Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Magazine Interviews-China

2008 Rich Without Money

(1/2) > >>

Alec Love Me:

ซูโหย่วเผิงสัจธรรมกับการเล่นโยคะ

“ ฝึกฝนธรรมะ ถึงจะรู้สัจธรรมอะไรบางอย่าง ความเคลียดเกิดจากการไม่ปล่อยวาง ที่จริงแล้ว หลายอย่างเรื่องนั้น มันไม่ได้เป็นปัจจัยที่จำเป็น เป็นเพียงตัญหาความโลภที่ดื่ออยากได้นั่นเอง ฉะนั้น พระพุทธองค์ได้กล่าวถึงการให้ทาน ก็คือเรียนรู้ที่จะให้แจกจ่ายออกไป การให้คือการปล่อยวาง"

Alec Love Me:

ผู้รู้จักพอเป็นคนมั่งคั่ง "ซูโหย่วเผิง"

หากจะให้เอ่ยถึงวัยหนุ่มใต้ดวงอาทิตย์หรือวัยรุ่นไร้คู่ต่อสู้ "ซูโหย่วเผิง" น่าจะเป็นตัวแทนที่มีภาพพจน์ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ตัวเขาเองเป็นคนที่ขาวใสสะอาดดังชิ้นผลไม้ขนมแข็ง ไม่ต้องซักถามสงสัยเลยว่าความดังของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นมันขนาดไหน ก็เหมือนกับการที่ไม่ต้องสงสัยว่า "หนัง องค์หญิงกำมะลอ" นั้นดังขนาดไหน

ประวัติศาสตร์บันเทิงเรียบๆได้เปิดออกที่ละนิดที่ละนิดดังภาพหนึ่งภาพ

แน่นอนที่จะเห็นถึงภูเขาสูงสองลูก ไกวไกวหู่ อู่อาเกอ"พระเอก-องค์หญิงกำมะลอ" แต่ระหว่างยอดเขาลูกนี้กับยอดเขาลูกนั้น จะเดินข้ามอุปสรรค์ใต้เขาลูกแล้วลูกเล่าได้อย่างไร?

เมื่อเอ่ยถึงการติดตามของคนทั่วไป เป็นความโชคดีของซูโหย่วเผิงที่ได้รู้จักกับยี่เจีย เป้สะพายตัวหนึ่ง หนังสือเล่มหนึ่ง ปล่อยร่างกายให้สบายๆ จิตใจก็ค่อยๆเปิดออกมาที่ละนิดๆ

ในห้องแต่งตัวที่สว่างไปด้วยแสงไฟ ซูโหย่วเผิงสวมใส่ชุดโยคะที่หลวมๆ ผิวพรรณที่เคยสวยแม้แต่หญิงสาวเห็นก็ยังอายนั้นได้กลับถูกแดดจนเปลี่ยนเป็นสีคล่ำ วัยหนุ่มที่ใต้คางมีหนวดยาวๆ แต่ขณะที่เห็นฟันขาวๆที่ออกมาจากรอยยิ้มของเขานั้น ก็ยังเป็น ไกวไกวหู่ เหมือนเดิม

วัยหนุ่มที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

สำหรับซูโหย่าวเผิงแล้ว “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นความทรงจำที่ไม่เลือน เป็นช่วงที่รุ่งเรืองดังมากๆในชีวิตแห่งศิลปินของเขา “ ที่จริงแล้วการก่อตั้ง เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นเรื่องที่น่าบังเอิญ ผมได้อ่านในหนังสือพิมพ์ว่ามีการรับสมัครผู้ช่วยรายการ ก็เลยไปสมัคร ตอนนั้นก็จบมัธยมต้น กำลังรอเปิดเทอมอยู่ ก็เลยคิดว่าเป็นงานในช่วงปิดเทอมก็แล้วกัน คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายมันเป็นงานตลอดชีพของผม คุณดูพวกคุณซิ ถึงตอนนี้แล้วยังพูดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ย มันก่อตั้งไปแล้วยี่สิบแล้ว"

