ALL About Alec SU YOU PENG | รวบรวมผลงานของ ซูโหย่วเผิง > How Well do You Know Alec Su?
ความเป็นมาของ [ซูโหย่วเผิง]
(1/1)
Chomnath:
ความเป็นมาของโหย่วเผิง
จะพูดเรื่องราวโหย่วเผิงของผม แน่นอนต้องเริ่มจากวันที่ 11 ก.ย. ปี 1973 วันนั้นซึ่งเป็นวันไหว้พระจันทร์ของพวกเราพอดีเลย ผมเกิดที่โรงบาลแห่งหนึ่งของไทเป การคลอดทุกอย่างราบรื่น ผมไม่แน่ใจว่าเกิดมาหนักกี่บอนด์ แต่ได้ฟังจากคุณแม่พูดว่าผมไม่ได้เป็นเด็กอ้วน แต่ก็นับว่าแข็งแรงเป็นอย่างมาก ตอนนั้นผมเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว ฉะนั้นได้รับความรักจากพ่อแม่อย่างมากมาย
ทำไมผมถึงได้ชื่อว่าโหย่วเผิงสองคำนี้ เพราะว่าผมเกิดในเทศกาลไหว้พระจันทร์ บังเอิญคุณแม่ก็เกิดในวันนี้เหมือนกัน 月แย่วสองตัวมารวมกันก็ได้กลายเป็น 朋 เผิง ฉะนั้นผมจึงชื่อว่าโหย่วเผิง-有朋
น้องชายผมอายุห่างจากผมหกปี ตอนเด็กนั้นก็เหมือนกับพ่อแม่มีลูกคนเดียว ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ล้วนอยู่ที่ผม พวกท่านได้ให้ผมเรียนอะไรมากมาย พูดง่ายๆคือเรียนทั้งหมดที่มีให้เรียนเลย จากจุดนี้สามารถมองเห็นความรักที่พวกท่านมีต่อผม ความคาดหวังต่อผมนั้นสูงมาก นอกจากนี้ พ่อแม่ก็ให้ความสำคัญกับการเรียนของผมเป็นอย่างมากด้วย แท้จริงแล้วคุณพ่อนั้นเคร่งกับการเรียนของผมเป็นพิเศษ เพราะท่านเข้าใจว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะผู้ชายนั้นจำต้องเรียนหนังสือให้จบ ถึงจะมีอนาคตที่ดีได้
จากตรงจุดนี้ทุกคนก็สามารถรู้ได้ว่าพ่อแม่ของผมนั้นล้วนเป็นคุณพ่อที่เคร่งกับคุณแม่ที่ใจดี ฉะนั้นคุณแม่จะสนิทกับพวกเรามากกว่า จนบัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเรานั้นดีมากๆ มีเรื่องอะไรผมก็จะบอกกับคุณแม่ สำหรับคุณพ่อนั้นค่อนข้างห่างเหิน อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของพ่อนั้นเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ผมกับท่านนั้นก็จะไม่เหมือนกับแม่ที่อะไรก็พูดได้ หรือว่าอายุผมมากหน่อย หรือว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหน่อย ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อก็คงจะดีขึ้น พูดถึงความสัมพันธ์ของน้องกับผม
ก่อนอื่นอยากขอบพระคุณพ่อแม่ที่ให้เขาเกิดมาในโลกนี้ นอกจากที่เขาจะเป็นน้องชายของผมแล้ว ทั้งยังเป็นเพื่อนที่รู้ใจที่สุดของผมด้วย หากผมมีเรื่องในใจอะไรก็มักจะระบายให้กับเขา เขาเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยมมาก ทั้งยังให้ข้อแนะนำที่ดีกับผมมากมาย แม้อายุของพวกเราจะต่างกันหกปี และตอนนี้เขาเองก็กำลังเรียนอยู่ แต่พวกเราไม่มีช่องว่างระหว่างวัย ความสัมพันธ์ตอนเด็กกลับไม่ดีเหมือนตอนนี้ เพราะว่าตอนที่เขายังเด็กๆนั้น ผมก็เริ่มทำงานแล้ว เวลาที่ได้เจอกันหรืออยู่ด้วยกันนั้นน้อยมาก
Chomnath:
วัยเด็กของโหย่วเผิง
