ผู้เขียน หัวข้อ: 20-04-2009 โหย่วเผิงให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับซีรีย์เรื่อง เย้ออ้าย  (อ่าน 5007 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13280
    • ดูรายละเอียด

20  เม ย 09 โหย่วเผิงเป็นแขกรับเชิญในงานราตรี อยากเป็นคนแบบระห่ำ

ผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนได้สร้างละครเรื่องใหม่ เย้ออ้าย (ชื่อเดิม ต้าเจิ่นฝาน)จะออกอากาศทั่วประเทศในเร็วๆนี้ นักแสดงตัวเอกอย่างโหย่วเผิงกับหันเสวี่ยก็ได้มาถึงที่ซูโจว มาร่วมพิธีฉายปฐมฤกษ์ หันเสวี่ยได้ตอบรับการสัมภาษณ์ของสื่อ โหย่วเผิงก็ได้ไปที่งานราตรีและได้พูดคุยกับผู้อ่านด้วย

รายงาน บ่ายวาน ศิลปินชื่อดังทั้งเป็นนักร้อง นักแสดงละคร หนังอย่างโหย่วเผิง ได้ไปเป็นแขกให้กับทางงานในการพูดคุย


ถาม >> เริ่มแรกคิดอย่างไรที่ไปรับบทเป็นคนโรคจิตในละครเรื่องเย้ออ้าย

ตอบ <<  การที่จะรับบทอย่างนี้นั้นเป็นความใฝ่ฝันของผมมาโดยตลอด จากการแสดงหนังและละครมาจนถึงวันนี้ บทบาทของผมนั้นเป็นกระแสหลักมาโดยตลอด เป็นประเภทใหญ่ จะเป็นบทที่คนปกติเสียส่วนใหญ่ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ความคิดความสามารถแล้ว เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองแล้ว ฉะนั้นก็จะเลือกเอาบทที่ทุกคนมองว่าแปลกคน เป็นบทที่ไม่ใช่แต่เพียงราบๆเรียบๆ จากบทในเรื่องเย้ออ้ายนั้น เป็นคนโรคจิตที่สับสนมากๆ แม้ว่าเรื่องในละครนั้นมันสนุกมาก แต่ว่าบทนั้นมันไม่ดีเลย

ถาม >> เพื่อจะเปลี่ยนรับบทอย่างนี้นั้นได้มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ตอบ  << ปกติแล้วจะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้นๆ และได้ทำการบ้านพื้นฐานมาบ้าง แต่ว่าบทโรคจิตของเย้ออ้ายในเรื่องเก่านั้นไม่มีบทนี้เลย ฉะนั้นก็คงไม่มีแบบให้ดู แต่จะคิดขึ้นมาใหม่ๆล้วนๆ เพื่อจะแสดงบทนี้ให้ดีที่สุด เพียงทางเดียวคือต้องเข้าถึงความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง คิดใคร่ครวญตัวบทและบทของตัวละคร มีเพียงทางเดียวคือเอาตัวเองเข้าสู่สภาพอย่างนั้น ถึงจะมีจิตวิญญาณอย่างนั้นจริงๆ ในช่วงเวลานั้น ผมเองเป็นมิตรที่ดีต่อคนที่เป็นโรคจิต ในขณะถ่ายทำนั้น เหตุเพราะอารมณ์อิงกับเรื่องเกินไป เพื่ออยากจะให้เห็นถึงอารมณ์อย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งเหมือนกับจิตใจแตกซ่าน ต้องเสียเวลาไปมากมาย แต่ทุกคนก็ไม่บ่น ก็จะให้เวลาผม ผมขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง



ถาม >>  จะเข้าใจถึงบทอารมณ์ของซูหมิงเทาได้อย่างไร อนาคตจะรับบทที่แปลกๆอย่างนี้อีกไหม?

ตอบ <<  เขาเป็นผู้ป่วยทางจิตที่อยู่ในโลกแห่งความสับสนของสภาพจิต ในสมองของเขานั้นมีความทรงจำหลายอย่างได้พลุๆโผล่ๆอยู่ตลอด มันประสาทกินมาก ขณะถ่ายทำนั้น จิตใจตัเองจะแตกซ่านบ่อยๆ จริงๆแล้วการถ่ายทำละครทีวีนั้นมันทรมานคนมาก แค่ในฉากเดียวเท่านั้น คางของผมก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว เวลาพักก็น้อยมาก เวลาการถ่ายทำนั้นกระชับมาก ผมเองก็ยังงงอยู่ว่าช่วงเวลานั้นมันผ่านมาได้ไง บทบาทนี้ระห่ำมาก มีความท้าทายมากมาย สำหรับบทอย่างนี้นั้นมันเป็นที่ดึงดูดใจผมเป็นอย่างมาก ก็ยังจะไปแสดงบทอย่างนี้อีก

ถาม >>  รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจากละครทีวีมาเป็นภาพยนตร์นั้น ขอลองกล่าวถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ถ่ายทำไปในปีนี้ให้ฟังหน่อย(สี่กามเทพ กับ ตามหาพี่หลิวซัน)

ตอบ <<  ความแตกต่างระหว่างละครกับภาพยนตร์นั้นก็เยอะเหมือนกัน ทั้งด้านการสร้างกับการถ่ายก็มีมารตฐานที่ไม่เหมือนกัน และภาพยนตร์สองเรื่องนี้เป็นสองเรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนการแสดงจากละครมาสู่ภาพยนตร์ พูดได้ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องที่สองของผม

ถาม >>  ภาพยนตร์เฟิงเซิงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น นี่เป็นภาพยนตร์สไตล์ไหน ลองเล่าถึงบทที่คุณรับเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เล่นละครเพลงให้ฟังหน่อย

