แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Chomnath

หน้า: 1 ... 36 37 [38]
741
20 ปีก่อน เสี่ยวหู่ตุ้ยกลายเป็นขวัญใจของวัยรุ่นหนุ่มสาวอย่างนับไม่ถ้วน


ระยะนี้มีข่าวออกมาว่า การออกคอนเสิร์ดครบรอบ 20 ปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น เหตุเพราะหนึ่งในสามอย่างไกวๆหู่โหย่วเผิงที่ไม่ยอมร่วมมือกับทางเพื่อนๆ สำหรับเรื่องนี้ โหย่วเผิงได้ปิดปากไม่พูดมาตลอด ไม่ยอมโต้ตอบ เมื่อวาน สุดท้ายเขาได้

โต้ตอบโดยให้ผู้จัดการหัวอี้กล่าว เหตุที่ทำให้งานคอนเสิร์ดที่จะมีขึ้นล้มนั้นใช่ว่าตัวเองต้องการสร้างเครดิต ทั้งยังบอกว่าจะให้วิธีที่เหมาะสมในการที่จะร่วมกับแฟนๆระลึกครบรอบ 20 ปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยด้วย

สำหรับเรื่องที่โหย่วเผิงเล่นตัวไม่อยากจะร่วมงานกับเพื่อนทั้งสองคนนั้น พูดตรงๆว่าโหย่วเผิงไม่ได้แคร์เรื่องของความมีน้ำใจสัจจะ เพราะว่าความนิยมดังของเขานั้นตอนนี้ก็ดังยิ่งกว่าทั้งสองคน เลยไม่ยอมที่จะเจียดเวลามาร่วมสร้างงานกับทั้งสองคน

สำหรับผู้จัดการส่วนตัวของโหย่วเผิงได้กล่าวว่า นี่เป็นข่าวที่ไม่มีมูลทั้งสิ้น ความเป็นจริง ช่วงตุลาคมที่ฉันกับโหย่วเผิงอยุ่ที่ฝรั่งเศสนั้น ก็ได้อ่านข่าวนี้แล้ว บางข่าวเขียนด่าโหย่วเผิงอย่างรุนแรง เช่นเขียนว่าโหย่วเผิงเป็นคนที่ไม่มีน้ำใจ ฉันคิดว่านี่เป็นการใส่ร้ายถึงนิสัยของเขา

ฉะนั้นอยากจะอธิบายหน่อย ฉันว่าความเป็นจริงนั้น สำหรับโหย่วเผิงนั้น ความทรงจำของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นเป็นสิ่งที่ตลอดชีวิตเขาไม่เคยลืมเลย ความทรงจำนี้ดีมาก ทั้งยังเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของเขาอย่างใหญ่หลวง ฉะนั้น ขณะที่เขาย้อนคิดถึงเรื่องราวประสบการณ์เหล่านี้นั้น ก็จะรู้สึกถึงสิ่งดีต่างๆ สำหรับความเห็นส่วนตัวของฉันนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยก็ยังเป็นความทรงจำที่ดีๆของพวกเราอยู่ เสียงเพลงของพวกเขาก็ได้ร่วมเติบโตกับพวกเรา พวกเราก็พร้อมที่จะมีวิธีการที่เหมาะสม มาระลึกสานต่อความทรงจำนี้

การที่มีบริษัทได้ส่งเทีบบเชิญให้กับโหย่วเผิง แล้วโหย่วเผิงปฏิเสธ จริงหรือไม่? ผู้จัดการบอกว่า “หนึ่งปีที่ผ่านมานั้น พวกเราก็เคยได้รับเทียบเชิญประเภทที่จะให้พวกเขาทั้งสามคนไปออกคอนเสิร์ดด้วยกันหลายครั้ง ท่าทีของเราแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปลี่ยน เพราะว่าการวางแผนนั้นไม่ละเอียดเลย เมื่อเตรียมตัวแล้ว ก็ไม่สามารถรับท่าทีของพวกเขาได้ สำหรับในข่าวที่พูดถึงผู้จัดรายการคอนเสิร์ดนั้น ฉันแทบไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องอะไร เขาจัดเวลาออกคอนเสิร์ดไว้เรียบร้อย โดยไม่ดูทางเรา ทำให้เราตกใจเหมือนกัน

ผู้จัดการกล่าวต่อ “ เรื่องราวหลายอย่างของชีวิตนั้น หลายอย่างเราสามารถกำหนดได้ แต่หลายเรื่องเรากำหนดไม่ได้ กับเรื่องระลึกการครบรอบ 20 ปีของเสี่ยวหู่ตุ้ย พวกเราจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าจะใช้วิธีการรูปแบบอย่างไรนั้น ยังไม่ยืนยัน ก็ยังไม่สามารถประกาศเป็นทางการได้ แต่ว่า ก็เหมือนกับที่โหย่วเผิงเคยพูดสัมภาษณ์ไป เสี่ยวหู่ตุ้ยจะใช้รูปแบบวิธีการระลึกการครบรอบ 20 ปีอย่างเหมาะสม พวกเราจะใช้สิ่งที่มีอยู่ทำให้ดีทีสุดเท่าที่จะทำได้ ฉันเชื่อว่า นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แฟนๆเสี่ยวหู่ตุ้ยอยากจะให้เกิดขึ้น ความเป็นจริงนั้น ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่เข้าพวกของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น นิ้วที่ชี้ไปนั่นก็ล้วนชี้ที่โหย่วเผิง มันไม่ยุติธรรมต่อเขาเลย แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบออกมาอธิบาย ก็เป็นพวกความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย


งานคอนเสิร์ดครบรอบ 20 ปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยล่ม

20 ปีก่อน เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นเป็นขวัญใจของหนุ่มสาวไต้หวันนับหมื่นแสน ปี 1991 น้ำตาแห่งการแยกวงของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นยังคงอยู่ในใจ แม้ว่าตอนนี้ต่างคนก็ยังอยู่ในเวทีที่ต่างกัน แต่ก็ไม่มีการรวมตัวกันต่อหน้าแฟนอีกเลย ปีนี้ครบรอบ 20 ปีแห่งเสี่ยวหู่ตุ้ย มีเหล่าบริษัทต่างๆมากมายอยากจะรวบรวมทั้งสามมาออกคอนเสิร์ด แต่ทางบริษัทได้บอกว่า ทางโหย่วเผิงนั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือ ทำให้งานครั้งนี้ต้องล่มไป

เพราะว่าก่อนหน้านี้ทั้งสามเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าอยากจะรวมตัวกันเพื่อเจอแฟนๆอีกครั้ง และจากการที่พวกเขาได้ประกาศเจตนารมณ์ออกไปและความต้องการของแฟนๆแล้ว สองเดือนผ่านไป มีบริษัทวัฒนธรรมได้เสนอตัวจัดงาน “คอนเสิร์ดครบรอบ 20 ปีของเสี่ยวหู่ตุ้ย”

ทางบริษัทได้วางแผนจะจัดทัวร์คอนเสิร์ดนี้ ห้าที่ด้วยกัน

ครั้งแรกนั้นจะไปที่ปักกิ่งในช่วงปลาย 2008 ต่อจากนั้นก็ไปที่เซี่ยงไฮ้ฉลองปีใหม่ จากนั้นทางบริษัทผู้จะจัดทำได้ไปถามทั้งสามคน ทางจื้อเผิงกับฉีหลงก็ตอบตกลง แต่ทางผู้จัดการส่วนตัวของโหย่วเผิงกลับตอบว่าไม่ได้มีแผนการอย่างนี้ เหตุที่อยากจะน้าวโน้มโหย่วเผิง ทางผู้จัดการใหญ่ของบริษัทก็ได้ออกตัวมาพบโหย่วเผิงด้วยตัวเอง แต่ทางโหย่วเผิงก็ตอบกลับไปอย่างเดิมคือไม่เข้าร่วม ทำให้งานครั้งนั้นที่จะจัดก็ล่มลง

742
เสี่ยวหู่ตุ้ย”เป็นวงที่ยอดฮิตยอดนิยมวงหนึ่งในไต้หวัน เคยสร้างสถิติงานคอร์นเสิร์ตยี่สิบกว่าครั้งแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความมันส์ความตื่นเต้น กระหึ่มทั่วคอนเสิร์ต ได้กลายเป็นวงนักร้องที่คึกคักวงหนึ่งในไต้หวัน การเกิดของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”นั้นโดยบังเอิญแท้ กรกฏาคนปี1988 ค่ายเพลงไคลี่ของไต้หวันได้มีรายการ “เตี้ยนซื่อซิงชุนเจิงป้าจ้าง” (รายการเกี่ยวกับวัยใสวัยรุ่น) กลุ่มเป้าหมายคือพวกเด็กนักเรียนนักศึกษา เนื้อหารายการสบายๆสดใส มีพิธีการสามสามคนเป็นผู้จัดรายการชื่อว่า “เสี่ยวเมาตุ้ย” รายการเป็นที่นิยมมาก และแล้วมีคนเสนอว่าน่าจะเพิ่มผู้ชายเข้าไปอีกสามคนเพื่อให้มันสมดุลย์กันระหว่างชายหญิง เหตุนี้เอง ทางบริษัทได้ออกประกาศรับสมัครชายหนุ่มสามคน ได้ผ่านการคัดสรรอย่างหนักและเทคนิกการเต้น การร้องที่ดี “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ได้รับการคัดเลือก สมาชิกคือ อู๋ฉีหลง เฉิงจื้อเผิง ซูโหย่วเผิง

