ผู้เขียน หัวข้อ: [ซูโหย่วเผิง] กับชื่อเล่น "ไกวไกวหู่" เด็กดีในสายตาคนอื่น  (อ่าน 7440 ครั้ง)

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
ซูโหย่วเผิง กับชื่อเล่น "ไกวไกวหู่" เด็กดีในสายตาคนอื่น



prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
ซูโหย่วเผิง กับ ชื่อเล่น "ไกวไกวหู่" เด็กดีในสายตาคนอื่น

>> เข้าวงการแบบฟลุ๊คๆ

>>รู้สึกดีใจที่มีการบอกกล่าวกันเข้ามาว่าชอบคอลัมภ์ลักษณะแบบนี้ซึ่งถ้าชอบ ก็ต้องติดตามกันไปเรื่อยๆ นะเพราะมีบทเขียวคนดังมาฝากกันยาวเลย แต่ฉบับนี้เป็นบทเขียนต่อของพระเอก"ซูโหย่วเผิง" ซึ่งเขาเล่าอะไรให้ฟังต่อก็ไปติดตามกันได้เลย

>>"ผมก็เหมือนกับดาราที่เข้าวงการโดยอาศัยเวทีประกวดคอนเทสต์ ตอนนั้นผมเข้าร่วมการประกวด"สุดยอดวัยรุ่น"ของสถานีโทรทัศน์ไต้หวันแบบไปลองดู เป็นการเฟ้นหาสมาชิกวง เสี่ยวเมาตุ้ย(แมวน้อย) เพื่อผสมเป็นวง เสี่ยวหู่ตุ้ย(พยัคฆ์น้อย) ผมยังจำความรู้สึกตอนที่ส่งจดหมายไปสถานีโทรทัศน์ได้ แล้วอีกฝ่ายแจ้งให้ผมไปสัมภาษณ์ผมดีใจมาก ดีใจจนกระโดดตัวลอย ตอนนั้นผมอายุแค่ 15 ปี เรียกว่าเป็นวัยที่ไม่มีความทุกข์ร้อนและไม่รู้จักคำว่ากลัว สถานีให้ผมเตรียมการแสดงเต้นรำ 1 ชุด เพื่อไว้แสดงในการสัมภาษณ์ ผมก็ซ้อมเต้นรำพื้นเมืองกับเพื่อนที่บ้านอย่างไร้เดียงสาพอถึงวันสัมภาษณ์ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องแต่งตัวหรอก แต่ก็ไปที่สถานีพร้อมกับหวังเหวินเหลียง เพื่อนที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าเปลี่ยนจากศัตรูเป็นเพื่อนคนนั้นแหละ"

>>พอไปถึงสถานที่สอบสัมภาษณ์ ผมพบว่าที่นั่นผมน่าจะอายุน้อยที่สุดและเป็นคนที่มีความสามารถน้อยที่สุดก็ว่าได้เห็นฉีหลงเล่นยิมนาสติกตีลังกาไปมา รู้สึกว่าเขาร้ายกาจมาก เห็นจื้อเผิงเต้นบัลเล่ต์ได้ท่าทางเก่งจัง ลึกๆ ในใจอยากจะปรบมือให้กับการแสดงของพวกเขา เมื่อเทียบกับระบำพื้นเมืองของผม อีกทั้งยังเต้นได้ไม่เข้าจังหวะเอาเป็นว่าเป็นการแสดงที่แย่มาก ดังนั้นตอนนั้นผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสชนะทว่าตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะผมมาแข่งแบบเล่นๆ การได้เห็นอะไรมากมายก็รู้สึกพอใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกผิดหวังแม้แต่น้อย สุดท้ายผมกลับสามารถเข้ารอบ 6 คนสุดท้ายตัวผมเองก็รู้สึกประหลาดใจ