ตอบ >>  ความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่องกับภาพยนตร์นั้นผมเองก็บอกไม่ได้ แต่ว่า (เฟิงเซิง)บทของไป๋เสียวเหนียนนั้นมันสนุกมากๆ บทนั้นพิเศษและประหลาดมาก เป็นเรื่องหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของมัน และมีบทที่ตื่นตาตื่นใจด้วย เริ่มแรกนั้นผมเองก็ไม่ได้สัมผัสกับละครเพลงเท่าไหร่(เป็นละครเพลงจีนทางใต้) แต่เหตุเพราะความจำเป็นของการภาพยนตร์กับบทที่ตัวเองได้รับนั้นจึงไปศึกษาละครเพลง สมัยเด็กๆนั้น ที่ไต้หวันก็ได้เห็นละครเพลงบ่อยๆในทีวี ยังเด็กก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าละครเพลงนั้นมันมีศิลปะที่สวยงามมาก เป็นอะไรที่มีประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางศิลปะเป็นอย่างยิ่ง

ในระหว่างการถ่ายทำนั้น ผมรู้สึกว่าศิลปะโบราณของจีนนั้นสวยงามมาก คุณค่าของศิลปะนั้นสูงมาก ขณะที่รับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เป็นอาจารย์ศิลปะนั้น ตัวผมเองก็รู้สึกถึงตัวเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะไปแล้ว บทบาทนั้นมีอิทธิพลต่อผมอย่างเงียบๆ



ถาม >> คุยถึงการร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนในเรื่องเย้ออ้ายนั้น ในระหว่างการถ่ายทำนั้นมีเรื่องอะไรที่ยากจะลืมไหม?

ตอบ << ผู้กำกับฝ่านนั้นคนที่กวดขัน(เข้มงวด)  แน่นอน เวลาถ่ายทำนั้นจำต้องมีผู้กำกับอย่างนี้ถึงสามารถทำให้ละครนั้นเสร็จสิ้นไปด้วยดี มีความหนักแน่น มีประสบการณ์ ผู้กำกับที่เคร่งครัดนั้นมีอิทธิพลต่อผลงานละครเป็นอย่างมาก ร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านนั้นมีแรงกดดันแน่นอน แต่ว่าตอนถ่ายทำนั้นก็ยังโอเค ผู้กำกับฝ่านนั้นเป็นคนที่คบง่าย ความคิดของท่านนั้นมีการประยุคอยู่ตลอดเวลา ขณะถ่ายทำนั้นคุณก็จะสังเกตได้ว่าผู้กำกับหายไปในทันใดเลย ท่านก็จะไปตามหาความคิดของเขา จำได้ว่า ครั้งหนึ่งผมได้ทะเลาะกับผู้กำกับฝ่าน ลืมไปแล้วว่าสาเหตุอะไร แต่ว่าจุดฉนวนนั้นไม่ใช่ผม หลักๆคือการไม่เข้าใจกันในเรื่องบทบาทของตัวละคร เพราะว่าผมเองไม่ได้เป็นคนที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง ฉะนั้นความคิดของผมกับคนอื่นอาจไม่เหมือนกัน ผมเองก็มีทิฐิของตัวเองด้วย ก็เลยมีการแตกแยก

ถาม >>  อนาคตยังคิดที่จะถ่ายทำละครทีวีอีกไหม หากว่าจะถ่ายแล้วจะถ่ายแบบแนวอย่างนี้หรือเปล่า

ตอบ <<  ปีนี้หลักๆก็ยังคงเป็นการถ่ายภาพยนตร์ แต่ว่าก็มีละครทีวีบ้าง แน่นอนก็ยังคิดที่จะรับบทสไตล์อย่างนี้อยู่ มีบทที่แตกต่างที่เป็นลักษณะพิเศษอย่างนี้

ถาม  >>  เป็นศิลปินนั้น มีอะไรที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย คุณอยากจะเป็นศิลปินประเภทไหน?

ตอบ << ผมรู้สึกว่าผมไม่มีเป้าหมายสุดท้ายอะไร ผมมีท่าที่ในใจที่ดีอย่างหนึ่งคือผมเองจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ผมนั้นไม่คิดว่าตัวเองนั้นสุดยอดแล้ว ผมคิดว่าตัวเองยังจะตัองพัฒนาอยู่เสมอ ผมอยากเป็นศิลปินที่สนุกที่ตื่นเต้นที่ระห่ำคนหนึ่ง



Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13280
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 โหย่วเผิงเป็นแขกรับเชิญในงานราตรี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:17:25 PM »

ในเรื่อง เย้ออ้ายนั้น ผมเองก็เป็นคนบ้าคนหนึ่ง

ฟังโหย่วเผิงพูดถึงจิตใจแห่งการสร้าง

สำนักข่าว ซูโจว

จากอู่อาเกอ(องค์ชายห้า) ในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ จนถึงตู้เฟยในเรื่อง(ฉิงเซินๆหยี่เหมิงๆ)และจางอู่จี้ใน(อีเทียนสูตี้) ศิลปินภาพยนต์และละครที่ได้เดินมาตลอดทางนั้น แม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็เป็นที่ตรึ่งตราลึกๆในใจเราอยู่ แต่เมื่อปี 2008  แล้ว โหย่วเผิงก็ไม่ได้แสดงละครทีวีอีกแล้ว เมื่อห่างกับสองปี โหย่วเผิงได้เลือกที่จะตัดสินใจร่วมงานกับโรงเรียนสถานีซูโจว รับการถ่ายทำละครทีวีเรื่องเย้ออ้าย 27  ตอนด้วยกัน ในเรื่องนั้นรับบทเป็นซูหมิงเทาที่ป่วยเป็นโรคทางจิต และได้ประสบความสำเร็จที่เห็นได้ชัดจากงานการแสดงของเขา เมื่อวาน (19 เม ย 2009 ) โหย่วเผงมาถึงที่ซูโจว เขาเองได้กล่าวถึงความบ้าคลั่งของตัวเองกับนักข่าว