ใครจะรู้ชายหน่มที่ยังมีกลิ่นไอของนักเรียนทั้งสามคนได้ออกรายการ เด่นกว่าพิธีการเก่าทั้งสามคนอีก ได้รับการตอบรับจากวัยรุ่น เด็กเล็กเด็กแดงรวมทั้งผู้ใหญ่ด้วย เพลงที่พวกเขาได้ขับร้องก็ดังอย่างรวดเร็ว กระทั่ง พวกเขาก็ได่กลายเป็นวงนักร้องที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มนักเรียน แค่เวลาอันสั้นก็ได้กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น เพลงของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ไม่เพียงแต่ดังในฮ่องกงไต้หวันเท่านั้น ที่จีนยังมีแฟนเพลงมากมายที่ชื่นชอบในตัวพวกเขา ไม่เพียงเท่านี้ รูปของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ที่ได้แผร่ไปทั่ว ยังเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายเก็บสะสม ปี1990ไต้หวันได้จัดนักร้องเพลงยอดเยี่ยมไม่วาย “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ก็ไม่รับไปโดยไม่ยอมให้ใครเอาไป ขณะเดียวกัน อัลบั้ม “หงชิงถิง”(แมลงปอแดง) ได้ขึ้นเป็น (90 สิบเพลงยอดฮิต) บุคลิกภาพของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย เชื่อว่ายังคงอยู่ต่อไป แต่ว่าสมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยจะต้องจากกันไปศึกษาต่อ เกณฑ์ทหารเป็นต้นเหตุนี้เองจึงทำให้แยกวง ขณะที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ออกอัลบั้มที่ 6 (พบกันไหม่) แล้วแยกจากกันชั่วคราว ในเพลงนั้นพวกเขาได้สัญญากับแฟนเพลงว่า “เชื่อเถิดว่าพรุ่งนี้เราจะพบกันใหม่ เหมือนดังสายเมฆที่จากท้องฟ้าไป”

743
6dd5f21bgx6BmosUhBy5c690.jpg" border="0

20 ปีแห่งการตั้งเสี่ยวหู่ตุ้ย สมาชิกต่างคนต่างเดินทางของตนยากจะรวมตัว

แหล่งข่าวไป๋ตู้ กรกฏาคนปี 1988 หนุ่มหล่อสามคนที่ได้รวมตัวเป็นวงบันเทิงภาษาจีนที่ได้เป็นขวัญใจประชาชนเป็นวงแรก “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ปีนี้ เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ครบรอบการก่อตั้งวงเป็นปีที่ 20 แต่ว่าวันนี้ทำให้แฟนๆคิดถึงสุดใจอย่าง อู๋ฉีหลง ซูโหย่วเผิง เฉิงจื้อเผิง สามคนก็ยากจะรวมตัวร้องเพลงอีก เพราะต่างคนก็ล้วนมีการงานของตนที่จะทำ

“เสี่ยวหู่” พวกเขาต่างคนต่างยุ่งกับงาน ยากจะมารวมตัวฉลองงานครบรอบยี่สิบปี

วันครบรอบยี่สิบปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยมาถึง สมาชิกอย่าง อู๋ฉีหลง ซูโหย่วเผิง เฉิงจื้อเผิง เพียงแต่ยุ่งกับงานธุรกิจของตัวเอง แต่ไม่ได้จัดวางแผนการจัดงานครบรอบอย่างไร ปัจจุบัน เฉิงจื้อเผิงได้ออกงานวางแผนสร้างสรรที่เซี่ยงไฮ้ เฉิงจื้อเผิงได้เปิดเผยว่า ทุกครั้งที่ตัวเองได้ร้องเพลงที่พวกเขาสามคนเคยร้องนั้นก็มักจะมีน้ำตาคลอเบ้า เพียงแต่วันนี้ทั้งสามคน “ต่างคนก็ต่างมีการงานของตัวเองแล้ว” ยากมากที่จะมีโอกาสได้อยู่ร่วมกัน ทางอู๋ฉีหลงที่ได้เข้าร่วมงานนักธุรกิจ รอคอยการรวมตัวของเสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นอย่างยิ่ง แต่วันเวลาของทั้งสามเรามันยากจะเหมาะ ฉะนั้นพวกเราก็ยังอยู่ในช่วยที่พยายามจัดสรรเวลาอยู่ หวังว่าปีนี้จะทำให้ความฝันของทุกๆคนให้เป็นจริงให้ได้

20 ปีเวลาที่ค่อยๆผ่านอย่างช้าๆ เสี่ยวหู่ตุ้ยสร้างการบันเทิงที่มหัศจรรย์

กรกฏาคมฤดูใบไม้ร่วงแห่งยี่สิบปีที่แล้ว ชายหนุ่นสามคนอายุเฉลี่ยแล้วประมาณ16ได้เข้าร่วมด้วย อู๋ฉีหลง ซูโหย่วเผิง เฉิงจื้อเผิง ชายหนุ่มสามคนที่ยังไม่สิ้นความเป็นเด็ก ได้รวมเป็นกลุ่มวงเสี่ยวหู่ตุ้ยที่เป็นวงภาษาจีนกลายเป็นขวัญใจของปวงชน เปรียบกับวงบันเทิงในปัจจุบัน ก็นับว่าเสี่ยวหู่ตุ้นนั้นมหัศจรรย์มาก และยังดังกว่าขวัญใจวัยรุ่นในปัจจุบันนี้ ปีที่สามของการก่อตั้ง ได้ออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง (หงชิงถิง) (หูเตี๋ยเฟยยา) (ลีเกอ) เพลงที่ออกใหม่ ไม่นานก็เป็นเพลงยอดฮิตของวัยรุ่นที่ร้องกันตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ในนั้น เพลง “รัก”อัลบั้มที่5ในปี1991 ได้สร้างสถิติที่มียอดขายถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นแผ่น ณ.จนบัดนี้ นี่ก็ยังเป็นตำนานที่ไม่มีในอดีต

แต่ว่า วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ทั้งซูโหย่วเผิงที่ต้องเรียนต่อ เฉิงจื้อเผิงที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร วงเสี่ยวหูตุ้ยต้องเผชิญกับการที่จะต้องแยกย้ายกัน อัลบั้มชุด “พบกันใหม่”เป็นอัลบั้มที่พวกเขาบอกว่าจะแยกย้ายกันชั่วขณะ แม้ว่าในท้ายปี 1995 เฉิงจื้อเผิงได้กลับจากการเกณฑ์ทหาร สมาชิก “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ทั้งสามคนจับมือกันอีกครั้ง เพียงแต่คนเขารู้จักเพลงไม่รู้จักคน ศิลปินหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นทุกวัน จนทำให้ทั้งสามคนจำต้องแยกจากกันต่างคนต่างไป

แฟนเพลง เสี่ยวหู่ตุ้ยอยู่ในความทรงจำ

“เสี่ยวหู่ตุ้ยก่อตั้งครบรอบยี่สิบปี” ไม่เพียงแต่จะมีความหมายกับการครบรอบของเสี่ยวหู่ตุ้ยเท่านั้น งานเพลงของพวกเขายังเป็นที่จดจำหลัง เจ็ดสิบ แปดสิบ เหมือนกับแฟนๆหลายคนได้เอ่ยว่า “ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีก็ยากที่จะอดคิดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ยในวันวาน ก็เหมือนกับเป็นการหวนคิดถึงวันวานของเราอีกด้วย”

เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ก่อตั้งครบรอบยี่สิบปีแล้ว พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในช่วยวัยรุ่นของเรา นั่นเป็นวันเวลาที่ยากจะลืม นั่นเป็นวันวานแห่งวัยมันส์ ภาพลักษณ์ของพวกเขานั้นทำให้เรามีความทรงจำที่ลืมไม่ลง เมื่อคิดถึงตอนนั้นที่ตัวเองได้เอาเงินเก็บของตัวเอง(8.5หยวน มัวนเทปม้วนหนึ่งสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่น้อยๆ)ไปร้ายขายเทปหาซื้อเทปของพวกเขาอย่างสนุกตื่นเต้น สมัยมัธยมตอนเรียนไฟดับ ทั้งโรงเรียนได้ร้องเพลงของพวกเขา มักจะมีความอุ่นใจอยู่ด้วย คนหนึ่งคนโตไปกับวันเวลา สามารถให้ตัวเองมีเรื่องที่สนุกอย่างเดียงสา มันไม่ค่อยมีจริงๆ ขณะวัยเด็กถ้าคุณชอบอะไรแล้ว ให้คุณถนอมมันไว้ให้ดีๆ มันอาจเป็นความทรงจำที่ดีๆในอนาคตของคุณก็ได้

744
เสี่ยวหู่ตุ้ยครบรอบยี่สิบปี ความเยาว์วัยวันเวลาเหล่านั้น


เดือนกรกฎาคนปีนี้ เป็นวันครบรอบยี่สิบปีของการรวมตัวนักร้องวงเสี่ยวหู่ตุ้ย ฤดูใบไม้ร่วงเดือนกรกฏาคนของปี 1988 เสี่ยวหู่ตุ้ยแจ้งเกิดทั่วทิศ ให้ภาพแห่งวงขวัญใจก่อนใคร แม้ว่าวันนี้วงเสี่ยวหู่ตุ้ยจะแยกย้ายแล้ว แต่ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีก็ยากที่จะอดคิดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ยในวันวาน ก็เหมือนกับเป็นการหวนคิดถึงวันวานของเราอีกด้วย

แม้ว่าตลอดมาแฟนๆจะเรียกร้องให้เสี่ยวหู่ตุ้ยร่วมกันร้องเพลงอีก รื้อฟื้นอีกครั้ง หรือว่าจะจัดงานครบรอบยี่สิบปีของเสี่ยวหู่ตุ้ย เปิดคอนเสิร์ต แต่ว่า ในวงการบันเทิงไม่มีวี่แววท่าทีว่าจะมีการรวมตัวกันของเสี่ยวหูตุ้ย และเมื่อวาน นักข่าวได้สัมภาษณ์หนึ่งในสามของเสี่ยวหู่ตุ้ยเฉิงจื้อเผิง คำตอบของเขาคือ “การจะรวมตัวอีกครั้งของปีนี้มันเป็นไปได้ยาก” อาจเป็นเพราะเหตุผลหลายอย่างที่เป็นอุปสรรค์ของการดำเนินการนี้ แต่ภาพความเดียงสา สปิริต ความน่ารักของอดีตนั้น ยังอยู่ในความทรงจำของแฟนเพลงตลอดเรื่อยมา

เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นตำนานในใจที่ไม่จางหายจากพวกเรา


“เสี่ยวหู่ตุ้ย”เป็นวงที่ยอดฮิตยอดนิยมวงหนึ่งในไต้หวัน เคยสร้างสถิติงานคอร์นเสิร์ตยี่สิบกว่าครั้งแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความมันส์ความตื่นเต้น กระหึ่มทั่วคอนเสิร์ต ได้กลายเป็นวงนักร้องที่คึกคักวงหนึ่งในไต้หวัน การเกิดของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นั้นโดยบังเอิญแท้ กรกฏาคนปี 1988 ค่ายเพลงไคลี่ ของไต้หวันได้มีรายการ “เตี้ยนซื่อซิงชุนเจิงป้าจ้าง” (รายการเกี่ยวกับวัยใสวัยรุ่น) กลุ่มเป้าหมายคือพวกเด็กนักเรียนนักศึกษา เนื้อหารายการสบายๆสดใส มีพิธีกรสาวสามคนเป็นผู้จัดรายการชื่อว่า “เสี่ยวเมาตุ้ย” รายการเป็นที่นิยมมาก และแล้วมีคนเสนอว่าน่าจะเพิ่มผู้ชายเข้าไปอีกสามคนเพื่อให้มันสมดุลย์กันระหว่างชายหญิง เหตุนี้เอง ทางบริษัทได้ออกประกาศรับสมัครชายหนุ่มสามคน ได้ผ่านการคัดสรรอย่างหนักและเทคนิกการเต้น การร้องที่ดี “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้รับการคัดเลือก สมาชิกคือ อู๋ฉีหลง เฉิงจื้อเผิง ซูโหย่วเผิง ใครจะรู้ชายหน่มที่ยังมีกลิ่นไอของนักเรียนทั้งสามคนได้ออกรายการ เด่นกว่าพิธีการเก่าทั้งสามคนอีก ได้รับการตอบรับจากวัยรุ่น เด็กเล็กเด็กแดงรวมทั้งผู้ใหญ่ด้วย เพลงที่พวกเขาได้ขับร้องก็โด่งดังอย่างรวดเร็ว กระทั่ง พวกเขาก็ได้กลายเป็นวงนักร้องที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มนักเรียน แค่เวลาอันสั้นก็ได้กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น เพลงของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ไม่เพียงแต่ดังในฮ่องกงไต้หวันเท่านั้น ที่จีนยังมีแฟนเพลงมากมายที่ชื่นชอบในตัวพวกเขา ไม่เพียงเท่านี้ รูปของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ที่ได้แผร่ไปทั่ว ยังเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายเก็บสะสม ปี1990 ไต้หวันได้จัดนักร้องเพลงยอดเยี่ยมไม่วาย “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ก็ได้รับไปโดยไม่ยอมให้ใครเอาไป ขณะเดียวกัน อัลบั้ม “หงชิงถิง”(แมลงปอแดง) ได้ขึ้นเป็น (90 สิบเพลงยอดฮิต) บุคลิกภาพของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย เชื่อว่ายังคงอยู่ต่อไป



745
โหย่วเผิงหวนคิดวันคืนของเสี่ยวหู่ตุ้ย (โอลิมปิกสู้ๆ)

สำนักข่าวซินลั่น เดือนกรกฎาคนปีนี้ เป็นวันครบรอบยี่สิบปีของการรวมตัวนักร้องวงเสี่ยวหู่ตุ้ย ฤดูใบไม้ร่วงเดือน กรกฏาคนของปี 1988 เสี่ยวหู่ตุ้ยแจ้งเกิดทั่วทิศ ให้ภาพแห่งวงขวัญใจก่อนใคร แม้ว่าวันนี้วงเสี่ยวหู่ตุ้ยจะแยกย้ายแล้ว แต่ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีก็ยากที่จะอดคิดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ยในวันวาน ก็เหมือนกับเป็นการหวนคิดถึงวันวานของเราอีกด้วย

ปี 2006 ได้เข้าส่วนกับบริษัทใหญ่ของจีนอย่างซูโหย่วเผิง ธุรกิจในจีนนั้นราบรื่นโตวันโตคืน เขาได้บอกว่าคิดถึงวันเวลาที่ทั้งสามคนได้ร่วมกันร้องเพลงเป็นอย่างมาก อัลบั้มเพลง “รัก” เป็นเพลงที่ยอดนิยมในสมัยนั้น ในการแข่งขันจักยานที่ ซีหนิงหวนหู่ กับ สถานีตงฟาง(2008สู้ๆ) ซูโหย่วเผิงล้วนออกงาน ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงเหล่านั้นก็จะมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ทุกครั้งที่ได้ร้องจะมีความรู้สึกดีมาก ศิลปินฮ่องกงกับไต้หวันได้เข้าลงทุนในบริษัทจีน มันอาจลงทุนไปเปล่า หรืออาจได้ผลลัพธ์ที่พูดไม่ออก จนกลายเป็นเรื่องที่คุยกันในช่วงนี้ เรื่องที่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแก่พวกเราคือ สองสามปีนี้ซูโหย่วเผิงได้เสร็จผ่านพ้นวัยรุ่นจนถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ จากนักแสดงหนังจนได้จบอย่างสวยสมบูรณ์แบบของนักแสดง


ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของ ซูโหย่วเผิง กับ สถานีจงยาง นั้นดูเหมือนยิ่งนานวันยิ่งแน่นแฟ้ม ทุกครั้งที่สถานีมีงานกิจกรรมที่ใหญ่ก็มักจะเชิญซูโหย่วเผิงร่วม ครั้งนี้เป็นการฉลองนับถอยหลังสิบวันโอมลิมปิก สถานีจงยางจะมีการจัดงานคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ต้อนรับโอลิมปิก ซูโหย่วเผิง, หลี่ปิงปิง, หวงเสี่ยวหมิง, หวงเซิ่งอี, ได้ร้องเพลงร่วมกัน ชื่อเพลงว่า “โอลิมปิกสู้ๆ” รายการนี้จะอยู่ในรายการที่เก้า เพื่อจะยืนยันว่าจะออกรายการในวันที่29 อย่างแน่นอนแล้ว คือวันนี้ซูโหย่วเผิงยังไม่อัดโฆษณาที่สถานีจงยาง

ฤดูใบไม้ร่วงเดือน กรกฏาคนของ20 ปีที่แล้ว มีรายการสรรหาดาราดาวรุ่งที่ไม่ค่อยดังเท่าไรในไต้หวัน ชายหนุ่นสามคนอายุเฉลี่ยแล้วประมาณ16 ได้เข้าร่วมด้วย อู๋ฉีหลง ซูโหย่วเผิง เฉิงจื้อเผิง ชายหนุ่มสามคนที่ยังไม่สิ้นความเป็นเด็ก ได้รวมตัวเป็นกลุ่มวงเสี่ยวหู่ตุ้ยที่เป็นวงภาษาจีนกลายเป็นขวัญใจของปวงชน ตอนนั้น ไกวๆหู่... ซูโหย่วเผิงได้ไว้ทรงเหมือนเห็ด ผีลี่หู อู๋ฉีหลงชอบสวมกางเกงขาม้า และเสี่ยวซ้วยหู่ เฉิงจื้อเผิงก็ได้แต่สวมหมวกไม่ยอมถอด ตั้งวงได้สองปี เพลงพวกเขาได้ค่อยๆกลายเป็นเพลงที่วัยรุ่นนิยมร้องกันจากต้นซอยยันท้ายซอย ในนั้น เพลง “รัก” อัลบั้มที่ 5 ในปี 1991 ได้สร้างสถิติที่มียอดขายถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นแผ่น ณ.จนบัดนี้ นี่ก็ยังเป็นตำนานที่ไม่มีในอดีต

แต่ว่า ปีที่สี่ของการตั้งวง ทั้งซูโหย่วเผิงที่ต้องเรียนต่อ เฉิงจื้อเผิงที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร วงเสี่ยวหู่ตุ้ยต้องเผชิญกับการที่จะต้องแยกย้ายกัน อัลบั้มชุด “พบกันใหม่” เป็นอัลบั้มที่พวกเขาบอกว่าจะแยกย้ายกันชั่วขณะ ไม่แน่ จากวันนี้เป็นต้นไป คงยากที่จะได้เห็นภาพเสี่ยวหู่ตุ้ยทั้งสามคนได้ยืนพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ภาพที่ยี่สิบปีที่แล้วก็ยังจดจำไม่มีวันลบลืมตลอดไป เพราะมันเป็นภาพวัยรุ่นที่เรายากจะลืม เชื่อว่า สมาชิก “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ทั้งสามคนจากวันนี้เป็นต้นไปจะประสบแต่ความเจริญก้าวหน้า



746
<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fa78a3bba.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fa78a3bba.pbw</a>


ศิลปินฮ่องกงไต้หวันผมจะอยู่เพื่อตัวเอง

ต่อไปนี้เป็นสามปีแห่งการตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ในช่วงเวลานั้นโหย่วเผิงลังเลตลอดเวลา มีสองเสียงสะท้อนอยู่ข้างหูเขา มีคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา คิดว่าเขาควรจะอยู่เพื่อตัวเอง แต่ก็มีคนอีกมากมายพูดว่าเรียนหนังสืออยู่ดีๆไม่เอา บ้าไปแล้วหรือเปล่า โหย่วเผิงเคยได้ยินคนอื่นพูดกับหูตัวเองว่า ตายแล้ว ภาพพจน์ที่ดีๆของเธอที่อยู่ในใจของฉันนั้นแตกสลายไปแล้ว ลักษณะคุณไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้เลย ทำไมคุณไม่สมบูรณ์แบบแล้ว(เพร์อเฟรก) ตัวโหย่วเผิงเองก็กลัวมาก เขาไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้นำมาซึ่งอะไรบ้าง

วันเวลาในสามปีนี้ โหย่วเผิงรู้สึกเหมือนกับเป็นสามสิบปี คนอยู่ในเวลาตกต่ำนั้น วันเวลาก็ยิ่งผ่านไปช้า “ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเดินออกจากก้นเหวเมื่อไร ผมรู้สึกว่าเริ่มแรกถ้าผมไม่ดังอย่างนี้มันจะดีขนาดไหน อาจเป็นเพราะผมดังเร็วเกินไป ฉะนั้นถึงล้มได้เจ็บขนาดนี้”

ช่วงเวลานี้ ผู้ที่ได้มีส่วนช่วยเขามากที่สุดคืออาจารย์ที่ปรึกษาตอนมัธยมปลายของเขา “ท่านได้แนะนำผมให้คิดไปทางไหนจะได้ ชี้ทิศทางให้กับผม ท่านยังเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยม" งานคอร์นเสริทครั้งนี้ โหย่วเผิงได้เชิญอาจารย์มาในงานโดยเฉพาะ

และในช่วงนี้ โหย่วเผิงรู้สึกได้ว่าการดังในช่วงวัยเด็ก(ยุวชน)นั้นนำมาซึ่งความรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้มีเวลาที่เป็นของตัวเองเลยสักนิด เด็กที่อยู่ในวัยอย่างเขานั้นได้เล่นอย่างสนุกสุดแต่ใจจะเล่น งอนงอแงโดยไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง แต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความเสียใจที่สุดของโหย่วเผิง “สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดคือครั้งหนึ่งผมเดินผ่านประตูโรงเรียนหนึ่ง เห็นนักเรียนมากมายเดินออกมา สามห้าคนจับกลุ่มคุยกัน ทันใดนั้นในใจผมมีหลุมแห่งการทุกข์เจ็บที่ลึก ผมเกิดอารมณ์ฮึกเหิมขึ้น อยากจะไปตั้งวางขายริมถนน ไปเสริฟอาหารในร้าน ผมจะไปใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นคนหนึ่ง"


ในเวลานี้ โหย่วเผิงไปที่อังกฤษมาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ที่อังกฤษเขาเห็นนักเรียนที่มาท่องเที่ยวที่นี่มากมาย ในท่ามกลางพวกเขาบางคนเรียนจบแค่ ม.4 แล้วก็พักการเรียน ออกมาทัศนาจรโลก หลังจากกลับไปแล้วค่อยไปเรียนต่อ ม.5 ในตอนนั้นโหย่วเผิงสำนึกได้ว่าที่จริงชีวิตคนมีหนทางในการเติบโตหลายทาง ไม่ใช่มีเพียงแค่นักเรียนดีๆทางเดียวที่เดินได้ เขาได้มองเห็นแสงอรุณแห่งอนาคตของตน และมันมีส่วนในการให้อนาคตของเขามีความมั่นคง

“อย่างเรียนฉันว่าเสี่ยวไกว” (เด็กดี)

“องค์หญิงกำมะลอ” ท้ายสุดได้ให้โอกาสใหม่แก่โหย่วเผิง เวลาเปลี่ยนสลับของการถ่ายอย่างนี้ เขาคิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในไต้หวันแล้ว ประเดี๋ยวเดียวก็ดังแล้ว และไฟดังอันนี้ยังรุกไปถึงจีน ฮ่องกงและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ซูโหย่วเผิงกลับกลายเป็นจุดโฟกัสที่สนใจ

บินขึ้นมาสองด้านพร้อมกัน โหย่วเผิงกลายเป็นฮีโร่ที่วัยรุ่นไล่ตาม ที่ที่มีเขาปรากฏจะมีเสียงกรี๊ดที่นั่น


<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3f1c2c7f.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3f1c2c7f.pbw</a>


ครั้งนี้เขายิ่งให้ผู้คนสัมผัสถึงเสน่ห์ของศิลปินดารา อายุก็ไม่นับว่าน้อยอย่างโหย่วงเผิงมีช่วงหนึ่งเคยกลัดกลุ้มใจที่ได้ฉายา “ขวัญใจ” (ดาราโปรด) “ตอนหลังผมสังเกตได้ว่าสมมุติว่ามีวันหนึ่งทุกคนได้รักคุณแล้ว คุณจะรู้สึกได้ว่าการเป็นขวัญใจนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน” โหย่วเผิงพูดประโยคนี้แล้ว จิตสำนึกนั้นคัมภีร์มากๆ อดไม่ได้ที่จะมีความภูมิใจขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าเจิดจ้ามาก ที่จริงใบหน้าของขวัญใจนั้นก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ

โหย่วเผิงไม่กลัวที่คนอื่นจะเรืยกเขาว่าเป็นขวัญใจอีกต่อไป ยังเพราะว่าเขาเชื่อมั่นตัวเองว่าไม่ใช่ “แจกัน” “ธรรมดาแล้วบทบาทของผมก็ยังมีให้เล่น ไม่ใช่ว่าเพียงแต่อ่านเชื่อซูโหย่วเผิง หนังจากนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลย” เขาไม่หลบเลี่ยงใน (หนังเรื่อง ชิงเซินเซิน) ที่ตู้เฟยมีความคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบ “ที่จริงผมสามารถที่จะแสดงต่อจากหวูอาเกอที่มีคุณสมบัติพออย่างเสี่ยวเซิง มีอะไรไม่ดีหรือ แต่เพราะเล่นต่อจากตู้เฟย ไม่ใช่ซูโหย่วเผิงบ้าไป แต่เป็นเพราะอยากให้การแสดงของตนมีการเปลี่ยนแปลงไป ผมเป็นคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง ปฎิรูป ไม่ชอบในการตายตัว เปลี่ยนไม่ได้

ฉันเคยเห็นภาพที่โหย่วเผิงถูกรอบล้อมด้วยช่อดอกไม้ เสียงกรี๊ด เสียงปรบมือ ฉันได้สามารถจะจิตนาการณ์ได้ว่าเขาในท่ามกลางอย่างนั้นสามารถเงียบนิ่งได้ดีมาก ฉันขอให้เขามีอะไรให้พูดตตรงๆ โหย่วเผิงเขาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาไม่มีอะไรอวดได้ ไม่ใช่ว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่ เคยดัง ก็ไม่เคยดัง เขาชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้มันล้วนอานิจจัง วันนี้อาจดัง พรุ่งนี้อาจไม่มีใครรักชอบ เขากล่าวว่าเพียงแต่ตอนอยู่บนเวทีเขาก็สำนึกได้ว่าเขาเป็นศิลปินดารา ชีวิตประจำวันเขาก็เป็นคนสามัญชนคนหนึ่ง ผมก็มีป่วย ผมมีเจ็บ ยังมีความกลุ้มใจ” ดูท่าทางที่มีความสงสัยอย่างผม โหย่วเผิงกล่าวว่าเขามีความกลุ้มใจมากมายจริงๆ กลุ้มกับเรื่องในครอบครัว เพราะเขาต้องเป็นผู้เลี้ยงดูครอบครัว กลุ้มเรื่องทำไมน้อยชายไม่โตเป็นผู้ใหญ่สักที ทำไมไม่รู้ถูกผิดเลย ฉันยื่นยั่นมาตลอดว่าโหย่วเผิงไม่สามารถเป็นพี่ได้ ในตอนนี้ ฉันรู้ชัดเห็นจริงถึงใบหน้าที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่



โหย่วเผิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าท่าทีความรู้สึกที่มีชื่อเสียงในตอนนี้กับตอนอายุสิบห้านั้นมันต่างกันมาก “อดีตไม่ได้เจออุปสรรค์อะไรก็ดังแล้ว ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่สมควรแล้ว ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเชื่อเสียงที่ดัง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าที่สำคัญที่สุดของชีวิตคืออย่าปล่อยให้ทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตนั้นผ่านไป จะต้องขยันพยายาม ทำอย่างขยันขันแข็ง อย่าสูญมันเปล่าๆ ถ้าหากทำไม่ถึงสิ่งที่เราตั้งหวังไว้ ก็จะไม่โทษตัวเอง นั้นก็คือพรหมลิขิต"

747
<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F324bf412.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F324bf412.pbw</a>


เคยเห็นคนที่รอคอยหลายครั้ง สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือครั้งนี้มีเพียงฉันกับเขา พูดคุยกันตัวต่อตัว ฉันตั้งหวังจะบอกซูโหย่วเผิงให้ทุกคนอย่างแน่ชัด

เขาโทรศัพท์มาว่าบนถนนรถติด เวลานี้คู่หนุ่มสาวในร้านการแฟยังไม่เยอะ คนในแต่ละที่นั่งเห็นได้ว่ามาคนเดียว ผมมองคนที่อยู่ข้างนอกหน้าต่างต่อ จากการแต่งตัวของพวกเขา สีหน้า ทายว่าพวกเขามีอาชีพอะไร พวกเขาจะไปไหน ทันใดรู้สึกว่าทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง

ซูโหย่วเผิงมาแล้ว นี่ไม่ใช่เสี่ยวไกวที่คุณสนิทแน่นอน จากภาพพจน์ ผมเพ้าไว้ยาวแล้ว ย้อมเป็นสีทอง ใบหน้าสีน้ำตาลที่แข็งแรง คอเสื้อสเวตเตอร์ขนสัตว์ที่หรู การเกงยีนส์ที่ใส่อย่างหลวมๆ

โหย่วเผิงนั่งอยู่ตรงหน้าฉัน ยังบังกระจกติดพื้น ผู้คนที่อยู่นอกกระจกก็สามารถเห็นเขา

“พวกเราเสือเล็กสามตัวล้วนโตๆกันแล้ว”

ก่อนสัมภาษณ์สองสามวัน โหย่วเผิงพึ่งเสร็จคอนเสริตของตัวเองที่เซี่ยงไฮ้ ดังนี้ลักษณะของเขาล้วนเขียนไปด้วยร่องรอยของคอนเสริต ทรงผมไว้เพื่องานคอนเสริต สีผิวก็ตากแดดเพื่องานคอนเสริต รูปร่างก็ฟิตเพื่องานคอนเสริต พูดกันว่าเพื่อจะให้มีกล้ามที่เป็นมัดๆกว่านี้ ซูโหย่วเผิงกินแต่ไข่เป็ดต้มหนึ่งเดือน ตลอดจนจิตใจไม่ดี

คอร์นเสริดที่เซี่ยงไฮ้เป็นก้าวแรกเขา...เวทีครั้งแรกของโหย่วเผิง นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่งต่อเขา ก็คือตลอดเวลาที่เขาอยากจะบอกกับทุกคนชูธาตุแท้จริงๆของโหย่วเผิงเป็นอย่างไร “ภาพพจน์ที่พวกคุณมีต่อผมคือหยุดอยู่ตรงภาพพจน์ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นตลอด ผิด ซูโหย่วเผิงในตอนนี้ไม่ใช่ไกวๆในสมัยเสี่ยวหู่ตุ้ยเด็ดขาด แน่นอนตอนหลังก็ยังไม่ใช่ อู่อาเกอ กับ ตู้เฟย สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สมบูรณ์พอ ซูโหย่วเผิงในคอร์นเสริด ไม่มีอะไรมาจำกัด อยากจะทำอะไรก็ทำอะไร สิ่งที่ออกมานั้นล้วนเป็นตัวตนของตัวเอง
ในคอร์นเสริดยังมีความพิเศษซึ่งของสภาพการณ์ ก็คือเสือน้อยสามตัวรวมอยู่ด้วยกันอีก เป็นซูโหย่วเผิงเป็นคนบอกกับผมว่านี่เป็นการรวมตัวกันครั้งแรกอีกหลังเจ็ดปี “ผมไม่สามารถให้ภาษามาบรรยายความรู้สึกในการพบกันของพวกเรา อย่างเช่นว่าบนเวทีพวกเรามีน้ำตาคลอเบ้า หรือยังพูดได้ว่าภาพในอดีตยังติดตา โหย่วเผิงนั้นได้พบอู่ฉีหลงกับเฉินจื้อเผิงก่อนวันซ้อมหนึ่งวัน “ขณะที่พวกเขาเดินเข้ามานั้น แป๊บเดียวผมก็ไฮแล้ว แน่นอนมันตื่นเต้นมากๆ “ไฮ” คือการเจอกันอีกครั้ง เป็นทางเดียวที่ให้ความรู้สึกอย่างชัดเจนของซูโหย่วเผิง

ในสายตาของโหย่วเผิง พวกเขาสามคนล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว “ฉีหลงอ้วนขึ้นนิดๆ จื้อเผิงก็ไว้หนวดคราว”


<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fcfa80ba4.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fcfa80ba4.pbw</a>


“ผมจะไม่เป็นนักเรียนที่สมบูรณ์แบบ”

ภาพที่เสือน้อยสามตัวที่อยู่ด้วยกัน นำเอาความจำของเราไปสู่เมื่อวาน ปี 1973 ปีเกิดของซูโหย่วเผิง ปีนี้อายุสามสิบ(30) เป็นวัยเดียวกัน พวกเราได้เดินผ่านวันเวลาไปกับเสี่ยวหู่ตุ้ย

อายุ 15 ผมเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาคนหนึ่ง เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ดังไปทั่งไต้หวันและจีน ผมจำได้อย่างชัดเจนตอนนั้นต่างคนต่างมีภาพและสติ๊กเกอร์ ไกวๆหู่ในภาพให้ความทรงจำที่ฝังใจที่สุด โหย่วเผิงบอกว่าตัวเขาในตอนนั้นเดียงสาและเขินอาย

วัยเยาวชนชื่อดัง โหย่วเผิงกลายเป็นนักเรียนที่สมบูรณ์แบบในใจของผู้คน ช่วงหนึ่งเพื่อมีสเถียรภาพเขาได้พยายาม ความเครียดก็ได้พลุตามมาด้วย ก็มีความรู้สึกว่าการเรียนกับการแสดงไม่สามารถทจะทำพร้อมกันไปได้ บริษัทเรียกผมไปทำงานปุ๊บ ในใจก็เต็มไปด้วยไฟ ตะโกนว่า ผมจะเรียนหนังสือ อย่ามากวนผม โหย่วเผิงเลียนเสียงทำนองที่ลากในสมัยนั้น ฉะนั้นเขากับโรงเรียนและบริษัทก็มีช่วงห่างบริษัทรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง โรงเรียนก็รู้สึกว่าเขามีการงานเยอะเกินไป ต้องลาบ่อยๆ โหย่วเผิงบอกว่าในตอนนั้นเขาไม่รู้จริงๆว่าการงานคืออะไร และยังไม่รู้สึกว่าตังเอง เดือดเกินไปแล้ว

ม.4 ม5 การบ้านของเขาค่อนข้างไม่ดี สอบติดมหาลัยนั้นเป็นการต่อสู้ในปี ม 6 ทั้งปีของเขา เพื่อเป้าหมายอันนี้ เขาได้หยุดงานของเขาหนึ่งปี ตั้งใจอ่านหนังสือ คิดขึ้นมาแล้วในตอนนั้นเขาลำบากมากเหมือนกัน ตอนหลังโหย่วเผิงได้เข้าเรียนมหาลัยที่ไต้หวันสายการช่าง นี่เป็นสายวิชาที่ต้องมีเกรดดีถึงเรียนได้ แท้จริงตอนนั้นเขาไม่ได้คิดดูว่าชอบหรือไม่ ความมุ่งมั่นปราถนาอันแรงกล้าคือจะต้องสอบให้ได้เกรดดี จะเรียนสายอาชีพที่นิยม อย่างนั้นถึงจะรู้สึกว่าเมื่อเดินบนถนนแล้วจะไม่มีใครมาถมน้ำลายใส่ (ดูถูก)

โหย่วเผิงกล่าวว่า เขาน่าจะเป็นเหยื่อสังเวยของระเบียบบางอย่าง เพราะหลังจากที่ได้สัมผัสวิชาชีพเฉพาะด้านนี้แล้ว ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีใจรักในด้านนี้สักนิดเลย จะต้องไปทำแผงผังกับเครื่องจักรตลอดวัน “ผมนึกถึงการเปลี่ยนคณะ ไปเรียนบริหารธุรกิจ นี่ก็เท่ากับว่าผมต้องเปลี่ยนจากคณะพวกชีววิทยาไปเป็นคณะศิลปศาสตร์ บริหารก็เป็นคณะหนึ่งที่นิยมมากของวิชาชีพ คะแนนเฉลี่ยนต้องถึงเก้าสิบถึงจะเปลี่ยนได้ คะแนนเฉลี่ยของผมแค่เจ็ดสิบห้าคะแนน แน่นอนเปลี่ยนไม่ได้ ฉะนั้นผมเลยตกอยู่ในสภาพที่ผะอืดผะอม อีกด้านหนึ่งเขาได้ลงหน่วยกิตวิชาบริหารไปด้วย แต่ทางโน้นก็ไม่ยอมรับ อีกด้านหนึ่ง วิชาชีพนี้ไม่มีคะแนนก็ไม่สามารถจบได้"

“ตอนนั้นในทันใดผมมีข้อสงสัยอย่างนี้ ผมได้อ่านหนังสืออย่างจริงจังอย่างนี้ ก็เพื่อสร้างภาพไกวๆหู่ในใจของทุกคน หรือว่าเรียนเพื่อตนเอง ตอนนั้นคนอื่นดูผมเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ทั้งเรียนหนังสือเก่ง ทั้งทำงานเป็น อาจพูดได้ว่า การงานของผมในระดับหนึ่งนั้นสร้างอยู่ในการเรียนของผม แต่การงานที่มากมายนั้นทำให้ผมไม่สามารถที่จะทำการบ้านให้ดี ผมหาความสมดุลของทั้งสองไม่เจอ ตอนมหาลัยปีที่สาม ซูโหย่วเผิงพักการเรียนไปแล้ว

748
<a href="http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3b09d940.pbw" target="_blank" class="new_win">http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3b09d940.pbw</a>

ซูโหย่วเผิง :อย่าเรียกผมเสี่ยวไกวอีก

20 ปีก่อน เสือน้อยสามตัว(วงเสี่ยวหู่ตุ้ย)ที่ต่างไสตส์ได้ทะลุเข้ามาสู่สายตาพวกเรา พวกเราเยาว์วัยไร้ศัตรู จิตใจปราดเปรียวได้บีบบังคับเราให้คล้อย ชั่วระยะเวลาอันสั้นได้พัดลมเสี่ยวหู่ตุ้ยแห่งเอเซีย

เริ่มจากเวลานั้น คนหนึ่งที่เคยมีนามว่า “เสี่ยวไกว” ผู้เป็นชายที่น่ารักได้ทะลวงเข้าไปในสายตาของทุกคน และได้ทะลวงเข้าไปในใจของคนอย่างนับไม่ถ้วน ช่วงเวลาเดียวก่อกวนน้ำฤดูใบไม้ผลิตหนึ่งบ่อ ยากจะลืมผู้ร้อง "เพลงชิงผิงกว่อเล่อเหยียน" อย่างเขา อาจจะในเวลานั้นเขาคลุมเคลืออย่างยิ่ง แต่เป็นความคลุมเคลืออันนั้นให้พวกเราได้ตัวตนแท้จริงของเขา

นับทางบันเทิงนานร้อยปีอย่างละเอียด มีสักกี่คนให้ความแท้จริงแก่พวกเรา อย่างอื่นก็ไม่เอ่ยถึง อย่างน้อย "ซูโหย่วเผิง" ก็ได้เป็นตัวตนแท้จริงของตัวเองมาตลอด ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่จำต้องพยายามพิสุจน์ตัวเองอย่างสุดๆ พยายามหลุดพ้น “ไกวไกวหู่” ฉายานี้ กลับทำงานที่หนักที่ไม่ได้รับคำชม เขาสามารถแสร้งทำเป็นไกว(เด็กดี)ของเขาพึ่งจะได้รับการชื่นชอบจากผู้ชมมากกว่านี้ มาเสพความสบายชื่อเสียงที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ จำเป็นด้วยหรือ?

ใยจะต้องเพื่อกับพวกอันคำที่เรียกว่า “ทำตัวเอง” ประเภทของคำพูดที่เลื่อนลอยจนทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปจนไม่สามารถที่จะทนไหว รับความกดดันที่มากมายกับคำตำหนิล่ะ? ผมคิดว่า นี่ก็เพราะเขาคือ "ซูโหย่วเผิง" เขาไม่ชอบเสแสร้ง พูดอย่างจริงๆว่า ธาตุแท้ของเขาก็คือเสแสร้งไม่เป็น เขาเองก็ไม่น่าจะเสแสร้ง แน่นอนเขาก็เข้าใจระเบียบของแวดวงที่เขาอยู่ แต่เขาก็ยอม “เข้าดินเลนแต่ไม่ถูกกลืน” ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าหลังเขาปล่อยธาตุแท้ของการทรยศแล้วจะได้รับอะไร ?

สิ่งเหล่านี้เขาไม่เป็นไร ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจเลย(แคร์) แต่ไม่ใช่เป็น "ซูโหย่วเผิง" ที่ทุกคนจิตนาการณ์ไว้ ยืนยันตนเองจะทุ่มเท การทุ่มเทของเขานั้นก็คือการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและผะอืดผะอมในเวลานั้น แต่น่ายินดี "ซูโหย่วเผิง" ทนผ่านมาแล้ว ใช้ใบหน้าที่เปลี่ยนใหม่หมดปรากฏต่อหน้าทุกคน ครั้งนี้ บุคคลทั่วไปจะไม่เรียกเขาว่า “เสี่ยวไกว”(เด็กดี) และก็จะไม่เรียกเขาว่า “ซูโหย่วเผิง” แต่เป็นคำหนึ่งที่รู้สึกใกล้ชิดอย่าง “อู่อาเกอ”(พี่ห้า) แม้ว่า “อู่อาเกอ” ให้เขาหลุดพ้นในช่วงเวลาที่ตกหลุมแล้วผะอืดผะอมไป แต่ก็เชื่อว่าจะกระทบในหัวใจของเขาอีกครั้ง ถึงแม้ความใฝ่ฝันจะหยิบขึ้นมาเปิดหนทางแห่งศิลปิน แต่ใจขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่าการจะพิสูจน์ตัวเองนั้นเป็นการสิ่งที่ยากมาก

เป็นตัวของตัวเองนั้นก็ยากจริงๆ ให้คนอื่นเรียกชื่อของเขาโดยไม่ให้ผิดนั้นก็ยิ่งยาก คนที่สนใจ "ซูโหย่วเผิง" นั้นก็สังเกตได้ทุกครั้งที่ทักทายกันก็จะพูดคำหนึ่งที่ง่ายๆ “สวัสดีทุกๆคน ผมชื่อ "ซูโหย่วเผิง” นี่เป็นการเตือนของเขาต่อทุกคน เขาไม่ใช่ “ไกวๆหู่” ไม่ใช่ “อู่อาเกอ” เขาคือ “ซูโหย่วเผิง” “ไกวๆหู่” กับ “อู่อาเกอ”ล้วนเป็นเพียงแค่ไฟสารแมกนีเซี่ยมของตัวเขา ซูโหย่วเผิง ถึงจะเป็นตัวตนของตัวเอง



แน่นอน ตัว โหย่วเผิง กับ อู่อาเกอก็มีความเหมือนกันอยู่บ้าง ยกตัวอย่าง พวกเขาล้วนเป็นผู้มีจิตใจงามทั้งมีความลึกซึ้ง ชีวิตรักของโหย่วเผิงเป็นดั่งเส้นหมี่อย่างนั้น ยากจะไปวิจารณ์ โดยแก่นแท้แล้วจะต้องเหลือบริเวณที่จะสามารถให้จิตใจของเขาได้หายใจ พวกเราไม่สามารถคาดเดามั่วๆ เพียงให้เขามีความสุขก็พอแล้ว ส่วนจิตใจที่งามของเขา ผมคิดว่าผมมีคุณสมบัติพอที่จะวิจารณ์ หลายปีนี้ โหย่วเผิงทุ่มเทกับงานกุศลแม้จะพูดได้ว่าดาราศิลปินทำการกุศลเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ต้องดูท่านที่ในใจตัวเองของเขา เหมือนอย่างการทำสวยวิจิตร โหย่วเผิงใช้กำลังความคิดมากมายของตัวเองไปทำสวยวิจิตร เช่นนั้นสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือใคร ไม่ว่าเป็นใคร จะไม่เป็นตัวเขาเองอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังดำเนินการสวยวิจิตรไปให้ถึงที่สุด ยังสวยวิจิตรอย่างงาม การมองของตัวเขาเองแล้ว “การให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” งั้นก็ให้พวกเราอวยพรเขาจบการทำสวยวิจิตรอย่างสมบูรณ์

20 ปี จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ยี่สิบปีเปลี่ยนไปหมดแล้ว ใบหน้าของซูโหย่วเผิงนั้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวัน ใคร่ครวญเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวันแต่จิตใจที่แท้จริงดวงนั้นก็ยังเหมือนเดิม เชื่อว่าแฟนๆเพื่อนๆที่ติดตามเขามานานหลายปีไม่ใช่ใบหน้าที่ดีของเขาอย่างเด็ดขาด พูดตามจริง ในวงการบันเทิงนั้นก็มีดาราหน้าใหม่อยู่ทุกวัน อยากได้พวกหล่อๆนั้นมีมากจริงๆ นอกจากหน้าตาแล้ว สำคัญที่สุดก็คือดวงจิตใจ หวังว่าอีกยี่สิบปีต่อไปของโหย่วเผิงนั้น จะอยู่เพื่อตัวเอง อย่ารู้สึกว่าติดหนี้คนอื่นทั่วไปหมด อย่าให้ตัวเองยังมีชีวิตอยู่อย่างแคร์ความรู้สึกคนนั้นคนนี้อีก จะต้องคิดเพื่อตัวเองให้มากๆ บางครั้งก็โกรธคุณจริงๆ ดีต่อทุกคน แต่ไม่ดีต่อตัวเอง จำไว้ ทีหลังอย่ารู้สึกไม่เสียใจต่อตัวเอง ไม่อนุญาตเกิดการขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง ต้องรักตัวเองให้มากหน่อย ดีไหม สุดท้าย ก็ยังยากจะหลีกเลี่ยงที่จะอวยพรตามประเพณีว่าให้คุณยิ่งอยู่ยิ่งดี คำพูดเป็นหมื่นๆคำมันอยู่ในการไม่พูด

749
SCOOPS & SPECIALS / 2003 กล่าวถึงวัยแตกหนุ่มโหย่วเผิง
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2010, 06:04:42 pm »

กล่าวถึงวัยแตกหนุ่มโหย่วเผิง

วันเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เริ่มแรกที่ได้ฟังเพลง( I Only Want You To Love Me) โหย่วเผิงนั้นยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ทิ้งความเป็นเด็กเลย แต่เวลาผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ไกวๆหู่ในอดีตนั้นได้กลายเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มจากวัยรุ่นต่อสู้ไปจนถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ พวกเราล้วนเห็นถึงในระยะเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมาเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอด

ไกวๆหู่ที่ไม่ไกว(ไกวคือเด็กเชื่อฟังหมายถึงเด็กดีที่ไม่เชื่อฟัง)

แม้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นจะได้รับฉายาว่าไกวๆหู่ แต่โหย่วเผิงก็ยังกล่าวว่าแท้จริงเขาเป็นเด็กที่ซนคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ซุกซนมากแต่การเรียนของเขาก็อยู่ในเกฑณ์ที่ดีมาก ด้วยเหตุนี้ โหย่วเผิงก็ได้กล่าวอย่างไม่อายว่า “ผมเป็นพวกหนอนหนังสือ ในชีวิตนั้นนอกจากอ่านหนังสือแล้วก็คืออ่านหนังสืออีก” ฉะนั้นโหย่วเผิงก็เก่งในหลายๆวิชา จากคิดเลข ไวยกรณ์ รวมทั้งคีบอร์ดอีกด้วย จนได้กลายเป็น เด็กหนุ่มที่มากด้วยความสามารถ

หลังจากจบประถมศึกษาแล้ว โหย่วเผิงเกือบจะได้เป็นผู้ให้คะแนนการสอบคีบอร์ดของโรงเรียนเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าฝีมือของเขานั้นสูงส่งขนาดไหน แม้ว่าในช่วงมัธยมจะขาดจากการเล่นคีบอร์ดไป แต่ก็เห็นว่าเมล็ดแห่งคีบอร์ดนั้นได้ถูกหว่านเข้าไปในชีวิตของเขาไปแล้ว


