แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Chomnath

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7
81
MingXing : Vol.19 June 2005 P.46-49

ซูโหย่วเผิงดังไกลถึงแดนปลาดิบเทียบชั้น F4 ยังได้ฉายา "เบยองจุนไต้หวัน"



หลังจากที่ เบยองจุน (bae Yong Jun) ดาราหนุ่มหล่อชาวเกาหลี โด่งดังลัดฟ้าไปคว้าใจสาวญี่ปุ่นมาครองได้อยู่หมัด ถึงขนาดที่อัลบั้มภาพของเขาออกวางขายราคาแพงสูงลิบลิ่วถึง 1,300 หยวน สาวน้อยสาวใหญ่แดนปลาดิบก็ยังอยากแย่งกันซื้อหามาครอบครองกันให้วุ่น รวมถึงอัลบั้มภาพของหนุ่มหล่อจากไต้หวันอย่าง F4 และไจ่ไจ๋ ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามียอดขายกระฉูดด้วยความหล่อกระชากใจสาวที่นั่นเช่นกัน แต่เมื่อผลงานละครโทรทัศน์ซีรีย์ใหม่เรื่อง "ฉิงติ้งอ้ายฉินไห่"(Love of the Aegean Sea) ที่มีหนุ่มหล่อจากไต้หวันอย่างซูโหย่วเผิง ประกบดาราสาวสวยจากเกาหลีอย่าง แชริม(Chae rim) ได้ออกฉายที่ญี่ปุ่น พระเอกของเรื่องซูโหย่วเผิงก็กลายเป็นขวัญใจสาวญี่ปุ่นไปทันที กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนแดนปลาดิบ ถึงขนาดยกฉายา "เบยองจุนแห่งไต้หวัน" ให้เขาไปครอบเอาด้วยเสียเลย ทำให้งานเขียน งานเพลงของซูโหย่วเผิง ถูกถามหาและขายดิบขายดีที่ญี่ปุ่นตามไปด้วย และยังมีแววว่าจะถูกดึงตัวไปเซ็นสัญญาร่วมงานแสดงกับทางบริษัทผลิตงานบันเทิงของญี่ปุ่นทั้งหลายแหล่อีกด้วย


นอกจากนี้ บรรดาสื่อมวลชนญี่ปุ่นยังเขียนถึงซูโหย่วเผิงว่า เป็นดาราไต้หวันที่มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวคนหนึ่ง อย่างบทบาทในเรื่อง "ฉิงติ้งอ้ายฉินไห่"(Love of the Aegean Sea) เขาแสดงเป็นชายหนุ่มวัย 30 ที่มีครบทั้งความสุขุมนุ่มลึกแบบผู้ใหญ่ แล้วยังหล่อทันสมัย อย่างนี้แหละที่โดยใจสาวญี่ปุ่นสุดๆ ส่งผลให้เกิดการวมตัวพบปะกลุ่มคนรักซูโหย่วเผิง และจัดทำเว็บไซต์แฟนคลับให้เขาขึ้นด้วย อีกทั้งตามแผงร้านหนังสือหรือร้านขายเพลงต่างๆในกรุงโตเกียว ก็มีภาพและผลงานของเขาออกวางขายให้พรึ่บไปหมดเช่นกัน รวมถึงพวกงานแสดงก่อนๆ ที่ผ่านมาของเขาอย่างเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ เราสองหัวใจเดียวกัน หรือมนต์รักในสายฝน เป็นต้น ก็เตรียมจ่อคิวออกฉายที่ญี่ปุ่นในไม่ช้า เพื่อตอบรับกระแสความดังของเขา

ในอดีตปี ค.ศ. 1991 ซูโหย่วเผิงเคยถูกเชิญไปแสดงในงานเลี้ยงสังสรรค์ของนักเรียนจีนที่ญี่ปุ่น ซึ่งตัวเขาเองได้ไปในฐานะหนึ่งในสามแห่งสมาชิกวง "เสี่ยวหู่ตุ้ย" ซึ่งจัดเป็นวงดนตรีที่โด่งดังสุดๆ ของไต้หวันในสมัยนั้น คิดไม่ถึงว่า 14 ปีต่อมา เขาจะได้หวนสู่วงการบันเทิงญี่ปุ่นอีกครั้ง ซูโหย่วเผิงว่าดารานักร้องของจีน ฮ่องกง ไต้หวันมีอยู่มากมาย สำหรับเขาจะขอเลือกรับงานแสดง เพื่อนำเสนอผลงานดี ๆ ยกระดับตัวเองสู่ตลาดภายนอกแข่งกับดาราญี่ปุ่น เกาหลี


แฟนคลับทุกคนเป็นเพื่อนผม

หลายคนจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีสำหรับซูโหย่วเผิงนักแสดงหนุ่มไต้หวันซึ่งมีผลงานโด่งดังมาจากละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอ และมนต์รักในสายฝน และเมื่อเร็วๆ นี้เขาได้ไปร่วมงานเทศกาล ว่าวนานาชาติที่เหวยฝาง แน่นอนว่ามีแฟนละครไปรอต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียว


ทันทีที่ซูโหย่วเผิงปรากฎตัวในเสื้อหนังพร้อมกับทรงผมดัดย้อมสีทอง แฟนๆต่างก็ตะโกนเรียกกันสนั่น ซูโหย่วเผิงหยิบเอาเพลง "ไคว่เล่อจู่อี้(ชีวิตแสนสนุก) มาร้องโชว์แถมด้วยเพลงตัวอย่าง "หนี่ซื่อหว่อเตออีตีเล่ย(เธอคือหยดน้ำตาของฉัน) ซึ่งใช้ประกอบละคร "ฉิงติ้งอ้ายฉินไห่"(Love of the Aegean Sea) ที่เขาแสดง และยิ่งเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนเพลงไม่หยุดเมื่อนำเพลง "อ้าย"(รัก) เพลงดังของวงเสี่ยวหู่ตุ้ยมาร้องอีกครั้ง

"มาเหวยฟางในครั้งนี้ผมมีความสุขมาก ผมชอบว่าวที่ลอยอยู่บนฟ้า ส่วนงานคอนเสิร์ตวันนี้ทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ"

"ทั้งที่ไต้หวันและเมืองจีนทุกคนล้วนรักผม ผมมีความสุขที่สุดเลยครับ"


แฟนเพลงของซูโหย่วเผิงมาจากหลายๆที่ทั้งที่ชิงเต่า เว่ยไห่ เยียนไถ ตงยิ๋ง บางคนหอบช่อดอกไม้ใหญ่มาให้ บางคนก็มีของที่ระลึกติดไม้ติดมือกันมา และเมื่อรู้ว่าซูโหย่วเผิงยินดีให้นักข่าวสัมภาษณ์แฟนเพลงเหล่านั้นก็อยากที่จะตามเข้าไปดูและขอถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด

ทำไมทุกคนถึงได้ชื่นชอบซูโหย่วเผิงมากขนาดนี้? แฟนที่มาจากชิงเต่าคนหนึ่งกล่าวว่า "ฉันว่าเขานิสัยดีค่ะ เป็นมิตร สุขุม ร้องเพลงเพราะ"

เมื่อนักข่าวถามซูโหย่วเผิงว่าเพราะอะไรเขาถึงสามารถครองใจแฟนๆได้ ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า "ทุกคนมีน้ำใจกับผมมากครับ พูดจริงๆนะ แฟนเพลงทุกคนก็เป็นเพื่อนของผม" แน่นอนว่าแฟนๆ ที่มาจากไต้หวันนั้นก็ไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะอะไรน่ะเหรือ ก็เพราะว่าเขาตามเพื่อนของเขามาน่ะสิ

ในอัลบั้มเดี่ยว "Sound of rain sound of wind and sound of su" ของซูโหย่วเผิงมีเพลงพิเศษเพลงหนึ่งซึ่งเขาตั้งใจมอบให้กับแฟนเพลงคนหนึ่งโดยเฉพาะ นั่นก็คือเพลง "เทียนตี้อีชาโอว"(โลกของนกทะเล) เนื่องจากแฟนเพลงคนนั้นป่วยเป็นโรคโลหิตจางขั้นรุนแรงแม้แต่หมอที่รักษาก็บอกว่าเธออาจจะอยู่ได้ไม่เกินอายุ 13 เป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานเพราะเธอต้องทำการถ่ายเลือดทุกวัน ความหวังเดียวที่หัวใจดวงน้อยมีอยู่ก็คืออยากจะได้พอเจอซูโหย่วเผิงสักครั้ง เมื่อซูโหย่วเผิงได้รู้เรื่องนี้ก็รีบไปหาเด็กคนนั้นเพื่อเป็นกำลังใจและต้องการให้เธอลุกขึ้นมาสู้กับโรคร้ายอีกครั้ง เพลง "เทียนตี้อีซาโอว" ที่ซูโหย่วเผิงร้องเป็นเพลงโปรดของเธอในช่วงที่เธออาการหนักก็เป็นเวลาเดียวกับที่การงานของซูโหย่วเผิงอยู่ในขาลง เพลงนี้จึงเป็นเหมือนกำลังใจให้กับทั้งสองเพื่อประคับประคองชีวิตและศรัทธาที่มี ซูโหย่วเผิงเคบวอกว่า "พอความอบอุ่นพัดผ่านเข้ามา ลมหนาวก็จะมลายไป "

เมื่อต้องเปลี่ยนจากเส้นทางศิลปินมาสู่ถนนนักแสดง ซูโหย่วเผิงนั้นดีใจแต่ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ แม้ว่าในการแสดงเรื่ององค์หญิงกำมะลอ บทที่เขาได้รับจะเป็นบทนิ่งๆ มีกรอบกำหนด แต่ตัวละครองค์ชายห้ากลับเข้าไปครองใจผู้ชม และตัวละครนี้เองที่ทำให้ซูโหย่วเผิงได้ผงาดขึ้นมาในวงการละคร "นิสัยของผมกับองค์ชายห้าต่างกันนิดหน่อย องค์ชายห้าจะค่อนข้างซื่อๆ เรียบร้อย ผมว่าผมจะร่าเริงกว่า ตลกกว่า ไม่ใช่คนเงียบๆ อย่างนั้น" ตั้งแต่เวลานั้นฉายาเขาก็เปลี่ยนไปเป็น "อู่อ้าเกอ" (องค์ชายห้า)

ในงานเทศกาลว่าวนานาชาติที่เหวยฝาง ศิลปินที่ได้รับเชิญให้ขึ้นร้องคนแรกคือจ้าวเหวยหลังจากนั้นก็คือซูโหย่วเผิง หลังการแสดงเมื่อนักข่าวถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับจ้าวเวย ซูโหย่วเผิงตอบว่า "ผมกับจ้าวเวยเป็นเพื่อนกันครับเธอเป็นคนตรงๆ เปิดเผย เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ผู้หญิงจุกจิกวุ่นวาย เวลาอยู่กับเธอพูดได้เลยว่าเหมือนอยู่กับเพื่อนรักคนหนึ่ง" และเมื่อนักข่าวถามว่าภายหลังเขาคิดจะเอาดีทางด้านผลงานหนังและละครเลยใช่หรือไม่ ซูโหย่วเผิงว่า "ผมจะเอาพลังที่มีอยู่ทั้งหมดทุ่มลงไปในงานเพลงของผม ผมคิดว่าเมื่อผมร้องเพลงบนเวทีผมเป็นตัวของตัวเองที่สุด บางครั้งเมื่อแสดงละครมากๆ ผมก็เบื่อที่จะต้องสวมบทบาทเป็นคนอื่น เพราะไม่ว่าจะรับบทไหนก็ต้องรับเอานิสัยและความเป็นตัวตนของคนๆนั้นมาด้วย ผมอยากเป็นตัวของตัวเองมากกว่าครับ"

82
Stage Play / วันซ้อมใหญ่
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 09:14:12 AM »




83
Stage Play / โปรโมทละครเวที-หอมดอกเบญจมาศ
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 09:09:56 AM »





84
Stage Play / โปรโมทละครเวที-หอมดอกเบญจมาศ
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 08:45:11 AM »

85
Stage Play / แถลงข่าว-หอมดอกเบญจมาศ (SOHU)
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 08:40:27 AM »



87
ข้อความจากลายมือซูโหย่วเผิง ปี 1993


ช่วงเวลานี้ ได้รับจดหมายจากผู้ปกครองและนักศึกษามัธยมปลายอย่างมากมาย หวังว่าผมได้เสนอเรื่องรักการเรียนหนังสือและวิธีเตรียมตัวเข้าร่วมสอบ ช่วงเวลาหนึ่ง ความรู้สึกตื้นตันที่ประมาณไม่ได้ผุดขึ้นมาจากใจ ซึ่งผมรู้สึกลึกๆว่าการเป็นนักแสดงคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ ทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ยังต้องทำเพื่อบุคคลที่เอาใจใส่ต่อตัวผมเป็นอันมากร่วมอยู่ด้วย

อายุ 15 ปีก่อนหน้านั้น ผมคือบุคคลธรรมดาๆคนหนึ่ง คนรู้จักตัวผมต่างเรียกผมว่า "ซูโหย่วเผิง" ก็คล้ายในสายตายทุกคนเหมือนพวกนักเรียนอยู่ภายใต้แรงกดดัน การเปิดภาคการเรียนเช่นเดียวกัน สวมแว่นสายตาสั้นอันหนาลึก แบกกระเป๋าเรียนอันแสนหนัก ได้วิ่งเต้นบากบั่นระหว่างครอบครัวโรงเรียนและห้องกวดวิชา วันอาทิตย์เป็นวันหยุดสัปดาห์คิดอยากออกไปข้างนอกดูหนัง ก็รู้สึกไม่สบายใจนัก เวลาหลังเลิกเรียนไปพร้อมกับพวกนักเรียนที่บนท้องถนนแถวห้องกวดวิชาซื้อเต้าฮวยกิน เดินไปพลางกินข้าวโพดไปพลางช่างมีความสุขเหลือเกิน

เวลานั้นในกระเป๋าของผมมีแต่พกเงินไม่กี่สตางค์เสมอ ก็ไม่มีใครคอยมามองผมนัก ผมอยู่อย่างอิสระมากเป็นตัวของตัวเองด้วย บัดนี้หวนคิดขึ้นมา เวลานั้นถึงแม้ว่าแบกภาระอันหนักหน่วงของแรงกดดันในการเปิดภาคการเรียน แต่มีชีวิตช่วงที่มาคงไม่เคยผ่านความรู้สึกที่มีอิสระมาก่อนเลย

สาธารณะรัฐประชาชนจีน ปี 77 เดือน 7 (ในปีนั้นก็จะมีอายุครบ 16 ปี) ได้รับการคัดเลือกและเป็นนักร้อง ภายใต้ วงเสี่ยวหุ่ยตุ้ย ยังไม่ทันดูให้ชัดเจนว่าความโอ่อ่าวิไลของวงการแสดงนี้ก็ถูกครอบด้วยชื่อเป็น "เสือน้องแสนเชื่อง" หลังจากนั้นการดำรงชีวิตของผมทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาเลย

88
ซูโหย่วเผิงสมัยเรียนเรียงความ

(เสียงดังเกินไปแล้ว หยุดเงียบครู่หนึ่งได้เปล่า ) ซูโหย่วเผิง

ผมชินกับเวลาเรียนต้องปิดหู อย่างนี้ แม้ว่าข้างนอกนั้นจะเสียงดังขนาดไหน ผมสามารถที่จะนิ่งสงบได้ ขณะที่นั่งลงแล้ว การหมุนปากกานั้นบางครั้งนานกว่าการเรียนเสียอีก เรียนหนังสือไปครึ่งเมื่อเจอข้อสงสัยไม่มีทางออกก็จะหมุนปากกา เมื่อสอบสอบไปครึ่งหนึ่งสอบไม่ได้แล้ว ก็เครียดจนหมุนปากกา คิดเรื่องต่างๆคิดไม่ออกแล้วก็จะหมุนปากกา เวลาเหม่อลอยก็จะหมุนปากกาหมุนปากกา ในบางเวลานั้นมันสามารถจะลดความเครียดลงได้

การหมุนปากกานั้นอาจไม่ใช่ความเคยชินในการเตรียมตัวเรียน แต่ว่าในสมัยนั้นนับได้ว่านักเรียนเกือบทั้งหมดนั้นก็หมุนปากกาเป็น มันสะท้อนให้เห็นว่าคนหมุนปากกาไม่เป็นนั้นถือว่าเชยมาก ตอนแรกนั้นเห็นคนอื่นหมุนเป็น ตัวเองไม่เป็น ก็รู้เลยว่าตัวเองจะต้องรีบๆในการฝึกฝนมัน ตอนใหม่ๆนั้นไม่ง่าย หมุนได้เพียงแค่ครึ่งรอบ ยิ่งกว่านั้นปากกายังตกลงพื้นประจำ ขณะที่ทุกคนตั้งใจทำข้อสอบหรืออ่านหนังสืออยู่นั้น เสียงของการหมุนปากกาที่ตกลงบนโต็ะนั้นได้ยินอย่างชัดเจน แต่ว่า มีเพื่อนนักเรียนบางคนก็เหมือนกับผมไม่ค่อยฝึกฝนจริงจังเท่าไรนัก เวลาเรียนเสียงปากกาตกบนโต๊ะนั้นทั้งของเขาของเราด้วย ตอนหลังฝึกจนชำนาญแล้ว สามารถหมุนจากหัวจรดปลาย จากปลายถึงหัว อย่างนี้เรียกว่าหนึ่งรอบ

เพื่อนนักเรียนที่มีฝีมือดีๆนั้นเก่งถึงนาดหมุนจากนิ้วกลางแล้วหมุนบนอากาศอีกสองรอบเลย อยู่ในที่หัวแม่มือกับนิ้วกลางนั้นยังเป็นหัวปากกา บางครั้งผมอยากจะฝึกให้มีลีลา อ่านหนังสือไปด้วย ทั้งยังใช้ใจทำสองอย่างในขณะเดียวกันคือหมุนปากกาไปด้วยครึ่งรอบ ตอนหลังเริ่มคล่องแล้ว เพียงแค่นั่งลง ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ ก็ได้หมุนปากกาอย่างไม่รู้ตัวเลย ครึ่งหนึ่งอยู่ในศูนย์หนังสือ เค ทันใดนั้นรู้สึกเลยว่าอ่านหนังสือไม่จบแน่ อารมร์ไม่ดีขึ้นมา หมุนปากกาอย่างแรง เครียดเกินไป สองสามทีก็ตกบนโต๊ะแล้ว จนทำให้คนที่อ่านหนังสืออยู่ข้างๆวิ่งมาหาผม เสียงดังรบกวนเกินไปแล้วนะ หยุดได้ไหม? ในโรงเรียนนั้น นักเรียนก็นิยมในการหมุนหนังสือ หมุนหนังสืออ้างอิง

ความฮิตของการหมุนหนังสือนั้นเห็นกันอย่างทั่ว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มักจะเห็นนักเรียนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อแข่งขันการหมุนหนังสือ พวกที่มีฝีมือนั้นก็สามรถเอาหนังสือเล่นใหญ่มาหมุนโชว์อย่างสวยงาม บางคนยังสามารถใช้นิ้วชี้หมุนก่อน หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นนิ้วกลาง นิ้วกลางแล้วเป็นนิ้วนาง จนจบที่นิ้วก้อย แล้วโยนขึ้นไป ตกลงมา แล้วรับ แล้วเริ่มจากนิ้วชี้อีก จะหมุนนานขนาดไหนก็ไม่ตก หน้าปกของหนังสือนั้นเหตุโดนนิ้วจี้หมุนประจำ ทำให้จุดโดนจี้ประจำนั้นกลายเป็นสีขาวไป นักเรียนบางคนยังเจาะรูในหน้าปกกลางหนังสือ บางคนเพื่อให้มีจุดรูแล้วจะหมุนได้นาน

พวกเรานอกจากเรียนหนังสือแล้วยังหาบรรยาการของการเรียนหนังสือ หาความสนุกเล็กน้อยๆอย่างนี้ มาเล่นอย่างไม่ต้องเสียอะไรมากไปเลย

89
ซูโหย่วเผิง เด็กดีในวัยเด็กแต่กลับโดดเดี่ยว

ผมเกิดในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ปี 1973 วันเกิดของคุณแม่ก็วันไหว้พระจันทร์เหมือนกัน ฉะนั้นแม่ตั้งชื่อผมว่า เผิง เป็นตัวพระจันทร์สองตัวมารวมกัน แม่บอกว่าตอนผมเป็นทารกอยู่นั้นมักชอบร้องไห้ ตัวผมเองยุ่งมาก ท่านกลัวว่าหัวผมนอนจนเอียง เลยอุ้มผมทั้งวัน ให้ผมอยู่ในอ้อมอกของท่าน

คุณพ่อของผมเป็นนักธุรกิจ คุณแม่เมื่อจบการศึกษาแล้วก็มาเป็นครู ครอบครัวของผมนั้นในไต้หวันนับว่าเป็นครอบครัวขนาดเล็ก เหตุนี้หลังจากที่ผมเกิดแล้ว คุณแม่ไม่ได้ลาออกจากงานของตนเอง มีคุณย่าเป็นคนเลี้ยงผม มีครั้งหนึ่งเมื่อคุณย่าซักเสื้อผ้า ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของผม จนน้ำตาไหลเข้าหู จนหูผมอักเสบ คุณแม่ห่วงผมมาก ต้องตัดสินใจโดยจำใจ ลาออกจากงาน ดูแลผมที่บ้าน อย่างไรก็ตามตอนที่คุณแม่ดูแลผมอยู่นั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้น

มีครั้งหนึ่งคุณแม่ไปที่ตลาด หลังกลับจากตลาด ตามหาผมทุกซอกทุกมุมก็หาไม่เจอ สุดท้ายร้องเดินร้องไห้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจข้างบ้าน แล้วมาเจอกำลังนั่งกินไอศครีมอย่างอเร็ดอร่อย ตอนนั้นบ้านผมอยู่ชั้นสอง ผมไม่รู้ว่ามาอยู่ชั้นหนึ่งได้อย่างไร ได้เดินตามล่องน้ำมา และแล้วก็หลงทางไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน เมื่อตำรวจเห็นเข้า ตอนนั้นผมอายุยังเล็ก ทั้งยังไม่สามารถจะบอกบ้านของตังเองอยู่ไหน สุดท้ายก็พาผมมาอยู่ที่สถานีตำรวจ หลังจากเรียนแล้ว ผมมีนิสัยเสียๆอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือขี้เล่น อย่างที่สองคือชอบนอน

บ่อยครั้งที่ผมเล่นเหนื่อยแล้วก็จะฟุบนอนบนโต๊ะ ตอนนั้นแม่ก็สงสัยว่าผมเป็นพวกเด็กไฮเปอร์ ครูปกครองในสมัยเรียนนั้นจนถึงตอนนี้ยังจำผมได้เลย แต่ว่าในตอนนั้นการเรียนผมนั้นดีมากๆ มักจะอยู่อันดับที่หนึ่ง คุณครูชอบผมมาก ก็เลยให้ท้ายผม รวมทั้งตอนผมอยู่ประถมก็ได้รับรางวัลหลายอย่างด้วย เช่นการชนะการแข่งทักษะ การเขียนเรียงความ การพูดที่ประชุม เป็นการประกวดที่ผมมักจะเข้าร่วมด้วย ตอนนั้นผมเกลียดเพื่อนนักเรียนที่ลอกข้อสอบมากๆ เพราะผมนั้นได้ผลการเรียนที่ดีมาด้วยความขยันพากเพียร ก็ไม่ชอบที่จะให้พวกเขาได้คะแนนดีๆโดยการเอาเปรียบผมเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อผมเห็นหรือรู้ว่าคนไหนลอกข้อสอบแล้ว ก็จะฟ้องคุณครู จนทำให้เพื่อนนักเรียนเหล่านั้นไม่ชอบขี้หน้าผมเลย และแม้ว่าการเรียนผมจะดีมาก แต่ก็ไม่เคยได้เป็นหัวหน้าชั้นเลย



90
【130302文章】苏有朋:妈妈是我最好的学校
http://tieba.baidu.com/f?kz=499813309
http://tieba.baidu.com/p/2190275779


คุณแม่ที่ดีของผม โรงเรียนที่ดีของผม

พฤศจิกายน 2005


ในสมาชิกครอบครัว ความสัมพันธ์ผมกับท่านนั้นแน่นแฟ้นที่สุด นี่อาจเกี่ยวกับวันเกิดผมกับคุณแม่นั้นเป็นวันเดียวกัน ช่วงวัยเด็ก ผมก็มีความนิยมชมชอบกับดนตรีเป็นอย่างยิ่ง คุณแม่ได้พูดกับคุณพ่อที่จะให้ผมไปสมัครเรียนเปียโน ยังสั่งทำเปียโนให้ผมอีกต่างหาก หลายปีให้หลัง สายตาแห่งความหวังของคุณแม่ที่รอคอยนั้น ผมได้เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งดนตรีอย่างเป็นทางการ

ปี 1989 ช่วงซัมเมอร์ของการจบมัธยมต้น ผมได้เข้าสู่ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”กลุ่มขวัญใจวัยรุ่นชาย ได้ออกอัลบั้มแรกของตัวเอง (เซียวเหยาอิ๋ว) ทั้งยังได้ออกคอนเสิร์ตกว่ายี่สิบครั้ง ตอนนั้น ความรู้สึกของผมในตอนนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทั้งตัว ดีใจ ทั้งภาคภูมิใจ

รอถึงเวลาของช่วงปิดเทอม ม.4 ได้เริ่มขึ้นแล้ว ใจของผมนั้นทำอย่างไรก็ไม่สามารถให้กลับสู่การเรียนได้ ผลการเรียนต่ำลง บอกให้รู้ว่า ผลการเรียนช่วงมัธยมต้นของผมนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ความกลัดกลุ้ม เบื่อหน่ายและท้อแท้มันวนเวียนอยู่รอบๆตัวผม คุณแม่เห็นสภาพดังกล่าว สุดที่จะเจ็บปวด ได้หาเพื่อนนักเรียนที่อยู่ข้างบ้านของผมอย่างเงียบๆ ขอร้องให้เขาช่วยผมในการที่จะทำการบ้านอ่านหนังสือกับผม หลังจากนี้ ทุกครั้งที่กลับจากการติวก็ย่างเข้าสี่ทุ่มแล้ว อาบน้ำอาบท่าแล้วไปที่บ้านของเพื่อนก็ประมาณห้าทุ่มแล้ว อ่านหนังสือได้ชั่วโมงเดียวก็เที่ยงคืนแล้ว เวลานั้น คุณแม่ได้รอผมที่ใต้ถุน การเดินทางไปกลับนั้นล้วนเป็นท่านเองที่ขับมอเตอร์ไซส่งผม

หลังจากที่ทำอย่างนี้ได้ช่วงหนึ่ง ผลการเรียนของผมก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้น ผมคิดอยากจะทอดทิ้งมัน วันหนึ่ง ผมไม่อยากจะไปทำการบ้านที่บ้านเพื่อนแล้ว ได้นอนโทรมอยู่ที่โซฟาอย่างอ่อนแรง ได้เปิดทีวีและมองไปอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็มีน้ำตาออกมาโดยไม่รู้เหตุ หลังจากนั้นได้คล้อยตามอารมณ์ร้องไห้ปล่อยโฮออกมา

คุณแม่รีบเดินมาโอบไหลผม ปลอบใจผม “อาเผิง เมื่อเกียรติทุกอย่างได้กลายเป็นความกดดันนั้น ลูกยิ่งต้องเข้มแข็ง แฟนเพลงคงไม่ชอบ “ไกวๆหู่” ที่ขี้ร้องไห้

จากคำพูดนี้หนุนใจที่ไม่ขาดสายของคุณแม่นั้น สุดท้ายทำให้ผมเข้าใจว่าอย่าไปยอมแพ้ให้กับความลำบากง่ายเกินไป จากนั้น ได้ผ่านความพยายามที่ไม่ท้อไม่ถอยมาสองปี ผมสอบเข้ามหาลัยไต้หวันได้อย่างสมหวัง ในตอนนั้น ผมได้เข้าสู่ บริษัทแห่งใหม่ การงาน การเรียน เรื่องเพลงก็ได้ก้าวหน้าขึ้น ขณะที่การงานผมไปได้ดีนั้น คุณแม่กลับรู้สึกไม่สบายใจ หลังที่ผมกับน้องชายคลอดนั้น คุณแม่ก็ได้ลาออกจากการสอนหนังสือซึ่งเป็นงานที่ท่านรักมาก ได้เป็นคุณแม่เต็มเวลา แต่เพราะนิสัยที่เด็ดเดี่ยวอย่างท่านนั้นไม่ยอมที่จะแบมือขอเงินกับคุณพ่อ นี่ทำให้ท่านลำบากมากๆ และแล้ว 40 ปีแล้ว คุณแม่ได้กลับไปสอนหนังสืออีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุของวัย ทำให้คุณแม่ทำงานอย่างลำบาก ผมในตอนนั้นก็รู้เรื่องแล้ว ห้ามคุณแม่ว่าอย่าไปทำอีกเลย ผมจะหาเงินเลี้ยงท่านเอง คุณแม่หัวเราะอย่างปลื้มใจว่า “ลูกยังเป็นเด็กอยู่ แม่เองไม่อยากให้เป็นภาระของลูก” เมื่อผมได้ฟังแล้วทำให้รู้สึกตื่นตันใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้น ผมได้เข้าสู่วงการหนังสำเร็จ หนังแต่ละเรื่องนั้นได้ผลักดันให้ชีวิตผมมีตำแหน่ง ตอนนี้เรื่องการเรียนกับงานการแสดงนั้นได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงอีกครั้ง จะแก้ไขอย่างไรดี ได้กลายเป็นปัญหาที่หนักที่สุดในเวลานั้นของผม คุณแม่ดูออกว่า ผมนั้นรักและไม่อยากจะทิ้งการแสดง ท่านได้แตะที่ไหล่ผมบอกว่า “ถ้าหากชอบจริงๆก็ไปทำเลย ชีวิตคนเราขอเพียงพยายามก็จะไม่เสียใจภายหลัง”