“เสี่ยวหู่ตุ้ย”กลายเป็นกระแสลมที่น่าภูมิใจในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงในตอนนั้น งดงาม น่าเอ็นดูได้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน เหมือนดังพ่อแม่ทุกคนล้วนอยากจะให้ลูกชายตัวเองเป็นคนที่รักของคนทุกคน

หากว่าผมจะบอกกับคุณว่า ผมไม่ใช่เป็นเด็กที่เชื่อฟังสักนิดเลย ยิ่งกว่านั้น แท้จริงผมไม่ชอบคำว่า ไกว(เชื่อฟัง) ภาพลักษณ์อย่างนี้เลย คุณจะคิดอย่างไร ? ตอนเด็กผมเป็นคนที่เชื่อฟัง แต่ว่าเมื่อมาถึงช่วงมัธยมต้น ในช่วงเวลาของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ผมเป็นคนที่ดื่อแล้ว ยิ่งกว่านั้นผมชอบท่าเต้นกวนๆอย่างทางตะวันตกมากๆ ชอบที่สุดคือ มาดอนน่า กับ ไมค์โคมี่ เจียโคซิ่ง และมีอยู่ปีหนึ่ง เขาได้ไปจะงานคอนเสิร์ตเต้นแร๊พที่นิวยอร์ค ไม้ตีกลองที่หลุดออกมาจากมือกลองมาถูกที่ตา ครู่เดียวก็มีทั้งเลือดและน้ำตาไหลออกมา เขาเจ็บจนต้องนั่งลงไป ในใจคิดว่าตาคงไม่บอดไปนะ

เขาคิดอยากทำตัวพิศดารๆ อยากใส่เสื้อผ้าขาดๆ อยากเดินสู่เส้นทางที่ห้าวหาญ อยากโกนผม ไว้ผม ย้อมผม ... “ที่จริงหลายอย่างที่ผมอยากจะลองทำ เพราะความเป็นวัยรุ่น แต่ว่าทางค่ายนั้นได้จัดให้เราเป็นอย่างที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว เสือน้อยสามตัว จะต้องมีตัวหนึ่งที่ออกแนวหล่อ ตัวหนึ่งออกแนวเด็กดี ตัวหนึ่งออกแนวโหดๆ "

เขาอาจไม่เคยได้ฟังสำนวนนี้ “ ฉันเป็นก้อนอิฐที่ปฏิวัติ ที่ไหนต้องการก็จะไปที่นั่น” แต่ความหมายของการจัดวางแนวนั้น มันต้องเป็นไปอย่างที่วางไว้ ดนตรีที่จริงเป็นดังสายน้ำ ศิลปินเป็นดังคนงานของสายน้ำ เขาถูกกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งของตัวเอง อีกด้านหนึ่ง ชื่อเสียงที่เริ่มดังของเขาทำให้เขาต้องยอมรับ อีกด้านหนึ่ง ความกดดันก็ค่อยๆผูกมัดตัวเขา


ปีที่อยู่ม.6 การเรียนนั้นหนักมาก การแสดงก็ไม่สามารถจะหยุดได้ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนลูกข่าง กำลังหมุดไปมาทั้งสองด้าน เขาจำต้องขยันในการเรียน ผลสอบเก็บคะแนนของทุกครั้ง ก็จะเป็นที่จับจ้องของแฟนๆ เขาก็ยังจำต้องออกไปแสดง ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆในเวที ก็จะเป็นที่ประจักษืไม่อาจปกปิดได้ เวลากับความว่าง มันกลับแน่นไปหมด ดั่งซูโหย่วเผิงที่พูดไว้ “ เพราะว่าภาพพจน์ของไกวไกวหู่คือทั้งเล่นทั้งการแสดงเก่งและเรียนเก่ง ผมกลัวมากกับการที่จะทำให้ทุกคนผิดหวัง ตอนนี้มาคิดถึงตอนนั้น มันไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง ลืมตัวเอง แต่กลับถูกชะตาชีวิตจูงไปอย่างไม่มีทางเลือก"

Alec Love Me:

บุคคล

ขณะที่จุดศูนย์กลางของไฟไม่ได้ส่องมาที่ตัวของคุณ

คำว่า พบกันใหม่จะให้พูดออกจากปากได้อย่างไร ? เฉินจื้อเผิงไปเกณฑ์ทหาร เสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกย้ายกันชั่วคราว อัลบั้มชุดที่หกของพวกเขาคือ (พบกันใหม่) “เชื่อเถิดว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องพบกันอีกแน่นอน ดังเมฆขาวที่ยากจะจากท้องฟ้าสีคราม” เมฆขาวยากจะจากท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าชั่งลืมเมฆขาวได้ง่ายจัง พวกเขาต่างคนก็ต่างมีความโดดเด่นของตัวเอง

“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ดุจรถไฟขบวนหนึ่ง เมื่อถึงจุดหมาย ผู้โดยสารที่ลงจากขบวน ได้ยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่ชานชลา จำต้องถามตัวเองว่า คุณมาจากไหน? คุณจะไปทางใด ? ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ก่อนนี้ยุ่งวุ่นกันตลอด ที่ค่ายเพลง งานโฆษณา โรงเรียน สอบ ... ยุ่งๆกันแทบทุกวัน แต่ว่า เมื่อได้พักหยุดแล้ว ปัญหาเรื่องราวหลายอย่างก็ยากจะหลีกเลี่ยง

ใต้หวันในตอนนั้นกับประเทศจีนก็เหมือนกัน ล้วนคิดว่าวิชาช่างนั้นเป็นวิชาที่ดี เพราะเขาเป็นคนที่เชื่อฟัง ฉะนั้นก็เลยเชื่อฟังความเห็นของทุกคน มหาลัยที่เรียนนั้นเป็นมหาลัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หวัน ทั้งยังเป็นคณะที่ดีที่สุดในมหาลัยนั้น แต่ว่า ไม่เคยมีใครเคยถามเขาเลยว่า จริงๆแล้วเขาชอบและสนใจในสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า กระดาษวาดรูป ตลับลูกปืนเพลา (เครื่องยนต์) อะไหล่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นมือไม่คุ้นตาเลย เขาได้ใช้ความพยายามมากๆในการเรียนรู้ แต่ก็ไม่เข้าใจ หรือว่ายังหนุ่มอยู่ ทันทีทันใดสิ่งเหล่านี้ก็พังทลายลง

“ในตอนนั้นผมเองไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าไรนัก ทุกวันก็จะออกไปกับเพื่อนพาลไปกินเหล้า แข่งรถบ้าง จะว่าในช่วงทันใดนั้นมีเรื่องหลายเรื่องที่คิดไม่ตก ทำไมแฟนๆที่เคยชอบเราถึงได้น้อยลง ทำไมการบ้านถึงยากเย็นขนาดนี้ เหมือนดังคนที่อยู่จุดสุดยอดแล้วตกลงไปในก้นเหว เริ่มรู้สึกว่า ชีวิตคนเราไม่ได้เป็นอย่างภาษิตที่ว่า ทำนาไปด้วยเก็บเกี่ยวไปด้วย” (ความหมายคือ ลงแรงไปเท่าไรก็จะได้รับสิ่งตอบแทนเท่านั้น) ความรู้สึกในเวลานั้น ซูโหย่วเผิงได้ใช้สองคำมาเปรียบเทียบตัวเอง “กลัดกลุ้ม”

ปีที่อยู่มหาลัยปีสี่ กิจการของพ่อได้ล้มละลาย ไม่เพียงแต่เอาเงินที่ซูโหย่วเผิงเก็บหอมรอมริบมาที่ละน้อยมากหลายปีนั้นถูกใช้ไปหมด และยังมีหนี้สินอีกมากมาย เหตุเพราะเรื่องนี้ทำให้พ่อแม่เขาทะเลาะกันแทบทุกวัน และบ้านหลังนี้ที่ยิ่งอยู่ยิ่งเย็นชาลงไปนั้น ซูโหย่วเผิงอยู่เฉยๆไม่ได้อีกต่อไป

Alec Love Me:

ปี 1995 ข่าวที่น่าสะเทือนใจได้ตามมา ซูโหย่วเผิงได้ลาออกจากมหาลัย ข่าวที่ได้ถูกตีแพร่ออกไปที่สาธารณะคือเขาได้ไปเรียนที่อังกฤษ แต่ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ที่บอกว่าไปเรียนต่อ สู้บอกว่าไปเสเพต่อไม่ดีหรือ (เล่นคำ ไปเรียนต่อ ไปเสเพล) หรืออาจเป็นเพราะว่าผมดังเร็วเกินไป ชีวิตของความเป็นเด็กวัยรุ่นที่วัยรุ่นมีนั้นผมกลับไม่มีเลย ฉะนั้นก็เลยอยากจะไปในที่ๆไม่มีใครรู้จักไปใช้ชีวิตใหม่ที่นั่น”

“ การมองของคนนั้นเป็นดังหัวลูกศร เสี่ยวหู่ตุ้ย ในอดีต เมื่อผมเดินออกไป เป็นเป้าสายตานับพันหมื่น ลำตัวผมนั้นเต็มไปด้วยศรธนู ตอนหลังเมื่อไปที่อังกฤษ ไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผม เริ่มแรกยังมีความรู้สึกว่าอาจต้องโดนศรอีก แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีเลย ระยะเวลาค่อยๆผ่านไป ก็เริ่มคลายความเคลียดลง บางเวลา อยากจะตามใจตัวเอง ไปทำเรื่องบางเรื่อง แต่คงเป็นเพราะมีนิสัยที่ไม่ดื่อ ก็เลยไม่ได้ไปทำ และได้ประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยศรธนูกับไม่มีศรธนูสักดอกเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองก็คงได้รู้ถึงการอยู่กับศรนั้นได้ดีแล้ว"

แน่นอนจุดโฟกัสแสงไฟนั้นย่อมไม่มีวันดับ แต่มันคงไม่ได้ส่องอยู่ที่ตัวคุณตลอดเวลา ขณะที่แสงไฟโฟกัสไปที่ตัวคุณนั้น ต้องทำตัวดีๆ และเมื่อแสงไฟได้จากไป ก็ยังต้องทำตัวดีๆเหมือนเดิม เพราะว่าคุณจะไม่รู้ว่า แสงไฟนั้นจะส่องมาที่คุณเมื่อไร

ศูนย์กลางของตาชั่งจาน

ในเวลาที่ไม่สั้นไม่ยาวนี้ หลายคนคิดว่าเขาจะไม่กลับมาอีก ที่จริง เขาแค่เพียงเก็บตัวเงียบๆเอง ไม่ได้หยุดไปเลย อ่านหนังสือ ไตร่ตรอง เดินทาง ได้สะพายเป้ ร้องท้าธรรมดาๆคู่หนึ่ง IPOD หนึ่งตัว หนังสือออสเตเรียหนึ่งเล่ม นั่นคือวันเวลาที่เขาได้เข้าสู่หลักธรรมพระพุธท และในช่วงนั้น เขาได้รู้จักกับโยคะ

“เหมือนกับคนทั่วไป ผมเริ่มต้นด้วยการฝึกโยคะ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพ เพราะว่าในตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายเราเป็นเหมือนท่อที่อุดตัน จำต้องให้มันไหลได้ดี เมื่อระยะเวลาค่อยๆผ่านไป ผมรู้สึกว่าโยคะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คลายกล้ามเนื้อเส้นเอ็นเท่านั้น มันยังให้คุณฝึกสมาธิ ทั้งสมาธิทั้งการคลายกล้ามเนื้อในเวลาเดียวกัน มันพูดยาก การเล่นโยคะจากในสู่นอกหรือจากนอกสู่ใน ร่างกายค่อยๆผ่อนคลาย จิตใจก็ค่อยๆปล่อยวาง

