ผู้เขียน หัวข้อ: 2007 เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ  (อ่าน 4317 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13280
    • ดูรายละเอียด
ในช่วงบ่ายของวันนี้ (20 พฤษาคม 2550) Ruby Lin (blog) และ Alec Su (blog) ได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ พวกเขาปรากฎตัวออกมาในรูปลักษณ์ใหม่ที่เน้นเรื่องของสุขภาพ นิตรสารฉบับหนึ่งเขียนไว้ว่า ทั้งคู่เป็นความหวังที่จะทำให้งานนี้ผ่านไปด้วยดีและทำให้ผู้คนที่เป็นโรคหงอยเหงาเศร้าซึม สภาวะจิตใจย่ำแย่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้นโดยผ่านบทเพลงของพวกเขา โดยทางผู้จัดงานและบริษัทต้นสังกัดได้จัดทำโปรการ์ดและสื่อสิ่งพิมพ์โปรโมทอย่างยิ่งใหญ่ ในงานวันนี้...แฟนคลับของพวกเขากว่า 1000 คนได้มีโอกาสมาร่วมงานได้ชื่นชมในความคิดที่ยอดเยี่ยมของขวัญใจพวกเขา หลังจากที่ได้มีความสุข ได้ปลอดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกรวมทั้งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มกันมาแล้ว....แฟนเพลงส่วนมากเป็นแฟนเพลงที่มาจากต่างประเทศที่พร้อมใจกันมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และชื่นชมยินดีรวมถึงโห่ร้องเป็นกำลังใจเป็นแรงผลักดันให้กับขวัญใจของพวกเขาเป็นเสมือนเสียงสะท้อนของหัวใจที่แสนห่วงใยอย่างที่สุด พวกเขาร่วมกันร้องเพลงอย่างพร้อมเพียงด้วยใจสะท้อนความสำเร็จให้กับงานในวันนี้อย่างดีที่สุด

ส่วนความเคลื่อนไหวของค่ายเพลงต้นสังกัด Alec Su ซึ่งช่ำชองในการทำงานมาถึง 3 ปี เพลงใหม่ของเธอ "Big deal" จะถูกปล่อยออกมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ เพลงนี้ Alec Su เป็นคนแต่งเอง ซึ่งเนื้อหาของเพลงจะกล่าวถึง การต่อสู้ไม่ให้ชีวิตต้องตกต่ำลง พยายามใช้เจตคติและทัศนคติที่ดีเปลี่ยนตัวเองกลับมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเพื่อนำพาไปสู่ความสุข เพลงนี้ถูกเผยแพร่ไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนทางคลื่นวิทยุ และเป็นที่โดนใจของผู้คนจำนวนมาก พวกเขาได้ออกมาเรียกร้องแสดงความต้องการให้มีการจัดจำหน่ายและเปิดมันอีกครั้ง จนต้นสังกัดของ Alec Su ยินยอมและสัญญาว่าจะให้มีอัลบั้มเต็มออกมาให้ชื่นชมกันในเร็วๆ นี้

และเมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศอินเดียก็เต็มไปด้วยโปสเตอร์ของ Ruby Lin และ Alec Su อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งมากกว่า 500 ร้านชำ ร้านอาหาร และสถานที่ต่างๆ แฟนคลับของพวกเขาเพิ่มขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และน่าชื่นชมยินดียิ่งนัก...


บทสัมภาษณ์ Alec Su


ไม่บ่อยนักที่จะมีโอกาสได้มาสัมภาษณ์ Alec Su และ Ruby Lin อย่างเป็นพิเศษเช่นนี้ เป็นที่น่าแปลก...ที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันโดยไม่มีอาการเงอะงะเคอะเขินเลย แต่กลับเป็นธรรมชาติมากๆ หญิงสาววางตัวอย่างเหมาะสม แต่ทุกเสียงและลมหายใจที่เปล่งออกมายามพูดนั้นช่างน่าประทับใจ พวกเขามองดูแล้วดูราวกับผลสัมสองผลที่ดูบริสุทธิ์สะอาดและสุขภาพดีและยังมีสีสันมีความสามารถทนทานกับสิ่งที่ผ่านเข้ามา แล้วทำไมทั้งคู่ในเวลานี้จึงให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกัน เป็นเพราะในเวลาพวกเขากำลังโด่งดังมากรึเปล่า? หรือเพราะเขาเป็นคนไต้หวันเหมือนกัน? หรือเพราะพวกเขาเล่นดนตรีคลาสสิคด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด พวกเขาก็ยังเป็นที่รักของบุคคลทั่วไป....นั่นคือเรื่องจริง