ถามว่ามีเรื่องอะไรที่ลืมยากในสมัยเด็ก จริงๆแล้วผมก็ไม่มีอะไรที่จะจำมันได้แล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงที่อยู่อนุบาล นึกภาพไม่ออกจริงๆ แต่ว่าคุณแม่เคยเล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง ผมคิดว่าน่าสนใจมาก สามารถเล่าให้พวกเราฟังกัน ขณะที่ผมอายุห้าหกขวบนั้น ครั้งหนึ่งได้หลงทาง แน่นอนคุณพ่อคุณแม่นั้นกังวนใจแทบแย่ หาผมทุกจุดทุกมุม ตอนหลังตำรวจบอกกับพวกท่านว่าเจอผมแล้ว และตำรวจได้นำตัวผมไปที่สถานีตำรวจ แล้วให้คุณพ่อคุณแม่มารับ อาจเป็นเพราะอายุผมนั้นน้อยมาก จนไม่รู้จักกลัว ฉะนั้นยังไปขออาหารกับทางคุณน้าตำรวจกินเลย จนเป็นที่หัวเราะของพ่อแม่ไปด้วย
ตอนเด็กแม้ว่าพ่อแม่จะปกครองดูแลผมอย่างเคร่งครัด แต่จริงๆแล้วพวกท่านรักผมมาก ผมขออะไร พวกท่านจะยอมให้ทุกครั้ง เช่นการเรียนเปียโน แม้ว่าเศษฐกิจทางบ้านจะไม่ใช่ผู้ร่ำรวย พวกท่านก็จะสนับสนุนผม แต่ว่าพูดถึงเรื่องเล่น พวกท่านก็คงไม่อนุญาตทุกอย่าง โดยเฉพาะเป็นที่นิยมในช่วงวัยเด็ก ชอบเครื่องเล่นเกมส์มาก เหตุเพราะเครื่องเล่นเกมส์เหล่านี้ทำให้ผม ซื่งคุณพ่อไม่ค่อยตีนั้นกลับถูกตีอยู่เสมอ
ตอนนั้นมีร้านเกมส์เปิดและนิยมเล่นกันมาก ผมชอบไปที่นั่น แต่ว่าผมนั้นไม่ได้ไปเล่น เพียงแค่ได้ดูคนอื่นเล่นก็รู้สึกมันแล้ว ครั้งหนึ่งผมดูมันจริงๆ จนลืมกลับบ้าน ปกติแล้วผมจะกลับบ้านตรงเวลา ตามการปกครองที่เคร่งครัดของคุณพ่อ ครั้งนี้เป็นการแหกกฏที่รุนแรงมาก แน่นอนยากจะหลีกเลี่ยงการถูกตี ตอนหลังพ่อแม่ยอมซื้อเครื่องเล่นเกมส์ให้ผมเล่น แต่ด้วยสาเหตุอะไรนั้นผมจำไม่ค่อยได้แล้ว จำได้ว่าเป็นเพราะเครื่องเล่นอันนี้ ปกติแล้วผมเป็นคนที่ชกต่อยไม่เป็น แต่ไปชกต่อยกับคนอื่นจนได้
ครั้งหนึ่งมีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งได้ยืมเครืองเล่นเกมส์ที่ผมรักมากไปเล่น วันแล้ววันเล่าที่ไม่ยอมคืนให้ผม ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ยอมเอามาคืน วันหนึ่งจนผมทนไม่ได้แล้ว จนตัดสินใจเลียบแบบหนัง เขียนจดหมายท้าประลองกับเขา นัดเขาหลังเลิกเรียนไปเจอกันที่สนามข้างโรงเรียน ตอนนี้เมื่อคิดแล้ว มันรู้สึกน่าขำมาก และเรื่องที่น่าขำที่สุดก็คือเขานั้นได้มาตามนัดด้วย และที่น่าขำที่สุดก็คือพวกเราสองคนล้วนไม่เคยชกต่อยมาก่อนเลย การชกต่อยครั้งนั้นไม่เพียงไม่มีเลือด แต่กลับเป็นเรื่องตลกน่าขำ แขนเขาลัดคอผมไว้ ผมก็กอดหัวเขาไว้ สุดท้ายการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ ก็แค่อย่างนั้นเอง ผมจำไม่ได้แล้วว่าสุดท้ายได้ของคืนหรือเปล่า ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าทำเหมือนเด็กๆจริงๆ
Chomnath:
โหย่วเผิงในเจี้ยนจง