นี่เป็นบทที่แปลกและน่าตื่นเต้น

สำหรับเรื่องราวของ(เย้ออ้าย)นั้น ผู้กำกับฝ่านเคยใช้ ”หญิงโสเภณี คนหนึ่งได้เจอกับชายสง่างามคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคจิต ในนั้นยังใช้ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง กับหน่วยข่าวกรองที่เป็นโรคความกดดัน ”คำสั้นๆ มาแนะนำ ก็เป็นไปในลักษณะอย่างนี้ที่มีคนหลายสไตล์บ้าๆบ้องๆ มาเจอกันแล้วมีเรื่องราวที่ตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้นมากมาย ซูหมิงเทาที่โหย่วเผิงรับบทนั้นก็เป็นตัวละครหนึ่งในนั้นที่มีบุคลิกที่พิเศษ ในเรื่องนั้นพระเอกเป็นชายหนุ่มที่สง่างามน้ำใจดี เป็นคนดี  แต่กลับถูกความกดดันจากเรื่องการเมืองและความรักอย่างแรง จนทำให้จิตใจไม่ปกติ ประสาทก็ไม่ปกติ นี่ไม่เพียงยากในการแสดงเท่านั้น แต่จะเรียกร้องให้ผู้แสดงนั้นมีสภาพทั้งภายในและภายนอกของร่างกายจะต้องสูง เหตุเพราะบทบาทที่น่าตื่นเต้น น่าแปลกประหลาดอย่างนี้แหล่ะเลยเป็นที่ถูกใจของโหย่วเผิง เขากล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าช่วงระยะเวลาในการเขียนเรื่องราวแต่ละตอนนั้นมันสนุกมาก บทของซูหมิงเทานั้นเป็นบทที่ถือได้ว่ายากที่สุดเท่าที่ผมเคยรับบทแสดงมา มันไม่มีต้นแบบ ไม่สามารถไปหามองดูตัวละครอื่นแล้วมาแสดง ก่อนหน้านี้นั้น ในสมองของผมนั้นไม่มีตัวละครใดๆโผล่ขึ้นมาเลย มันล้วนคิดขึ้นมาจากกระดาษขาวว่างเปล่าเท่านั้น

โหย่วเผิงกล่าวว่า “ขณะที่แสดงบทหมิงเทานั้น รู้สึกว่าสิ่งที่ยากมากๆก็คือมาตรฐานของมัน เพราะแต่แรกนั้นหมิงเทาไม่ได้เป็นคนบ้าเลย เขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง และค่อยกำเริบออกมา ต่อมาขณะที่เขาค่อยๆดีขึ้นแล้วนั้น ก็ได้รับการกระทบกระเทือนอีก และก็เป็นจิตประสาทอีกครั้ง ตัวเขานั้นก็มีแต่เดียวกำเริบเดียวหายไปๆมาๆอย่างนั้น”  โหย่วเผิงกล่าว บางครั้งหมิงเทานั้นเป็นบ้าอยู่ แต่คำพูดนั้นกลับมีเหตุมีผล การจะเป็นนักแสดงนั้นจำต้องรักษามาตราฐาน ก็ค่อยๆแสดงอาการโรคจิตของหมิงเทาไปตามลำดับหนักเบาของโรค สภาพการณ์ทั้งหมดนั้นก็เสมือนภาพภาพหนึ่ง ตอนถ่ายนั้นจะมีจุดๆที่ต่างกันไป แต่เมื่อถึงตอนสุดท้ายนั้นมันจะกลายเป็นเส้นเดียวที่เรียบร้อย วิธีการแสดงออกอย่างนี้นั้นบางทีมันทำให้ผมรู้สึกว่าสับสนมาก เมื่อตอนถ่ายทำเสร็จแล้วเนี่ยมันทำให้ตัวเองรู้สึกว่ายากจะเชื่อในตัวเองเลย ในเมื่อสามารถที่จะทำหน้าที่อย่างนี้ให้มันสำเร็จได้นั้น เมื่อได้แสดงตัวละครบทอย่างนี้จริงๆแล้วเนี่ยทำให้ตัวเองเหมือนกับเป็นคนบ้าคนหนึ่งจริงๆ


การลงทุนที่มีเลือด บังคับตัวเองบ้า

ในเรื่องนั้น หมิงเทานั้นเป็นโรคจิตคนหนึ่ง เพื่อจะแสดงบทนี้ให้ดี โหย่วเผิงกล่าวว่าตัวเองนั้นได้ตั้งใจไปในโรงพยาบาลโรคจิตไปสัมผัสชีวิตของพวกเราโดยตรงเลย ได้ไปสังเกตเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา แน่นอน การไปสังเกตุอย่างนี้ก็เป็นเพียงการไปดูชีวิตผิวเผินของพวกเขาเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพจิตใจของพวกเขาได้ เพราะว่าคุณไม่สามารถที่จะไปพูดคุยเป็นเวลาที่ยาวนานกับพวกเขาอย่างคนปกติได้ แต่ว่าขณะที่ถ่ายทำนั้น คุณก็ไม่สามารถที่จะแสดงแบบไม่เข้าถึงอารมณ์ของพวกเขาเลย ฉะนั้น ทุกครั้งที่ถ่ายทำ ผมก็มักจะพยายามให้ตัวเองนั้นเข้าถึงตัวบทของมัน บังคับตัวเองจนแทบบ้าแล้ว  โหย่วเผิงกล่าวว่า ทั้งเรื่องนั้นจะจบลงแบบบ้าๆบอๆอย่างนั้น บางครั้งก็มักจะรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นเป็นเหมือนคนโรคจิตจริงๆ จนทำให้ช่วงเวลาที่ถ่ายทำนั้นนอนไม่ค่อยหลับ “ตอนนี้เมื่อหวนกลับไปคิด ผมเองก็คิดไม่ตกเหมือนกันกับการถ่ายทำในระยะเวลาเดือนครึ่งนั้น ไม่รู้แรงกำลังมาจากไหนที่ทำให้งานนั้นเสร็จสิ้นลงได้

