ผู้เขียน หัวข้อ: [18-พ.ย.10] ซูโหย่วเผิงยังคงเชื่องแบบนี้ ในใจเบื่อหรือยัง ?  (อ่าน 4407 ครั้ง)

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
http://blog.sina.com.cn/s/blog_61d369660100nku6.html



18 พฤศจิกายน 2010 ซูโหย่วเผิงยังคงเชื่องแบบนี้ จิตใจเบื่อหรือยัง ?


ทุกๆครั้งเวลามองเห็น ซูโหย่วเผิง แล้วต้องคิดถึง หลินจื้ออิง ไม่เพียงเพราะว่าพวกเขาเคยเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แล้วก็เพราะบางคนมีหน้าตาคล้ายกัน----วัยหนุ่มสาวหน้าตาเหมือนเทวดา(จางปู้เหล่า) หน้าตุ๊กตาแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยผ่านวงการบันเทิง ขณะ (อู๋ฉีหลง) ได้ก้าวถึงสู่จุดสุดยอด ก็ไม่มีใครเหนือกว่าเขาอีก แล้ว

(ซูโหย่วเผิง) เมื่อไม่กี่ปีมายังคงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าบริษัท หัวอี้ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่ทราบว่าการเข้ารอบชนะคือความหมายอะไร ซูโหย่วเผิงในหนังใหม่เรื่อง (คังติ้งฉิงเกอ-A Tibetan Love Song) แสดงบทแอบซ่อนช่วยเหลือได้มองเห็นเป็นลายมือปากกาของ บริษัทหัวอี้ เช่นในหนัง (หวินสุ่ยเอี๋ยว) ลือกันน้ำอยู่เหนือเมฆ หรือ สียั่วเซียน- Vivian แสดง พฤติกรรมฝีมือการแสดงต่อความรู้สึกเข้าทะลุปรุโปร่งการปรองดองและแปลกประหลาด


ทหารแอบซ่อนช่วยเหลือในหนัง A Tibetan Love Song บังเอิญ ยังสามารถมองเห็น ซูโหย่วเผิงอีกด้านหนึ่งโผล่ออกเป็นเด็กผู้ชาย หรือว่าหน้าตุ๊กตาทำแปลกประหลาดพิกล ขณะเดียวกันกลายเป็นเสียงเล่าลือไม่ยอมแก่ บางครั้งจะถูกสงสัยไม่พอต่อใบหน้าที่ละอ่อน และแล้ว สมองว่องไวจากต้นจนจบ การพูดจาเหมาะสมของ ซูโหย่วเผิง ช่างชัดเจนมาก เรื่องโครงการอนาคตตัวเองก็ทราบดีอยู่ในอก หลังจาก ซูโหย่วเผิง เข้าสู่วงการ แสดงบทบาทผู้ชายที่แสนดี รักเดียวใจเดียวมาโดยตลอด แต่ว่าไม่กี่ปีมานี้ เขาทำลายทะลุเอกลักษณ์แบบไม่ขาดสายต้อนรับการท้าทาย..ต่อสู้ ผมอยากก้าวหน้าในหน้าที่ เพื่อเป้าหมายที่ดีและเป็นกำลังที่ดีของค่ายคนหนึ่ง ซูโหย่วเผิงพูดอย่างไม่ปิดบัง เรื่องคือ เขาเคยลองลิ้นชิมรสบทบาทอีกชนิดที่แตกต่างกัน เหมือนในทีวีหนัง Re Ai ผู้ป่วยเป็นโรคประสาท ซูหมิงเทา ในหนัง The Message บทร้องเพลง ไป๋เสี่ยวเหนียน ผมหวังว่าสามารถฝึกฝนเรียนรู้โดยตลอด และมีความก้าวหน้ามาโดยตลอด


สามารถดูออก เขากำลังทดลองใช้บทบาทเล่ห์เหลี่ยมกลลวงเหล่านี้บ้างเพื่อให้ทุกคนเอาอดีตของเขาทั้งหมดโยนทิ้ง(ลืมอดีตเก่าๆภาพลักษณ์ที่ดี) ความเคยชินผู้คน “ไกวๆหู่” ไม่เพียงแต่ไม่เชื่อง ทั้งยังในกระดูกแท้จริงพุ่งสะเทือนสาเหตุคิดการกบฎทางใจ ต้นเหตุเริ่มแรกสุดมาจากวงเสี่ยวหู่ตุ้ยเรื่มจากเพลง ไจ้เจี้ยน-ลาก่อน อำลาวงเสี่ยวหู่ตุ้ย เหตุผล เฉินจื้อเผิง จะไปเกณฑ์ทหาร เสี่ยวหู่ตุ้ย จำใจยอมแยกย้าย