>>การสอบครั้งต่อไปเป็นการเทสต์หน้ากล้อง ผมก็มาสอบด้วยท่าทีเดิมๆ แต่กลับประสบความสำเร็จเข้ารอบสุดท้าย กลายเป็นหนึ่งในสมาชิก"เสี่ยวหูตุ้ย"ตอนหลังถึงรู้ว่าที่แท้ จางเสี่ยวเอี้ยน โปรดิวเซอร์รายการในตอนนั้นเกิดสะดุดตาในตัวผม พี่เสี่ยวเอี้ยนยืนกรานว่าจะต้องให้ผมลองทดสอบ ถ้าไม่ใช่เขาป่านนี้แฟนๆ คงไม่เห็นผมแล้วนอกจากนี้ตอนนั้นยังมีโปรดิวเซอร์อีกคน เหมียวซิ่วลี่ซึ่งตอนนี้ก็คือผู้จัดการของผม ถ้าหากวันนั้นไม่มีพวกเขาสองคนคอยช่วยเหลือเชื่อว่าคงไม่มี ซูโหย่วเผิง ในวันนี้แน่นอนผมจึงขอถือโอกาสกล่าวคำขอบคุณต่อบุคคลทั้งสอง

>>ก่อนหน้านี้เคยพูดแล้วว่าครอบครัวผมเป็นการผสมผสานระหว่างคุณพ่อเข้มงวดกับคุณแม่ใจดี ผมเข้าแข่งขันในสถานีโทรทัศน์เรื่องใหญ่อย่างนี้ทุกคนจะคิดว่าคุณพ่อของผมต้องคัดค้านแน่นอน ตอนนั้นผมเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกันดังนั้นผมมีเตี้ยมกับคุณแม่แต่เนิ่นๆ ว่าการแข่งขันรอบแรกๆ อย่าให้ท่านรู้ อีกอย่างตอนนั้นผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะชนะแต่ตอนหลังก็ชนะขึ้นมาจริงๆ ช่วงแรกพวกเรายังคงปิดบังท่าน โดยมีคุณแม่ค่อยๆ ล้างสมองท่านด้วยการนั่งดูรายการทีวีที่ผมจะไปเป็นพิธีกรกับท่านบ่อยๆ เพื่อให้ท่านเข้าใจรายการนี้มากขึ้นและให้รู้ว่านี่เป็นรายการเยาวชนที่สร้างสรรค์ ตอนหลังดูมากๆ เข้ามีอยู่ครั้งหนึ่งคุณแม่พูดกับคุณพ่อว่า"รายการดีไหม? ดูให้ดีลูกชายยืนอยู่ตรงนั้น" ปรากฎว่าตอนนั้นคุณพ่อจะคัดค้านก็ไม่ทันการแล้ว

>>อย่างที่บอกไม้กลายเป็นฟืนตอนนั้นคุณพ่อแม้ว่าจะคัดค้านไม่ทัน ความคิดของท่านเห็นว่า ลูกผู้ชายอาศัยหน้าตาหากินเป็นเรื่องที่น่าอาย ตัวท่านเองสมัยเป็นวัยรุ่น หน้าตาก็ดีมาก เคยมีคนมาชวนคุณพ่อไปเป็นดาราแต่ท่านปฏิเสธทันที ดังนั้นท่านจึงให้ผมรับปากว่าจะไม่เสียการเรียนและไม่มีผลกระทบต่อการเรียนเด็ดขาดจึงจะยอมให้ผมไปทำงานที่สถานีโทรทัศน์ต่อ ซึ่งผมเองก็รับปากทุกอย่างและนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมต้องออกจากวงการ 1 ปีเพื่อไปเรียนหนังสือให้จบ

>>พักงานเพราะการเรียน

>>จำได้ว่าครั้งแรกที่เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และหลังจากภาพของตัวเองลงในหนังสือพิมพ์ครั้งแรก ผมคิดว่าตัวเองกลายเป็นดาราใหญ่แล้วจริงๆ นึกว่าคนทั่วบ้านทั่วเมืองต้องรู้จักผมหมด เพราะตอนนั้นผมอายุยังน้อยย่อมมีใจเห่อเหิมเป็นธรรมดาประกอบแต่ไหนแต่ไรผมมีนิสัยคิดว่าตัวเองเก่ง ทว่าความเป็นจริงแล้วในโรงเรียนผมไม่ใช่บุคคลที่ได้รับความนิยมอะไร อีกทั้งในรายการพวกเราเสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ ต่อให้ตอนนั้นรายการได้รับความนิยมพวกเราก็ไม่ถือว่าเป็นดาราใหญ่เลย