กระทั่ง  ในปีนั้นผมได้ลาออกจากมหาลัยไต้หวัน แต่ว่าหลังออกจากการเรียนแล้ว การงานก็ไม่ได้ราบรื่น อย่างแรกคือการจำหน่ายของอัลบั้มเพลงชุดใหม่นั้นยอดขายตกต่ำลง ต่อจากนั้น ร้านชาไข่มุกที่ผมลงทุนนั้นปิดลงเพราะผู้จัดการร้ายไม่สัตย์ซื่อ ทั้งหุ้นก็ต้องชดใช้ และร้ายแรงที่สุดคือ คุณพ่อก็ตกงานในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย

จากการกลัดกลุ้มของจิตใจ ในช่วงนั้นผมได้ขับรถออกไปอย่างไร้เป้าหมาย สุดท้ายโดยคนอื่นชนเข้าที่สะพ้านหนันเจี้ย  ยิ่งกว่านั้นเดือนเดียวโดนชนตั้งสองครั้ง คุณแม่ทนไม่ไหวแล้ว ท่านได้ตำหนิผมว่าอย่าหมดอาลัยตายอยากอีกต่อไป ผมได้ร้องไห้ระบายกับคุณแม่ ขณะที่ผมได้หยุดย่างก้าวของผมเพื่อมาตรวจสอบคุณค่าของตัวเองนั้น พึ่งรู้สึกว่านอกจากการแสดงแล้ว ตัวเองไม่มีความสามารถทำอย่างอื่นได้เลย หนทางอนาคตตัวเองอยู่ที่ไหน แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลย

>> คืนนั้น คุณแม่ได้กอดผมอยู่ในอ้อมอก ได้เล่าถึงความตอนเด็กของผมให้ผมฟังอย่างอดทน “อาเผิง ตอนที่ลูกคลอดออกมานั้นเสียงลูกกับคนอื่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว เสียงดังทั้งยังเป็นจังหวะ ตอนนั้นแม่เองก็รู้สึกว่าลูกพิเศษ” หนึ่งขวบขณะที่หยิบจัดนั้น เพียงแค่มือเดียวก็จับเปียโนเล่นของเล่นได้แล้ว ฉะนั้นฟันธงไปเลยว่าชีวิตนี้จะต้องร้องเพลง....” <<

ขณะที่ชีวิตล้มลุกครุกคานอยู่นั้น คุณแม่ได้ประคับประคองตัวผมและครอบครัว สุดท้าย ผมพิชิตน้ำตา ได้ปีนออกมาจากก้นเหวของชีวิต

ปี 1997  ผมถูกคัดเลือกให้เล่นหนัง (องค์หญิงกำมะลอ) ได้รับบทเป็นองค์ชายห้า  จากการที่หนังได้ออกอากาศบ่อยๆ ชั่วพริบตาเดียว ผมได้มีแฟนหนังกว่าหมื่นคน ช่อดอกไม้กับเสียปรบมือที่ห่างเหินไปจากผมเป็นเวลานานวันนั้นได้กลับเข้ามาสู่ชีวิตผมอีกครั้ง จนทำให้ผมรูสึกดีใจทั้งน้ำตาหลายครั้งหลายคราว วินาทีนั้น ผมรู้ว่า เป็นวาสนาที่ท่านได้นำมาให้กับผมอย่างลับๆ

ขณะที่หวนคิดถึงเวลาที่ลำบากที่สุดนั้น สมาชิกครอบครัวผมทั้งสี่คนนั้นได้พักอยู่กันคนละทิศคนละทาง ก็เพื่อสะดวกกับความเป็นอยู่ของชีวิต สิ่งนี้ก็นำบรรยากาศความแตกแยกของครอบครัวมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้น ในใจก็มีความหวังใจอยู่ว่า จะซื้อบ้านที่สวยงามให้กับคุณพ่อคุณแม่สักหลัง หลังจากนั้นสามปีความตั้งใจนี้ก็ได้สำเร็จ ผมได้ซื้อบ้านให้คุณพ่อคุณแม่ จำได้ว่าวินาทีที่ผมเอากุญแจบ้านยื่นให้กับท่าน คุณพ่อคุณแม่นั้นได้อ้าปากจนพูดไม่ออก จากความพยายามของผมนั้น ท่านทั้งสองก็ได้มีความรักความอบอุ่นอย่างเมื่อก่อนอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ ผมได้สอนคุณแม่หัดใช้เอ็ม(MSN) ในการคุยกัน ถ้าเป็นนี้ แม้ตัวผมเองจะอยู่ข้างนอกก็สามารถเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคุณแม่ผ่านทางเอ็ม (M) วันแม่ของปีนี้ ผมได้ส่งการ์ดวันแม่ที่ผมทำเองให้แด่ท่าน ข้างในรูปที่ผมวาดนั้น คุณแม่ได้นั่นอยู่บนดอกไม้ดั่งทะเล มีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุขมองไปข้างหน้า ในการ์ดนั้นผมได้เขียนข้อความว่า คุณแม่ที่ดีเสมือนโรงเรียนที่ดีแห่งหนึ่ง ขอบพระคุณคุณแม่ที่สอนผมให้รู้จักชีวิตที่มีความหมายและชีวิตที่ต้องอดทนต่อสู้




91

โหย่วเผิง :ไหล่ของคุณแม่ดังภูเขา


พี่เลี้ยง”(หมายถึงทั้งให้เกิดให้การดูแลและปรึกษา) คุณแม่ให้รักที่ไร้พรมแดนแก่ผม

คนล้วยพูดว่า “แม่ลูกใจเดียว” แม้วันเกิดของผมก็ยังตรงกับคุณแม่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา แต่ว่า เหตุเพราะการงานนั้น น้อยมากที่ผมกับคุณแม่จัดงานวันเกิดด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเสียใจ

คุณแม่ผมเป็นคุณครู แต่ท่านก็ไม่เหมือคุณแม่ที่เป็นคุณครูอย่างนั้น เข้มงวดกวดขันกับลูกทุกเวลา แต่เด็กท่านก็ให้อิสระกับผมกับการก้าวเดินในสิ่งที่ผมฝันไว้ ไม่เคยที่จะตีกรอบให้กฏผม ไม่สร้างความกดดันแก่ผม จำได้ตอนเรียนประถม เพื่อนนักเรียนหลังเลิกเรียนต่างล้วนรีบกลับบ้านไปทำการบ้านอ่านหนังสือ แต่ผมชอบดูทีวี ทุกวันทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนแล้ว กลับบ้านสิ่งแรกที่ทำก็คือเปิดทีวี ไม่ว่าหนังกาตูนร์ หนังเป็นตอนๆผมล้วนชอบทั้งนั้น ทั้งดูไปด้วยทั้งแสดงตามไปด้วยบนเตียงให้คนในบ้านดู ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ คุณแม่จะหยุดทำงานในมือ ให้รอยยิ้มที่มั่นใจแก่ผม ฉะนั้นพูดได้ว่า เทนิคการแสดงผมนั้นได้ผ่านการฝึกฝนจากในบ้าน สิ่งนี้อาจเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่มีอย่างนี้

ตั้งแต่เล็กจนโต ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีจุดยืน(มีความคิดของตนเอง) แต่ทุกเรื่องผมก็จะได้รับการเห็นชอบจากคุณแม่แล้วค่อยไปทำ เพราะผมให้เกียติกับความคิดของคุณแม่ ฉะนั้น ผมก็รู้สึกว่า การเป็นแม่นั้นก็เหนื่อยนะ นอกจากจะดูแลการเป็นอยู่แต่ละวันของลูกให้ดีแล้ว ยังต้องพูดคุยเข้าใจถึงความคิดของลูกบ่อยๆด้วย แก้ไขปัญหา ลำบากไม่น้อยเลย แต่คุณแม่บอกว่า “ในวงการนั้นมีผู้คนทุกรูปแบบ มันทำให้เรากลายเป็นคนอารมณ์หุนหัน ในการงานของคุณนั้นมีคุณเพียงคนเดียว มีเรื่องราวที่อันอั้นอยู่ในใจมากมายที่ไม่มีผู้ให้ระบาย มีไม่กี่คนที่เป็นมิตรที่สามารถไว้วางใจได้ ไม่มีแฟน เรื่องเหล่านี้สามารถบอกกับแม่เท่านั้น คุณแม่ก็จะเป็นแม่นมที่ให้รักอย่างไรพรมแดน

คุณแม่นั้นรักในงานของท่านมาตลอด แม้ว่าตอนหลังผมมีกำลังทรัพย์สามารถที่จะเลี้ยงดูท่าน ท่านก็ไม่อยากที่จะวางงานสอน ระยะเวลานานที่ผมออกจากบ้านไปถ่ายหนัง ไม่สามารถจะกลับบ้านได้ ท่านเองก็เป็นห่วงเป็นใยฉันตลอดเวลา ห่วงสุขภาพของผม และยังห่วงปัญหาส่วนตัวผมอีกด้วย ตอนนั้นท่านพูดบ่อยๆว่า “ ถึงแม้ฉันไม่สามารถจะอยู่เคียงข้างดูแลคุณทุกวัน คุณจะต้องหาแฟนสักคนคอยอยู่เคียงข้างดูแลคุณนะ” ตอนหนัง ท่านได้มาเยี่ยมห้องนอนในกองถ่ายบ่อยๆ ก็เริ่มรู้ว่าการหลับนอนของผมไม่เป็นเวลาเลย กินข้าวนอนหลับก็ไม่กำหนดเวลา ยิ่งไม่มีเวลาหาแฟน หลังจากที่คิดไตร่ตรองแล้ว ท่านได้สละเวลาที่หลังเกษียรต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้านอย่างสบาย เพื่อดูแลผมอยู่ข้างๆอย่างพี่เลี้ยง ผมไปที่ไหนท่านไปที่นั่น ท่านได้เป็นพี่เลี้ยงคุณแม่ที่ให้ความรักการดูแลอย่างไร้พรมแดน คุณแม่เก่งมาก นอกจากทุกวันได้ทำอาการบำรุงและน้ำหวานที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปให้ผมทานแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือได้เป็นหมอทางจิตใจของผมด้วย ได้บรรเทาความกลุ้มในใจมากมาย มีการช่วยเหลือและการสนับสนุนของท่านแล้ว ทุกอย่างที่ผมทำนั้นมีกำลังทำเพิ่มขึ้นกว่าก่อนสองเท่า คุณแม่ที่หลั่งน้ำตานั้นได้ร่วมทุกข์กับผมด้วยกัน

จบ ม.สามปีนั้นที่ปิดภาคฤดูร้อย ผมเป็นคนแรกที่ได้เข้าร่วมวงขวัญใจผู้ชายไต้หวัน “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้จัดจำหน่ายอัลบั๊มชุดแรก(เซียวเหยาอี๋ว)ของวง ได้จัดทำคอร์ดเสริดโฆษณาถึงยี่สิบครั้ง แม้งานที่ทำมันหนักมาก แต่ก็สามารถไปเที่ยวได้ทุกที่ ก็ยังได้รับการต้อนรับจากผู้คนมากมาย รู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยอยู่บนเมฆอะไรอย่างนั้น เวลานี้การเรียนของม.สี่ได้เริ่มแล้ว กระจิตกระใจของผมยังไม่สามารถให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเลย

ตอนมัธยมต้นการบ้านผมไม่มีปัญหาเลยดีมาก แต่เมื่อถึงมัธยมปลาย ผมยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าจนกระทั่งจวนจะสอบแล้วก็ยังเตรียมตัวไม่พร้อมยังเกิดความสับสนวุ่นวาย ฉะนั้น ตอน “เสี่ยวหู่ตุ้ย”บันทึกอัลบั้มชุดทีสอง(หนันไหปู้คู)แล้ว ทางบริษัทก็ได้ประกาศออกไปว่าต่อไปการออกคอร์นเสริดจะพยายามไม่ให้กระทบกระเทือนถึงการเรียนของพวกเรา “ไกวๆหู่”จะสอบปลายภาคแล้ว ฉะนั้นพวกเขาเพียงแต่ใช้เวลาช่วงปิดเทอม1และ2มาดำเนินงาน

ปิดเทอมสัมเมอร์ก่อนขึ้น ม.หก ผมได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ข้างบ้านผม จากการที่พวกเราพักอยู่ใกล้กัน นิสัยก็เข้ากันได้ ก็ค่อยๆเริ่มสร้างนิสัยที่ชอบไปอ่านหนังสือทำการบ้านบ้านเขา ทุกวันหลังจากเลิกจากการเรียนพิเศษก็สี่ทุ่มแล้ว อานน้ำแล้วไปบ้านเขาก็ห้าทุ่มแล้ว ก็อ่านหนังสืออีกประมาณครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง บ้านเขากับบ้านผมห่างกันแค่สิบห้านาที ทุกครั้งก็เป็นคุณแม่ที่ขับมอเตอร์ไซน์ไปส่งผม

มีครั้งหนึ่ง ที่จริงนัดกันว่าจะไปอ่านหนังสือที่บ้านเขา แต่อารมณ์ผมได้ค่อยดี คุณแม่ก็ส่งผมไปที่หน้าบ้านของเขา ร้องอย่างเสียงดังๆว่า “คืนนี้พวกคุณก็จะไม่อ่านหนังสือด้วยกันแล้ว” ตอนกลับบ้าน คุณแม่ที่ละเอียดอ่อนได้ซื้ออาหารเค็มและเหล้า คนในบ้านก็กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก หดตัวนอนบนโซฟายาว สมองเต็มไปด้วยความสับสน ตาที่จ้องไปที่ทีวีอย่างเบรอๆ คนในบ้านพยายามพูดคุยกับผม น้อยชายยังคุยถึงกาตูนร์ที่ผมชื่นชอบ แต่ผมกลับฟังอะไรไม่เข้าเลย จิกเหล้าด้วยความทุกข์จิกสองจิก แล้วได้ฟุบบนโต๊ะชาสะอึกสะอึน (ร้องไห้) จากนั้นได้ปล่อยโฮบนโซฟา คุณแม่ได้ก้าวมาอย่างไม่รีรอ โดยไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่ทำอย่างตอนเด็ก กอดผมอยู่ในอกอย่างแน่นๆ ฟังผมพูดไปด้วยร้องไปด้วย “ทุกข์จังเลย ทุกข์จังเลย อยากตายจัง” น้ำตาของท่านได้ไหลออกมา สั่นไปทั่วตัวที่รับความทุกข์ร่วมกับผม

เมื่อความสง่าต่างๆกลับกลายเป็นความเครียด แม้กระทั่งคุณแม่ก็ยังเริ่มคิดแล้วว่าก่อนนั้นที่ให้ผมเข้าสู่วง “เสี่ยวหู่ตุ้ย”นั้นมันถูกหรือผิดเนี่ย ที่จริงตอนเข้าวง “เสี่ยวหู่ตุ้ย” คุณแม่มีความคิดอีกอย่าง ตอนมัธยมต้นประสบการณ์ทางสังคมผมยังอ่อนหัก มนุษย์สัมพันธ์ก็ไม่ดี เก็บกด ฉะนั้นให้ผมไปลองทำดู ไปฝึกฝนขัดเกลาสักหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังต้องผจญกับการสอบ ไม่รู้ผลสุดท้ายจะออกแดงหรือดำก็ไม่รู้

