ผู้เขียน หัวข้อ: 10-10-2009 ซูโหย่วเผิง“หวังว่าทุกคนจะลืมอดีตของผมไป”  (อ่าน 6994 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13886
    • ดูรายละเอียด

โหย่วเผิง . ผมก็จะเป็นคนที่ทำให้เสียโฉม ใครหรือที่เดินสู่ความดัง? 10 ตุลาคม 2009

แค่พริบตาเดียว เป็นปีที่ยี่สิบที่โหย่วเผิงเข้าสู่วงการบันเทิง สำหรับไกวๆหู่ขวัญใจชาวไต้หวันคนนี้นั้น สิ่งที่ทุกคนไม่ลืมเป็นภาพติดตาติดใจคือภาพของอู่อาเกอในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ แต่ว่าโหย่วเผิงที่ห่างหายไปจากวงการภาพยนตร์ไปช่วงหนึ่งนั้นกลับมาโผล่ในภาพยนตร์สงครามเรื่องเฟิงเซิง โดยรับบทเป็นนักร้องละครเพลงไป๋เสี่ยวเหนียน แทบจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ในอดีตจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย จนทำให้แฟนๆคอหนังจำแทบไม่ได้ ผู้ผลิตภาพยนตร์เฝิงเสี่ยวหังกล่าวว่า “การแสดงของโหย่วเผิงนั้นยากจะให้คนลืม และผมเองก็ตะลึงด้วย เมื่อก่อนผมคิดว่าเขาแสดงได้เพียงพวกบทที่ดีๆเป็นขวัญใจพระเอก แต่ว่าในเรื่องเฟิงเซิงนั้นเขากลับพลิกบทจากหน้ามือเป็นหลังมือ มันเกินความคาดหมายของผมจริงๆ และโหย่วเผิงก็ได้สัมภาษณ์กับนักข่าวของหยางเฉิง เขากล่าวว่า “ ผมได้รอคอยบทที่แตกต่างอย่างนี้มาตลอด ผมจะไม่ยอมเดินอยู่ในเส้นทางเก่าๆอีกต่อไป”

(คำพูดที่สำคํญ . กับอดีต)

“หวังว่าทุกคนจะลืมอดีตของผมไป”

ปี 1989 โหย่วเผิงได้ร่วมเป็นสมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยกับจื่อเผิงและอู่ฉีหลง หลังจากที่ได้ออกอัลบั้มแรกไป(เซียวเหยาหยิ่ว) จนได้กลายเป็นวงนักร้องที่ดังที่สุดของไต้หวันอย่างรวดเร็ว ทั้งไปทั่วทิศที่มีชาวจีนอยู่ เหตุที่การเรียนดี เป็นเด็กที่เชื่อฟัง ฉะนั้นจนได้มีฉายาว่าไกวๆหู่ หลังจากที่เสี่ยวหู่ตุ้ยเลิกลากันจากไป ในปี 1997 โหย่วเผิงได้รับงานแสดงในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ และได้ย่างเข้าสู่วงการแสดงอย่างเป็นทางการ เมื่อรับบทเป็น อู่อาเกอ ตู้เฟย ฮัวอู่แช่ ซึ่งเป็นบทที่น่าคร่ำใคร้จนเป็นที่ชื่นชอบและฝั่งใจของเหล่าแฟนหนัง และเขาเองได้เจอกับความตกยากอีก และชีวิตเขาก็ตกทุกข์ได้ยาก และห่างหายจากวงการแสดงไปช่วงหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มรับเล่นเรืองเย้ออ้าย เป็นผู้ป่วยทางจิต และเรื่องเฟิงเซิงในบทไป๋เสี่ยวเหนียน”



นักข่าวหยางเฉิง (นข) โหย่วเผิง (ผ)

นข : คุณได้เชื้อเชิญจากทางเฟิงเซิงได้อย่างไร

ผ : มีคืนหนึ่งในปลายปีที่แล้ว ผู้ช่วยของอาจารย์เฉินก่อฝู่(ผู้กำกับเรื่อง)ได้โทรศัพท์มาหาผม บอกว่ามีบทอย่างนี้บทหนึ่ง แล้วถามผมว่าสนใจไหม ผมเลยตอบว่า แน่นอน แล้วเขาก็ส่งบทนั้นมาให้ผมที่บริษัททนายส่วนตัวของผม ตอนนั้นเนื้อบทยังไม่สมบูรณ์ บนหัวบทรู้สึกยังเขียนไว้ว่าเล่มของเฉินก่อฝู่ เมื่อผมดูแล้วยังต้องส่งกลับคืนไป..มันตื่นเต้นมากๆ

นข : ไป๋เสี่ยวเหนียนในบทกับในภาพยนตร์ที่แสดงไปนั้นเหมือนกันไหม ได้ยินว่าคุยใช้เวลาในการตัดสินใจกว่าอาทิตย์?

