ผู้เขียน หัวข้อ: 2003 ศิลปินฮ่องกงไต้หวันผมจะอยู่เพื่อตัวเอง  (อ่าน 4282 ครั้ง)

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fa78a3bba.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fa78a3bba.pbw</a>


ศิลปินฮ่องกงไต้หวันผมจะอยู่เพื่อตัวเอง

ต่อไปนี้เป็นสามปีแห่งการตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ในช่วงเวลานั้นโหย่วเผิงลังเลตลอดเวลา มีสองเสียงสะท้อนอยู่ข้างหูเขา มีคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา คิดว่าเขาควรจะอยู่เพื่อตัวเอง แต่ก็มีคนอีกมากมายพูดว่าเรียนหนังสืออยู่ดีๆไม่เอา บ้าไปแล้วหรือเปล่า โหย่วเผิงเคยได้ยินคนอื่นพูดกับหูตัวเองว่า ตายแล้ว ภาพพจน์ที่ดีๆของเธอที่อยู่ในใจของฉันนั้นแตกสลายไปแล้ว ลักษณะคุณไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้เลย ทำไมคุณไม่สมบูรณ์แบบแล้ว(เพร์อเฟรก) ตัวโหย่วเผิงเองก็กลัวมาก เขาไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้นำมาซึ่งอะไรบ้าง

วันเวลาในสามปีนี้ โหย่วเผิงรู้สึกเหมือนกับเป็นสามสิบปี คนอยู่ในเวลาตกต่ำนั้น วันเวลาก็ยิ่งผ่านไปช้า “ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเดินออกจากก้นเหวเมื่อไร ผมรู้สึกว่าเริ่มแรกถ้าผมไม่ดังอย่างนี้มันจะดีขนาดไหน อาจเป็นเพราะผมดังเร็วเกินไป ฉะนั้นถึงล้มได้เจ็บขนาดนี้”

ช่วงเวลานี้ ผู้ที่ได้มีส่วนช่วยเขามากที่สุดคืออาจารย์ที่ปรึกษาตอนมัธยมปลายของเขา “ท่านได้แนะนำผมให้คิดไปทางไหนจะได้ ชี้ทิศทางให้กับผม ท่านยังเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยม" งานคอร์นเสริทครั้งนี้ โหย่วเผิงได้เชิญอาจารย์มาในงานโดยเฉพาะ

และในช่วงนี้ โหย่วเผิงรู้สึกได้ว่าการดังในช่วงวัยเด็ก(ยุวชน)นั้นนำมาซึ่งความรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้มีเวลาที่เป็นของตัวเองเลยสักนิด เด็กที่อยู่ในวัยอย่างเขานั้นได้เล่นอย่างสนุกสุดแต่ใจจะเล่น งอนงอแงโดยไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง แต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความเสียใจที่สุดของโหย่วเผิง “สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดคือครั้งหนึ่งผมเดินผ่านประตูโรงเรียนหนึ่ง เห็นนักเรียนมากมายเดินออกมา สามห้าคนจับกลุ่มคุยกัน ทันใดนั้นในใจผมมีหลุมแห่งการทุกข์เจ็บที่ลึก ผมเกิดอารมณ์ฮึกเหิมขึ้น อยากจะไปตั้งวางขายริมถนน ไปเสริฟอาหารในร้าน ผมจะไปใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นคนหนึ่ง"


ในเวลานี้ โหย่วเผิงไปที่อังกฤษมาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ที่อังกฤษเขาเห็นนักเรียนที่มาท่องเที่ยวที่นี่มากมาย ในท่ามกลางพวกเขาบางคนเรียนจบแค่ ม.4 แล้วก็พักการเรียน ออกมาทัศนาจรโลก หลังจากกลับไปแล้วค่อยไปเรียนต่อ ม.5 ในตอนนั้นโหย่วเผิงสำนึกได้ว่าที่จริงชีวิตคนมีหนทางในการเติบโตหลายทาง ไม่ใช่มีเพียงแค่นักเรียนดีๆทางเดียวที่เดินได้ เขาได้มองเห็นแสงอรุณแห่งอนาคตของตน และมันมีส่วนในการให้อนาคตของเขามีความมั่นคง

“อย่างเรียนฉันว่าเสี่ยวไกว” (เด็กดี)

“องค์หญิงกำมะลอ” ท้ายสุดได้ให้โอกาสใหม่แก่โหย่วเผิง เวลาเปลี่ยนสลับของการถ่ายอย่างนี้ เขาคิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในไต้หวันแล้ว ประเดี๋ยวเดียวก็ดังแล้ว และไฟดังอันนี้ยังรุกไปถึงจีน ฮ่องกงและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ซูโหย่วเผิงกลับกลายเป็นจุดโฟกัสที่สนใจ