ถึงแม้ตอนนั้นร้องไห้เดี๋ยวก็ผ่านไป พรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาก็จะเป็นชายชาตรี แต่ไม่ว่าอย่างไร การร้องไห้อย่างเจ็บปวดครั้งนี้ทำให้ผมฝังใจมาก กระทั่งตัวเองยังตกใจตัวเองเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้าถามถามคุณแม่เลยว่าตนนั้นผมมีสภาพเป็นอย่างไร การสะเทือนทั้งกายใจของท่านนั้นมันมากกว่าผมอีก ตอนนี้คิดๆไปแล้ว ผมโชคดีมากๆ มีคุณแม่ที่ดีอย่างนี้ เข้มเข็งแต่ตันจนจบ เคียงข้างผมตลอด ให้การโอบกอดที่อบอุ่นแก่ผมตลอดไป


92
อายุ 20 ปีของการครุ่นคิด

คิดเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ ทำไมต้องมีความกลุ้ม

อนาคต การงาน ครอบครัว การดำรงชีวิต การเรียน ความรัก ความสัมพันธ์ เงินทอง.....ล้วนเป็นมูลเหตุของความกลุ้มมนุษย์  คิดอยู่บ่อยๆ หากว่าเวลานั้นนิรันดร์ได้จริงๆ ผมยอมจะกลับไปในอดีต จะหยุดอยู่ในวัยเด็กตลอดไป ไร้ทุกข์ไร้โศก ให้ความกลุ้มใจไว้สำหรับผู้ใหญ่ แต่นั้นเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว

ช่วงขั้นตอนการเติบโตนั้น ความกลุ้มใจนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง ผมและคุณก็เหมือนกัน แต่ปรัชญาชีวิตของผมมันง่ายๆ มีเพียงเรียบง่ายสองคำ

ในเวลาที่เรียนคาบภาษาจีนนั้น "เพลงห่าวเลอในหงโลวม่ง" ให้คติกับผมมากๆ ทำไมคนเราต้องไปหาความกลุ้มใจในชีวิตที่สั้นๆอย่างนี้ล่ะ นั่นล้วนก็เพราะความไม่รู้จักพอ รักอันนี้ เสียดายอันนั้น ถ้าสามารถที่จะปล่อยวางทุกอย่าง แท้จริงฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่มาก มีอะไรที่น่าดึงดันล่ะ นี่เป็นความคิดอย่างหนึ่งที่อยู่ในใจผม

ก่อนบินเดี่ยว สื่อได้เอาพวกเราไปเปรียบเทียบกับวงต่างๆทั้งในและต่างประเทศ หลังบินเดี่ยว คนมากมายได้เอาผมไปเปรียบเทียบกับนักร้องอื่นๆ ผมรู้สึกว่าแข่งขันอุปนิสัยที่ดีกำลังพลักดันคุณสัมบัตินักร้องนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น เหมือนผมที่แม้ไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพ  แต่กลับใช้มาตรฐานของมืออาชีพมาเรียกร้องตัวเอง แต่เงื่อนไขของการเพรียบพร้อมนั้นก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถที่จะเอามาวัดบนตาชั่งจานได้ การเปรียบเทียบแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่ดั่งความคิดของทุกคน

เพื่อนผมหัวเราะผมบ่อยๆว่าเป็นคนที่ไม่ปิดบังเรื่องในใจไม่เป็น มีอะไรก็พูดอันนั้น ผมรู้สึกว่านี่ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง เพราะผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

อีกสองเดือนผมก็อายุครบ 20 ปีแล้ว นี่ควรเป็นอายุที่จะต้องมีอำนาจเต็มที่มีความรับผิดชอบเพื่อตนเอง เมื่อก่อน นอกจากร้องเพลง การเรียน ผมเอาทุกสิ่งในชีวิตของผมวางให้คนอื่น รวมทั้งความสัมพันธ์ ทุกเรื่องมีครอบครัวและบริษัทช่วยผมดูแลอย่างถี่ถ้วน แต่อยู่ช่วงกำลังจะก้าวสู่วัยฉกรรจ์นั้น (ก่อนยี่สิบ) ผมได้เปิดอกออกเผชิญกันโลกใบนี้ ใช้ใจเชื่อมสัมพันธ์กับคนรอบๆ ทุกคนสังเกตได้ แท้จริงคุณผมก็เหมือนกัน ผมก็มีอารมณ์ของตัวเอง ผมก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อคนหนึ่ง

ผมอยากให้ความคิดของตัวเองงอกขึ้นในช่วงวัยนี้ เพื่อเป็นสิ่งละอันพันละน้อยของผม ผมอยากที่จะแบ่งปันให้พวกคุณ ความทุกข์สุขของผม ความรู้สึกของผม ละลายมันให้กลายเป็นถ้อยคำและทำนองเพลง จากตรงนี้ คุณสามารถหาเจอหัวใจของผม มันไม่ได้เป็นหนังสือที่อ่านยากแน่นอน  หวังว่าคุณผมก็เช่นกัน ถนอมมันไว้



ชีวิตคนถ้ามันสามารถย้อนกลับสักครั้ง ผมไม่เสียใจการเลือกของผม ปากกาและไมค์ล้วนเป็นความดื้อรั้นของผม  ผมใช้ดนตรีมาสัมผัสแตะต้องกับพวกคุณ ผมใช้ความรู้ต่อเนื่องชีวิต การเลือกอย่างนี้ ผมชื่นชอบ

แต่ผ่านทางดนตรีและเพลง ผมได้หาพบทิศทางของตนเอง   นอกจากการเรียนแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ผมรักที่สุด ขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่สนับสนุนและช่วยเหลือผมตลอดมา อาจารย์ เพื่อนๆ และยังมีบริษัทนายหน้าที่เข้าใจผม แน่นอน ยังมีพวกคุณที่เดินเคียงข้างผมมาตลอดทาง




93
บทสัมภาษณ์ โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002

ความทรงจำของผู้ชายสองคน โหย่วเผิงและหวังเหวินหัว


สองคนที่เปรียมด้วยปัญญา ฉลาดทั้งเป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมา ล้วนเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเจี้ยนกั๋ว นักศึกษาดาวเด่นของมหาลัยไต้หวัน อยู่ภายใต้มหาลัยที่ดังที่สุดในไต้หวัน ภายใต้ความกดดันของสายตาผู้คนมากมาย พวกเขาได้ผ่านวันคือแห่งวัยรุ่นอย่างอาจหาญ และทั้งต้องรับความโดดเดียวอีกด้วย ในร้านกาแฟหยางยี่ที่มีเสียงเปียโนประกอบ เป็นค่ำคืนราตรีที่แสนจะอบอุ่น หัวใจสองดวงของวัยรุ่นสองคนนี้มีเสียงหัวเราะอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีการพูดคุยกันอย่างไม่ขาดตอน เหมือนกันเล่นยิงลูกโป่งอะไรอย่างนั้น แทบทุกคำถามที่ถามไปกลับโดนพวกเขาหลบเลี่ยง หรือบ้างก็เขารู้แกว

พวกเขาต่างก็พูดถึงวันเวลาที่ไร้ความกลัวในสมัยที่เรียนที่เจี้ยนกั๋ว พูดคุยถึงความหลังทั้งหวานชื่นและเจ็บปวดในสมัยเรียนมหาลัย พวกเขาล้วนไม่ต่างกับพวกเรา กระหายในความรัก ต่อความมั่นคงแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังกลัวอยู่ ต่อการสัมถะแม้จะรู้จักพอก็ยังต่อต้าน ในวัยที่หัวเลี้ยวหัวต่อ หวังเหวินหัวกับโหย่วเผิงได้ก้าวกระโดด เหมือนกับฝึกวิชาลอยตัวในการที่สามารถจะหาเส้นทางชีวิตของตัวเองพบ ในชีวิตนั้นได้ตั้งใจต่อการงาน ภายนอกของทั้งสองคนนั้นล้วนสุภาพ สง่า ดูแล้วเหมือนกับไข่ขาวที่เต็มไปด้วยสารอาหาร ในด้านอักษร ต่อหน้าแสงไฟ และในชีวิตของพวกเขานั้น ล้วนมีความดื้อซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ พวกเขาที่ย่ามสู่วัยรุ่น พวกเขาอยากจะเป็นตัวของตัวเอง อิสระ มีสุข เหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไป




94
BSYP Fan Actions / ซูโหย่วเผิงอยู่เหนือไกวไกวหู่
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:29:07 AM »

ซูโหย่วเผิงอยู่เหนือไกวไกวหู่

ปี 2009 เรื่อง “เฟิงเซิง”เรื่องเดียวทำให้อาชีพของโหย่วเผิงสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จากการที่เขาเล่นบทกระหนุงกระหนิงอย่างไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นทำให้เขาได้รับ 2 รางวัลด้วยกัน และตรุษจีนในปี 2010 นี้จะขอให้เสี่ยวหู่ตุ้ยได้รวมตัวกันอีกครั้งนั้น ยิ่งทำให้เขาเป็นที่โดดเด่นบนเวทีเลย

โหย่วเผิงในวันนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกยกไม้ยกมือดูแล้วอย่างไรก็ไม่เห็นเงาของไกวไกวหู่หลงเหลืออยู่เลย เขานั้นได้เป็นชายหนุ่มที่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวจากเรื่องวัยหนุ่ม เรื่องอาชีพมามากมายแล้ว ชีวิตของเขานั้นเต็มไปด้วยละครแนวสนุกบันเทิง คุณพ่อที่หัวอนุรักษ์นิยมนั้นเดิมที ไม่อยากจะให้เขามีความเกี่ยวข้องกับเสี่ยวหู่ตุ้ยเลย แต่ทางด้านคุณแม่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ลองไปหาประสบการณ์นิดๆหน่อยๆ ก็ได้ และได้สนับสนุนเขา และเขาเองที่ยังเป็นเด็กก็คิดว่าตัวเองนั้นเก่งแต่เพียงเรียนหนังสือ เริ่มแรกที่ก่อตั้งเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นโหย่วเผิงเองก็ยังไม่ค่อยชิน บุคลิกที่ขวยอายอย่างเขาจะต้องขึ้นเวทีสู้เสือ

แล้วเขาก็พยายามที่จะปรับตัว ปรับตัวเองทีละนิดทีละหน่อย จนสามารถที่จะร้องเพลงได้ และด้วยอายุที่แค่นี้ของเขาทำให้เด็กวัยรุ่ยหนุ่มสาวบ้าคลั่งเขาให้เป็นขวัญใจ

แสงรุ่งค่อยๆ ดับ หลังจากที่เสี่ยวหุ่ตุ้ยแยกทางกัน เขาที่ยังเรียนมหาลัยปี 3 ที่ไต้หวันก็ตัดสินใจที่จะลาออก แล้วก็ได้บินเดี่ยวไปที่อังกฤษ ได้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่เมืองลอนดอน กลางวันไปนั่งรถเล่น กลางคืนก็หาโรงแรมนอน ท่องไปทุกหนทุกแห่ง ได้เห็นวิถีชีวิตที่แตกต่างมากมาย สัมผัสวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนเดิม เขาก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่า ชีวิตคนเรานั้นต้องแล้วแต่โชคชะตา

9 ปีผ่านไป ดีกรีของความเป็นนักร้องขวัญใจก็ค่อยๆจางหายไป เขาก็เริ่มคุยเคยกับชีวิตแบบนี้ เวลานั้น “องค์หญิงกำมะลอ” ก็ได้เกิดขึ้น โหย่วเผิงก็ได้เริ่มลองกับงานการแสดงละคร จากร้องก้าวสู่แสดง การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงอย่างนี้ โหย่วเผิงก็เคยไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกัน แต่ทางทีมงานก็บอกว่า “ไม่ผิดแน่ เขาแหละ ที่จะเป็น อู่อาเกอ ที่ผมจะมาปั้น และด้วยคำคำนี้ สร้างความมั่นใจให้กับโหย่วเผิงเป็นอย่างมาก และด้วยการแสดงบทของ อู่อาเกอ ที่โดดเด่นสนุก ทำให้เขาดังระเบิดในจีนอีกครั้งหนึ่ง


จากนั้น โหย่วเผิงก็รับแสดงเรื่องต่างๆ “เราสองหัวใจเดียวกัน” “รักข้ามขอบฟ้า” และในเรื่อง “ดาบมังกรหยก” และ “องค์หญิงแสนซน” 2 เรื่องนี้นางเอกในเรื่องกลับต้องแย่งเขาเหมือนแย่งของ จากนั้นในเรื่อง “เจียไต้ซวงเจี้ยว”ได้แสดงเป็นอาหนิวและฮ่องเต้ด้วย แม้การแสดงของเขาจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่บทที่เขาแสดงนั้นไม่ค่อยแตกต่างอะไรเลยจนทำให้เขารู้สึกเบื่อ จะร้องเพลงก็คงสู้สมัยเสี่ยวหุ่ตุ้ยไม่ได้อีก จะแสดงละครก็คงดังสู้เรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ”ไม่ได้อีก มีอยู่ทางเดียวคืนหันไปเล่นภาพยนตร์

ธ .ค. 2006 โหย่วเผิงเซ็นสัญญากับค่ายหัวอี้ จะหันเอาดีทางภาพยนตร์ เขาเคยไว้หนวดไว้เคราทำให้แก่หน่อย เพื่อจะไม่ให้คนอื่นเรียกเขาว่าไกวไกวหู่ จากการที่เขาคิดที่ยากจะเปลี่ยนแปลงนั้น เขาก็ได้รับ “ไป๋เสี่ยวเหนียน”ในเรื่อง”เฟิงเซิง” และเพื่อจะแสดงบทละครเพลงให้ดี เขาต้องอดทนในการฟิตร่างกาย ได้ไปเรียนการร้องละครเพลงกับอาจารย์อย่างไม่หยุดไม่หย่อน เดิมที่ทางผู้กำกับคิดว่าฝีมือการแสดงละครเพลงของโหย่วเผิงคงอ่อนหัด คิดอยากจะไปเชิญนักแสดงละครเพลงมาช่วยร้องให้เขาเล่น แต่เมื่อเขาได้ฟังเสียงที่โหย่วเผิงร้องออกมาแล้ว ทำให้เขาต้องตกใจ และตัดสินใจให้โหย่วเผิงเล่นคนเดียวโดยทันที ขณะที่ถูกถามถึงการรับบท ไป๋เสียวเหนียน นั้นไปมาอย่างไร โหย่วเผิงกล่าว “ ผมนั้นเล่นแต่บทผู้ดีมาตลอด มันก็มีเบื่อเซ็งเหมือนกัน ผมอยากจะทะลุทะลวง ผมอยากจะก้าวหน้าเปลี่ยนแปลง มาเซอร์ไพรส์ทุกคน”