เหตุที่ได้รับอิทธิพลจากครอบครัว แต่ไหนแต่ไรผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับผลการเรียนเป็นอย่างมาก บวกกับการที่ผมชอบแสดงด้วย ความรู้สึกที่อยากเป็นที่หนึ่ง ฉะนั้นผมจะตั้งใจเรียนตลอดเวลา หากว่าผมเห็นว่าใครโกงข้อสอบ ผมก็จะฟ้องครูแน่นอน เหตุนี้ทำให้เด็กเรียนหลายคนไม่ชอบขี้หน้าผม ส่วนพวกเด็กไม่รักเรียนก็ยิ่งเกลียดผม ตอนเรียนหนังสือ เพื่อนของผมนั้นจะไม่เยอะ แม้ว่าผลการเรียนผมจะดี แต่ก็ไม่เห็นว่าคุณครูจะรักผมเลย เพราะผมเป็นคนที่พูดมาก แต่ก็ผลการเรียนดี จนทำให้ครูไม่รู้จะว่าผมอย่างไร แม้การเรียนผมจะดี ผมก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆ ผมก็มีวิชาที่ผมไม่ชอบเรียนเหมือนกัน ผมชอบภาษาอังกฤษกับคณิตมากๆ ผมเกลียดวิชาประวัติศาสตร์มากๆเพราะผมก็เหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่ชอบท่องจำ
แม้เพื่อนในโรงเรียนผมจะไม่เยอะ แม้จะมีสองสามคนแต่มาถึงวันนี้พวกเราก็ยังติดต่อกันอยู่ หวังเหวินเหลียงก็เป็นหนึ่งในนั้น ในช่วงประถมศึกษานั้น เขาเป็นคนที่แย่งชิงที่หนึ่งกับผม พวกเราสองคนแทบจะไม่เป็นเพื่อนกันเลย บางครั้งก็ยังรู้สึกว่าเป็นศัตรูกัน แต่ว่าตอนหลังเขาย้ายบ้านย้ายโรงเรียน มาถึงช่วงมัธยมเราสองคนถึงได้ร่วมชั้นเดียวกันอีก ตอนที่ผมได้ไปทำงานในรายการ “ชิงชุนเจินป้าจ้าง”นั้น เขากลายไปเป็นเพื่อนผม มาจนถึงทุกวันนี้พวกเราก็ยังติดต่อกันอยู่ พูดได้ว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากในสมัยเรียนของผมเลย
ตอนขึ้นมัธยมนั้น ผมก็เหมือนกับทุกคนได้ย่างเข้าสู่วัยรุ่น ตอนนั้นผมใส่ใจในเรื่องหน้าตารูปลักษณ์มาก มักจะส่องกระจกบ่อยๆ จะใส่ใจในทรงผมตลอด ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไปที่ใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปินดารา มีดาราขวัญใจของตัวเอง ดาราที่ผมชื่นชอบที่สุดในตอนนั้นคือ มาดอนนากับจงเซินสือ ใช่ โดยเฉพาะมาดอนนา ความคลั่งของผมในตอนนั้นไม่น้อยกว่าตอนนี้ที่ทุกคนคลั่งบ้าดารา แน่นอนผมไม่มีปัญญาที่จะบินไปติดตามเธอที่อเมริกา แต่ว่าทั้งอัลบั้มเพลงและกระทั่งโปสเตอร์ของเธอนั้นผมก็ซื้อทั้งหมด แต่หากผมจะพูดให้คนอื่นฟัง พวกเขาคงไม่เชื่อว่าผมคลั่งเธอ น่าจะเป็นเพราะว่าภาพลักษณ์เสี่ยวไกวของผมนั้นมันฝังอยู่ในใจของทุกคนลึกเกินไป แท้จริงผมเองก็ไม่ได้เป็นคนดีพร้อมอย่างที่ทุกคนคิดไว้อย่างนั้น
Chomnath:
เรื่องราวช่วงวัยรุ่นแรก
การที่ผมเข้าไปร่วมประกวดเพื่อเข้าสู่วงการบังเทิงซึ่งก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ก็คือลองเข้าไปร่วมแข่งขัน จากการที่สถานี “ชิงชุนเจินป้าจ้าง”ได้จัดการคัดเลือกเพื่อจะสรรหา “เสี่ยวหู่ตุ้ย”มาคู่กับ “เสี่ยวเมาตุ้ย” ผมยังจำได้ว่าหลังจากที่ได้ส่งจดหมายไปที่สถานีได้ไม่นาน ทางโน้นได้ตอบรับเรียกผมไปสัมภาษณ์ ผมรู้สึกดีใจมากๆ ตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้น ตอนนั้นอายุเพียง 15 สามารถบอกได้ว่าเป็นช่วงที่ไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร ทั้งยังไม่กลัวความกลัวด้วย ทางสถานีขอให้เราเตรียมการแสดงการเต้นมาหนึ่งรายการ คือให้แสดงช่วงสัมภาษณ์ ผมก็ได้ซ้อมเต้นกับเพื่อนๆที่บ้าน ถึงวันที่จะไปสัมภาษณ์ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้คะแนนอะไร ก็คือผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วคือผมได้ไปกับเพื่อนคนนั้นที่ชื่อหวังเหวินเหลียง