>>พูดตามตรงสมัยนั้นผมอายุน้อยที่สุด ทั้งยังต้องเอาใจใส่การเรียนฝีไม้ลายมือไม่เก่งเท่า ฉีหลงและจื้อเผิง ย่อมเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา หลายครั้งที่รู้สึกว่าตามพวกเขาไม่ทัน อีกอย่างพวกเขาเรียนสายอาชีวะเวลาเรียนยืดหยุ่นได้

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
ส่วนผมเนื่องจากรับปากคุณพ่อไว้แล้วว่าจะไม่ให้กระทบผลการเรียน แต่งานทีวีเป็นงานที่แบ่งกันทำจะมาปรับเปลี่ยนเพราะผมคนเดียวเสมอๆ ได้อย่างไร ดังนั้นทางสถานีเริ่มมองว่าเด็กใหม่อย่างผมค่อนข้างเรื่องมากยังเคยคิดจะทิ้งผม พวกเขาบอกผมว่าเรียนหนักอย่างนี้ เกรงว่างานที่สถานีจะส่งผลกระทบต่อการเรียนของผม ถามผมว่าอยากจะทิ้งงานทีวีเพื่อตั้งใจเรียนหนังสือหรือเปล่า ตอนนั้นผมยืนกรานว่าไม่ทิ้งเด็ดขาดพวกเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้อย่างเดียวก็คือจัดตารางงานให้ผมเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์และเป็นเพราะทีมงานต้องปรับเข้าหาผมมาแล้วจึงทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีหลังจากนั้นผมจึงยอมเหนื่อยหน่อยแต่ไม่กล้าเรียกร้องอะไรกับพวกเขาอีกและด้วยสภาพที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสอบเข้า"เจี้ยนจง"เพื่อเรียนชั้นมัธยมปลาย

>>ช่วงแรกที่เสี่ยวหู่ตุ้ยเข้าวงการเป็นแค่ผู้ช่วยพิธีกรรายการโทรทัศน์แต่ตอนหลังบริษัทวางโปรแกรมให้พวกเราเรียนร้องเพลงและเต้นรำ กระทั่งหลังจากที่พวกเราออกอัลบั้มชุดแรก"ซิงผิงกั่วเล่อเหวียน"(สวนสนุกแอ็ปเปิ้ลสีเขียว) พวกเราจึงเริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนและเริ่มได้รับความนิยมจากวัยรุ่น จากตรงนั้นจึงทำให้พวกเราแต่ละคนก็มีชื่อเล่นเป็นของตัวเอง ผมมีชื่อเล่นว่า"ไกวไกวหู่"(เสือเชื่อง) หมายความว่าผมเรียนหนังสือดี นิสัยดี เป็นเด็กดีเด็กตัวอย่างในสายตาผู้คน

>>เนื่องจากต้องทำงานด้วย ประกอบกับ เจี้ยนจงเป็นโรงเรียนมัธยมระดับหัวกะทิของเมืองเดิมที่ผมเรียนม.ต้น ผลการเรียนอยู่ชั้นแนวหน้าแต่พอมาเรียนที่นี่ผลการเรียนกลับกลายเป็นธรรมดาเพื่อนในโรงเรียนก็ไม่ค่อยยอมรับผม บางคนมักจะใช้คำพูดที่เสียดสีและประชดประชันผม เช่น เป็นดารามันเก่งนักหรือ, ไปเป็นดาราก็ไม่ต้องมาเรียนหนังสือแล้ว อีกพวกหนึ่งก็เอาแต่แข่งขันทำคะแนนให้ได้เกรดดีๆ ซึ่งพวกนี้จะดูถูกนักเรียนอย่างพวกผมที่ได้คะแนนไม่ดีและในตอนนั้นผมเกลียดคนทุจริตที่สุดซึ่งพอไม่เข้าใจในเวลาเรียนผมก็จะตากหน้าไปถามเพื่อนคนอื่น สิ่งที่ได้รับกลับเป็นสายตาเย็นชาที่น่าเศร้าใจที่สุดก็คือคนภายนอกคิดว่าผมเรียนหนังสือเก่งจึงคาดหวังกับผมไว้สูงมาก ทางบ้านก็ตั้งความหวังกับผลการเรียนของผมไว้สูง ด้วยแรงกดดันรอบด้านทำให้ผมต้องติดสินใจครั้งใหญ่ต่อหน้าที่การงานของตัวเอง ตอนสอบเอ็นทรานซ์ชั้น ม.6 นั่นคือหยุดทำงาน 1 ปี เพื่อตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวนั่นเอง