นอกจากจะปากกัดตีถีบในเส้นทางละครแล้ว ทางด้านผู้กำกับเจียงผิงยังเสนอให้เขาเล่นเรื่อง “อ้ายชิงจ่ออิ้ว-Fit Love” หลังจากที่ถ่ายละครเสร็จแล้ว ทางโหย่วเผิงไม่ลืมที่จะส่งข้อความให้ผู้กำกับ “ผมฉวยในทุกโอกาสของเรื่องที่เข้ามา ขอขอบคุณท่านที่ห่วงใยผม” และตอนหลังทุกครั้งที่โหย่วเผิงกลับมาไต้หวัน ก็ได้เอาผลไม้ ขนมต่างๆมาฝากให้ท่านด้วย บางครั้งก็เขียนข้อความไปว่า “พี่ใหญ่ ของเล็กน้อยแต่น้ำใจหนัก”


ครั้งหนึ่งที่เขาได้มาร่วมในรายการทีวี และพิธีกรได้เห็นแต่ไกลว่าเขาหิ้วอะไรมาเยอะแยะ ทั้งแครอทดอง เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้งมันต่างๆ ล้วนเป็นของที่คนอื่นมอบให้กับเขาที่เขาไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ โหย่วเผิงพูดอย่างจริงจังว่า เป็นแฟนคลับคนหนึ่งมอบให้เขาขณะที่เขาเดินขึ้นมาบนเวที หากจะปฏิเสธก็กลัวทำร้ายน้ำใจ ถ้าเอาก็ดูจะพะลุงพะลัง หากจะทิ้งไปก็ไม่ให้เกียรติเขา หรือทำลายอาชีพของพวกเขา ได้เพียงหิ้วมันขึ้นมาเลย ทางพิธีกรบอกว่า คุณติดกับดักคนอื่นแล้ว โหย่วเผิงก็หัวเราะ “ไม่เป็นไร ถือว่าผมช่วยชาวเกษตกรโปรโมทก็แล้วกัน”

95
<a href="http://www.youtube.com/v/aM2hFRuI7Wk&amp;feature=player_embedded" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/aM2hFRuI7Wk&amp;feature=player_embedded</a>


เสี่ยวหู่ตุ้ยที่อมตะ : ความทรงจำสมัยปี 70

ยุ่งกับงานทั้งวันกลับไปแล้วยังต้องรอลูกนอนหลับก่อน  หลายวันนี้จะเข้าไปในเน็ตเพื่อหาข่าวข้อมูลของเสี่ยวหู่ตุ้ยรวมตัวกันอีกครั้งเป็นประจำ   จริงๆ แล้วก็ไม่จำต้องเจาะจงหา  เพราะเป็นข่าวติดอันดับหนึ่งของปีใหม่ตรุษจีนปีนี้  ข่าวเรื่องนี้นั้นดูแล้วมีมากมาย  เมื่อดูเว็ปไซน์หนึ่ง เริ่มจาก รับจื้อเผิงจากสนามบิน มาถึงห้องซ้อมการแสดง จนถึงช่วงแต่งตัวและซ้อมการแสดง ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไหร่นั่งเฝ้าดูข่าวของพวกเขาที่เหมือนกับฉัน

การเป็นคนยุคปี 80 อย่างแท้จริงนั้น  เมื่อได้เห็นข่าว ราตรีตรุษจีนของเสี่ยวหุ่ตุ้ยแล้วจะรู้สึกดีใจสุดๆ
 
หวนคิดถึงอดีตที่ตัวเองเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง  ที่ไม่ฟังเพลงฟังแต่เสียงดนตรีเท่านั้น ทุกวันกลับถูกรายการร้องเพลงในทีวีของเสี่ยวหู่ดึงดูด  เด็กหนุ่มสามคนนี้ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์หรือเพลงล้วนแต่เป็นแบบอย่างที่ดี  ฉันเองที่เป็นคนไม่บ้าดารากลับมีความรู้สึกชอบเสี่ยวหุ่ตุ้ยขึ้นมา  งานคอนเสิร์ตช่วยเหลือผู้ประสบภัยในปี 1991 นั้น  หลิงเฟิงได้นำเสือน้อย 3 คนขึ้นเวที  ทั้ง 3 คนได้ร้องเพลง  “อ้าย” กับ  “ซิงซิงเตอแยฮุ่ย”  ฉันรอจนให้รายการนี้มาฉายซ้ำอีกครั้งแล้วเอาม้วนเทปมาอัดเสียงเพลงของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ามีครื่งหนึ่ง  คุณพ่อได้ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วได้ซื้อม้วนเทปของเสี่ยวหู่ตุ้ยกลับมา  แต่ตอนนั้นด้วยเหตุที่ฉันยังมีความคิดมองเพลงเหล่านี้ในแง่ไม่ดีเลยเอามัวนเพลงเหล่านี้ยกให้พี่ชายไป  แต่นึกได้แล้วรีบไปหาออกมาดู แท้จริงแล้วเป็นอัลบั้ม “เซียวเหยาอิ๋ว”กับ “หนันไหปู้คู” 2   อัลบั้มนี้ ต้องขอขอบคุณคุณพ่อจริงๆ เพราะตอนหลังไปหาซื้ออัลบั้ม “หนันไหปู้คู”นั้นไม่มีขายแล้ว   คิดว่าคุณพ่อน่าจะซื้อในช่วงที่ “เฉา .. เพลงที่มาจากไต้หวัน” ชุดนี้ออกมาไม่นานแล้วซื้อมันมา  ตอนนั้นได้ฟังในทีวี  รู้สึกว่ามันเพราะมากๆ แต่ว่าไม่ได้ชอบถึงขั้นเป็นแฟนคลับของเสี่ยวหุ่เลยทันใด  ตอนนี้เมื่อย้อนคิดแล้วยังรู้สึกเสียดายอยู่


 
ตอนนั้นเมืองหนึ่งที่ซินเจียง  ฉันได้ซื้อม้วนเพลงตลับหนึ่ง ก็คือ “อ้าย” ของเสี่ยวหุ่ตุ้ย  ตอนนั้นได้ไปห้างที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ได้หยิบเงินที่สะสมแรมปีขึ้นมา ได้ซื้อม้วนหนึ่งที่มีราคากว่า 7.5 หยวน  แม้แพงแต่ก็ยังเป็นม้วนก๊อปปี้ ตอนนั้นไม่รู้เรื่องของม้วนเทป ใจที่เดียงสาไม่เคยรู้เลยว่ามีเทปผีเทปเถื่อน แต่เมื่อหยิบม้วนขึ้นมาดูแล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ  ชื่อเพลงในม้วนมันดูไม่ชัดเจน แม้เสียงเพลงจะดี ตอนหลังถึงจะหาซื้อม้วนจริงได้ เพิ่งจะรู้ว่าราคาของม้วนจริงมันกว่า 8.9 หยวน



ตอนหลังมารู้ว่า “อ้าย” เป็นอัลบั้มที่ 4 ของพวกเขา และแล้วก็คิดหาวิธีที่จะได้ทั้ง 5ชุดมาครอง อัลบั้ม 4 “ซิงซิงเตอแยฮุ่ย “ นั้นได้มาหลังจากชุด “อ้าย” และปกของม้วนนี้จะไม่เหมือนกับปกทั่วๆ ไป  ในใจคิดว่าเป็นของปลอมอีกหรือเปล่า แต่เมื่อเปิดออกมาดูแล้ว แท้จริงเนื้อเพลงได้ซ่อนไว้ข้างใน ยังมีรูปสามหนุ่มที่ใส่ชุดขาว ตอนนี้มีอัลบั้มที่ 4 แล้ว ก็อยากจะมีอัลบั้มที่ 3 อีก  “หงชิงถิง” ศูนย์การค้าก็ใหญ่เท่านี้เอง ในไปรษณีย์มีร้านขายม้วนเทปเล็กๆ ร้านหนึ่ง ฉันได้ไปดูบ่อยๆ เพื่อจะหาอัลบั้มของเสี่ยวหู่ตุ้ยเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเจออัลบั้ม “หงชิงถิง”จริงๆ ความรู้สึกที่ดีใจอย่างนั้นจนวันนี้ยังไม่ลืมเลย  เพราะความคิดในตอนนั้นคิดว่ามันเป็นอัลบั้มที่ทำเมื่อปี 1990 คงจะไม่มีแล้ว
 
คิดอยู่ตลอดเวลาว่า จะพยายามสะสมอัลบั้มของเสี่ยวหู่ตุ้ยให้ครบทุกชุด แต่สิ่งที่เสียดายคือหลังจากอัลบั้ม “ซิงซิงเตอแยฮุ่ย” แล้ว  ไม่นานมีอัลบั้ม “ไจ้เจี่ยน”ออกมา ตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ทางทีวีโฆษณาเรื่องพวกนี้น้อยมาก ได้รับข่าวจากนิตยสารว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยกำลังจะแยกทางกัน ความทุกข์ใจในตอนนั้นยากจะบรรยาย  ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะแยกทางกันหรือเปล่า แต่รู้เพียงว่าหน้าปกของอัลบั้มนี้เป็นหน้าปกที่เก่าที่สุดในบรรดาอัลบั้มทั้งหมด สำหรับอัลบั้มเทปต่างๆของพวกเขานั้น รวมทั้งอัลบั้มที่พวกเขาได้ทำหลังจากที่แยกทางกันแล้ว  ฉันได้เอากระดาษห่อเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ตอนฟังยังต้องระมัดระวังในการเก็บด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะยืมให้กับใครมันไม่มีทางเลย ฉะนั้นเวลาผ่านไปสิบกว่ายี่สิบปีแล้ว พวกเขายังใหม่เหมือนเดิมเลย

ไม่นานได้เห็น “ยอดฮิตBest”กล่องหนึ่ง ในใจสงสัยว่าเป็นของปลอมเปล่า (เป็นเพราะได้อัลบั้มแรกเป็นของปลอม) แต่ก็ได้ซื้อกลับบ้าน นี่เป็นอัลบั้มเพลงยอดฮิตที่ทำใหม่ แนวเพลงนั้น หลายปีแล้วฉันยังจำได้แม่นว่าในเพลง “วันนี้มองฉัน”นั้นมีเสียงกระจกแตกด้วย เนื้อเพลงของอัลบั้มนี้เขียนไว้ข้างใน หลังเนื้อเพลงยังมีประวัติอัลบั้มของเสียวหู่ตุ้ยด้วย  ฉันเพิ่งรู้ว่าพวกเขายังมีหนังสือประวัติเล่มหนึ่ง “เสี่ยวหู่ตุ้ยที่นิรันดร์กาล” แถวๆนั้นไม่มีขายเลย ฉะนั้นขณะที่คุณพ่อไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ถามฉันว่าจะเอาอะไร ฉันบอกว่าอยากได้เพียงหนังสือเล่นนี้ สิ่งที่เสียดายคือ ความฝันของฉันไม่เป็นจริง จนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เลย หนังสือเล่นนั้นจะหาซื้อก็ไม่มีขายแล้ว


 
ในช่วงเวลาที่ยาวนานช่วงหนึ่ง ในโรงเรียนจะมีการแสดงต่างๆ ก็คือในห้องกลุ่มหนึ่ง 3 คนจะมาเลียนแบบการร้องเพลงท่าเต้นของเสี่ยวหู่ตุ้ย   ฉันในตอนนั้นนับว่าเป็นนักเรียนที่สอบได้ไม่ที่หนึ่งก็ที่สองเลยทีเดียว   และภาพลักษณ์ของนักเรียนดีเด่นในสมัยนั้น  จะต้องเป็นนักเรียนที่ไม่รู้เรื่องของวงการบันเทิง   รู้เพียงเรียนหนังสือ การฟังเพลงเสมือนการประพฤติที่ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นฉันรู้สึกมันขมขื่นและไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง เพลงทั้งหมดของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นฉันร้องได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเพลงไหนหรือจะร้องท่อนไหนก็ได้หมด

ครั้งหนึ่งในห้องมีกิจกรรม  มีนักเรียนหญิง 2 คนจะร้องเพลง “หูเตียเฟยยา” ตอนนั้นฉันน่าจะกำลังทำอะไรสักอย่าง แล้วดูพวกเขาซ้อมกัน แล้วเนื้อเพลงที่พวกเขาลืมไปนั้น  ฉันเองเป็นคนบอกพวกเขา แต่พวกเขาใจยอมที่จะขาดไปหนึ่งคนแต่ไม่ยอมให้ฉันเข้าร่วมกลุ่มเป็น 3 คนให้เหมือนเสี่ยวหู่ตุ้ยเลย   เพราะพวกเขาคิดว่าเด็กเรียนไม่ควรมาร้องๆ เต้นๆ อย่างนี้ จำได้ว่าตอนมัธยมปลาย  ช่วงบ่ายก่อนจะเรียนนั้นคาบศิลป์จะมีการสอนร้องเพลงหนึ่งเพลง มีครั้งหนึ่งเพลงที่สอนคือ “อ้ายหว่อจิ้วเกินหว่อโจ่ว” ในอัลบั้ม”ซิงซิงเตอแยฮุ่ย” ทุกคนกำลังเขียนเนื้อเพลง เพื่อนร่วมโต๊ะนั้นฉันเป็นคนเขียนเนื้อเพลงให้เขา  เพราะฉันคุ้นเคยกับเพลงของเสี่ยวหู่ตุ้ยมากๆ  แต่ว่าทุกคนไม่กล้าเชื่อว่าฉันสามารถทำเรื่องนี้ได้  ฉันท้อใจมาก เจ็บปวดใจมากอยากบอกว่า พวกคุณไม่รู้เลยหรือว่าโหย่วเผิงนั้นทั้งเรียนเก่งและร้องเพลงเก่ง


96

ซูโหย่วเผิงไม่เป็นไกวๆหู่อีกต่อไป

ไม่ได้ดูรายการราตรีไหว้พระจันทร์ และไม่รู้ข่าวว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยจะมาร่วมกันอีกครั้ง เสียดายมากที่ตกข่าว ไม่งั้นก็คงจะเริ่มต้นด้วยการมีความหวังที่แรงกล้า และได้จบลงด้วยความผิดหวังที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่ผิดหวังคือมองเห็นเสี่ยวหู่ตุ้ยที่สิบกว่าปีได้มารวมตัวกัน ผิดหวังคือการที่ไม่ได้เห็นไกวๆหู่ที่ฉันชื่นชอบที่สุด

เพิ่งได้เข้าไปในเว็ปของโหย่วเผิง ได้อ่านการวิจารณ์หลายๆข้อความ แน่นอนมีหลายๆเรื่องที่เขียนนั้นมันทำร้ายจิตใจกัน

ฉันเป็นแฟนคลับที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง หากจะพูดเอ่ยถึงความห่วงใยที่มีต่อเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว ใช่เขียนคงจะเขียนไม่จบ ความรู้สึกอย่างนั้นได้แต่เก็บไว้ในใจ รับรู้คนเดียว ไม่ว่าจะหวาน ขม เปรี้ยว หรือสุขหรือเจ็บปวด