ฉันคิดว่า....พวกเขาทั้งสองคนดูราวกับราชาและราชินีที่เป็นบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมาก่อน ในช่วงกึ่งกลางของอายุก็จะยังคงรักษาความบริสุทธิ์สะอาดอย่างที่เป็นอยู่ให้เปล่งประกายราวแสงอาทิตย์ และพวกเขาไม่ทำเรื่องอื้อฉาวให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนวุ่นวาย แต่พวกเขายังคงหวาน มองโลกในแง่ดีมากๆ พวกเขาไม่หยิ่งยะโส ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ใฝ่สูงเกินตัว พวกเขาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ไม่มีอาณาจักรหรือเมืองใหญ่ แต่รื่นรมณ์สบายใจอยู่ท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาเป็นขวัญใจ เป็นดาว และเป็นนักร้อง เป็นเฟอร์เฟ็คมาก



อันที่จริง...ในห้องภาพที่อยู่ห่างไกลที่ฉันไปเสมอนั้นดูกว้างใหญ่น่ากลัวเกินความจริง ฉันเห็นทั้งคู่ที่นั่น ทั้งคู่ที่ปราศจากการเสแสร้งโอ้อวด...น่าประหลาดใจนัก Lin ดูราวกับหีบที่เก็บเรื่องราวความเป็นมาอันยาวนานของคำกล่าวที่ว่า "Coming-pink" เธอสวมเสื้อตัวในและมีผ้าคลุมไหล่ใส่กางเกงยีนส์สีฟ้า ปล่อยผมยาวสยายไว้ข้างหลัง และเผยรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนหวาน ภาพลักษณ์ใน TV. ของเธอจะเป็นคนอ่อนไหวอยู่เสมอ ซึ่งทำให้เธอประสบความสำเร็จ แต่อันที่จริงแล้วชีวิตจริงของเธอเป็นคนที่ขี้เล่น สนุกสนานซะมากกว่า Alec Su นั้นประสบความสำเร็จสูงสุดทางด้านศิลปะ เขาเก็บรักษาความจริงบางส่วนไว้ และแสดงออกในสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งนี้ และสิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียหายแต่กลับได้ประโยชน์จากการนำความรู้มาประยุกต์ให้เข้ากับงาน และผันเปลี่ยนตัวเองเป็นเขาในวันนี้ เขาเป็นผู้ชายที่หุ่นมาตรฐานกับเครื่องกายมาก ผู้เขียนบทภาพยนตร์ของเขาจะคอยบอกอยู่เสมออย่าง "สีเทาดำสามารถใส่กับรองเท้าสีเงินได้" หรือ "เสื้อเชิ้ตสีเข้มจะเข้ากับเนคไทผ้าไหมมากกว่านะ"  ซึ่งมันก็ได้ผลที่น่าพอใจทีเดียว

ในการถ่ายรูปครั้งนี้ ฉันก็คอยเฝ้ามองพวกเขา ช่างภาพมืออาชีพต้องการรูปที่ดูตื่นเต้นและสุขภาพดี เท่านั้นแหล่ะ...พวกเขาก็จะคอยมาอยู่หน้ากล้องเสมอ ทั้งวิ่ง กระโดด ยืดเส้นยืดสายร่างกาย และเผยรอยยิ้มให้เห็นอยู่เสมอ ซินหยู ทำให้สิ่งที่น่าเบื่อที่ต้องเล่นเกมส์กับร่างกายของเด็กผู้หญิงอย่างนี้ กลายเป็นสิ่งที่เรียกรอยยิ้มได้ โหย่วเผิง แสดงถึงร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเขาในทุกท่วงท่าของการเต้นอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ในเวลานั้นรูปร่างที่ดีก็เป็นสิ่งที่ดีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้การก้าวต่อไปเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ และก็คงจะเป็นอย่างนี้ไปเสมอๆ แต่เหตุการณ์นอกจากนี้ทำให้ฉันรู้

ฉันเฝ้าสังเกตดูพวกเขาทั้งคู่ ในสตูดิโอใหญ่โตที่มีเสียงดังกึกก้องและแสนจะทันสมัย เครื่องแต่งกายราคาแพงมีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด รองเท้าสุดหรูวางอยู่บนพื้น เครื่องประดับราคาแพงบนโต๊ะดินเนอร์ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ใช้ในภาพยนตร์ และพวกเขากำลังดำเนินเรื่องไปตามบท ฉันคิดว่า หลินซินหยู่ และซูโหย่วเผิง แสดงตัวตนและชีวิตของพวกเขาอย่างภาพยนตร์ และเป็นจุดเริ่มของสิ่งอื่นๆที่ตามมา แล้วพวกเขาต้องแสดงไปเกินกว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ พวกเขาไม่เหนื่อยบ้างเหรอกับหน้าที่ที่ต้องทำนี้?  แล้วถ้าชีวิตเป็นเหมือนบทภาพยนตร์ล่ะ???... พวกเขาจะเลือกเขียนบทใหม่ที่ทำให้ตื่นเต้นกว่านี้รึเปล่า? จะทำให้ผลส้มมีรสชาติอร่อยมากขึ้น เปล่งความสดชื่นทันทีที่จับต้องหรือเป็นน้ำผลไม้ที่ซู่ซ่าหรือเปล่า? ด้วยคำถามที่ฉันเริ่มต้นถามเมื่อไปพบ...