เหตุที่อยากจะให้บทนั้นสมจริง โหย่วเผิงได้อิงกับการเข้าฉากเป็นอย่างมาก จนกระทั่งยังมีการลงทุนถึงขนาดมีเลือดออก เขากล่าว มีฉากหนึ่งนั้นได้ไปถ่ายที่โรงบาลโรคจิต สภาพจิตใจของหมิงเทานั้นมันตกอยู่ในสภาพที่จิตใจแตกซ่านแล้ว ดิ้นไปดิ้นมา จิตใจกระสับกระส่าย รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย โหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวบทเดินที่คือต้องมัดมือมัดเท้าของหมิงเทา แต่ว่าเวลาถ่ายทำจริงๆ ทางทีมงานคิดถึงความปลอดภัยฉะนั้นเลยมัดแต่มือเท่านั้น สองเท้ายังดิ้นได้ “ผมเลยคิดว่าการถ่ายอย่างนี้นั้นมันไม่ค่อยถูกหลักเท่าไร เห็นได้ชัดว่าสองขายังดิ้นได้อยู่ ก็จะไม่มีอารมณ์ที่จะต้องไปดิ้นสู้ต่อไป” เพื่ออยากจะแสดงอาการทางจิตใจของหมิงเทาให้ออกมาได้สมจริงที่สุดนั้น โหย่วเผิงได้ขอให้ทางผู้กำกับเอาเชื่อกมัดที่เท้าของเขาอีกเส้น สุดท้าย ขณะที่ถ่ายทำนั้น อาการคลั้งบ้าของโหย่วเผิงกำเริบ ออกแรงเยอะไป ไม่มีอะไรมาประคองเขาไว้ แล้วเขาก็ตกลงมาข้างล้าง “ค้างกระแทกกับพื้น ริมฝีปากล้างโดนฟันกัดจนเป็นแผล” ตอนแรกนึกว่าไม่หนักหนาสากันแต่อย่างไร หยิบกระจกแล้วมาส่องตัวเอง ก็เพิ่มสังเกตุเห็นว่าเลือดไหลไม่หยุดเลย จนเขาต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล “มันทำให้ทีมงานตกใจจนให้ผมหยุดพักตั้งหนึ่งอาทิตย์ ผมรู้สึกต้องขอโทษพวกเขาจริงๆ แต่ว่า การที่ผมลงทุนขนาดนี้นั้นมันก็คุ้มค่า เพราะสิ่งที่ผมอยากจะแสดงออกมานั้นต้องการความสมจริง


“ขโมยวิชา” ในตัวของฝ่านเสี่ยวเทียน

โหย่วเผิงกล่าวว่า การเลือกที่จะร่วมงานกับทางโรงเรียนศิลปะการแสดงของซูโจวกับผูกำกับฝ่านนั้น เป็นโอกาสที่ดีโอกาสหนึ่ง อยู่ในระหว่างการถ่ายทำนั้น โหย่วเผิงสัมผัสว่าผู้กำกับฝ่านนั้นเป็นผู้กำกับที่กวดขันฉลาดทั้งยังมีไหวพริบที่ดีคนหนึ่ง ขณะในการสร้างบทนั้นเขามีไอเดียดีๆหลายอย่าง ความคิดของเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างธรรมชาติ เป็นสไตล์แบบกระโดดไปมาไม่อยู่กับที่ บางครั้งความคิดเขาเร็วเกินไป ปากเขาแทบจะตามสมองไม่ทัน ขณะพูดนั้นจะโดดไปมาตลอด “หากว่าไม่ใช่เป็นผู้กำกับที่พิเศษอย่างนี้จะไปกำกับละครที่พิเศษอย่างนี้ได้อย่างไง ผู้กำกับที่แปลกๆก็เลยมีการสร้างตัวละครที่แปลกๆออกมา และเนื้อเรื่องก็ประหลาดๆอีกด้วย”  โหย่วเผิงกล่าวว่า ในบุคลิกภาพบางส่วนในตัวของหมิงเทานั้นมันก็มีในตัวของผู้กำกับฝ่านด้วย “ผู้กำกับคนหนึ่งที่มีมารตฐาน มีประสบการณ์ มีความกวดขันนั้นมันย่อมมีอิทธิพลต่อผลงานการแสดงของตน การร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านนั้นแน่นอนผมย่อมมีความกดดัน อย่างไรก็ตามขณะที่แสดงบทของหมิงเทานั้นผมก็จะแอบขโมยสิ่งบางอย่างในตัวของผู้กำกับฝ่านมาใช้” โหย่วเผิงพูดแล้วหัวเราะไปด้วย