เมื่อไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ ก็รู้บรรดาผู้มาสอบสัมภาษณ์นั้นตัวเองเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด เชื่อว่าตอนนั้นก็ยังเป็นคนที่ไม่โดดเด่นอะไรเลย เห็น “ฉีหลง”รู้ว่าเขาเต้นและสามารถตีลังกาได้ก็รู้สึกว่าเขาเก่งมาก เห็น “จื้อเผิง”ก็เต้นบัลเล่ต์ได้ด้วย มันเยี่ยมจริงๆ แถมยังแอบปรบมือให้กับพวกเขาในขณะที่สอบสัมภาษณ์ แต่สำหรับผมนั้นเต้นได้ธรรมดามากๆ ทั้งยังเต้นไม่เข้าจังหวะด้วย สรุปคือไม่รู้จะบรรยายยังไง ฉะนั้นในตอนนั้นตัวผมก็คิดว่าคงไม่มีความหวังอะไรเลย อาจเพราะผมมาก็เพื่ออยากจะเล่นๆดู ก็เลยทำให้ดูการเต้นของคนอื่นนั้นสนุกมากๆ ฉะนั้นก็เลยไม่รู้สึกเสียใจอะไรหากไม่ได้ และแล้ว ผมก็ได้เข้ารอบหกคนสุดท้าย ตัวเองยังตกใจคิดไม่ถึงเลย
การสอบสัมภาษณ์รอบนี้นั้นเป็นการสอบสัมภาษณ์ต่อหน้ากล้อง ผมก็ยังพูดติดๆขัดๆเหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็สามารถทำได้สำเร็จ ได้เป็นหนึ่งในสามของเสี่ยวหู่ตุ้ย ตอนหลังพึ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วจางเสี่ยวเยี่ยนผู้จักรายการได้เห็นบางอย่างของผม อยากให้ผมลองดู หากว่าไม่ใช่ท่านแล้ว วันนี้พวกเราคงไม่เห็นผมหรอก
นอกจากนี้ ยังมีผู้จัดรายการอีกท่านหนึ่งคือแม่วซิ่วลี่ ยังแนะนำตัวผมเป็นพิเศษ ฉะนั้นหากว่าวันนั้นไม่มีพวกเขาเหล่านั้นที่ค่อยแนะนำ ก็คงไม่มีโหย่วเผิงในวันนี้เหมือนกัน
ก่อนนี้เคยเอ่ยถึงคุณพ่อที่เคร่งขรึมกับคุณแม่ผู้ใจดี การที่ผมได้เข้าร่วมแข่งขันซึ่งเป็นเรื่องใหญ่อย่างนี้ ทุกคนก็จะคิดว่าคุณพ่อผมนั้นต้องคัดค้านอย่างแน่นอน แต่นั้นผมเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ฉะนั้นก็ได้ร่วมมือกับคุณแม่แต่เนิ่นๆ เริ่มแรกที่เข้าแข่งขันนั้นจะปิดบังไม่ให้คุณพ่อรู้ แต่ไหนแต่ไรผมเองก็คิดว่าคงไม่ชนะ แต่ตอนหลังกลับชนะได้เข้ารอบ
ตอนแรกๆพวกเราก็ยังปิดบังท่านอยู่ ให้คุณแม่ไปช่วยพูดกล่อมท่านก่อน แล้วค่อยๆให้ท่านดูรายการที่ผมเป็นพิธีกร เพื่อให้ท่านได้เข้าใจถึงการงานของผม ให้รู้ว่าเป็นรายการที่ปกติทั่วไปของเยาวชน เมื่อท่านดูไปนานๆแล้ว แล้วครั้งหนึ่งแม่บอกกับท่านว่า “รายการนี้สนุกไหม?ดูซิลูกชายเราก็อยู่ในรายการด้วย” ถึงตอนนั้นท่านก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว ก็คือข้าวสารนั้นหุงสุกแล้ว จะกลับไปเป็นข้าวสารเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ตอนนั้นคุณพ่อจะคัดค้านก็รู้ว่าไม่ทันเสียแล้ว