>> ได้จีบดาวโรงเรียน

>>ตอนนั้นถึงแม้ผมจะต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน แต่การตัดสินใจอำลาวงการชั่วคราว 1 ปีเป็นเรื่องที่ลำบากใจมากเนื่องจากหากตอนนั้นผมต้องหยุดทำงานชั่วคราว เท่ากับว่าวง "เสี่ยวหู่ตุ้ย"ที่กำลังเริ่มต้นไปได้สวยก็ต้องหยุดพักไปด้วย ทำให้ ฉีหลงและจื้อเผิงก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ผมเองก็รู้สึกละอายใจ โชคดีที่พวกเขาเข้าใจผม บริษัทฯเองก็สนับสนุนการตัดสินใจของผมและช่วงนั้นทางบริษัทยังจัดงานให้พวกเราแยกย้ายกันไปทำแบบเอกเทศ เช่น เล่นละครทีวี จะได้ไม่เสียเวลา ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยสามารถตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นกับการเรียนเพียงอย่างเดียว

>>ทว่าการตั้งใจเรียนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะระดับชื่อเสียงและความนิยมของ เสี่ยวหู่ตุ้ยในสมัยนั้นทำให้การตัดสินใจของผมกลายเป็นเป้าหมายการวิจารณ์ของผู้คน ต่อให้ผมพักงานชั่้วคราวแต่แรงกดดันก็ไม่ได้น้อยลงไปเลย ดังนั้นตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับจดหมายจากแฟนเพลง นับตั้งแต่เข้าวงการมาผมรู้สึกไม่สบายใจพวกเขาให้กำลังใจผมมาตลอด ทางด้านการเรียนวินาทีนั้นเป็นบ่อเกิดแรงกดดันมหาศาลเพราะคนเราเมื่อไม่คาดหวังย่อมไม่ผิดหวังในสภาพที่ไม่อยากให้พวกเขาผิดหวัง แรงกดดันของผมยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศอย่างนี้ในใจผมจึงมีความคิดเพียงอย่างเดียวนั่นคือ มีแต่ชนะ แพ้ไม่ได้ ผมจึงคิดว่าถ้าสอบเข้ามหาลัยไม่ได้ไม่ขอเป็นคน

>>ช่วงที่เรียนชั้น ม.6 นอกจากจะเป็นจุดหักเหที่สำคัญของการงานและการเรียนของผม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตนั่นคือ "รักครั้งแรก" การได้รู้จักกับเธอความจริงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบเข้ามหาลัยเช่นกัน ถ้าไม่เป็นเพราะต้องไปเรียนติวที่สถาบันกวดวิชาผมคงไม่รู้จักกับเธอ เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ใสซื่อเรียบร้อย เธอนั่งตรงข้ามผมทุกวัน ถึงแม้พวกเราจะเรียนคนละโรงเรียนแต่ผมกับเพื่อนก็รู้ว่าเธอเป็นดาวโรงเรียนมีคนมาจีบตลอดเวลา แต่ไม่รู้เป็นไงเธอกลับมาชอบผม ตอนแรกพอเรียนกวดวิชากับเพื่อนเสร็จผมจะชวนเธอทานขนมหรือไม่ก็เดินเล่น แล้วพวกเราก็เริ่มคบหากันถึงแม้พวกเราจะเป็นแฟนกันแต่ตอนนั้นพวกเราเรียนหนักมาก ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันกลับกันมีโอกาสเจอหน้าที่สถาบันกวดวิชามากกว่า

>>และตอนที่ผมเข้าวงการเมื่ออายุ 15 มีโอกาสได้รับช่อดอกไม้จากแฟนเพลงบ่อยมากแต่เรื่องมอบดอกไม้ให้คนอื่นนี่สิเป็นครั้งแรกของผม และเธอก็คือคนที่ผมมอบดอกไม้ให้เป็นครั้งแรก คิดถึงบรรยากาศตอนนั้นแม้ว่าไม่ถึงกับโรแมนติกแต่ก็เป็นอะไรที่ผมลืมไม่ลง คนเขาพูดว่ารักครั้งแรกไม่มีวันลืมเรื่องนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง