิงกั่วเล่อเหยียน”   หมายถึง สวนหย่อมแอปเปิ้ลเขียวสด   และยังร่วมกับวงนักร้องหญิงรุ่นพี่ “อิวฮวง” ร่วมร้องเพลงด้วยกันในเพลง  “ซิงเหนียนไข่วเล่อ”  หมายถึง สุขสันต์วันปีใหม่


ใครบ้างที่จะคาดคะเนถึง   หัวลูกประทัดชิ้นนี้ก็ดังระเบิดอย่างเกินคาดฝัน

          อัลบั้ม “ซิงเหนียนไขว้เล่อ”   อยู่ช่วงระหว่างตรุษจีน  ดังนั้นตามตรอกใหญ่  ตลอดซอกซอยต่างได้รับชม  MTV ออกฉาย  ก็อยู่ในช่วงเวลานั้น    อีกทั้งสถานีโทรทัศน์ทั้ง 3 ช่องออกฉายอย่างอึกทึกคึกโครม   และแล้วในช่วงเวลาสั้นๆ 5 อาทิตย์เท่านั้น   เพลง “ ชิงผิงกั่วเล่อเหยียน” (สวนหย่อมแอปเปิ้ลเขียวสด)   ไต่อันดับเพลงขึ้นไปที่ 1 ของอันดับเพลงยอดฮิตของไต้หวัน
    
          นี่คือ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ความโด่งดังที่ไม่สามารถคาดคะเนได้

   




แต่ทว่าชีวิตของเขาได้เกิดจุดเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

          การเรียนและการบ้านของ ม.ปลาย เทียบกับ ม. ต้น นั้นห่างไกลยากยิ่งกว่ากันมาก   ทั้งยังเป็นการเรียนที่โรงเรียนเจี้ยนจง ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน   เรื่องของการทำการบ้านวิชาต่างๆ ก็ไม่สามารถมีใครช่วยเขาได้  เขาต้องทำด้วยตัวเองทุกวิชา   

          ดังนั้น เฉินซิ่วหยงจึงพูดว่า    “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ต่างกับนักร้องคนอื่นที่พิเศษก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ   “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นั้นด้านหนึ่งสามารถท่องตำรา  อีกด้านหนึ่งเข้าห้องบันทึกเสียงร้องเพลงออกอัลบั้ม   และเพียงข้ามวันพวกเขาก็สามารถไปสอบได้

      จากอีกด้านหนึ่งมากล่าวถึง   ว่านี่จึงกลายมาเป็นโชคชะตาของนักเรียนนักร้อง   เพียงแต่ดูสามารถเป็นปลาและฝ่าเท้าของหมีได้ทั้ง 2 อย่าง
 




Chomnath:


จางอ้ายหลิง เคยกล่าวว่า  อยากมีชื่อเสียงต้องใช้โอกาสตั้งแต่แรก

          เพียงแต่ให้ใช้โอกาสแรกเริ่ม จึงสำเร็จมีชื่อเสียง   เนื่องจากยังเป็นวัยเด็กอยู่ พวกเขาได้แบกหามแรงกดดันอย่างมากกว่าคนรุ่นคราวเดียวกัน

          เพราะว่าไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้  เกี่ยวกับการเรียนและงานแสดง   ทางบริษัทจึงได้ตัดสินใจคิดจะเปลี่ยนตัวเสือเชื่อฟังเป็นคนอื่น

          เพียงแต่ตัวเขาเองไม่ยอมล้มเลิกละทิ้ง   เขาไม่อนุญาตบุคคลอื่นล้มเลิกละทิ้ง   เขารู้สึกว่าตัวเองใช้ได้   คือใช้ได้เลยทีเดียว   เพราะฉะนั้นเขาปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด
   
          ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า  เรื่องราวตัวของผม ตัวของผมสามารถทำให้ดีได้