ผมชอบท่าจบที่ ตัวตรง (ไม่แน่ใจนะ) บางครั้ง ตัวคนเดียวอยู่อย่างเงียบๆ พักสายตา เพียงแค่หายใจเท่านั้น มันสามารถสะท้อนให้เราคิดถึงดังที่พระธรรมได้กล่าวไว้ “จิตใจว่างเปล่า” ความรู้สึกอย่างนั้น ใต้ฟ้าไม่มีอะไรที่อบอุ่นกว่าพลังแห่งการให้อภัยแล้ว ผมชอบคำเปรียบเทียบของเพื่อนคนหนึ่งมาก เธอพูดว่า ขณะที่ใจคนคนหนึ่งสามารถที่จะพักสงบอยู่ในร่างกาย ก็เหมือนดังถั่วลิสงที่นอนอยู่ในเปลือกของมัน หรือว่า จื่อ 子 นอนอยู่ใน โขว 口 囝 (เป็นคำภาษาจีน)"

เป็นดังนี้แหล่ะ เขาได้รอคอยอยู่อย่างสงบตลอดเวลา

ปี 1997 ชื่อเสียงที่โด่งดังจากหนัง(องค์หญิงกำมะลอ)ทำให้แสงฟ้าได้โฟกัสไปที่ตัวเขาอีกครั้ง จากนักร้องวัยรุ่นกลายเป็นนักแสดงที่เป็นขวัญใจของปวงชน เสมือนดังวงการบันเทิง “ต้าเซียน” หวงอัน ได้กล่าวไว้ โดยเหตุที่มีหนังเรื่องนี้ ซูโหย่วเผิงในภาพลักษณ์ก็ได้หลุดพ้นจากหลุมดำของ เสี่ยวหู่ตุ้ย สามารถลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง ในด้านการแสดงภาพยนต์ ละคร เพลงทั้งสามอย่างนี้ไปด้วยกัน

จากหนังเรื่อง (องค์หญิงกำมาลอ) (ฉิงเซินๆหยี่หมงๆ) จนถึง(เจ๋ใต้ซวงเฉียว)เส้นทางการแสดงยิ่งเดินยิ่งกว้างไกล ระดับวัยวุฒิยิ่งอยู่ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ บุคลิกภาพก็ยิ่งนานวันยิ่งสับสน ในเรื่อง(อีเทียนสู่หลงจี้) เขาได้แสดงอย่างจิตใจที่ลังเลไม่มีความเด็ดขาด อยู่ในความสับสนไม่รู้จักเลือกข้างไหนดีตลอดเวลาอย่าง จางอู่จี้ แต่ว่า สิ่งที่ทุกคนจำเขาได้ก็ล้วนเป็นเรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ” ที่แสดงในบท องค์ชายห้า

แม้ว่าซูโหย่วเผิงสามารถที่จะทำให้ผิวพรรณของเขานั้นเป็นอย่างชายชาตรีที่สีคล้ำๆ มีหนวดมีคราว ในนิตยาสารได้สื่อออกมาเป็นชายที่ห้าวๆ แต่ว่า เขาก็ไม่สามารถที่จะให้คนอื่นลืมความเป็น ไกวๆหู่ของเขา ไม่สามารถจะลืม องค์ชายห้า ในองค์หญิงกำมะลอ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้มันอาจเป็นจุดสุดยอดของเขาก็ได้
ฟ้าสีครามทุกๆวัน

Alec Love Me:

ใต้ฟ้าไม่มีพลังอันใดที่อบอุ่นกว่าการให้อภัย   
ผมชอบคำเปรียบเทียบของเพื่อนคนหนึ่งมากๆ เธอกล่าวว่า
ขณะที่คนคนหนึ่งสามารถให้จิตใจของเขานอนอย่างสบายในตัวเขา 
ก็เหมือนดังถั่วลิสงที่นอนอยู่ในเปลือกของมัน   
หรือว่า จื่อ นอนอยู่ใน โข่วกลายเป็นเจี้ยน

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version