ฉันชื่นชอบไกวๆหุ่มากๆ แม้ฉันจะอยู่ในวัยที่ไม่รู้ว่ารักคืออะไร แต่ฉันก็ได้หลงรักเขาแล้ว ความชื่นชอบอย่างนั้น เป็นอะไรที่ง่ายๆเหมือนกับน้ำบริสุทธิ์แก้วหนึ่ง มันใสๆ ไม่มีสิ่งสกปกใดๆ เมื่อเห็นเขาแล้ว มันทำให้ฉันมีแรงใจที่ไม่รู้มาจากไหน แรงใจอย่างนี้มันช่วยฉันสอบจากมัธยมต้นสู่มัธยาปลาย และจากมัธยมปลายสู่มหาลัย จากมหาลัยสู่สังคม จากสังคมสู่โรงเรียน มาจนถึงวันนี้

ฉันสามารถโอ้อวดได้เลยว่า ฉันเป็นคนวัยยุคเสี่ยวหู่ตุ้ย เสี่ยวหู่ตุ้ยสามารถเป็นตัวแทนของยุคสมัยหนึ่ง เด็กในสมัยนั้น ขอเพียงได้ยินเพลง หู่เตียเฟยยา ไจ้เจี่ยน หรือ อ้าย ต่างก็ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า นั่นเป็นการหวนความทรงจำในอดีต เป็นความรู้สึกที่คนสมัยนี้ได้ยินเพลงของโจวแจ๋หลุน หรือหวังลี่หงแล้วสัมผัสความรู้สึกไม่ได้เลยอย่างนั้น

ฉันชื่นชอบไกวๆหู่ แต่ไม่ใช่โหย่วเผิง เพราะโหย่วเผิงไม่ได้เป็นไกวๆหู่ในอดีตอีกแล้ว ฉะนั้นใจที่ชื่นชอบนั้นคงจะสิ้นสุดตรงเสี่ยวหู่ตุ้ย แต่ครั้งแรกที่เจอโหย่วเผิงนั้น ความทรงจำไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย แต่กลับกลายเป็นความนิ่งและใกล้ชิด ความรู้สึกเหมือนกับได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วอย่างนั้น


เคยเห็นแฟนคลับของโหย่วเผิงที่ร้อนแรงและบ้าบอเพื่อเขากับตา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสกลุ่ม FANS ไปสัมผัสคนธรรมดาคนหนึ่งที่คลั่งไคร้ดารา ฉันได้เข้าใจถึงความรู้สึกของการที่แฟนคลับชื่นชอบดาราของเขา มันอาจเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งนั้นไว้กำหนดไว้แล้ว คนนี้ต้องเป็นดารา คนนั้นเป็นคนที่ติดตามดารา การมีดาราก็ดี การเป็นผู้ติดตามก็ดี

งานราตรีเทศกาลไหว้พระจันทร์ขาดเพียงไกวๆ นี่ถึงจะเป็นการเสียใจจริงๆของแฟนเสี่ยวหู่ตุ้ย หากดูจากเวลานี้ นี่เป็นการสร้างขึ้นมาหลอก หรือว่าเป็นความว่างเปล่า เพราะเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป เสือน้อยสามตัวก็ไม่ได้เป็นเสือน้อยในใจของพวกเราแล้ว หลังจากที่พวกเขาแยกกันต่างก็เดินเส้นทางของตน และต่างก็ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะไกวๆหู่ หากเขาจะตั้งใจจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ แต่ในใจของทุกคนเขายังเป็นไกวๆหู่แล้ว ก็คงทำให้เขาผิดหวังเหมือนกัน คนไม่สามารถจะหยุดอยู่กับอดีต โดยเฉพาะเขาที่แสวงหาแต่การเปลี่ยนแปลง

ความตั้งใจของเขานั้นมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน หากจะพูดถึงเรื่องความตั้งใจพยายามของเขา เขาก็ยังเป็นผู้สืบทอดไกวๆหู่ “ ขยันอ่าน ขยันทำ ขยันเรียน นายสิบก็เป็นนายพลได้” แต่สายเลือดเขาแท้จริงไม่ได้เป็นไกวๆ เขาเป็นคนที่ดื้อ ขณะที่เราได้เห็นธาตุแท้อีกหน้าหนึ่งของเขา ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นไกวๆหู่อีกต่อไป หลายปีที่เขาได้เป็นเสี่ยวไกว มันคงจะเหนื่อยมาก คนเราจะอยู่ทำเพื่อคนอื่นตลอดไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องเป็นตัวของตัวเอง อย่างไรก็ตามฉันเองก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะลักษณะผู้ชายที่ฉันชอบน้อยลงไปหนึ่งคน หรือว่าแบบที่ฉันชอบนั้น ในโลกนี้คงไม่มี ฮ่าๆ หรือว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกในใจของฉัน เป็นความรู้สึกที่เพรอเฟรก

ท้ายสุดโหย่วเผิงก็ได้เป็นตัวของตัวเอง สำหรับสิ่งที่เขาแสดงออกมาทั้งหมดนั้น ฉันเข้าใจได้ และไกวๆหู่ในใจของฉันนั้น ขอให้มันบินไปกับความทรงจำก็แล้วกัน ไกวๆหู่ลาก่อน ขอให้โหย่วเผิงโชคดี

97
งานราตรีตรุษจีนเสี่ยวหู่ตุ้ยดังระเบิด



ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หากงานราตรีตรุษจีนไม่มีเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว การแสดงของหวังเฟยกับหลัวเชียนนั้นเป็นการแสดงที่ธรรมดาๆ และด้วยการที่พวกเขาได้ปรากฏตัวทำให้งานปีเสือคึกคักมากๆ ทำให้ผู้ชมได้หวนย้อนความทรงจำ ความรู้สึกที่หวนความทรงจำอดีตนั้นมันดีมาก แค่ 5 นาทีที่เสี่ยวหู่ตุ้ยออกมาปรากฏนั้นก็ทำให้ประทับใจกันถ้วนหน้าแล้ว เสียงกรี๊ดได้สะนั่นทั่วห้องส่ง พร้อมใจกันปรบมือ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นพระเอกในงานการแสดงครั้งนี้ แต่เมื่อความสุขผ่านไป พวกเราก็ได้มานั่งเหงาตามเดิม การรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยก็เป็นเหมือนการประชด

1.     การรวามตัวกันครั้งนี้ของเสียวหู่ตุ้ยเหมือนรวมตัวเสี่ยวนาทีแล้วหายไป มันส่งผลต่อทางด้านจิตใจมากๆ วันเวลาไม่ปราณีคนจริงๆ รูปร่างของพวกเขาสามคน อายุที่มากแล้ว เห็นความหนื่อยหล้าของพวกเขา ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเราแก่แล้ว แต่ประสบการณ์นั้นจะยิ่งมากขึ้นด้วย

2.   การรวมตัวอีกครั้งของเสียวหู่ตุ้ยนั้น การแสดงของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือมีอะไรใหม่ๆให้ดู มันทำให้รู้สึกเสียใจเหมือนกัน มันคงจะเป็นการหวนอดีตมากกว่า เพราะเห็นจากการร้องเพลงท่าเต้นของพวกเขาแล้ว ก็มีความเป็นสไตน์อย่างเดิม มีความอบอุ่นใจ ช่วงเวลานั้นพวกเราก็ได้หวนความทรงจำ แต่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มีนิดเดียวก็คงจะดี เพราะผู้ชมคงไม่กล้าเรียกร้องอะไรเยอะ กลัวจะทำให้ภาพลักษณ์เสี่ยวหู่ตุ้ยที่อยู่ในใจผู้คนจะเสีย

3.    การที่เสี่ยวหุ่ตุ้ยได้มาแสดงในรายการนี้เป็นความเศร้าโศกของคนยุค 80 90  เสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นคนยุค 70 พวกเรามาแสดงความคลาสสิกของพวกเขาในช่วงสมัยของพวกเขา แต่พวกเราบางคนที่เกิดไม่ทันได้เห็นพวกเขาแสดงก็รู้สึกถึงการประชด ยิ่งเป็นความรู้สึกที่เศร้า เวทีเพลงมีเพลงไหนบ้างที่ยังคงดังอมตะเหมือนเสี่ยวหู่ตุ้ย มันคงไม่มี พวกเราได้แต่หวนคิดถึงอดีต ทำให้จิตใจพวกเราเหมือนว่างเปล่า
 
งานในคืนนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยได้นำความทรงจำอดีตมาสู่ผู้คนมากมาย แต่เป็นช่วงเสี้ยวเวลา ทุกอย่างก็ไม่เห็นแล้ว การจะรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยคงเป็นไปไม่ได้ เสี่ยวหู่ตุ้ยที่เราเคยเห็นอย่างเปรียบไปด้วยความหนุ่มและความสุขนั้น สุดท้ายก็เหลือไว้แต่ทรงจำ ก็เหมือนกับคำพูดที่ (ฉีหลง) ให้สัมภาษณ์ เสี่ยวหู่ตุ้ยไม่ได้เป็นของพวกเขาสามคน เป็นความทรงจำของคนในยุคสมัยหนึ่ง เป็นความทรงจำวัยหนุ่มของคนรุ่นหนึ่ง เพลงของพวกเขาได้เข้าสู่จิตใจของทุกคนแล้วได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตบางคนไป

คืนส่งท้ายปีเก่า ขณะที่เรามองเห็นเสี่ยวหู่ตุ้ย แน่นอนเป็นค่ำคืนที่มีค่า เป็นค่ำคืนที่มีคุณค่าแก่การหวนอดีต ในขณะเดียวกันก็ได้นำความรู้สึกมากมายมาสู่พวกเรา




เสือน้อยกลายเป็นเสือแก่

ตั้งแต่ปีที่แล้วนั้น ราตรีตรุษจีนจะออกแนวหวนย้อนอดีต มีการแสดงหลายๆอย่างเพื่อจะให้ทุกคนได้ย้อนความทรงจำอดีตต่างๆ และมาในปีเสือนี้ยังมีเสียงเพลงของหวังเฟยกับเสี่ยวหู่ตุ้ยที่คุ้มค่าแก่การที่เราจะรอคอยชม

การปรากฏตัวของหวังเฟยนั้น ไม่เพียงเห็นถึงใบหน้าที่มีรอยตีนกาที่เพิ่มมา แต่เสียงเพลงของเธอที่เป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยมกับการ้องเพลง เธอนั้นคู่ควรแก่การเป็นนักร้องอมตะ จริงๆแล้ว ไม่ควรจะตั้งความหวังสู่กับเหลาหู่ตุ้ย เพราะเห็นว่าความเป็นวัยหนุ่มของพวกเขาใน 20 ปีก่อนได้หายไปหมดแล้ว  จะเห็นถึงหุ่นลงพุงอย่างนายพลของโหย่วเผิง 

เห็นถึงรูปร่างที่อ้วนของโหย่วเผิงได้ร้องเต้น  เมื่อย้อนคิดถึงพวกเขาในเมื่อ 20 ปีก่อนก็คงจะถอนหายใจ ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่เคยเห็น (วงเฉาหมง) ที่ได้เข้าวงการบันเทิงกับเสี่ยวหู่ตุ้ยพร้อมกัน เมื่อปีที่แล้วพวกเขาได้จัดคอนเสิร์ดทัวร์  20 ปีแล้วพวกเขาก็ได้กลายปี  “เฉาหมงจ๋าย”  และเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ได้กลายเป็น “เหลาหู่ตุ้ย” เมื่อชมการแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้วต้องถอนกายใจแทน เพลงฉีหลงเมื่อร้องเพลงแล้วจะเห็นความเหนื่อย และไกวๆหู่ที่ร้องเสร็จแล้วก็แทบจะหายใจไม่ทัน แต่สำหรับคนที่เป็นแฟนพันธ์แท้ของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น สำหรับพวกเราแล้วเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว

และผมเองคิดการการปรากฏตัวของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น เป็นความสวยงามและวัยหนุ่มสาวของช่วงวัยหนึ่ง การแสดงของพวกเขาได้นำเวลาอดีตมาสู่พวกเรา ได้กระตุ้นใจของเราทั้งหลาย จริงๆแล้วผมเองคิดว่า ขอเพียงเสี่ยวหู่ตุ้ยปรากฏตัวก็พอแล้ว การแสดงที่ทำเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนอย่างนั้นมันก็เป็นเพียงย้อนหวนอดีต





(ราตรีตรุษจีนปีเสือ)  เสี่ยวหู่ตุ้ยที่แยกกันกว่า 19 ปีได้มารวมตัวกัน คืนวันนั้นเสียงปรบมือและความตื่นเต้นได้เป็นที่ยืนยันแล้วว่า การแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นได้กลายเป็นการแสดงที่หนึ่งของรายการทั้งหมด สำหรับเรื่องนี้นั้น แน่นอนจื้อเผิงก็ต้องดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่คิดที่จะปกปิดความดีใจของเขาเลยสักนิด ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือฉีหลง หรือโหย่วเผิงก็ล้วนจะต้องเผชิญกับคำถามของนักข่าวว่า การรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยยังมีความเป็นไปได้ไหม?

