101
Articles&Interviews[Xiao Hu Dui] / 28 ม.ค. 2010: การรวมตัวกันอีกครั้งในงานฉลองตรุษจีนของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทำให้หวนคิด
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 04:53:41 AM »
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1479438772094611
28 มกราคม 2010: การรวมตัวกันอีกครั้งในงานฉลองตรุษจีนของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทำให้หวนคิดถึงปี 70, 80
เสี่ยวหู่ตุ้ยเพียงครั้งเดียวก็ผ่านการสอบสวนเรื่องข่าวที่รั่วไหล
(1) แฟนคลับเว็ปไซน์ ร้องโอ้ เสี่ยวหู่ตุ้ยได้กลายเป็นเหลาหู่ (เสือน้อยกลายเป็นเสือเฒ่า)
คืนนี้จะดูรายการของใครดี? ดูจ้าวเปิ่นซัน “การบริจาค”ของเสี่ยวเฉินหยาง หรือว่าการร้องเพลงของหวังเฟยดี? ตามกระแสข่าวของสื่อที่สร้างกระแสนั้น รายละเอียดการแสดงของการฉอลงปีเสือนั้นได้รู้มาพอสมควรแล้ว ผู้คนมากมายในช่วงปี 70,80 ได้เกาะติดกระแสของการแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างมากๆ จนได้กลายเป็นประเด็นร้อนของงานตรุษจีนปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาอดีตเป็นนักร้องวัยรุ่นที่เคยดังที่สุดในไต้หวัน ได้สร้างสถิติใหม่ของโลกและจีนมาแล้วมากมายหลายรายการ ช่วงปี 80, 90 นั้นได้ดังระเบิดในแวดวงชาวจีนเป็นอย่างมาก เหตุด้วยการที่จะต้องไปเกณฑ์ทหารและเรียน ปลายปี 1991 พวกเขาได้ทำอัลบั้ม(ไจ้เจี้ยนลาก่อน:Goody-Bye) เพื่อจะประกาศการแยกย้ายกันชั่วคราว ตอนนั้นผ่านทางบทเพลงพวกเขายังให้คำมั่นสัญญากับแฟนๆว่า ”พรุ่งนี้พวกเรายังจะต้องพบกันใหม่ เสมือนเมฆขาวที่จางหายไปแค่ชั่วครู่” คิดไม่ถึง การบอกว่าแค่พรุ่งนี้นั้นรอไปเกือบ 20 กว่าปี จนเสี่ยวหู่ตุ้ยกลายเป็น (เหลาหู่ตุ้ย) ไปแล้ว
หลังจากงานฉลองผ่านไปแล้ว ทางเสี่ยวหู่ตุ้ยยังไม่ยืนยันที่จะมีการจัดคอนเสิร์ดทัวร์ จะพูดในอีกความหมายหนึ่งก็คือ จากการที่มาปรากฏตัวในงานฉลองตรุษจีนครั้งนี้นั้น เป็นการให้ความอบอุ่นในอดีตอีกครั้ง มิใช่เป็นการสานเสี่ยวหู่ตุ้ยต่อไป แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ การคิดถึงนั้นมันไม่ต้องมีเหตุผล แต่เป็นเพราะพวกเขาได้นำสิ่งดีๆมาให้กับเรามากมายจนอดคิดถึงไม่ได้
สถานการณ์ตอนซ้อมการแสดง
“ตลอดการแสดงนั้น เสียงปรบมือจากห้องนั้นไม่เคยหยุดหายไปเลย หลายคนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แม้แต่ทางผู้กำกับเองน้ำตายังคลอเบ้าเลย” 25 มกราคม 2010 หลังจากที่ซ้อมการแสดงอย่างเป็นทางการครั้งแรกแล้ว ทางทีมงานที่ตื่นเต้นไปด้วยได้เปรียบปฏิกิริยาของเหล่าผู้ชมในช่วงที่เสี่ยวหู่ตุ้ยออกมา
ตามข่าวที่ทราบมา หลังจากที่ได้มีการแยกจากกันจริงๆเมื่อ 15 ปีที่แล้ววันนี้ได้มีการมาร่วมงานกันอีกครั้งนั้น จะร้องเพลง 3 เพลงและมีแด้นเซอร์กว่า 40 คนร่วมเต้น ความยาวของรายการประมาณ 5.15 นาที ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของเสี่ยวหู่ตุ้ยไว้ รวมถึงเพลง(อ้าย:Love)ที่มีการเต้นด้วยภาษามือ และท่าตีลังกาหลังของฉีหลงด้วย
สิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือ ช่วงช่องว่างที่จะร้องเพลงต่อไปนั้นจะมีการเพิ่มท่าเต้นเข้ามา ทำนองก็ยังมีการเรียบเรียงใหม่ แน่นอนสิ่งที่แตกต่างที่สุดนั้นคือ ตัวของเสี่ยวหู่ตุ้ยเอง ครั้งแรกที่ฉีหลง จื้อเผิง โหย่วเผิงขึ้นเวทีฉอลงตรุษจีนในปี 1992 ในงานนั้นทางผู้จัดงานได้เป็นผู้เลือกเพลงที่จะร้องให้ โดยจะมีการบันทึกเทปแบบ MTV (ซินเหนียนไคว่เล่อ:Happy New Year) ตอนนั้นโหย่วเผิงที่เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดยังไม่ถึง 19 เลย แต่ปีนี้เขาย่าง 37 แล้ว และฉีหลงที่เป็นพี่ใหญ่ที่สุดก็ย่าง 40 แล้ว
เหตุที่ดูแลเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้สื่อมารบกวนสมาธิของพวกเรา ทางผู้จัดงานได้เตรียมค่าชดเฉยให้พวกเขาโดยที่ใน 4 วันที่ซ้อมนั้นไม่ให้พวกเขาออกไปพบสื่อเลย ตอนที่ซ้อมนั้น ซึ่งจื้อเผิงกับฉีหลงได้เจอกันเป็นคู่แรกแล้วพวกเขาก็ได้มีการโอบกอดอย่างคิดถึง และได้ให้กำลังใจกันและกัน เมื่อโหย่วเผิงเดินเข้ามาก็รีบยกมือทักทายเป็นการใหญ่เลย นี่เป็นสัญญาลักษณ์แห่งการให้กำลังใจกันในอดีตที่ของพวกเขา
ส่วนเรื่องการร้องนั้นไม่มีปัญหา เนื้อร้องนั้นแทบจะไม่ต้องไปท่องมันเลย ขอแค่ดนตรีมาก็รู้แล้วว่าจะร้องอะไร “ไม่มีใครเข้าก่อนจังหวะ ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นเคย เข้าขากันดีกว่าเมื่อก่อน ท่าเต้นก็พร้อมกันมาก ดนตรีนั้นมันเหมือนฝังอยู่ในกระดูดอย่างนั้นเลย” เป็นคำบอกเล่าของโหย่วเผิง
ขณะที่เจ้าหน้าที่อัดเสียงเพลงของพวกเขาได้ยินเสียงประสานของพวกเขาแล้วอ้าปากค้างเลย พูดอย่างไม่หยุดว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ยกลับมาแล้ว ยังเป็นสไตน์รสชาติเดิม” ตอนที่ซ้อมนั้น พวกเขาต่างคนก็ต่างหยอกล้อกันเล่น แล้วก็ได้ทำท่าเต้นภาษามือของเพลงอ้ายด้วยกัน ฉีหลงได้ปลีกตัวมาซ้อมตีลังกาหลังอยู่มุมหนึ่ง ภาพนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่ในช่วงปี 80 ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ปล่อยโฮเลย (ซึ้ง)
คนที่แสดงได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นจื้อเผิง เขาที่ช่ำชองในลีลาการ้องเต้น เมื่อเปรียบกับฉีหลงที่มีวิชาตีลังกากับโหย่วเผิงนั้น เขาแสดงได้ดีกว่าเยอะ เขาเองยังบอกว่าเป็นอาจารย์จำเป็นในการสอนท่าเต้นด้วย ครั้งหนึ่งที่กำลังซ้อมเต้นอยู่นั้นจื้อเผิงเต้นไปๆก็หยุดนิ่งในทันใด แล้วน้ำตาไหลลงมา ขณะที่ถูกถามนั้นเขาตอบว่า “ไม่มีอะไร เม็ดทรายมันเข้าตา”
“มันลืมไม่ลงจริงๆ เสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นความทรงจำของตลอดชีวิต” ตอนหลังเขามาอธิบาย หลังจากที่ซ้อมเสร็จแล้ว เสือทั้งสามตัวก็ได้นัดกันไปทานข้าว ได้ข่าวว่าข้าวมื้อนี้กินตั้ง 3 ชั่วโมง