ผู้กำกับ MV จ้ายเจี้ยน อำลา เพื่อให้ mv สมจริงให้ทุกคนร้องไห้ เหมือนกำลังจะเลิกลาจากกันหวังว่า ซูโหย่วเผิง สามารถอยู่หน้ากล้องมีอารมณ์รู้สึก “แต่ว่าผมก็ร้องไห้ร้องไม่ออก คนที่เหลืออยู่ล้วนร้อนใจมาก มีบางคนหาของขวัญที่ส่งมาจากแฟนเพลงชื่นชอบของแต่ละชนิดแฟนเพลง มีบางคนพลิกเขียนแบบประทับใจมาจดหมายแฟนเพลง ช่วยผมมีอารมณ์” ซูโหย่วเผิง ยิ้มน้อยๆและกล่าวกว่า “เพราะว่าทุกคนล้วนรู้สึกต้องแยกย้าย แยกย้ายจากกันเป็นเรื่องที่เศร้าใจเรื่องหนึ่ง คุณควรร้องไห้อย่างง่ายๆนะ ปัญหาคือ ผมรู้สึกว่าชีวิตคนเรื่องรวมเรื่องแยกเป็นเรื่องปกตินะ ทำไมต้องร้องไห้ด้วย


“จริงๆผมยึดหยุ่นมาโดยตลอด จึงพูดได้ว่ามิใช่คิดขบถทางใจ ก็มิใช่เป็นเด็กเชื่องมากอย่างแน่นอน” ซูโหย่วเผิงใช้คำพูดเร็วมาก สำนวนชัดเจน “แต่ว่าผมพูดตลอด พูดตลอดก็ไม่มีใครเชื่อ ดังนั้นผมก็แสดงเป็น ไป๋เสี่ยวเหนียน แบบสบายใจ เริ่มต้นจากศูนย์ ไม่สนใจภาพลักษณ์ที่ดี ไม่สนใจ ไกวๆหู่ เด็กดีเชื่อฟัง---ทุกคนไม่ใช่ไม่เชื่อผมคิดกบฏทางใจไหม ? ดีละ อย่างนั้นผมทำให้พวกคุณดู ครั้งนี้เชื่อแล้วใช่ไหม” เรื่องคือ เขาพูดถึงท่าทางละม่อมและนิ่งเล็กน้อยของเขา

ซูโหย่วเผิงตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยคิดห่วงภาพลักษณ์ “จริงๆผมไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ มันก็คือแจกันดอกไม้ คุณดูที่จออินเตอร์เนต บางครั้งลือว่าตัวเองสูงส่ง ผมก็ไม่ได้ออกมาโต้แย้งข่าวลือ ผมไม่ใส่ใจสิ่งนี้ คิดอยากแสดงบทบาทพิเศษเพราะหวังว่าผู้กำกับสามารถยอมรับผม” ในที่สุดรู้สึกว่าบุคลิกภายนอกของ ซูโหย่วเผิง มีการโกหกหลอกลวงมาก กล่าวคำพูดแบบนี้ เหมือนกับหน้าตาวัยเด็กไม่เหมาะสมเลย แต่เขายังคงกล่าวเรื่องคำพูดที่โบราณมาก “เข้าวงการ 20 กว่าปีแล้ว ความชำนาญล้วนเป็นความช่ำชอง ผมไม่อยากคิดแสดงอะไรผู้ชายหล่องามอีก แต่จริงๆแล้วผมไม่เคยคิดตามหา เปลี่ยนแปลงบุคลิกภายนอกเดี่ยวๆ มีคนจงใจให้ ผมไม่ได้จงใจ ผมก็แสดงบทบาทนี้ ไม่ได้รังเกียจถึงภาพลักษณ์ ผมเพื่อบทบาท คุณอยากพูดอะไรก็พูดไป