ความใฝ่ฝันเป็นดาราในวัย 17

อายุ 17 โหย่วเผิงได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง เขาในตอนนั้นก็ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง “แต่เด็กผมเองก็เรียนดนตรีแล้ว และชอบร้องเพลงด้วย ตอนเรียนมัธยมเหตุที่ชื่นชอบศิลปิน คือมาดอนน่า จงเซิงหมิง เส่าเหนียนตุ้ยเป็นต้น ฉะนั้นก็เริ่มฝันอยากเป็นดารา เมื่อเห็นรายการ(ชิงชุนต้าตุ้ยคั่น)ได้เชิญชวนสมัครเป็นผู้ช่วย ผมก็ไปสมัครด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นไม่เคยคิดว่าจะได้มีการออกอัลบั้ม เพียงแค่ทำงานเป็นอาชีพเท่านั้น” โหย่วเผิงได้กล่าวถึงความฝันอยากเป็นดาราในวัยเด็กของเขา

“ผมในตอนนั้นเดียงสามาก ก็เหมือนเป็นหนอนหนังสอนในสายตาคนอื่น ที่ฝังใจมากๆก็คือช่วงนั้นมีรายการ(จืออิงสือเจียน)ของไทเป ทุกสัปดาห์มีการจัดอันดับ ผมเป็นแฟนคลับพันธ์แท้ของพวกเขาเลย ตอนนั้นเพลงแรกของเสี่ยวหู่ตุ้ยคือ(ชิงผิงก่อเล่อเหยียน:Green Apple Paradise ) หลังจากที่ได้เปิดแล้วอันดับก็ขึ้นอย่างรวดเร็ว สัปดาห์ที่เพลงของเราได้ติดอับดับหนึ่งนั้นผมเองก็ร้องตะโกนดังมากบอกแม่ว่า  “แม่ พวกเราได้อันดับหนึ่งแล้ว ได้อันดับหนึ่งแล้ว” จนคิดไม่ถึงว่าตัวเองได้กลายเป็นขวัญใจไปแล้ว” โหย่วเผิงกล่าว


ชื่อเสียงไม่ยั่งยืน

แล้วตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยดังแค่ไหนกัน? คนที่เกิดในช่วงปี 70 ก็จะเข้าใจดี แต่ว่ารายได้ของเสือน้อยสามตัวนี้นั้นหากจะพูดไปแล้วก็ไม่ดีนัก โหย่วเผิงกล่าวอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “ค่าตอบแทนดาราใหม่นั้นไม่สูง และทางบริษัทก็หักค่าอะไรเยอะด้วย แล้วเงินที่ได้จากการขายเทปก็ยังต้องหารสามด้วย”

เงินนั้นได้มาไม่มาก แต่ความเครียดนั้นได้มาเป็นกอง ความดังของเสี่ยวหู่ตุ้ยมากเท่าใด ความเครียดของโหย่วเผิงก็มากขึ้นเท่านั้น จนเคยคิดที่ยากจะตายด้วยซ้ำไป ในช่วงนั้นของโหย่วเผิง เขาก็ได้คิดอยู่ตลอดเวลาว่า การสอบนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา หากว่าสอบได้ไม่ดี ก็จะมีคนมาว่าเขาถ่มน้ำลายใส่เขา เหมือนกับว่าผมกำลังหลอกลวงชาวโลก ไหนบอกว่าร้องเพลงก็เก่งเรียนก็เก่งไง ตอนนี้เมื่อผมหวนคิดไปแล้ว ชีวิตที่ผมผ่านมานั้น ความกดดันที่ได้รับนั้นมันหนักกว่าคนในวัยนั้นที่จะรับได้ แม้ว่าในตอนนั้นผมเองก็ไม่เข้าใจว่าแท้จริงมันเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าผมต้องปากกัดตีนถีบเพื่อจะผ่านมันไปให้ได้”

โหย่วเผิงสอบเข้ามหาลัยดังได้ตามคาด แต่ว่าที่น่าปวดใจคือ วิชาช่างวิชาศิลปะเป็นวิชาที่เขาอ่อนมากๆ แม้ว่าจะสอบมหาลัยได้ แต่ว่าเขานั้นไม่สนุกกับการเรียนวิชาช่างยนต์เลย อีกใจหนึ่งของเขาคิดอยากจะเปลี่ยนคณะไปเรียนบริหาร เหตุที่ทั้งงานที่ทำอยู่ ทำให้เขายุ่งและไม่มีเวลา แม้ว่าจะมีการสอบเก็บคะแนน หรือสอบปลายภาคจะถึงแล้ว ทางบริษัทก็ไม่ยอมให้เขาลาอ่านหนังสือ เวลาอ่านหนังสือของเขาไม่มี แน่นอนเรื่องการบ้านไม่ต้องพูดถึง แต่สังคมก็ยังคิดว่าการเรียนของเขานั้นดีมาก ทำให้โหย่วเผิงนั้นลำบากใจเป็นอย่างมาก ทำให้เขาเริ่มคิดว่าเรียนไปเพื่ออะไร? เขากล่าวว่า “แม้หากผมจบได้ ผมก็ถือใบปริญญาใบหนึ่งมาอวด ว่าดูซิ ผมเป็นไกวๆหู่ที่พวกคุณชมนักชมหนา ผมจะแสดงบทไกวๆหู่ไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

โหย่วเผิงที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นสุดท้ายก็ลาออกจากการเรียน แม้จะลาออกแล้ว ความกดดันของเขาก็ยังมีมาก หากกล่าวถึงการลาออกจากการเรียนของเขา โหย่วเผิงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า การตัดสินใจลาออกจากการเรียนครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากจะลืมในชีวิต “หลังจากที่ตัดสินใจลาออก ก็เหมือนกับว่าฟ้ากำลังถล่มลงมา ทำให้ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะว่าการจะลาออกนั้นไม่ได้ง่ายอย่างคิดผมคิดไว้ ตอนนั้นผมยังเป็นคนที่แคร์ในสายตาความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างมาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะปล่อยวางการเรียนของผม เพราะแต่แรกทางบ้านก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ผมจะเข้าสู่วงการแล้ว กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการเรียนของผม บวกกับตัวเองซึ่งก็เป็นเหมือนหนอนหนังสือตัวหนึ่ง สิ่งเดียวที่จะทำได้ดีคือการเรียน อนาคตจะเป็นหมอหรือทนายความ สำหรับผู้ชายนั้น การศึกษาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ” โหย่วเผิงบอกว่าชีวิตในช่วงนั้นของเขานั้นถดถอยมาก ไม่เพียงแค่รับศึกจากในบ้าน เรื่องหัวใจก็ไม่รู้จะลงเอยอย่างไร ขนาดขับรถก็ยังเกิดอุบัติเหตุ ความซวยทุกอย่างมันมาประจบกันในเวลานั้น ทุกเรื่องเลวร้ายไปหมด “แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วมองย้อนหลังไปดู แท้จริงแล้วนั่นก็เป็นช่วงสั้นๆช่วงหนึ่งของชีวิตคนเราเอง สิ่งที่สำคัญคือหนทางข้างหน้าจะเดินต่อไปอย่างไร?” โหย่วเผิงเน้นว่าเขาในตอนนี้กับอดีตนั้นสิ่งที่แตกต่างกันคือ เขาในวันนี้นั้นจะไม่มีชีวิตอยู่หรือแคร์ต่อความรู้สึกของคนอื่น แต่จะเป็นตัวของตัวเอง

หลังจากที่ลาออกจากการเรียนแล้วโหย่วเผิงก็ได้ไปพักผ่อนที่อังกฤษช่วงเวลาหนึ่ง เริ่มคิดวางแผนหนทางข้างหน้าของตัวเอง สิ่งที่ผะอึดผะอมคือ แม้ว่าช่วงนั้นจะเข้าสู่วงการบันเทิงได้หกเจ็ดปีแล้ว แต่เหตุที่เข้าสู่วงการเร็วเกินไป แม้ว่าตอนนั้นเขาเองอยากจะหันไปเอาดีทางการแสดง แต่ด้วยอายุแค่ยี่สิบต้นๆของเขานั้นก็เป็นได้เพียงตัวประกอบ ยังดีที่เรื่ององค์หญิงกำมะลอได้ช่วยเขาไว้ มิฉะนั้นฝีมือการแสดงก็ไม่ดี ทำให้ผมที่เกิดมาเดียงสาอย่างนี้ต้องหมดอนาคตไป ทุกวันผมก็ได้จดบันทึกประจำวัน บอกกับตัวเองว่า "ทุกอย่างนั้นล้วนเริ่มจากศูนย์” โหย่วเผิงกล่าว

จริงๆในช่วงนั้น โหย่วเผิงเข้าสู่การแสดงโดยที่ไม่ดังเลย ในสายตาของคนอื่นแล้วเขาก็เป็นเพียงนักแสดงธรรมดาคนหนึ่ง จากจุดนี้ โหย่วเผิงอธิบายว่า “ ผมยังจำได้ว่าหลังจากที่ถ่ายละครจบแล้ว ผมได้กลับไต้หวันด้วยความภูมิใจ ตอนนั้นผู้จัดการส่วนตัวได้นำผม ไปหาค่ายละครและแนะนำให้ผมรู้จักกับผู้ใหญ่ เพื่อที่จะได้เล่นละครต่างๆ" จากนักร้องที่ตกเวทีต้องไปหาคาราวะค่ายละครต่างๆ ความปวดเจ็บของใจก็มีเพียงโหย่วเผิงเท่านั้นที่เข้าใจ