แน่นอนนี้เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของคนยุคหนึ่ง “ผมไม่อยากจะเหมือนเมื่อก่อนที่พูดเยอะมาก จริงๆ ก็ขอให้มันไปตามธรรมชาติดีกว่า”  “ตามธรรมชาติ”แค่นี้เป็นคำตอบที่ง่ายๆแต่ก็ล้วนซ่อนด้วยความนึกคิดของเขาอยู่ จริงๆแล้วจากการซ้อมจนถึงเวลาที่แสดง แฟนๆก็สามารถที่จะดูออกถึงการทุ่มเทอย่างสุดๆของจื้อเผิงต่องานนี้ คำหนึ่งของเขาบอกว่า “อยู่บนเวทีผมลืมไปทุกสิ่ง รู้เพียงว่าผมเป็นเสี่ยวหู่ตุ้ย” คำนี้เป็นที่ประทับใจมาก สำหรับคืนนั้นที่ผู้ชมมีทั้งความประทับใจและน้ำตา เป็นการอวยพรและคำรอคอย

สิ่งที่แตกต่างจากอดีตอย่างหนึ่งคือ จื้อเผิงนั้นไม่ว่าจะไปไหนโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา จริงๆแล้วเขาได้หลงไหลในการส่งอะไรต่างๆในโทรศัพท์ เขาที่ได้ใช้การอ่านหนังสือและดูรูปในการทำให้จิตสงบนั้น ครั้งนี้คงเป็นโอกาสที่จะได้แบ่งปังความสุขกับแฟนคลับ แน่นอน ก็เพราะการที่เขามาพักผ่อนที่คางโจว ทำให้เขาได้คลายเครียดและสบายหลังจากที่เครียดกับการแสดงมานาน “ผมชอบคางโจวมากๆ ที่นี่มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และการจัดสรรทั้งถนนและตึกก็ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศในบ้านผมเลย ทุกครั้งที่มาที่นี่ ก็เหมือนกับกลับบ้าน” ไม่แปลกเลย ที่เขายอมสละเวลาแห่งปีใหม่มาอยู่พักผ่อนที่นี่ เขาได้หลงไหลในวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของที่นี่ งานไหว้ครูเมื่อปีที่แล้วท่านอาจารย์หวังยี่ซึ่งสอนละครเพลง อาจารย์เองก็เป็นคนคางโจวเหมือนกัน “คืนส่งท้ายปีเก่าผมได้มีโอกาสโทรศัพท์หาอาจารย์เหมือนกัน ได้อวยพรท่าน” ได้ถามว่าละครเพลงที่เรียนนั้นไปถึงไหนแล้ว จื้อเผิงตอบว่าก็สามารถร้องได้ แต่ฝีมือก็ยังห่างไกลอยู่ จะต้องตั้งในเรียนฝึกฝน “อาจารย์สอนผมไม่ต้องใจร้อน อย่างไรก็ตามปีนี้ผมจะต้องจัดเวลาเพื่อจะมาเรียน ไม่แน่อาจมีโอกาสได้ออกงานกับศิษย์พี่ก็ไม่รู้”

วันที่ 15  เดือนอ้ายนั้นจื้อเผิงจะต้องไปที่ปักกิ่ง เพราะตามธรรมเนียมแล้ว รายการแสดงที่ยอดเยี่ยมของคืนวันนั้นจะมีการประกาศที่สถานียางซื่อ เสี่ยวหู่ตุ้ยคงจะเป็นที่ฮือฮาในงานนั้นตามเคย แต่ว่ารายการแสดงของพวกเขาคงจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

98
Articles&Interviews[Xiao Hu Dui] / Celebrate Chinese New Year 2010 - The Little Tigers band
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 05:36:34 AM »
Celebrate Chinese New Year 2010 - The Little Tigers band (Xiao Hu Dui 小虎队)

http://www.youtube.com/watch?v=rjqVDgIdIYw



99
9  กุมภาพันธ์ 2010  เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ปรากฏตัวซ้อมการแสดงบนเวที

การรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหุ่ตุ้ย แม้ความวัยหนุ่มได้หายไป แต่ความเป็นพี่น้องยังอยู่




การแสดงราตรีตรุษจีนของเสี่ยวหู่ตุ้ย



เสี่ยวหู่ตุ้ยได้รับการต้อนรับหลังเวที



หากว่ามีคนถามผมว่างานราตรีตรุษจีนใครฮอตที่สุด นักข่าวจะตอบให้กับคุณอย่างไม่มีข้อกังขา “เสี่ยวหู่ตุ้ย” มีรายการหลายอย่างได้แสดง ทั้งเต้นทั้งร้อง แต่รายการส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ แต่เมื่อเสี่ยวหู่ตุ้ยได้ปรากฏบนเวทีแล้ว ทำให้ทั้งงานโฟกัสไปที่จุดเดียวกัน และจากน้ำหนักข่าวที่ได้ทำข่าวของงานราตรีตรุษจีนนั้น ภาพที่ประทับใจฝังใจก็คงหนีไม่พ้นการซ้อมการแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ย ก่อนที่ทั้งสามคนจะมาซ้อมจริงๆนั้น ได้มีการซ้อมแบบใช้ตัวแทนเดินบนเวทีก่อน แต่เพียงแค่เสียงดนตรีดังขึ้น ทั่วห้องนั้นจะดังไปด้วยเสียงปรบมือที่ยาวมาก คนนับไม่ถ้วนที่ลืมตัวเองและได้ร้องเพลงไปตามเสียงดนตรีที่ได้ดังขึ้น สิ้นเสียงปรบมือก็ตอนที่เพลง 3 เพลงได้ร้องจบ 9  กุมภาพันธ์ 2010  เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ปรากฏตัวซ้อมการแสดงบนเวที ได้จุดประกายความคึกคักขึ้นในทันใด มีนักข่าวคนหนึ่งได้ถูกมวลชลเบียดจนตกบ่อน้ำในรองโถง ผู้คนล้วนได้เคียงข้างกับเสี่ยวหู่ตุ้ยจนพวกเขาร้องจบทั้งสามเพลง ทั้งสามคนน้ำตาซึมขณะซ้อม เสร็จแล้วต่างคนก็ต่างเดินไปข้างเวที นักข่าวได้ฉวยเวลานี้ในการไปสัมภาษณ์พวกเขา



โหย่วเผิงน้ำตาคลอ ผู้ชมน้ำตาไหล ผู้กำกับก็กลั้นไม่อยู่

5.15  นาที สำหรับทางผู้จัดงานแล้วคิดว่าเป็นการตอบแทนที่คุ้มมาก ครั้งนี้ (จิงแย่) ได้ให้โอกาสทองอย่างนี้แก่เสี่ยวหู่ตุ้ย ทาง (จิงแย่) เคยพูดไว้ว่าต้องการให้เสี่ยวหู่ตุ้ยมาปลุกกระแสวัยหนุ่มสมัยเสี่ยวหู่ตุ้ยให้เป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะความทรงจำที่ได้หลับไปนานนั้นเมื่อถูกเรียกตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั้นมันจะมีอะไรที่สนุกและมีความสุขมากๆ งานราตรีตรุษจีนนั้นต้องการบรรยกาศอย่างนี้ ยังจำได้ตอนที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ซ้อมการแสดงนั้น วินาทีจากการแต่งตัวจนถึงขึ้นเวทีนั้น ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกเกรงๆ แฟนๆที่มีวัยต่างกันได้มารุมล้อมโห่ร้องแต่ชื่อของพวกเขา มีแฟนๆที่ทั้งของลายเซ็นทั้งมาขอถ่ายรูปทำให้สถานที่ที่กว้างกลับสัญจรไม่ได้ จริงๆแล้วเวทีตรงนี้ที่ผ่านมาศิลปินที่มาก็ไม่ได้น้อยนะ แต่นักข่าวคนหนึ่งบอกว่าน้อยมากที่จะเห็นภาพอย่างนี้ที่มีแฟนๆมากันมากมาย และด้วยบรรยกาศที่โกลาหลอย่างนี้ทำให้ทั้งสามคนต้องเบียดเสียดจนสามารถถึงเวทีได้

นักข่าว : เห็นใบหน้าพวกคุณเต็มไปด้วยเหงื่อ ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงเสี่ยวหู่ตุ้ยในสมัยนั้นได้กลับมาแล้ว พวกคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?

โหย่วเผิง : ประทับใจมาก แฟนๆทั้งหมดในนี้ทำให้ผมประทับใจจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้มายืนอยู่ที่นี่อย่างเป็นทางการ มันมีพลังที่พูดไม่ถึงมันทำให้พวกเราสามคนเกิดกำลังขึ้นมา และหวังว่าทุกคนจะพอใจ พวกเราไม่ได้อยู่ในช่วงวัยหนุ่มแล้ว แต่พวกเราจะของทำอย่างเต็มที่

นักข่าว : เพลงที่จะร้องครั้งนี้เป็น (อ้าย) (หูเตี่ยเฟยยา) (ชิงผิงก่อเล่อเหยียน) 3 เพลง ยังจำได้ไม๊ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ร้องเพลงนี้?

จื้อเผิง  : เวลานั้นคงจำไม่ได้แล้ว เพราะที่พวกเราทั้งสามคนได้เคยร้องร่วมกันนั้นมันนานมากๆแล้ว แต่สิ่งที่แปลกก็คือครั้งแรกที่พวกเราได้ร้องนั้นทุกคนยังจำได้ดี นั่นพูดได้ว่าความทรงจำบางอย่างนั้นไม่มีวันลืมเลยจริงๆ ขอเพียงพวกเราสามคนมาอยู่ร่วมกัน แน่นอน ความทรงจำเก่าๆก็ได้หวนคืนมาหมด

นักข่าว : ไม่รู้ว่าพวกคุณสังเกตุไหม หลังจากที่ดูการแสดงของพวกคุณแล้วหลายคนน้ำตาคลอเบ้า ผมอยู่ด้านหลังเวทียังมองเห็นผู้กำกับท่านหนึ่งยังเช็ดน้ำตาเลย ตอนที่พวกคุณอยู่บนเวทีนั้น มีความรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า?

ฉีหลง : มีแน่นอน แต่ว่าตอนอยู่บนเวทีสิ่งที่พวกเราจะมอบให้ทุกคนคือการแสดงที่ดีที่สุด ฉะนั้นพวกเราเลยต้องห่วงเรื่องท่าเต้นและตำแหน่ง นานแล้วที่ไม่ได้เจอทุกคน ครั้งนี้จะต้องแสดงให้ดีที่สุด แน่นอนเห็นแล้วมีการเสียสมาธิเล็กน้อยเหมือนกัน แต่จะร้องไห้บนเวทีก็ไม่ได้นะ

โหย่วเผิง : นานแล้วที่ทุกคนแยกกันอยู่และกลับได้มาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง ผมไม่เพียงตื้นตันใจ ยังมีความรู้สึกการย้อนกลับของเวลาด้วย ฉะนั้นพวกเราจึงตั้งใจกับการมาแสดงในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง พูดตามตรงตอนที่ยืนอยู่บนเวทีนั้น สายตาจะมองลางๆ เหมือนกับมองเห็นงานคอนเสิร์ดเมื่อ 20 ปีก่อน มันเหมือนกับได้เห็นพวกเราในสมัยอดีตกับแฟนๆในสมัยนั้น สภาพการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับสมัยนั้น ฉะนั้น (เวลานี้น้ำตาโหย่วเผิงเริ่มไหล)




เหยีนหนี่ก็เห่อดารา “เสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นที่รักยิ่งของฉัน”

หลังเวทีในงานราตรีตรุษจีนนั้นนับว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยยังเป็นวงศิลปิน ก่อนหน้านี้ทางนักข่าวเองก็ได้เจอนักบินหญิงชาวจีนคนหนึ่งที่จะมาแสดงในงานนี้ด้วย เธอได้เร่งฝีเท้าเพื่อจะไปถ่ายรูปกับพวกเขาสามคน ทางนิตยสารก็ยังได้ลงเรื่องเธอด้วย เดิมทีนั้น (เยียนหนี่) เธอเป็นคนที่ใจร้อน แต่เมื่อเธอเห็นการปรากฏตัวของเสี่ยวหู่ตุ้ยเธอก็ได้จ้องมองกว่าครึ่งวัน เธอดีใจจนแทบจะกระโดดลอยขึ้นไป เธอก็เหมือนกับแฟนคลับคนหนึ่งที่รีบวิ่งไปถ่ายรูปกับพวกเขา ถ่ายเสร็จแล้วยังย้ำกับทางนักข่าวด้วยว่า รูปต้องส่งมาให้ฉันด้วยนะ ทางนักข่าวได้ถามเธอ ทำไมต้องไล่ตามดาราอย่างนี้ เธอตอบ เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นที่รักยิ่งของฉัน เป็นที่ฉันชื่นชอบที่สุด

และภาพที่จำฝังใจที่สุดเป็นช่างภาพคนหนึ่ง ดูเขาแล้วน่าจะเป็นแฟนๆช่วงปี 80   เขาได้เดินอย่างใกล้ชิดและถ่ายรูปของเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างไม่หยุด เขาถ่ายไปถ่ายไปก็มีน้ำตาไหลออกมา หลังงานแล้วเขาได้พูดคุยกับนักข่าวว่า “เมื่อเห็นพวกเราสามคน เมื่อได้โฟกัสเลนกล้องไป น้ำตาก็เริ่มไหล เป็นเพราะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นพวกเขาสามคนยืนอยู่ด้วยกัน”

 
แม้วัยหนุ่มจะหายไป แต่ความเป็นพี่น้องยังอยู่
 
รายการร้องเพลงของเสี่ยวหู่ตุ้ย เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น ทั้งสามคนจะค่อยๆโผล่ออกมาจากใต้เวทีจนเหนือบนเวที และเสียงกรี๊ดมาจากทุกสารทิศ เวลาได้ไหลย้อนกลับ แม้ว่าท่าเต้นจะไม่แรงเหมือนอดีต บรรดาทั้งสามคนนั้น (ฉีหลง) เป็นคนที่อายมากที่สุด เขาเกิดปี 1970  รองมาคือจื้อเผิง 1971  คนที่อ่อนที่สุดคือโหย่วเผิง เกิดปี 1973  พวกเขาที่เกือบ  40 แล้วนั้น มาถึงวันนี้พวกเขาได้ตั้งชื่อการร่วมตัวครั้งนี้คือ “รวมอีกครั้ง” ขณะที่ได้พูดถึงการมารวมกันอีกครั้งนั้น ทั้งสามคนตื้นตันใจ  แต่เรื่องสำหรับอนาคตพวกเขาจะมีการรวมตัวกันอีกหรือไม่นั้น ทุกคนก็ยังคงรักษาท่าทีที่ต้องรอ

นักข่าว  :  ได้ชมการแสดงของพวกคุณแล้ว เสียงหนุ่มในสมัยอดีตของพวกคุณได้หายไป แต่ว่าความรู้สึกนั้นพวกคุณก็ยังเป็นเสียวหู่ตุ้ย

ฉีหลง  :  การเติบโตนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แน่นอนเมื่อผ่านวันผ่านคืนมาก็ต้องมีการเปลี่ยนไปบ้าง อายุกับการเข้าสู่วงการนั้นมาเปรียบคงจะต้องคูณสองแล้ว เสียงร้องของพวกเรานั้นจะให้เป็นเหมือนสมัยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ การแสดงครั้งนี้ท่าภาษามือของเรายังคงความเดิม เพราะอยากจะใช้รูปแบบนี้ที่จะมอบความทรงจำให้ทุกคน คือไม่จำเป็นต้องพูด น้ำใจของพวกเรานั้นมันสามารถสื่อสารอย่างนี้กันได้




นักข่าว : การซ้อมการแสดงครั้งแรกของพวกคุณนั้น รู้สึกว่าการเต้นจะไม่ค่อยพร้อมกันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้การชื่นชอบของผู้ชมที่มีต่อพวกคุณน้อยไป ก่อนหน้านี้พวกคุณคิดถึงการชื่นชอบของผู้ชมที่มีต่อพวกคุณไหม?

โหย่วเผิง : พูดจริงๆว่าครั้งแรกที่เดินสู่เวทีนั้นพวกเราก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่การได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลามจากล้างเวทีนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราคิดไม่ถึง การต้อนรับอย่างนี้นั้นมันอบอุ่นใจมากๆ ฉะนั้นมันก็ยิ่งทำให้พวกเรามีกำลังใจซ้อมต่อ

นักข่าว : ผู้กำกับ (จินแย่) เคยพูดถึงจุดประสงค์ที่ได้เชิญพวกคุณสามคนมาร่วมแสดงเพื่อจะปลุกกระแสของเสี่ยวหุ่ตุ้ยอีกครั้ง พวกคุณมีความเห็นอย่างไร?