ในที่สุดได้ค้นพบแนวหนังที่ตัวเองต้องการ-ได้สนุกสนานกับการแสดง

ช่วงเยาว์วัยก็มีชื่อเสียง เป็นนักร้อง-นักเรียน เป็นแบบอย่างที่ดีของเยาวชน โด่งดังไปทั่วเอเชีย รุ่งโรจน์แบบนี้ ซูโหย่วเผิง ตั้งแต่อายุ 15 ปีเข้าสู่วงการบันเทิงความต่อเนื่องมาอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งผู้คนต่างกล่าวถึงเขา ถึงอย่างไรยังคงไม่อิสระหวนคิดขึ้นมา ใบหน้าอ่อนวัยของหน้าตาหนุ่มๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไป แต่ถึงอย่างไรยังคงไม่อดกลั้นนำเอาวัยหนุ่มไม่ราบรื่นมารำลึก จากในส่วนสมองลบล้างในส่วนที่ลึกออกไป


บัดนี้ ซูโหย่วเผิง อายุ 30 ปีต้นๆแล้ว นับแล้วผลงานที่ผ่านมายาวยังกะหางว่าว ความเดิมๆนึกว่าเป็นแรมเดือนแรมปีขึ้นๆลงๆของเขา สามารถทำให้ตัวผมได้ เล่าความชำนาญของชีวิตอย่างหรูๆเป็นช่วงเป็นตอน และนิยายรักความทุกข์เวทนาที่พูดออกมาไม่ได้สับสนกัน แล้วเขายังคุยเรื่องบุพเพสันนิวาส ธุรกิจ ความรักใคร่ ดำรงชีพ มากกว่า.......ทุกสิ่งในโลกนี้ช่างสับสนตามที่เขามองเห็นมา ล้วนเกิดจากบุพเพสันนิวาสในอดีต ดับด้วยบุพเพในอดีต บุพเพเมื่อมาถึงแล้ว ก็คือน้ำมาถึงคูคลองแล้ว


ผมเชื่อว่ามีบางสิ่งถูกลิขิตมา ผมไม่รู้สึกว่าตัวคนเดียวสามารถอาศัยแรงคนก็คิดอยากจะทำอะไรก็ทำอำไรได้ นี่คือทัศนคติของผม เปรียบเทียบผมได้ตามกรรมบุพเพสันนิวาส(ดวง..โชคชะตา) แต่ผมรู้สึกว่าการกระทำความเพียรขยันก็มิใช่ถูกทั้งหมด แต่ผมรู้สึกว่ามีผลสนองตอบรับบางอย่างคือแรงคนที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ผมไม่สามารถบังคับผลกรรม ตัวคุณเองเพียงแต่สามารถใช้เพียรพยายาม แต่แท้จริงผลกรรมมิใช่ตัวผม ใช้ขยันหมั่นเพียรก็สามารถกำหนดได้” เขาอธิบายสภาพลักษณะการดำรงชีพของตัวเองแบบนี้

คลั่งไคล้มากๆของหนังเรื่อง ((เฟินเซิน)) หลังจากผ่านพ้นไป ซูโหย่วเผิงเหมือนกับชอบฉายารูปโฉมตัวเองพร้อมทั้งไม่คู่ควรกับบทบาท สับสนหลงใหล หรือบทบาทหยาบกระด้างเช่นนั้น ปล่อยให้ ซูโหย่วเผิงสำรวจรู้สึกการแสดงหนังสนุกสนานแล้ว ไม่คู่ควรในคู่ควรถึงจะเป็นตัวเขาที่ชื่นชอบ การสมภาษณ์ก่อนหน้านั้นหลายครั้ง เขาแสดงถึงตอนนี้ ยิ่งหันเหเปลี่ยนทิศทางถ่ายหนัง “ละครจอทีวีและความรู้สึกของนักผลิตสร้างภาพยนตร์ยังคงไม่เหมือนกัน ปริมาณหนังละครจอทีวีจำนวนมหาศาล คนรุ่นหลังเป็นการทดสอบความอดกลั้นอดทนและกำลังกายของคุณ ไม่มีวิธีอื่นเหมือนภาพยนตร์ละเอียดลออเช่นนั้น เพื่อหนึ่งนาทีทุกคนจะรู้ว่าแข็งแกร่ง ละครหนังจอทีวีจึงเป็นไปไม่ได้ ละครหนังจอทีวีไม่ปรากฏละเอียดสวยงาม