ผ : เหมือนกัน ก็เป็นบทที่ออกแนวกระเทย แล้วบทสนทนาก็มีจิตนาการณ์มากๆ เวลาพูดนั้นทั้งตรงและขนลุกเลย ตอนนั้นสิ่งที่ผมต้องคิดก็คือสามารถจะแสดงได้อย่างในบทหรือเปล่าเอง เพราะในเรื่องนั้นยังมีตอนหนึ่งที่ต้องร้องละครเพลงด้วย แม้ว่าตอนหลังไม่ได้ถ่ายในฉากนี้ อย่างไรก็ตามผมเองก็ไม่ได้คิดนาน และก็ได้ตัดสินใจรับการท้าทายเลย

นข :  ในใจมีความขัดแย้งไหม ไม่กลัวบทนี้จะทำลายภาพลักษณ์ของคุณหรือ จะทำลายหน้าตาที่เป็นพระเอกในอดีตของคุณ?

ผ :  การฉีกหน้าตัวเอง ? นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการที่จะทำ ถ้าไม่เช่นนี้แล้วปีที่แล้วทำไมผมต้องเล่นเรื่องเย้ออ้ายด้วยล่ะ สองสามปีนี้ที่ผมไม่รับบทเลย จุดประสงค์ก็คือไม่อย่างจะเดินเส้นทางเก่าๆ ผมมองว่าไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นพวกต่ำต้อย แต่ว่าตลอดเวลาผมเองก็กำลังรอคอยบทอย่างนี้อยู่ เพราะว่าตัวเองก็อยากจะเป็นนักแสดงที่ทุกคนยอมรับเหมือนกัน

นข :  จริงๆแล้วตามภาพลักษณ์ลักษณะของคุณแล้ว ยังสามารถรับบทที่เป็นพระเอกได้อีก

ผ : ผมเลี่ยนแล้ว ผมอยากจะทะลุทะลวง ก็หวังว่าทุกคนจะลืมภาพลักษณ์ในอดีตผมให้หมด จุดนี้นั้นต้องการทั้งเวลาและวาสนา ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรอแล้วจะได้โอกาสอย่างที่รอ แต่ว่าครั้งนี้มีบทของไป๋เสี่ยวเหนียน พูดจริงๆว่าตอนนั้นยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ผู้กำกับทั้งสองท่านก็ยอมรับว่าไม่ค่อยมั่นใจในตัวผม –“คุณทำได้ไหม? คุณจะยอมวางความเป็นผู้ดีแล้วมารับบทอย่างนี้ไหม? ทั้งคุณก็ไม่เคยเรียนการร้องละครเพลง พวกเราจะไปหาคนใหม่ๆดีกว่ามั้ง.”....

นข :  ปกติศิลปินที่ดังนั้นก็มักจะพะว้าพะวัง ...

ผ : ผมเป็นพวกอยากทำก็จะทำให้ได้ ไม่มีอะไรที่จะต้องสูญเสียไป อย่างมากก็แค่ไม่ทำแค่นี้เอง ผมคิดว่าการท้าทายกับการเปลี่ยนแปลงใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้ง เริ่มแรกพวกเราก็ไม่คิดว่าการตอบรับจากผู้ชมจะมากมายขนาดนี้ ทุกคนก็จะแฮปปี้ เพราะไป๋เสี่ยวเหนียนกลายเป็นคนที่เรียกความสุขให้กับทุกคน เขาไม่ได้เป็นฮีโร่ที่ให้ทุกคนประทับใจ แต่การที่ได้รับความนิยมที่สูงนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราคิดไม่ถึงเหมือนกัน บทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเดิมที่เป็นบทที่ลึกลับและแปลกปริศนา แต่ว่าตอนหลังบรรยากาศอย่างนี้ก็ถูกตัดทิ้งไปบ้าง เลยทำให้ทุกคำจำได้เฉพาะความตลกสนุกของเขา



(กุญแจสำคัญ : ทักษะการแสดง)

“ผมไม่เคยคิดจริงๆว่าจะเดินมาไกลขนานนี้”