โหย่วเผิง : เมื่อกี้ตอนที่ผมลงเวทีเห็นตากล้องคนหนึ่งที่ถ่ายรูปของพวกเราแล้วเขาก็เช็ดน้ำตาไปด้วย พูดตรงๆว่าในใจผมก็รู้สึกตื้นตันใจมากๆ มันผ่านไปแล้วหลายๆปี ตอนนี้พวกเรากลายเป็นเสือแก่ไปแล้ว ไม่มีสไตน์หรือมาดแห่งความหนุ่มในสมัยอดีต แต่ว่าความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อเรานั้นไม่เคยจืดจางหรือถดถอยไปเลย มันเซอร์ไพรส์พวกเรามากๆ และสิ่งที่มากกว่านั้นคือความขอบคุณ แม้ว่าวัยหนุ่มจะกลายเป็นอดีตไป แต่ยังดีที่พวกเราทั้งสามคนยังอยู่ ทั้งสามคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก็เพียงพอแล้ว

นักข่าว : ครั้งนี้ที่มาร่วมงานราตรีตรุษจีนก็จะเห็นว่าพวกคุณอยู่ด้วยกันตลอดแบบไม่ห่างกันเลย รู้สึกว่าสนิทใกล้ชิดกันมาก?

ฉีหลง : ความผูกพันธ์ฉันพี่น้องที่มีมา 20 กว่าปี มันไม่สามารถที่จะมองดูจากภายนอกได้ ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นจะไม่มีอะไรสามารถมาทำลายมันได้

นักข่าว : สำหรับชุดแต่งกายที่จะแสดงในครั้งนี้นั้นพวกคุณมีความเห็นอย่างไร?

โหย่วเผิง : ชุดสูทสีขาวทั้งสามชุดนี้สื่อถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพวกเรา พวกเราล้วนชอบมาก ไม่รู้ว่าทุกคนสังเกตุหมุดที่เสื้อของพวกเราไหมว่ามันเป็นรูปเสือ มันอาจจะมองไม่ค่อยออก แต่ละคนจะมีเสือหนึ่งตัว มันรู้สึกดีมากๆ

นักข่าว : การแสดงเมื่อก่อนของพวกคุณ ตอนจบฉีหลงจะตีลังกาหลัง แต่ครั้งนี้ไม่เห็นมีเลย?

ฉีหลง : ผมกลัวเสียท่า ฮ่าๆๆ สิ่งที่สำคัญคือเนื้อเพลงสามารถนำเราสู่ความทรงจำอดีต ก็คงจะไม่เหมือนแป๊ะๆกับอดีต พวกเราล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็อยากจะให้ทุกคนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพวกเรา

นักข่าว : จะมีโอกาสที่จะจัดคอนเสิร์ดทัวร์ทั่วประเทศในการครบรอบ 30 ปีแห่งเสี่ยวหุ่ตุ้ย?

โหย่วเผิง : ตอนนี้ทางบริษัทของแต่ละคนยังไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ ยังไม่มีการศึกษา ฉะนั้นตอนนี้คงพูดไม่ได้ หากว่ามีโอกาส พวกเราก็ยินดีที่จะนำความทรงจำดีๆกลับมาให้กับทุกคนอีกครั้งหนึ่ง

นักข่าว : แฟนคลับหลายๆคนได้ถามคำถามหนึ่งว่า เสี่ยวหู่ตุ้ยจะมีการรวมตัวอีกไหม?

ฉีหลง : พวกเราทั้งสามคน ตอนนี้ก็สังกัดต่างค่าย การที่จะมาอยู่รวมกันหรือแสดงด้วยกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเหมือนกัน ฉะนั้นดูจากตอนนี้แล้ว ความเป็นไปได้น้อยมาก แต่ขอเพียงทุกคนยังคงเก็บเสี่ยวหู่ตุ้ยไว้ในความทรงจำ พวกเราจะไม่มีวันจากทุกคนไปไหนเลย

100

29 ม.ค. 2010:  ผู้จัดการส่วนตัวโหย่วเผิง บอกว่าการจะพูดเรื่องจัดตำแหน่งการยืนใหม่นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ
 
เทศกาลตรุษจีนของปีนี้จะดูอะไร? ดูจ้าวเปิ่นซัน เสี่ยวเฉินหยาง “บริจาค” หรือว่าจะดูหวังเฟยร้องเพลง? เมื่อฟังตามข่าวของนักข่าวที่รายงานแล้ว ทำให้พอรู้ว่าคืนวันนั้นมีรายการอะไรบ้าง ในปี 70,80 ที่ผ่านมาแล้วหลายปีนั้น ยังมีการรวมตัวของวงวงหนึ่งคือเสี่ยวหู่ตุ้ยซึ่งตอนนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนของวงการนักข่าว ได้กลายเป็นนัมเบอร์วันของข่าวเทศกาลตรุษจีนไปแล้ว

หลังจากงานตรุษจีนแล้ว ทางเสี่ยวหู่ตุ้ยยังไม่มีท่าทีจะจัดทัวร์คอนเสิร์ด การมารวมตัวการอีกครั้งในช่วงตรุษจีนนี้นั้น เสมือนเป็นการให้ความอุ่นใจกับบรรดาแฟนๆทั้งหลาย แต่ไม่ได้เพื่อจะมาสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ฉะนั้นการที่เราจะคิดถึงพวกเขาก็ไม่ต้องการเหตุผล เพราะเพียงสิ่งต่างๆที่ดีๆที่พวกเขาให้กับเราทุกคนนั้นมากมายเกินไปจริงๆ


เวลาการแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ยจะอยู่หลังเที่ยงคืนเป็นแค่ข่าวลือ
 
“ตอนกลางวันที่ได้ร่วมซ้อมการแสดงนั้นทำให้คิดถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้วของไกวๆหู่ แต่กลางคืนกลับต้องเร่งรีบดูบทละครต่อ ประชุมงาน มันเหมือนคนละคนไปเลย ในช่วง 4 วันแห่งการซ้อมนั้น โหย่วเผิงใช่คำว่า “จิตใจลอยไม่มีสมาธิ” มาเปรียบตัวเอง

ถาม : การกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยได้กลายเป็นประเด็นสุดฮ็อดในเทศกาลตรุษจีนนี้ จริงๆแล้วใครเป็นคนแรกที่ติดต่อพวกคุณมา? แล้วพวกคุณสามคนได้พูดคุยตกลงกันจะรวมตัวกันเมื่อไหร่กัน?

ตอบ : เป็นผู้กำกับของสถานียางซื่อ ท่านได้ติดต่อพวกเราประมาณ พฤศจิกายนของปีที่แล้ว(2009)  แล้วพวกเราก็ได้ตัดสินใจจะมาในเดือนธันวาคม

ถาม :การรวมตัวครั้งนี้ของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นมีข่าวลือมากมาย เช่นข่าวลือช่วงแรกบอกว่าการรวมตัวกันครั้งนี้นั้นแต่ละคนเฉยๆ แถมโหย่วเผิงยังไม่ยอมตอบรับด้วย มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?

ตอบ : ข่าวลือนั้นร้อยแปดพันเก้า เหตุเพราะตอนนั้นทางหยางซื่อแค่เพียงคิดวางแผนไว้เฉยๆ พวกเขาไม่มีรายการที่เป็นรูปเป็นร่างมาให้เรา บวกกับทั้งสามคนกำลังยุ่งกับงาน ยากจะมารวมกัน บวกกับความคิดที่ว่ามันจริงหรือเปล่าที่จะมีงานนี้อีกด้วย สำหรับโหย่วเผิงแล้ว เขาไม่ปฏิเสธเลยหรือว่าไม่มีอะไรที่ไม่ยอม เพราะทุกคนรู้ดีกว่าคืนเทศกาลตรุษจีนนั้นเป็นเวลาสำคัญมากสำหรับชาวจีนทุกคนที่จะมาอวยพรกันและกัน ไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่าไม่อยากมาร่วม และหากว่าไม่ไปร่วมทางแฟนคลับก็คงต้องผิดหวังมากๆ

ถาม :ตามที่ประกาศว่า รายการแสดงของเสี่ยวหู้ตุ้ยจะอยู่หลังเที่ยงคืน เหล่าบรรดาแฟนๆต่างก็มีแอนตี้เรื่องนี้มากๆ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?

ตอบ :  ลำดับของรายการคืนนั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่กำหนดชัดเจน ข่าวที่บอกว่าหลังเที่ยงคืนนั้นมั่วแน่นอน
 
ต่างค่ายต่างบริษัทจะมาร่วมจัดคอนเสิร์ดทัวร์คงเป็นไปได้ยาก
 
ถาม :  หลังจากงานครั้งนี้แล้วเสี่ยวหู่ตุ้ยจะมีการจัดคอนเสิร์ดกันหรือร่วมแสดงภาพยนตร์ด้วยกันไหม?

ตอบ :  การที่จะไปจัดคอนเสิร์ดทัวร์นั้นเป็นอะไรที่ตัองใช้เวลาเยอะ ต้องให้เวลาหนึ่งปีหรือมากว่าหนึ่งปีในการมาวางแผนงาน และพวกเขาต่างคนก็ต่างค่าย มีตารางเวลาที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการจะไปคอนเสิร์ดทัวร์นั้นเป็นไปไม่ได้ เรื่องภาพยนตร์ก็เหมือนกัน แต่ว่าหากเป็นงานด้านการกุศลแล้วก็คงจะมีการเอาไปพิจารณาดู

ถาม  :  ได้แยกกันกว่า 10 ปีและตอนนี้ได้มาแสดงรายการของเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรื่องเพลง เรื่องชุด เรื่องท่าเต้นมีด้านไหนที่โอเคแล้ว? และจะแสดงอย่างในอดีตหรือเปล่า?

ตอบ :  พื้นๆแล้วก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลย เรื่องนี้เป็นการปรึกษากันระหว่างเรากับทางหยางซื่อ เช่น ท่าเต้นภาษามือของเพลง(อ้าย) พวกเขาจะร้องเพลงนี้ด้วย แต่ก็คิดถึงตอนนี้พวกเขาก็ 30 กันแล้ว แล้วท่าต่างๆที่มันแบบวัยรุ่นหนุ่มๆนั้นคงจะมีการเปลี่ยนไปบ้าง เรื่องชุดนั้น จนถึงวันนี้ก็ยังมีการแก้ไขอยู่ ภาพรวมก็โอเคดี

ถาม :  แล้วตอนซ้อมนั้นราบรื่นไหม?ได้ข่าวว่าโหย่วเผิงพวกเขากำลังลดน้ำหนักกัน?

ตอบ :  พวกเขาสามคนได้แยกกันทำงานแล้วหลายปี การมาร่วมกันแสดงบนเวทีก็เพิ่งจะเป็นครั้งแรก จริงๆแล้วพวกเขาก็ติดต่อกันตลอดเวลา นอกเหนือจากหน้าที่การงานแล้วพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีอยู่ รับมุกกันดีมาก ตอนซ้อมนั้นก็หัวเราะยิ้มหยอกล้อกันตลอด รู้สึกสบายๆไม่เครียด ก็ราบรื่นดีทุกอย่าง บางครั้งโหย่วเผิงจะมีการลืมท่าเต้นไปบ้างก็มี ตอนนี้ก็ผอมแล้วนะ ทางผู้กำกับก็ไม่ได้เรียกร้องให้พวกเขาลดน้ำหนัก ข่าวสองวันนี้อาจมีคนอื่นลดน้ำหนัก แต่โหย่วเผิงไม่มี

ถาม :  ได้ยินว่าตอนซ้อมจื้อเผิงบ่อน้ำตาแตก แล้วโหย่วเผิงล่ะเป็นไงบ้าง?

ตอบ :  โหย่วเผิงก็ซึ้งเหมือนกัน ทุกคนก็ล้วนตื่นตันใจ ตื่นเต้นมาก เหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปอดีต เมื่อวานตอนที่พวกเขาเข้าซ้อมนั้น ทั้งสามคนขึ้นบนเวทีเต้น ทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนประทับใจ และยืนขึ้นปรบมือให้ทั่วห้องเลย



การจะจัดตำแหน่งใหม่นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ
 
ถาม :  พวกเราได้สังเกตุเห็นข่าวหนึ่ง บอกว่าจะมีการจัดสรรตำแหน่งการยืนใหม่ เช่นโหย่วเผิงนั้นดังมาตลอดเวลา ครั้งนี้คงจะให้เขายืนตรงกลาง

ตอบ  :  เท่าที่รู้มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นเป็นการหวนระลึกถึงอดีต เป็นอะไรที่คลากสิก ในการแสดงของพวกเขานั้นพวกเขาจะต้องเป็นเสี่ยวหู่ตุ้ยในความคิดฝันของแฟนคลับ ข่าวลือตำแหน่งการยืนนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ พวกเราคิดว่าการงานของพวกเขาทั้งสามคนก็ไม่เลวเหมือนกัน เพียงแต่การงานหน้าที่ของแต่ละคนมันต่างที่ต่างงานกัน การจะเอาสิ่งเหล่านี้มาเปรียบเทียบกันนั้นไร้สาระ เช่นกิจการร้านอาหารของฉีหลงก็ไปได้สวย จื้อเผิงละครเวทีของเขาก็แสดงได้ดีมาก ฉันเองก็ไปดูมาแล้วสองรอบ

ถาม  :  ปีที่แล้วที่โหย่วเผิงพลิกเปลี่ยนบทบาทในเรื่อง(เฟิงเซิง)นั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก อยากถามว่างานหลักของโหย่วเผิงในปีนี้นั้นยังเป็นการแสดงภาพยนตร์อยู่หรือเปล่า?

ตอบ :  ก็ต้องแสดงภาพยนตร์เป็นหลัก เรื่องการร้องเพลงก็คงรับไว้พิจารณา แต่คงจะไม่ไปทำแบบเป็นอัลบั้มอาจจะร้องสักสองสามเพลงอะไรประมาณนี้

ถาม :  หลังจากเสร็จงานนี้แล้ว เสี่ยวหู่ตุ้ยจะมีการจัดคอนเสิร์ดด้วยกันไหม?

ตอบ :  พวกเรายินดีที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข แต่การที่จะจัดคอนเสิร์ดนั้นเป็นอะไรที่สำคัญ ต้องใช้เวลาร่วมปีในการวางแผนเตรียมงาน และพวกเขาทั้งสามคนต่างก็อยู่ในค่ายบริษัทที่ต่างกัน บวกกับตารางเวลาที่ไม่เหมือนกันด้วย ด้วยเหตุนี้เรื่องงานคอนเสิร์ดนั้นคงเป็นไปได้ยาก แต่หากเป็นงานด้านการกุศล พวกเราก็รับไว้พิจารณา

มันกว่า 20 ปีแล้วนะ แต่จนถึงวันนี้โรงเรียนประถมหน้าบ้านผมยังเปิดเพลง(ฟ่างซินชี่เฟย: Fang Xin Qu Fei) โอ้แม่เจ้า มันทำให้น้ำตกไหลแน่นอน
 
24 ม.ค. (ข่าว 30 นาที) ได้พูดถึงข่าวงานคืนตรุษจีนของเสี่ยวหู่ตุ้ย มีศิลปินไหนบ้างที่สามารถเป็นข่าวในสถานียางซื่อ? เห็นได้ว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นยังติดกระแสมากๆ แม้กระทั่งผู้อ่านข่าวเองก็ยังอิงไปกับเสี่ยวหู่ตุ้ย รู้เลยว่าเป็นแฟนคลับ

ฉีหลง40,  โหย่วเผิง 37, จื้อเผิง 39  ลองมาดูตัวเลขเหลานี้ !!!!

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7