สำหรับละคร เย้ออ้าย ยังไม่ทันออกอากาศก็ร้อนไปแล้ว(เย้อแปลว่าร้อน) สังเกตุเห็นถึงมาการขโมยดาวโหลดในเน็ต โหย่วเผิงใช้คำว่า “ทั้งดีใจและเสียใจ”กับการกระทำอย่างนี้ ที่ว่าดีใจก็คือละครเย้ออ้ายนี้แม้ว่ายังไม่ทันได้ออกอากาศแต่ก็เป็นที่สนใจของมวลชนเป็นอย่างมาก ส่วนที่เสียใจคือกังวลถึงทางบริษัทผู้ผลิตรละครเรื่องนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะซื้อแผ่นจริงมาชม

ได้ขนามนามว่า “นักแสดงละครทีวี”อย่างโหย่วเผิงนั้นในปี 2009 นี้จะตัดสินใจไปเอาดีทางด้านภาพยนตร์แล้ว เขาได้กล่าวกับนักข่าวว่า หลังจากที่เสร็จสิ้นการโปรโมทละครทีวีเย้ออ้ายแล้ว เขาก็จะรีบกลับไปที่ค่ายที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์(เฟิงเซิง)นั้น ในภาพยนตร์เรื่องนั้นนั้น เขารับบทเป็นนักละครเพลงที่มีชื่อเสียง เขากล่าวว่าได้ยินว่าภาพยนตร์(ตู้ตันถิง)ของซูคุนนั้นน่าดูมาก แต่ว่าก็ยังไม่มีโอกาสได้ดู อย่างไรก็ตาม เหตุเพื่อจะถ่ายภาพยนตร์เฟิงเซิง เขาได้ไปหาอาจารย์เพื่อนให้ท่านสอนละครเพลง (เย้ออ้าย)เป็นการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ต่อแต่นี้ไปผมก็จะปรากฎตัวในบทบาทที่แตกต่างออกไปให้กับทุกคนได้เห็นและได้ตื่นเต้นไปด้วย นำความตื่นเต้นมาสู่ทุกคน” โหย่วเผิงมีความมั่นใจเต็มร้อย


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13280
    • ดูรายละเอียด
2009-4-21 8:52:00



(เย้ออ้าย) จะออกอากาสทางสถานีหยูนานในวันที่ 24  วันนี้โหย่วเผิงไปโปรโมทที่เมืองคุนหมิง

เวลาที่แถลง 20 เม.ย. 2009

หนังเรื่อง(เย้ออ้าย)ที่นักแสดงพระเอกโหย่วเผิงกับนางเอกหันเสวี่ย ได้แสดงนั้นจะเริ่มออกอากาสในวันที่ 24 ของสถานีหยูนานทุกวันและวันละสามตอน ละครเรื่องนี้นั้นได้แตกต่างจากละครเรื่องเดิม จะออกแนวไปทางของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นสงครามจิตวิทยา และสามารถจะเห็นได้ถึงการเปิดเผยออกมาของคนในท้องถิ่น สามารถที่จะกล่าวได้ว่าละครเรื่องนี้จะเป็นละครจิตวิทยาเรื่องแรกของจีน วันนี้โหย่วเผิงพระเอกในละครจะไปโปรโมทเริ่มออกอากาศ  ละครเรื่องนี้ที่เมืองคุนหมิง ครั้งนี้นั้นโหย่วเผิงได้แสดงในแนวที่ต่างจากอดีตที่รับแต่บทที่ภาพลักษณ์ดีมากลายเป็นคนหนึ่งที่เป็นโรคจิต ได้รักกับเสิ่นหันชิวที่รับบทโดยหันเสวี่ยอย่างลืมตาไม่ขึ้น ได้รับความสับสนจากความบ้าคลั่ง ความรัก ความระแวงหลายอย่างนั้น โหย่วเผิงแสดงบทความรักที่สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี และทีมงานต่างก็ทึ่งและชมเชยการแสดงของเขา แม้กระทั่งผู้กำกับฝ่านยังหยุดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม “จากผลงานของเขามันกล่าวแก่ผมว่า เขาเป็นคนที่มีสปีริตจริงๆ”

20  เม.ย.  2009 รายงานข่าวจากสถานียูนาน . 24เม ย สถานียูนานจะออกอากาสละครเย้ออ้ายที่โหย่วเผิงและหันเสวี่ยได้แสดงเพื่อผู้ชมทุกท่าน

จากเจ้าชายในวังเป็นเป็นผู้ป่วยทางจิต จากภาพลักษณ์เจ้าหญิงสลัดมาเป็นหญิงสาวบ้าคลั่ง โหย่วเผิงกับหันเสวี่ย ได้ลสัดภาพลักษณ์เก่าในละครเรื่องเย้ออ้าย ได้ร่วมแสดงเรื่องที่ผิดปกติบวกกับความรัก ละครเรื่องนี้นั้นได้เอ่ยถึงสมัยเริ่มแรกของการสร้างราชอณาจักร หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่รักในสังคมนิยมได้ทำลายอำนาจ ได้มีการประลองกำลังทั้งในที่มืดและที่แจ้ง นางเอกหันเสวี่ยที่ลสัดคราบของความเป็นผู้มียศศักดิ์รับบทเป็นหญิงโสเภณี เซิ่นหันชิวที่สูงศักดิ์ หนักแน่น อารีย์ ไม่เพียงแต่จะได้รับหน้าที่ในการต้องไปทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยังต้องมีฉากที่ไปมีความรักที่ทั้งสูขทั้งน้ำตากับหมิงเทาที่โหย่วเผิงรับบทอย่าง ในเรื่อง ทั้งสองคนล้วนมีผลงานที่ดี จนได้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งเรื่อง มันคุ้มค่าแก่การรอคอยจริงๆ




Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13280
    • ดูรายละเอียด
2009-04-21  8:52:00