“ศิลปินพระเอกนั้นทั่วไปแล้วจะมีความเครียดที่เหมือนๆกัน คือแฟนๆจะใส่ใจสนใจกับภาพลักษณ์มากกว่าฝีมือการแสดง โหย่วเผิงที่มีหน้าเด็กนั้น ทุกคนก็จะคิดเขาเป็นพวกที่ขาดฝีมือในการแสดง อู่อาเกอนั้นได้กลายเป็นมาตรฐานการตัดสินของเขาไป ส่วนเขาเองก็คิดว่านั่นเป็นแจกันเล็กๆใบหนึ่ง แม้ว่าการตกแต่งจะไม่ค่อยดี แต่กลับโด่งดังไปทั่ว “เตียบ่อกี้” กลับถูกแฟนๆทางเน็ตว่า อู่อาเกอท่านเดินทางผิดแล้ว แต่ในเรื่องเฟิงเซิง เขากลับถ่อมตัวเอง ทางผู้ผลิตเสี่ยวกังยังตะลึง ใช้คำว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือมาพูดการแสดงครั้งนี้ของเขา

นข : หลังจากที่รับบทในเรื่องเฟิงเซิงแล้ว คุณได้เตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

ผ : รีบไปเรียนการร้องละครเพลงเลย ตอนนั้นยังถ่ายทำเรื่องตามหาพี่สาม ที่กวางโจวอยู่เลย ผมเริ่มหาอาจารย์สอน ผมเองไม่กล้าที่จะเฉื่อยกับการเล่นภาพยนตร์ เพราะฝีมือของแต่ละคนนั้นล้วนกึ๋นๆทั้งนั้น

นข : ค่าเชิญอาจารย์มาสอนร้องละครเพลงนั้นคุณเป็นคนจ่ายหรือทางค่ายจ่าย?

ผ : ทางค่ายได้ให้มานิดหน่อย แน่นอนทางค่ายคงไม่อาจค่ายค่าตั๋วให้อาจารย์ไปสอนผมที่มนฑลยูนาน ส่วนนั้นผมเป็นคนจ่ายเอง ฉากแรกที่ได้เล่นกับอิงต๋านัน ในฉากมีบทร้อง ตัวเองก็ไม่กล้าทำแบบถูไถไป เลยเชิญอาจายร์สองท่านเข้าไปดูด้วย

นข : อาจารย์สอนอะไรคุณบ้าง?

ผ : ก็เริ่มจากพื้นฐาน ที่ผมเรียนเป็นบทในเรื่อง (อิ๋วเหยียนจิงม่ง) เป็นฉากที่คลาสสิคที่สุด เนื้อบทนั้นเขียนได้ดีมาก ละครเพลงก็เรียนยากเหมือนกัน ขั้นแรกต้องท่องบทก่อน ฝึกนิ้ว ดูซิ มือตอนนี้ยังมีเสียงอยู่เลย แล้วยังฝึกจังหวะเท้าด้วย ตัวจะต้องให้เหมือนหุ่นกระบอก ทุกคาบเรียนต้องมีความอดทน คาบละชั่วโมงถึงสองชั่วโมง เรียนไปทีละท่าๆ ต้องค่อยๆนำตัวเองเข้าสู่สถานการณ์อย่างนั้น บางครั้งคุณอยากจะดำน้ำไปหน่อย ก็จะรู้เลยว่าไม่ถูกต้อง อาจารย์ก็จะเตือนคุณ “ต้องสวยกว่านี้หน่อย ต้องอ่อนกว่านี้หน่อย” ทุกครั้งหลังเรียนเสร็จ เอวผมจะปวดจนงอไม่ได้ และคำพูดทั้งฉากนั้นผมได้ท่องหมดแล้ว เสียดายฉากนั้นตอนหลังไม่ถ่ายแล้ว

นข : นอกจากเรียนละครเพลงแล้ว คุณยังทำอะไรอีก?