         หากไม่ก็เพราะคือ  เด็กคนหนึ่งที่มีการยืนหยัดยึดมั่นตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว   เพียงแต่เกี่ยวกับการยึดมั่นนี้เขาแบกหามมากมายแล้ว   มีใครคิดถึงไหมว่า   แสงของหน้ากล้องบนใบหน้าระยิบระยับ   อยู่ข้างหลังเขายังมีน้ำตาและทุกข์ใจอันมากมาย

         เพราะฉะนั้น เหตุเพราะช่วงภาคหน้าร้อนปีนั้น “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ต้องออกอัลบั้มใหม่  อัลบั้ม  เซียวเอี๋ยวอิ๋ว  (เดินเที่ยวเตร่ไปทั่ว)   โดยมีการเดินทางเปิดคอนเสริต์ เซียวเอี๋ยวอิ๋ว เป็นการเดินทางไกล  แล้วการถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก เรื่อง “อิ๋วเสียเอ๋อ” (จอมยุทธพเนจร??)

         แรกเริ่มทางบริษัทตกลงกับซูโหย่วเผิงเรียบร้อยแล้ว  ว่าใช้เวลาถ่ายทำหนังเรื่องแรกนี้ช่วงหน้าร้อนก็ปิดกล้อง  เพียงแต่เรื่องในโลกนี้ยากที่จะคาดคิด   มีใครบ้างสามารถคาดการณ์ได้   จนเปิดเทอมแล้วก็ยังถ่ายทำไม่เสร็จ   อยู่ในช่วงเปิดเทอม   อีก 1 เดือนต่อมาจึงถ่ายหนังต่อ   เริ่มตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงเขาก็เริ่มสั่นคลอน  การเรียนยิ่งเรียนยิ่งมากมายหนักหน่วง

         ความทรนงองอาจที่สามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้  สามารถกล่าวได้ว่าความเชื่อมั่นบนตัวของเขาถูกถอดทิ้งออกมาเลยทีเดียว

          จากเมื่อเริ่มเข้าเรียนทำการทดสอบ   ซูโหย่วเผิงสอบทำคะแนนสูงสุด 99 คะแนนจากนักเรียนทั้งโรงเรียน   จริงๆ แล้วไม่มีใครทำคะแนนเต็ม 100 ได้    การทดสอบอย่างนี้เมื่ออยู่ที่โรงเรียนเจี้ยงจง สามารถพูดได้ว่า ทดสอบแบบมีพลังปัญญาอีกชนิดหนึ่ง   
   
จำได้ว่าเพิ่งเปิดเรียน   อาจารย์ภาษาอังกฤษพูดว่า   คะแนนสูงสุดในชั้นให้ยืนขึ้นมา
    เขาจึงยืนขึ้นมา
   
อาจารย์คณิตศาสตร์กล่าวว่า   คะแนนสูงสุดในชั้นให้ยืนขึ้นมา
    เขาก็ยืนขึ้นมาอีก
   
อาจารย์ประวัติศาสตร์กล่าวว่า   คะแนนสูงสุดในชั้นให้ยืนขึ้น
    เขาจึงยืนขึ้นมาอีกเช่นเดิม
   
อาจารย์ฟิสิกส์พูดว่า   คะแนนสูงสุดในชั้นให้ยืนขึ้น
    ในใจพวกนักเรียนจึงคิดว่ายังไงก็เป็นเขาที่ยืนขึ้น
   
         
         ในสายตาเหล่าคุณครู ซูโหย่วเผิงคือ  ฟ้าประทานมา  ในสายตาผู้ปกครอง  เขาได้กลายเป็นนักเรียนต้นแบบที่อยากให้บุตรหลานของตนเอาเยี่ยงอย่าง   แต่อย่างไรก็ตาม  ฟ้าทรงโปรดประทานช่วยเหลือ  จะเป็นอย่างไรก็เป็นฟ้าทรงโปรดประทานช่วยเหลืออีก  เวลาทั้งหมดคืนกลับสู่ตัวเขาเอง โดยไม่สามารถควบคุมได้
         การบ้านการเรียนของเขาหล่นลงสู่ก้นเหว   ในชั้นเรียนมีสักกี่คนค่อยๆ กลายเป็นคะแนนพลิกล็อค