โหย่วเผิงจะเป็นคนสายฟ้าแลบถึงที่สุด

รายงานข่าว รวมพล ดาราดังจากละครเย้ออ้ายทั้งหมด 27 ตอนอย่างโหย่วเผิง หักแส เฉิงหลงและแสเจียหนีเป็นต้น จะออกอากาศทั่วประเทศในวันที่  24  จากสถานียูนาน เมื่อวาน พระเอกของละครเรื่องนี้ได้ไปโปรโหมดที่เมืองคุนหมิง ขณะให้สัมภากษ์จากสื่อนั้น ได้ยินเสียงจากนักข่าวบางคนบอกว่าเขาใน(อ้ายฉิงฮูเจี้ยวจ้วนหยี  2)นั้นเขาได้ได้มีการเปลี่ยนแปลงบทไปมาก มันเป็นเหมือนมนษย์สาฟ้าแลบ โหย่วเผิงกล่าวอย่างขำๆว่า “ต่อไปผมก็จะไม่หยุดในการที่จะเป็นคนฟ้าแลบ จะท้าทายการยอมรับของแฟนๆ”

บ่ายวานนี้ เนื่องจากเครื่องลงช้ากว่ากำหนด กิจกรรมระหว่างโหย่วเผิงกับแฟนๆที่ได้นัดหมายกันในช่วง 4โมงกลับถูกเลื่อนออกไป จนถึง 5 โมงเย็น โหย่วเผิงที่แต่งตัวสบายๆก็ได้โผล่ออกมา ทันทีที่เขาปรากฎตัว ทำให้กล้องทุกตัวนั้นโฟกัสไปที่ตัวเขา แม้ว่าเวลานัดหมายนั้นจะช้าไปชั่วโมง แต่เสียงปรบมือเสียงกรี๊ดที่แฟนๆมาต้อนรับเขานั้นยังคงเสียงดังมาก ในงานนั้นส่วนมากจะมีแต่แฟนหนังที่เป็นสาวๆ และยังมีแฟนๆรุ่นวัยกลายคนที่มากจากก่วงโจว ฮ่องกง ได้ยินเสียงที่พวกเขาพร้อมใจกันตะโกนว่า “ จะอดีตหรือปัจจุบัน รักโหย่วเผิงที่สุด” ทำให้โหย่วเผิงซึ้งใจเป็นอย่างมาก ขณะที่สัมภาษณ์นั้น เพื่อทำการเรียกร้องของแฟนๆโหย่วเผิงได้ร้องเพลงประกอบของเย้ออ้ายสดๆให้แฟนๆฟัง เสียงร้องของเขานั้นทำให้แฟนๆกรี๊ดกันสะนั่น

ทีวี .  ผู้ป่วยโรคจิต มันเปลี่ยนภาพลักษณ์จากฟ้าเป็นดินเลย

พูดถึง(เย้ออ้าย) โหย่วเผิงได้แนะนำว่า มันเป็นบทที่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาที่เป็นแต่ผู้ดีสว่าผ่าเผย ในเรื่องนั้นตัวเองก็รับบทเป็นหมิงเทาที่เป็นโรคจิตที่หลากหลายอารมณ์หน้าตา อารมณ์นั้นมันต่างกันเยอะมาก บางครั้งเขาได้เปลี่ยนเป็นฉิงหลันซึ่งเป็นนิยายในสมัยโบราณ อารมณ์ความรักที่ซึ้งใหญ่ดังทะเล  บางครั้งก็หน้าตาสกปกมอมแมม อาการแสดงออกที่น่ากลัว เป็นภาพคนโรคจิตกำเริบสุดๆอย่างนั้น เอ่ยถึงตัวละครต่างๆของเรื่อง โหย่วเผิงได้กล่าวว่า “ นี่เป็นผู้ป่วยทางจิตเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในร่างกายนั้นมีอาการทางจิตที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าเขาได้ซื่อสัตย์ต่อศาสนาและความรักอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้กำกับฝ่านเรียกเราว่า “ผู้ป่วยทางจิตที่สง่าผ่าเผยคนหนึ่ง” ถามว่าการรับบทครั้งนี้นั้นมันเป็นอะไรที่ต่างกันแบบฟ้ากับดินเลย ไม่กลัวที่จะกระทบต่อภาพลักษณ์ที่อยู่ในใจของแฟนๆหรือ? โหย่วเผิงส่ายหัวแล้วพูดอย่างยิ้มว่าไม่กลัว “คงจะมีแฟนๆบางคนไม่เคยชิน จะมีเสียงตอบกลับมาบ้าง แต่ก็จะมีบางคนที่เห็นถึงความพยายามของผม และจะให้กำลังใจผมต่อไป”

ที่ผ่านมาก็ไม่มีตัวละครอย่างหมิงเทาให้ดูหรือให้เป็นแบบอย่าง  ฉะนั้นโหย่วเผิงก็ได้แต่เพียงไปสอบถามหมอ เข้าอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลที่เกียวกับคนเป็นโรคจิต ไปสัมผัสและเข้าใจถึงคนที่ป่วยทางจิต ในเรื่อง ขณะที่เขาแสดงบทของหมิงเทาตอนที่เข้าร่วมทหารกับรัสเซียได้เจอการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ และทำให้บุคลิกของเขาหักแหไป จนทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพที่สามส่วนปกติเจ็ดส่วนบ้าหรือเจ็ดส่วนปกติสามส่วนบ้าอย่างนั้น และจากตรงนี้ก็ทำให้โหย่วเผิงนั้นต้องเจอกับความลำบากมากมาย “บางครั้งผมอิงกับการแสดงมากเกินไป จนทำให้ตัวเองนั้นสับสนไปหมด ทั้งตัวแสดงบุคลิกอาการของคนบ้าออกมา”