ผ : ก็หาภาพยนตร์ที่เป็นแนวเดียวกันมาดู เช่น (เหม่ยหลันฟาง) (ป้าหวังเปี๋ยจี๋) ประเภทเหล่านี้ ทั้งยังไปหารูปเก่าๆ ไปดูชีวิตในสมัยโบราณนั้นเป็นอย่างไร ไปดูว่าชีวิตของพวกเขา ตอนอยู่ปักกิ่งผมก็ได้ดูละครเพลงมาพอสมควร ก็จะพยายามไปจิตนาการณ์ความรู้สึกของพวกเขา เดิมทีฉากในบทนั้นต้องการให้ผมร้องสดเลย นอกจากจะพยายามทางด้านเสียงแล้ว ผมยังต้องเปลี่ยนลักษณะการพูดของผมด้วย แม้ว่าตอนหลังจะไม่ถ่ายฉากนี้ แต่ก็เป็นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าความเป็นกระเทยของไป๋เสี่ยวเหนียนไม่เพียงแต่จะให้เห็นถึงบุคลิกของผู้หญิง ทั้งยังเป็นหวังเอ๋ออีกด้วย

นข : นักแสดงหลายคนอิงไปกับบทจะกลายเป็นอย่างนั้นไปเลย แล้วคุณแสดงเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนจะเป็นอย่างนี้ไหม

ผ : ผมคงไม่หนักขนาดนั้น แต่เพื่อจะรักษาอารมณ์อย่างนั้นผมก็จะทำท่าทางตอนอยู่ในกองถ่ายด้วย ไม่คุยกับคนอื่น ไม่ไปดูที่ทีวี ปกติแล้วผมจะหาที่เก็บตัวเงียบๆ ไปใคร่ครวญถึงอารมณ์อย่างนั้น โจวซิ่นได้พูดไปแล้วมิใช่หรือ “เอ้ ทำไมไม่เป็นไป๋เสี่ยวเหนียนเลย?”  ทันใดนั้นผมก็โผล่ออกมาอย่างผี แล้วก็หายตัวไป

นข : แล้วคุณประเมินการแสดงของคุณอย่างไรบ้าง?

ผ : เกินความคาดหมาย เริ่มแรกที่รับบทนี้ ผมเองก็ไม่เคยคิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้



(คำพูดสำคัญ : กับ ภาพลักษณ์)

คนที่เคยดูภาพยนตร์เฟิงเซินแล้วก็คงลืมฉากที่ไป๋เสี่ยวเหนียนถูกทรมานแล้วขังไว้ในห้องขังน้ำไม่ได้ ยิ่งฉากที่เขาถูกทุบตีจนต้องนอนจมบนกองเลือด จนทำให้หลายคนคิดไม่ตกและคิดไม่ถึงเกี่ยวกับตัวเขาที่เคยแสดงเป็นพระเอกอู่อาเกอกลับมารับสภาพเป็นอย่างนี้ โหย่วเผิงที่พึ่งฉลองอายุครบ 36 ไปนั้น สำหรับเขาที่มีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันที่เป็นพระเอกนั้น เขากล่าวว่า “หากว่าผมยังอยากจะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น ก็คงไม่ทำอย่างนี้แล้ว”

นข : ได้ข่าวว่าในเรื่องนั้นมีฉากหนึ่งที่คุณต้องถ่ายซ้ำถึงสิบสองครั้งในหนึ่งวัน เป็นฉากไหนกันมันยากอย่างนั้นเลยหรือ?

ผ : เยอะกว่านั้นอีกมั้ง ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้ง ฉากนั้นยากและสุดท้ายถูกตัดทิ้ง เป็นฉากที่ผู้ต้องสงสัยทั้งห้าคนได้ถูกนำตัวไปส่งที่บ้านแห่งหนึ่งในเวลากลางคืน จิงเซิงห่อได้วิ่งไปชนประตูห้องของไป๋เสี่ยวเหนียน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์ อยากให้ไป๋เสี่ยวเหนียนไปพูดสิ่งดีๆกับทางหัวหน้าผู้บัญชาการหน่อย ในคืนนั้น ผู้ต้องสงสัยทั้งห้าล้วนหนักใจมาก เหลือแต่ตัวไปเสี่ยวเหนียนที่ไม่หนักใจเพราะว่าเขามีผู้บัญชาการเป็นผู้พึ่งได้ เขาได้เปิดเพลงร้องเพลงในห้อง เนื้อเพลง “พวกคุณไม่แยกแยะถูกผิด เอาฉันมาขังไว้ในที่แบบนี้ ฉันจะด่าว่าพวกคุณ” เพื่อประโยคนี้ ผมไม่เพียงเป็นชายชาตรียังเป็นเหล่าเซิง ผมทั้งพูดทั้งร้องเพลงไปกับจิงเซิงห่อด้วย ตอนหลังจิงเซิงห่อโมโหแล้ว “หากไม่มีฉัน คิดว่าตอนนี้คุณจะได้เป็นนายคนหรือ?” จิตใจของไป๋เสี่ยวเหนียนก็เริ่มไม่สบายใจ แล้วหยิบเข็มฉีดยาออกมาจากกระเป๋า ฉีดตัวเอง ในบทนั้นเขียนไว้อย่างนี้ “เขาได้หายใจเข้าออก แล้วหน้าตาก็เหมือนดอกท้อ” จริงๆแล้วโรคหัวใจเขากำเริบ อย่างไรก็ตามวันที่สองเมื่อฟื้นแล้ว เขาก็เข้าไปในห้องตัวเองร้องเพลงเหมือนเดิม ทันใดนั้นก็สังเกตุเห็นว่าตัวเองมีผมขาวเส้นหนึ่ง และได้ระวังในการถอนผมที่หงอก แล้วคุณไม่รู้สึกหรือว่าคนผู้นี้มันลึกลับขนาดไหนกัน ? เสียดายฉากนี้ถูกตัดทิ้งไป