         จริงๆ แล้วความจำเป็นที่เขาต้องเรียนให้ดีเยี่ยม  เป็นเงื่อนไขจากความคาดหวังของคนภายนอก  เพราะจากความจำเป็นทั้งหลาย  เขาไม่มีทางได้อ่านหนังสืออย่างเต็มกำลังเท่าที่ความเป็นจริงจะต้องอ่าน   เวลาในการอ่านหนังสือน้อยเกินไป   การฉุดรั้งเช่นนี้  ความหนักนี้  การฉุดเช่นนี้จึงก่อให้เกิดระยะเวลาแตกต่างถึง 2 ปี


         ต่อมาเพื่อนนักเรียนของเขาจึงล้อเลียนเขาว่า   เขาอยู่ ม. ต้นก็นอน และเรียนเก่งมาตลอด จนมาถึงโรงเรียนเจี้ยนจง    ต่อมาจากโรงเรียนเจี้ยนจงก็นอนเก่งตลอด  จนเข้ามหาวิทยาลัยไต้หวัน





          ซูโหย่วเผิงหวังจะนอนหลับอย่างเต็มที่    เขาชอบนอนหลับมาก   คุณแม่ยังคุยหัวเราะกับ จางเสี่ยวเยี่ยนว่า    “ฉันมีเรื่องหนึ่งขอขอบคุณมากๆ ที่ได้นำพาเข้าวงการบันเทิง   เด็กคนนี้สามารถตื่นนอนลุกจากเตียงได้เองอย่างแน่นอน   ทั้งยังไม่บิดขี้เกียจตอนลุกขึ้นจากเตียงเลย"

          “เสี่ยวหู่ตุ้ย” มีกำหนดการเดินทางโดยทางรถในการเปิดอัลบั้ม เซียวเอี๋ยวอิ๋ว ตระเวนในงานการแสดงร้องเพลงทั่วทุกมณฑล   งานการแสดงร้องเพลงล้วนดำเนินการในวันหยุดมี 2 วัน   ยังรวมหลังเลิกเรียนวันศุกร์ก็ถูกคนในบริษัททำกับเขาเหมือนโดนมัด  มัดไปที่ห้องฝึกซ้อมของบริษัท   วันหยุดวันต่อมาเริ่มตระเวน   กลับมาคืนวันอาทิตย์จึงจะนำเขาส่งกลับบ้าน  ตลอดวันตันทร์ถึงวันศุกร์แทบหาเวลานอนไม่เจอ  พอถึงเวลาเลิกเรียนของวันศุกร์   วันเวลาที่ทัวร์ตระเวนออกเดินทางแสดงคอนเสริต์ได้วนกลับมาอีก  เป็นเช่นนี้เกือบ 6 อาทิตย์แล้ว


          แล้วกลับมาที่ห้องเรียนของเขาเพื่อเข้าเรียนอย่างเป็นทางการอีก   ความจริงไม่มีทางที่ซูโหย่วเผิงจะตามการเรียนได้ทัน   นั่งอยู่ในชั้นเรียน   เพื่อนนักเรียนล้วนต่างรู้สึกได้เรียนหนังสือ  มีเพียงแต่เขาคนเดียวที่ไม่รู้สึกตัวอีกทั้งแทบไม่มีเรี่ยวแรงเอาเลยทีเดียว   เมื่อได้รับความตักเตือนในห้องเรียน  ความเชื่อมั่นของเขาจึงค่อยๆ หายไป

          “เสี่ยวหู่ตุ้ย” โด่งดังยิ่งขึ้นทุกครั้งที่อยู่บนเวทีคอนเสริต์   มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมทุกบ้านทุกครัวเรือน   ลักษณะชอบเรียนหนังสือและชอบการแสดงร้องเพลงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ฝังรากลึกขึ้นทุกขณะ


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version