ภาพยนตร์ เฟิงเซิง ยังท้าทายกับการยอมรับของผู้ชมต่อไป

จากฐานะของนักร้องที่เข้าสู่วงการบันเทิงอย่างโหย่วเผิง ระยะนี้ได้เปลี่ยนทิศทางการงานเน้นไปทางการแสดงภาพยนตร์เป็นหลัก ช่วงก่อนมีข่าวว่าโหย่วเผิงได้เข้าไปที่ห้องบันทึกการขับร้องเพลงไปบันทึกเพลงอัลบั้มใหม่ ทำให้เป็นที่รอคอยของแฟนเพลงเป็นจำนวนมาก สำหรับเรื่องนี้ เมื่อวานโหย่วเผิงยืนยันว่า การที่ตัวเองได้เข้าไปอัดเสียงในห้องนั้นเป็นเพียงการร้องแค่เพลงเดียวเท่านั้น และเพลงเดียวนี้จะออกมาในเร็วๆนี้ด้วย

โหย่วเผิงบอกว่าตัวเองนั้นไม่ได้รับงานแสดงเกือบสองปีเต็มเลย เหตุผลก็คือเพราะตัวเองนั้นไม่ชอบกับบทที่ต้องแสดงแบบสไตล์จำเจมาตลอด บทที่จำเจนั้นไม่ได้นำสีสันมาสู่ตัวเองเลย  “ฉะนั้นผมเองก็ได้รอคอยมาตลอด จนได้มาเจอบทที่วิปลิตอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าโอกาสนั้นมาแล้ว สามารถที่จะสำแดงความสามารถที่ซ่อนอยู่แล้ว” บทของหมิงเทานั้นโหย่วเผิงเข้าใจว่าเป็นบทที่ “ตั้งแต่รับงานแสดงมานั้นบทนี้เป็นบทที่ความยากมากที่สุด” นอกจากนี้ เขาเองยังกล่าวว่าอนาคตนั้นยังจะท้าทายความรู้สึกในภาพลักษณ์ของเขากับผู้ชม เขายังยกตัวอย่างเฟิงเซิงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น “ในเรื่องนั้นผมก็ยังรับบทที่มันแปลกๆ พิเรนๆ พวกหัวแข็กเป็นต้น เมื่อผู้ชมได้เห็นถึงบทบาทแล้วคงตลึงไม่น้อยเลย”


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13280
    • ดูรายละเอียด

โหย่วเผิงและหันเสวียพูดขำๆว่าช่วงเวลาการถ่ายนั้นเหมือนกับการร้นหาที่ตาย

เป็นครั้งแรกที่โหย่วเผิงได้สลัดคราบพระเอกมาแสดงเป็นคนบ้า เป็นกุลสตรีที่ฝังอยู่ในจิตใจของคนมากมายอย่างหันเสวียนั้นยิ่งที่จะรับบทที่ท้าทาย และเรื่อง(ก่อปี้หมู่ชิน)ที่จ้างจินแสดงนั้นตอนนี้ได้เปลี่ยนไปรับบทงานเฉพาะกิจที่บ้าระห่ำ (เย้ออ้าย) ตัวละครหลักสามตัวนั้นล้วนมีการเปลี่ยนบทบาทที่เป็นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ และพวกเขา ได้อธิบายบทบาทที่ตัวเองแสดงนั้นอย่างไร


โหย่วเผิง :  พระเอกเสี่ยวเซิงได้เดินสู่เส้นทาง “คนบ้า”คนหนึ่ง

ในเรื่อง(เย้ออ้าย)โหย่วเผิงได้รับบทเป็นหมิงเทาที่ป่วยเป็นโรคจิต ในเรื่องนั้นโหย่วเผิงที่หล่อเหลานั้นได้แต่งตัวมอมแมม เชื่อว่าหลายคนดูแล้วก็จะตกใจ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนพูดว่า บทบาทนี้เป็นเส้นทางที่โหย่วเผิงเปลี่ยนจากภาพพระเอกมาสู่ภาพแห่งความเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าโหย่วเผิงก็มีมุมมองความเห็นที่แตกต่างออกไป เขาได้กล่าวว่าจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ที่ดีหรือไม่ดี “ผมเป็นคนหนึ่งที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง บทนี้นั้นสำหรับผมแล้วมันเป็นการท้าทาย แต่ว่าพูดว่าเป็นการทะลุทะลวงจากพระเอกเปลี่ยนเป็นบทร้ายอย่างนี้นั้นมันเป็นการพูดที่น่าขำและผิวเผินไปหน่อย” และสำหรับการแสดงออกถึงความท้าทายในครั้งนี้นั้น โหย่วเผิงกล่าวว่า สำหรับตัวเองแล้วยังถือว่าน่าพอใจมาก

“ไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาของการเปลี่ยนแปลง”

นักข่าว : มีคนบอกว่า (เย้ออ้าย)เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอาชีพการแสดงคุณ จากภาพลักษณ์พระเอกเปลี่ยนเป็นชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

โหย่วเผิง : ไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาของการเปลี่ยนแปลงมั้ง ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นศิลปินที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง บทของพระเอกนั้นได้แสดงจนถึงจุดสูงสุดไปแล้ว และอยากจะท้าทายบทบาทอื่นที่น่าสนใจ ไม่อยากจะซ้ำๆซากๆ


นักข่าว : ยังไงก็ยากที่จะคิดภาพของคุณในเรื่องที่เปลี่ยนไป ตลอดเวลาทีผ่านมานั้นคุณให้ภาพกับทุกคนคือชายผู้ไม่มีวันแก่