บินขึ้นมาสองด้านพร้อมกัน โหย่วเผิงกลายเป็นฮีโร่ที่วัยรุ่นไล่ตาม ที่ที่มีเขาปรากฏจะมีเสียงกรี๊ดที่นั่น


<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3f1c2c7f.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3f1c2c7f.pbw</a>


ครั้งนี้เขายิ่งให้ผู้คนสัมผัสถึงเสน่ห์ของศิลปินดารา อายุก็ไม่นับว่าน้อยอย่างโหย่วงเผิงมีช่วงหนึ่งเคยกลัดกลุ้มใจที่ได้ฉายา “ขวัญใจ” (ดาราโปรด) “ตอนหลังผมสังเกตได้ว่าสมมุติว่ามีวันหนึ่งทุกคนได้รักคุณแล้ว คุณจะรู้สึกได้ว่าการเป็นขวัญใจนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน” โหย่วเผิงพูดประโยคนี้แล้ว จิตสำนึกนั้นคัมภีร์มากๆ อดไม่ได้ที่จะมีความภูมิใจขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าเจิดจ้ามาก ที่จริงใบหน้าของขวัญใจนั้นก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ

โหย่วเผิงไม่กลัวที่คนอื่นจะเรืยกเขาว่าเป็นขวัญใจอีกต่อไป ยังเพราะว่าเขาเชื่อมั่นตัวเองว่าไม่ใช่ “แจกัน” “ธรรมดาแล้วบทบาทของผมก็ยังมีให้เล่น ไม่ใช่ว่าเพียงแต่อ่านเชื่อซูโหย่วเผิง หนังจากนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลย” เขาไม่หลบเลี่ยงใน (หนังเรื่อง ชิงเซินเซิน) ที่ตู้เฟยมีความคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบ “ที่จริงผมสามารถที่จะแสดงต่อจากหวูอาเกอที่มีคุณสมบัติพออย่างเสี่ยวเซิง มีอะไรไม่ดีหรือ แต่เพราะเล่นต่อจากตู้เฟย ไม่ใช่ซูโหย่วเผิงบ้าไป แต่เป็นเพราะอยากให้การแสดงของตนมีการเปลี่ยนแปลงไป ผมเป็นคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง ปฎิรูป ไม่ชอบในการตายตัว เปลี่ยนไม่ได้

ฉันเคยเห็นภาพที่โหย่วเผิงถูกรอบล้อมด้วยช่อดอกไม้ เสียงกรี๊ด เสียงปรบมือ ฉันได้สามารถจะจิตนาการณ์ได้ว่าเขาในท่ามกลางอย่างนั้นสามารถเงียบนิ่งได้ดีมาก ฉันขอให้เขามีอะไรให้พูดตตรงๆ โหย่วเผิงเขาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาไม่มีอะไรอวดได้ ไม่ใช่ว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่ เคยดัง ก็ไม่เคยดัง เขาชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้มันล้วนอานิจจัง วันนี้อาจดัง พรุ่งนี้อาจไม่มีใครรักชอบ เขากล่าวว่าเพียงแต่ตอนอยู่บนเวทีเขาก็สำนึกได้ว่าเขาเป็นศิลปินดารา ชีวิตประจำวันเขาก็เป็นคนสามัญชนคนหนึ่ง ผมก็มีป่วย ผมมีเจ็บ ยังมีความกลุ้มใจ” ดูท่าทางที่มีความสงสัยอย่างผม โหย่วเผิงกล่าวว่าเขามีความกลุ้มใจมากมายจริงๆ กลุ้มกับเรื่องในครอบครัว เพราะเขาต้องเป็นผู้เลี้ยงดูครอบครัว กลุ้มเรื่องทำไมน้อยชายไม่โตเป็นผู้ใหญ่สักที ทำไมไม่รู้ถูกผิดเลย ฉันยื่นยั่นมาตลอดว่าโหย่วเผิงไม่สามารถเป็นพี่ได้ ในตอนนี้ ฉันรู้ชัดเห็นจริงถึงใบหน้าที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่



โหย่วเผิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าท่าทีความรู้สึกที่มีชื่อเสียงในตอนนี้กับตอนอายุสิบห้านั้นมันต่างกันมาก “อดีตไม่ได้เจออุปสรรค์อะไรก็ดังแล้ว ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่สมควรแล้ว ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเชื่อเสียงที่ดัง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าที่สำคัญที่สุดของชีวิตคืออย่าปล่อยให้ทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตนั้นผ่านไป จะต้องขยันพยายาม ทำอย่างขยันขันแข็ง อย่าสูญมันเปล่าๆ ถ้าหากทำไม่ถึงสิ่งที่เราตั้งหวังไว้ ก็จะไม่โทษตัวเอง นั้นก็คือพรหมลิขิต"