ไม่มีใครคาดคิด องค์หญิงกำมะลอพลิกชีวิตโหย่วเผิง ดังระเบิดเทิดเทิงทั่วไต้หวัน, ฮ่องกง เหมือนที่โหย่วเผิงกล่าว “ ในช่วงมือเงียบของชีวิตนั้น ไม่รู้หรอกว่าสวรรค์จะจัดสิ่งดีอะไรไว้และประทานมาให้คุณ เรื่องหลายเรื่องนั้นจะได้รับความกระจ่างก็ต่อเมื่อเราหมดสิ้นทุกอย่าง” แม้ว่าการแสดงจะให้อะไรมากมายกับโหย่วเผิง แต่สิ่งที่เขารักที่สุดนั้นไม่ใช่ละคร การเล่นละครก็มีความทุกข์ที่คิดไม่ถึง ละครหนึ่งเรื่องถ้าจะถ่ายให้เสร็จก็ต้องสี่ห้าเดือน ไม่เพียงแต่ทั้งปีไม่ได้พัก ทั้งนอนไม่อิ่มแทบทุกวัน บวกกับไม่ได้รับข่าวสารภายนอกเลย วันเวลามันทุกข์ระทมมาก แต่ว่าเมื่อคิดถึงชีวิตในการทำงานช่วงนั้นของเขา ทำให้เขายิ่งที่จะฉวยวันนี้ที่ยังมีอยู่
 
หลายครั้งโหย่วเผิงได้บอกว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่รักเดียวมาตลอด แล้วผู้หญิงตามสเปกของเขานั้นจะเป็นอย่างไร? “ไม่ชอบคนโกหก ต้องจริงใจ เข้ากันได้ นี่เป็นสิ่งพื้นฐานที่จะต้องมี” โหย่วเผิงกล่าวว่า “ยังต้องน่ารักหน่อย”

เมื่อถามถึงมุมมองในเรื่องการแต่งงาน เขาได้ตอบอย่างไม่รีรอ “ผมจะไม่รู้สึกว่าไม่แต่งงานไม่ได้ อยู่ด้วยกันก็โอเคแล้ว” โหย่วเผิงยิ้มแล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนหัวสมัยใหม่ “ผมคิดว่ากระดาษเซ็นสัญญาสมรสใบหนึ่งก็งั้นๆ บวกกับผมเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยรักเด็ก ฉะนั้นผมเพียงรู้สึกว่าขอให้เราสองคนอยู่ด้วยกันด้วยความรัก มีเวลาไปท่องเที่ยวด้วยกันก็โอเคแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นไกวๆหู่ในวัย 17  หรือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วในวัย 30 ได้มีโอกาสร่วมงานกับเขามาตลอดเวลานั้นก็เห็นว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่คงเส้นคงวาตลอด ผมคิดว่า ความเป็นกันเอง จริงจังกับการงาน นี่ก็เป็นเสน่ห์ของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาจนถึงทุกวันนี้






750
Scoop 24 ธันวาคม 2001


โหย่วเผิง แท้จริงเป็นคนอย่างไรกันแน่?

ความเดียงสาที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

โหย่วเผิงในสายตา

หน้าตาของโหย่าวเผิงกับในอดีตนั้นได้เปลี่ยนไปมาก จากการสัมภาษณ์ในวันนี้ เห็นถึงสีผิวที่ถูกแดดเผา เริ่มที่จะไว้ผมยาวและทั้งยังแต่งชุดสีดำด้วย ทำให้รู้สึกแปลกๆ มีความแตกต่างจากความสง่าในอดีตไป หรือว่านี่คือการโตเป็นผู้ใหญ๋แล้ว? โหย่วเผิงที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ ฉันสามารถพูดได้ว่า เขามีความป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น ดูไปแล้วมีความมั่นใจมากขึ้น

โหย่วเผิงในเสี่ยวหู่ตุ้ย

ถามถึงเสี่ยวหู่ตุ้ยในอดีต โหย่วเผิงได้ชะงักไปครู่หนึ่ง เชื่อว่าเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว

“อดีตนั้น ผมเป็นไกวๆหู่ในวงเสียวหู่ตุ้ย ตอนนั้นผมเองก็ยังเป็นนักเรียนอยู่ เรื่องภายนอกของสังคมนั้นผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้เท่าไหร่ ซื่อมากๆ ตอนนั้นผมเองก็ได้แต่ตั้งใจในการเรียนและร้องเพลง แทบจะไม่เข้าใจเรื่องอื่นเลย”

หลังตอบคำถามเสร็จแล้ว โหย่วเผิงก็ได้เงยหน้ามองเพดานอีกครั้ง แล้วเสริมอีกว่า ก็ยังเดียงสาเหมือนเดิม

โหย่วเผิงที่หลังแยกวง

หลังจากที่แยกวงไปแล้วโหย่วเผิงก็ไม่เหมือนช่วงอยู่เสี่ยวหู่ตุ้ย เมื่อก่อนมีเรื่องอะไรจะเป็นเราสามคนช่วยกันแบ่งเบา แต่มาวันนี้มีเพียงตัวผมคนเดียวที่จะรับแบกมัน

“ฉะนั้นจึงว่าเรื่องหลายๆเรื่องทำให้คิดได้ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก่อนถ้าไปถึงต่างถิ่นก็จะไม่คุ้นต้องใช้เวลาปรับตัวไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้นั้นไม่ต้องใช้เวลามากมายในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมอย่างนั้นแล้ว นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของผม ฉะนั้นผมจึงมีความเชื่อมั่นต่อตัวเองเป็นอย่างมากสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

ตลอดเวลานั้นก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็คือตัวเองเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง


โหย่วเผิงในเวทีละคร

หลายคนเริ่มแรกรู้จักโหย่วเผิงจากทางละครทีวี จนบางคนนั้นแทบจะไม่รู้ว่าโหย่วเผิงก้าวสู่วงการโดยเป็นนักร้องมาก่อน ด้วยเหตุนี้เองเลยทำให้โหย่วเผิงหันไปเน้นในการแสดงมากกว่าร้องเพลงหรือเปล่า?

“การแสดงนั้นเป็นอาชีพที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในชีวิตผมเป็นอย่างมาก (องค์หญิงกำมะลอ) ที่เล่นเป็นอู่อาเกอ กับ มันต์รักในสายฝน ที่เล่นเป็นตู้เฟย สองตัวละครนี้มันฝังลึกเข้าไปในหัวใจของคนดูเป็นอย่างมาก แวดวงการแสดงนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากมายในการไปเข้าใจกับตัวบท ตัวผมในการแสดงกับตัวผมในการร้องเพลงนั้นมันต่างกัน”

ตอนนี้โหย่วเผิงหวังที่จะเล่นบทของจางอู่จี้ในเรื่องดาบมังกรหยก ในภาคต่อไปเป็นอย่างมาก หากว่าถูกทาบทามไปรับบทต่ออีก ความสำเร็จก็จะสูงมาก โหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวเองนั้นได้ทุ่มเทเวลากับการแสดงเยอะมาก แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร


โหย่วเผิงในเวทีนักร้อง

ห้าปีให้หลังจะขอออกอัลบั้มเพลงหนึ่งชุด โหย่วเผิงเปิดเผยว่าเหมือนกับตัวเองเกิดใหม่อีกครั้ง

“ภายในห้าปีนี้ ผมเองมีแต่งานการแสดง แฟนเพลงหลายคนก็คิดว่าผมลืมอาชีพการร้องเพลงไปแล้ว ฉะนั้นผมเลยบอกกับตัวเองว่า เวลาที่เหลือว่างหลังจากนี้ก็จะตั้งใจในการทำอัลบั้ม”

อาชีพนักร้องที่เขาเข้าใจคือ หากแต่จะร้องเพลงอย่างเดียวนั้นก็คงจะไม่พอ เขาเลยรับงานอย่างอื่นไปด้วย ในระยะอันใกล้นี้จะเปิดคอนเสิร์ต จะนัดพบเจอกับแฟนเพลงของเขาสักครั้งซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในความฝันของเขา


โหย่วเผิงในบทของอู่อาเกอกับตู้เฟย

อู่อาเกอและตู้เฟยในเรื่ององค์หญิงกำมะลอกับมนต์รักในสายฝน ตัวละครสองบทนี้เป็นที่รู้จักและฝังใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก  “อู่อาเกอในเรื่องนั้นเป็นคนที่เพอร์เฟคมาก ไม่ว่าจะเป็นความรักต่อแฟน ต่อเพื่อน ต่อพ่อแม่มันซึ้งมาก มันครบถ้วนจริงๆ แต่ตู้เฟยในเรืองมนต์รักในสายฝนกับองค์ชายห้านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าสภาพครอบครัวของตู้เฟยจะยากจน แต่เขาก็เป็นคนที่ดีต่อเพื่อน ต่อแฟน อย่างจริงใจ

โหย่วเผิงรู้สึกพอใจกับสองบทบาทนี้ เพราะมีอะไรหลายๆอย่างให้แสดงออกและพัฒนาได้

“จุดเหมือนกับของทั้งสองเรื่องนี้นั้น คือพวกเขาทั้งสองเต็มไปด้วยจิตใจที่ดีงามและการรู้จักให้อภัย นี่ก็เป็นนิสัยของผม ฉะนั้นเวลาที่จะถ่ายทำนั้นก็ไม่ได้ยากมากเท่าไหร่ แน่นอน ผมเองก็จะค้นหาบทที่แตกต่างออกไปในการที่จะพัฒนาตัวเองในการแสดงต่อไป”


โหย่วเผิงในสายตาของโหย่วเผิง

นักแสดงมากมายในภาพบนจอนั้นเป็นอย่างหนึ่ง มีภาพลักษณ์ที่ดี แต่ชีวิตส่วนตัวหรือเบื้องหลังชีวิตนั้นก็เป็นอีกอย่างหรือไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แล้วโหย่วเผิงจะมีชีวิตนิสัยอย่างอื่นที่ไม่ปรากฏหรือเปล่า

“ชีวิตหลังละครของผมนั้นเป็นคนที่เรียบง่าย จะไม่ไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบทำ ในด้านทัศนะความคิดนั้นผมเป็นคนเปิดกว้าง ผมมักจะชอบลองอะไรที่ใหม่ๆ ชอบเปลี่ยนแปลง เพราะเหตุนี้เองจึงสามารถทำให้ผมพัฒนาตัวเองได้ “

“จริงๆแล้วผมเป็นคนที่จิตใจดี”






หน้า: 1 ... 36 37 [38]