โหย่วเผิง :  (หัวเราะ) ตอนนี้จะมีการแตกต่าง ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองแก่แล้ว โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และอายุก็วางอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมยอมที่จะชราไปตามอายุ และผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองก็มีอายุประมาณนี้แล้ว

นักข่าว :  มีคนบอกว่า บทคนบ้าของคุณครั้งนี้นั้นแสดงจนตีบทแตกเลย ได้เปลี่ยนภาพอดีตที่คงอยู่ในดวงใจของทุกคนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลย

โหย่วเผิง :  จริงๆแล้วผมรู้สึกว่าการพูดอย่างนี้นั้นมันน่าขำและผิวเผินมาก การเป็นนักแสดงคนหนึ่งนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่เป็นเฉพาะพระเอกเท่านั้น หรือจะเป็นเพียงคนดีๆอะไรอย่างนั้น ผมคิดว่าการแสดงเป็นคนบ้านั้น จุดสำคัญไม่อยู่ที่การสร้างภาพแต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาทางสายตา

“บางครั้งผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้ว”


นักข่าว : เมื่อกี้คุณบอกว่าบทคนบ้านั้นมันท้าทายมาก ได้ข่าวว่าเพื่องานนี้แล้วคุณยังไปศึกษาที่โรงพยาบาลโรคจิตช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนหน้านี้คุณเคยรู้สึกกดดันกับการแสดงเป็นคนบ้าไหม?

โหย่วเผิง : ก่อนจะถ่ายนั้นได้ทำการบ้านมาบ้าง ความกดดันนั้นก็มีอยู่บ้าง ก็ตอนนั้นก็ได้คิดไว้ว่าจะพลิกแพลงวิธีไปตามเหตุการณ์ เมื่อถึงเวลาก็คลั่งบ้า จะกลัวอะไร?

นักข่าว  : ขอพูดบทของคุณให้ชัดเจนคร่าวๆได้ไหม


โหย่วเผิง :  นี่เป็นบทบาทหนึ่งที่มีความหมายมากๆ สังคมวัฒนธรรมยุคนั้นพิเศษมาก ตัวบทเองก็น่าสนใจน่าตื่นเต้น การบ้าคลั่งของมันก็มีหลายขั้นเหมือนกัน มันซับซ้อนไม่น้อยเลย จริงๆแล้วเขาเป็นวัยรุ่นที่ใจร้อน แต่เด็กก็มีอาการทางจิตแล้ว ได้กำเริบที่รัสเซียครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ได้เกิดเรื่องบางอย่างที่รัสเซีย หญิงสาวที่ตนรักนั้นถูกใส่ร้ายว่าเป็นฝ้ายตรงข้าม และนี่ก็ยิ่งทำให้โรคของเขานั้นหนักขึ้น เมื่อเขากลับมาในประเทศตัวเองใหม่ๆ ก็เป็นช่วงที่ได้เห็นที่ตี่ผิ่ง แม้ว่าเขามีโรคจิตในตัวเขาแล้ว แต่ดูผิวเผินแล้วเขาเป็นคนปกติทั่วไปที่มีความสง่า ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่นเลย จากนั้นถูกเรื่องบางอย่างกระทบจิตใจ ก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ตอนหลังก็ถูกแฟนทิ้งและถูกกดดันจากการเมือง ก็ได้บ้าคลั่งขึ้นมา ในโรงพยาบาลนั้นได้โรคได้กำเริบอย่างหนัก ตอนหลังก็ได้หลบออกมาจากโรงพยาบาล ได้เร่ร่อนพเนจรไปทั่วสารทิศ เป็นผู้ป่วยทางจิตที่มีสติคนหนึ่ง จนกระทั่งหันชิวเจอเขาได้ไปรักษาโรคที่บ้านแล้ว ลักษณะของเขานั้นเปลี่ยนไปจนหมด ตอนหลังเขาได้แต่งงานกับหญิงอื่นและเป็นพ่อคน และก็สงบลงไปเยอะมาก ไม่มีอะไรที่แบบอารมณ์ร้อน

นักข่าว : คุยเคยบอกว่าทั้งเรื่องนั้นคุณได้แสดงในอารมณ์ที่บ้าๆบอๆอยู่ตลอดเวลา?

โหย่วเผิง :  (ฮ่าๆๆ) ผมคิดว่าผมเข้าใจพวกเขา เวลาที่ใจลอยนั้นผมก็รู้สึกว่าผมนั้นบ้าไปแล้วจริงๆ ก็คงไม่ได้เป็นอย่างนี้จนหมดเรื่อง แต่ว่าในบางฉากนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนบ้าเลยแหล่ะ ตอนนี้ย้อนหลังมาดูฉากที่ตัวเองเล่นไปแล้วนั้น อารมณ์สายตาของคนบ้า แม้แต่ตัวเองก็ยังตกใจเลย ว่าตอนนั้นผมเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

นักข่าว :  ได้ข่าวว่าคุณอินกับมันมากจนนอนไม่หลับบ่อยๆ

โหย่วเผิง : ตอนนั้นทั้งคนได้กลายเป็นแบบประสาท ตอนที่ถ่ายเสร็จใหม่ๆนั้นก็ยังไม่ลืมมัน สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ตอนนั้นพอดีไปหาผู้กำกับเกาเฉียนซู เขาประหลาดใจผมมากๆว่าทำไมผมไม่เหมือนคนเก่า ก็เพราะโดยเหตุนี้เอง ตอนหลังเขาจะทำหนังเฟิงเซิง สิ่งแรกที่เขาคิดถึงก็คือโหย่วเผิงที่บ้าๆบอๆ (หัวเราะ)ผมเองก็ดีใจที่เขาเองได้มองเห็นจุดนี้ของผม