แต่ทัศนะของท่านนั้นผู้ชายจะพึ่งหน้าตาหากินนั้นมันเป็นสิ่งที่น่าอาย หน้าตาคุณพ่อนั้นดีมาก สามารถพูดได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นดารา ช่วงวัยหนุ่มของท่านนั้น มีคนมาทาบทามท่านให้เป็นดาราด้วย แต่ท่านก็ปฏิเสธเสียงแข็ง อย่างไรก็ตามท่านก็ให้ผมสัญญาว่าจะไม่กระทบต่อการเรียน จะไม่ทำให้เสียคน จึงยอมให้ผมทำงานที่สถานีต่อ แน่นอนผมก็ตอบตกลงกับท่านทุกข้อ จนทำให้ผมต้องลางานเกือบปีเพื่อจะมาเตรียมการเรียนของผมให้ดีขึ้น
หลายคนได้บอกว่างานหลักของผมนั้นจะเน้นในด้านภาพยนตร์และละครทีวี จนทำให้ละเลยในการที่จะร้องเพลง และบางคนก็ยังสงสัยว่าผมจะลาจากวงการเวทีเพลงเลยหรือเปล่า จริงๆแล้วผมจะไม่ลาจากอาชีพการร้องเพลงเป็นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไกว และโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้ยเคยกันดีนั้นล้วนเริ่มต้นไต่เต้ามาจากการร้องเพลง เพียงแต่ความสนใจในตอนนี้นั้นมันอยู่ที่หนัง บวกกับหาเวลาว่างในการไปวางแผนออกอัลบั้มนั้นไม่ค่อยมี
ดูภายนอกเหมือนกับว่าทิ้งมันไปแล้ว แต่ข้างในจิตใจนั้นยังรักมันอยู่ ผมไม่อยากจะออกอัลบั้มที่แค่ตอบสนองแฟนเพลงโดยที่ไม่ได้ทุ่มเทกับมัน การออกอัลบั้มอย่างนั้นมันอาจจะสนองความต้องการของแฟนๆได้ชั่วคราว แต่ว่าทำอย่างนี้นั้นมันทำให้จิตใจเราไม่สบายเลย หากว่าทุกคนล้วนยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่ตนเองรักชอบ ชีวิตอย่างนี้ก็คงจะมีความสุขไม่น้อยเลย
ปัจจุบันเหมือนกับว่าผมจะเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากทางหนังละคร เช่น เทคนิกการแสดง อย่าเข้าใจผิดว่าผมอยากจะคว้ารางวัล แม้ว่าเรื่องที่ผมเล่นไปนั้นจะไม่ได้รับรางวัลก็ไม่เป็นไร เพียงแค่มีโอกาสในการพัฒนาตัวเอง นี่ก็เป็นสิ่งที่อิ่มใจแล้ว ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่ปฏิเสธที่จะรับแสดงทุกบทบาท แม้ว่าจะเป็นบทที่ทำลายภาพลักษณ์ที่สะสมมานานของผม ผมก็ยินดีลองดู เช่น นักเปาหนิวในเรื่อง “เปาหนิวจวงเจีย” กับบทที่รับแสดงใน “ฉิงเซ่อ” ยังมี “หงเหนี่ยง” “จิงต้าปันเตอจุ้ยโห่วอี้แย่” “เปียนหยินชิงเหนียน” เป็นต้น ผมล้วนตั้งใจในการไปไต่ตรองบทเหล่านี้ พูดตามตรงว่า ในด้านการแสดงนั้นผมยังเป็นน้องใหม่คนหนึ่งอยู่ ควรจะรับการท้าทาย
สำหรับฝีมือในการแสดงของตัวเองนั้น ผมสามารถจะพูดได้ว่าผมนั้นมีการพัฒนาขึ้นเยอะมาก แน่นอน หากว่าจะให้มาตรฐานในการยอมรับนั้นจำต้องให้ผู้ชมมาประเมินเอง เช่นนี้จะถือได้ว่าไม่เข้าข้างตัวเอง แท้จริงผมเป็นคนที่คิดอะไรง่ายๆ จะไม่ใช่เป็นคนที่ไม่ดีไม่ยอมอย่างงั้น ก็เหมือนชื่อเสียงกับเงินทอง ถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ดี หากไม่มีก็จะไม่ดิ้นรนหา ทุกอย่างขอให้ทำให้ดีที่สุด ทำอย่างสุดกำลัง ผมก็สุขสบายใจแล้ว
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
Go to full version