นข : แล้วคุณคิดว่าความยากในการเล่นบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นอยู่ที่ไหน?

ผ :  ในบทนั้นมีคำพูดของไป๋เสี่ยวเหนียนเยอะมาก จะบอกว่าเขาไม่หญิงไม่ชาย แท้จริงเขาก็เป็นทั้งหญิงและชาย” สำหรับนักแสดงแล้ว การจะทำอะไรก็จะทำให้มันถึงที่สุด แต่ก็จะไม่สามารถให้คนอื่นมองแล้วน่าเกลียด แล้วมันมีความเป็นหญิงความเป็นชายเท่าไรถึงนับว่าเป็นกระเทย ฉะนั้นเวลาจะแสดงถึงจะรู้ว่ามันยาก

นข : บทของไป๋เสี่ยวเหนียนถูกตัดทิ้งไปเยอะมาก คุณรู้สึกเสียใจไหม?

ผ :  แน่นอน ในตำนานนั้นไป๋เสี่ยวเหนียนไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยเลย แต่ว่าหลังจากที่เปลี่ยนเนื้อเรื่องไปบ้างแล้วก็เลยเป็นอย่างนี้ จนกลายเป็นอย่างนั้นไป ผมได้อ่านคำวิจารณ์บทหนึ่งเขียนอย่างนี้ว่า “บทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเปลี่ยนไปจนเด่นมาก คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้กับตัวเขาเสียอีก ทำไมตายเร็วจังเลย” ก็คือส่วนที่เป็นผู้ต้องสงสัยของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นถูกตัดออก เหลือเพียงส่วนที่เป็นฉากบันเทิง เสียดายเหมือนกัน

นข :  ผู้กำกับว่า คุณนั้นจะต้องทำใจให้ลืมอดีตของตัวเองให้หมดถึงจะเข้าฉากแสดงได้ เริ่มแรกคุณยังกังวลกับภาพลักษณ์ของอยู่หรือเปล่า?

ผ :  ไม่มีนะ หากว่าผมผะวงกับภาพลักษณ์ของผมแล้ว คงจะไม่รับบทอย่างนี้แล้ว เพียงแค่เริ่มแรกนั้นไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ จะคิดเสมอว่าคนอื่นเขาจะมองเราด้วยสายตาผิดปกติหรือเปล่า?และตอนหลังก็ไม่ไปคิดมันอีก ต้องกล้าอย่างเดียว จะไม่เป็นตัวถ่วงของทีมงาน ผมต้องขอขอบคุณอิงต๋าเป็นอย่างมาก เขาไม่มีความรู้สึกที่เบื่อหน่ายสักนิดเลย ได้ช่วยเหลือผมมาตลอด

นข : ตอนถ่าย “ถูกทรมานในเครื่องทรมาน” โหดร้ายน่าดูเลย?

ผ : ฉากที่ถูกทรมานนั้น ผมถูกทางการดึงผมผมแล้วลากเข้าไป ในคืนนั้น ผมขอร้องทหารให้มัดผม แล้วให้ผมนั่งบนเก้าอี้ทรมาน ผมร้องจนคอแทบจะแตก แล้วผู้บัญชาการได้เอาแส้มาตีผม ตีจนหูอื้อไปเลย

นข : แล้วคุณได้ทำท่าทางหรือสายตาให้กับไป๋เสี่ยวเหนียนไหม

ผ : ไม่จำเป็นให้ผมไปคิดทำอะไร เพราะในบทของเขานั้นก็เขียนมาดีแล้ว ตอนเที่ยงคืนถูกจับไปที่ซางจวน แต่เขาไม่พูดบ่นสักคำ สวมใส่เสื้อสูท สวมถุงมือ และหมวก เขาเป็นคนที่เนียบมาก สำหรับนอกเหนือจากบทนั้น ผมไม่ได้เตรียมอะไรมากมาย สำคัญคือต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นกระเทยออกมา ให้ได้อารมณ์อย่างนั้น