ง่ายนักของสิ่งที่มา รสชาติของผมถูกหนัง The Message ยกระดับสูงขี้นแล้ว ต่อไปหวังว่ามีโอกาสสามารถรับสร้างผลงานภาพยนตร์แบบนี้ แต่ว่า เขาไม่สามารถเที่ยวบังคับขอให้ชัดเจน “เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาที่ผมเลือกผู้กำกับ ผู้กำกับดีเลิศหลายคน ตัวเองหวังว่าแสดงบางเรื่องบุคคลที่ล้มลงมากกว่า เช่นบทนักสืบบ้าง บทโรคกลัดกลุ้มบ้าง อุปสรรคคติธรรมทางใจน่าจะแสดงดี ในใจทุกคนล้วนมีก้อนๆนั้น ผมก็มี มีโอกาสไปเอาแบบนี้มาปรากฏก็ยิ่งดี


โหย่วเผิงพูดประมาณว่า เค้าอยากเปลี่ยนแปลง อยากรับบทใหม่ๆ เช่นโรคจิต คนบ้า หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ซ้ำบทกัน แต่ถึงเข้าจะโด่งดังจากเรื่อง the message เค้าก็คือดาราตัวเล็กคนนึง ซึ่งยังไม่สามารถเลือกบทได้ ยังไม่สามารถเลือกผู้กำกับได้ แต่ขอให้ทางผู้จัด หรือผู้ยื่นบท คงจะให้โอกาสเค้าได้รับสิ่งใหม่ๆ)

อายุ 36 ปีของ ซูโหย่วเผิง แต่แรกได้ถอนตัวออกจากเอกลักษณ์ของการเป็นพระเอกมานมนานแล้ว ใบหน้าดำมืดได้เขียนเต็มไปทั่วสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นผู้ชายเวลาอันควร เคยถาม ซูโหย่วเผิง ทำไมตอนนี้ได้ถ่ายหนังจึงสุขุมดีกว่า ซูโหย่วเผิงกลับถามว่า “สมมุติตอนนี้ผมยังเหมือนในปีนั้นน่ารักบริสุทธิ์ผุดผ่อง นั่นควรจะน่าเกลียดไหมละ ? มีคนส่วนมาก เรื่องความทรงจำของ ซูโหย่วเผิง ยังหยุดอยู่กับที่ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ย - ไกวๆหู่  เรียกลมเรียกเมฆที่เริ่มครั้งแรก ถึงเวลาอันควร นำพาให้ ซูโหย่วเผิง ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภายนอก ยิ่งกว่านั้นคือสภาพทางจิตใจอย่างหนึ่ง


ผมรู้สึกว่าตัวผมอายุผ่านมา 30 ปี ก็เรียนรู้หลักการใช้สภาพจิตใจไปดูเรื่องราวที่ให้อภัย ผมรู้สึกแล้วแต่โชคชะตาลิขิต ไม่ให้พันติดกันอีก แต่ละอย่างล้วนมีคุณค่าของสิ่งนั้นยังหลงเหลืออยู่ ทรรศนะการมองที่ไม่เหมือนกัน ก็ต้องมีรับไม่เหมือนกัน ขณะวัยเยาว์ของ ซูโหย่วเผิง เรื่องดนตรีคลั่งไคล้เร้าใจเกือบจะยึดครองชีวิตคนทั้งหมด แม้แต่เป้าหมายการเริ่มแสดงหนัง ล้วนทำเพื่อการหาเงิน ภายหลังสามารถหวนรำลึกร้องเพลงอีกครั้ง แล้ววันนี้ จากธุรกิจของเขา ดนตรียังคงค่อยๆจางหายไป ต้นเหตุเพราะ นักร้องต้นแบบระยะเวลาคุ้มครอง ธาตุแท้มีขีดจำกัด แล้วกำลังชีวิตของนักแสดงคนหนึ่งสามารถอยู่ยาวนานกว่า “การเปลี่ยนแปลงสามารถเปลี่ยนแปลงได้” สภาพลักษณะชีวิตคน ผู้กระทำได้มีเพียรพยายามแล้ว ยอมรับไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยิ่งคือความใจกว้างและเปิดเผยอย่างหนึ่ง