(คำพูสำคัญ : ความรัก)

“มีใครบ้างที่ไม่ปรารถนาความรักที่สมบูรณ์สวยงาม”

สามหนุ่มเมื่อ 20 ปีก่อนที่ได้เข้าสู่วงการในเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น เรื่องความรักของเสื่อสองตัวอย่างจื่อเผิงและโหย่วเผิงนั้นยังไม่ชัดเจน แต่สำหรับความรักของอู่ฉีหลงกับสาวสวยยูนานนั้นในช่วงหลายเดือนก่อนเป็นข่าวที่ใหญ่โตในวงการบันเทิง จนทำให้ความรักช่วงหนึ่งของพวกเขาสองคนนั้นกลายเป็นฟองสบู่ไป ไม่รู้ว่าโหย่วเผิงจะมีความคิดที่ว่าแม้จะเหงาจะขอยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือเปล่า?

นข : เรื่องของความรักนั้นได้วางแผนไว้บ้างไหม?

ผ :  นับจากปีที่แล้วมาจนถึงวันนี้ การงานของผมนั้นยุ่งมาก รอให้การโปรโมทเรื่องเฟิงเซิงเรียบร้อยแล้วผมก็จะให้ตัวเองได้พัก แล้วเรื่องอื่นๆถึงค่อยวางแผนได้

นข :  ในฐานะที่เป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องของอู่ฉีหลง

ผ : เรื่องราวความรักนั้น คนภายนอกไม่ควรจะไปก้าวก่าย อู่ฉีหลงเป็นผู้เข้มแข็ง เวลาที่เขาตัดสินใจทำอย่างนี้ก็น่าจะมีเหตุผลของเขา ใครบ้างที่ไม่อยากจะมีความรักที่สวยงามสมบูรณ์ ผมจะขออวยพรเขาตลอดไป

นข : เรื่องนี้จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีต่อความรักเปล่า?

ผ : มี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาทำงานที่ไม่ตรงกัน บวกกับความห่างเหิน สำหรับพวกเราแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นบททดสอบของพวกเรา

นข :  สเปคผู้หญิงในดวงใจของคุณเป็นอย่างไร?

ผ : เพียงแค่ขอให้เธอมีความเข้ากันได้กับผมและงานของผม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังผม และสามารถเข้าใจกันและดูแลกันและกันได้ก็ดีพอแล้วแหล่ะ ยังมีอีกจุดหนึ่งคือ นิสัยต้องดี เรื่องการศึกษากับภูมิหลังนั้นถ้าจะให้ดีก็อย่าต่างกันมาก ยังต้องเป็นคนที่ชอบในเรื่องคล้ายๆกัน มีมุมมองคุณค่าที่เหมือนกัน

(ภาพลักษณ์ในสื่อ)

วันที่สัมภาษณ์นั้น โหย่วเผิงใส่ชุดสูทดำทั้งชุด สีผิวที่ออกเหลือง ทรงผมเป็นทรงเฟิงเซิงอยู่ ยังไว้หนวดนิดๆ ภาพของไกวๆหู่ที่เคยอยู๋ในความทรงจำนั้นกลับหายไปแล้ว เลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะดูแล้วมันไม่ปกติ และความเข้มที่มีหนวดกับทรงผมนั้นไม่ค่อยเข้ากับหน้าเด็กของเขาเลย แต่เขาก็ตั้งใจที่จะเดินไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ บางครั้งต้องเหนื่อยยาก บางครั้งก็ต้องถูกคนเข้าใจผิดบ้าง

ขณะที่กำลังพูดคุยถึงบทที่แสดงอยู่นั้น โหย่วเผิงกลายเป็นคนที่ลืมตัวเองกับไม่มีตัวเอง และน้ำเสียงของเขานั้นเปลี่ยนไป สำเนียงการพูดออกแนวปักกิ่ง ไม่เพียงแต่จะหลุดบทพูดออกมา ทั้งยังมีจังหวะเท้าออกมาด้วย เป็นทำนองละครเพลง ไป๋เสี่ยวเหนียนคงซึมเข้าไปในเส้นเลือดเขาไปแล้ว