28 มกราคม 2010: การรวมตัวกันอีกครั้งในงานฉลองตรุษจีนของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทำให้หวนคิดถึงปี 70, 80
เสี่ยวหู่ตุ้ยเพียงครั้งเดียวก็ผ่านการสอบสวนเรื่องข่าวที่รั่วไหล
(1) แฟนคลับเว็ปไซน์ ร้องโอ้ เสี่ยวหู่ตุ้ยได้กลายเป็นเหลาหู่ (เสือน้อยกลายเป็นเสือเฒ่า)
คืนนี้จะดูรายการของใครดี? ดูจ้าวเปิ่นซัน “การบริจาค”ของเสี่ยวเฉินหยาง หรือว่าการร้องเพลงของหวังเฟยดี? ตามกระแสข่าวของสื่อที่สร้างกระแสนั้น รายละเอียดการแสดงของการฉอลงปีเสือนั้นได้รู้มาพอสมควรแล้ว ผู้คนมากมายในช่วงปี 70,80 ได้เกาะติดกระแสของการแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างมากๆ จนได้กลายเป็นประเด็นร้อนของงานตรุษจีนปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาอดีตเป็นนักร้องวัยรุ่นที่เคยดังที่สุดในไต้หวัน ได้สร้างสถิติใหม่ของโลกและจีนมาแล้วมากมายหลายรายการ ช่วงปี 80, 90 นั้นได้ดังระเบิดในแวดวงชาวจีนเป็นอย่างมาก เหตุด้วยการที่จะต้องไปเกณฑ์ทหารและเรียน ปลายปี 1991 พวกเขาได้ทำอัลบั้ม(ไจ้เจี้ยนลาก่อน:Goody-Bye) เพื่อจะประกาศการแยกย้ายกันชั่วคราว ตอนนั้นผ่านทางบทเพลงพวกเขายังให้คำมั่นสัญญากับแฟนๆว่า ”พรุ่งนี้พวกเรายังจะต้องพบกันใหม่ เสมือนเมฆขาวที่จางหายไปแค่ชั่วครู่” คิดไม่ถึง การบอกว่าแค่พรุ่งนี้นั้นรอไปเกือบ 20 กว่าปี จนเสี่ยวหู่ตุ้ยกลายเป็น (เหลาหู่ตุ้ย) ไปแล้ว
หลังจากงานฉลองผ่านไปแล้ว ทางเสี่ยวหู่ตุ้ยยังไม่ยืนยันที่จะมีการจัดคอนเสิร์ดทัวร์ จะพูดในอีกความหมายหนึ่งก็คือ จากการที่มาปรากฏตัวในงานฉลองตรุษจีนครั้งนี้นั้น เป็นการให้ความอบอุ่นในอดีตอีกครั้ง มิใช่เป็นการสานเสี่ยวหู่ตุ้ยต่อไป แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ การคิดถึงนั้นมันไม่ต้องมีเหตุผล แต่เป็นเพราะพวกเขาได้นำสิ่งดีๆมาให้กับเรามากมายจนอดคิดถึงไม่ได้
สถานการณ์ตอนซ้อมการแสดง
“ตลอดการแสดงนั้น เสียงปรบมือจากห้องนั้นไม่เคยหยุดหายไปเลย หลายคนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แม้แต่ทางผู้กำกับเองน้ำตายังคลอเบ้าเลย” 25 มกราคม 2010 หลังจากที่ซ้อมการแสดงอย่างเป็นทางการครั้งแรกแล้ว ทางทีมงานที่ตื่นเต้นไปด้วยได้เปรียบปฏิกิริยาของเหล่าผู้ชมในช่วงที่เสี่ยวหู่ตุ้ยออกมา
ตามข่าวที่ทราบมา หลังจากที่ได้มีการแยกจากกันจริงๆเมื่อ 15 ปีที่แล้ววันนี้ได้มีการมาร่วมงานกันอีกครั้งนั้น จะร้องเพลง 3 เพลงและมีแด้นเซอร์กว่า 40 คนร่วมเต้น ความยาวของรายการประมาณ 5.15 นาที ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของเสี่ยวหู่ตุ้ยไว้ รวมถึงเพลง(อ้าย:Love)ที่มีการเต้นด้วยภาษามือ และท่าตีลังกาหลังของฉีหลงด้วย
สิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือ ช่วงช่องว่างที่จะร้องเพลงต่อไปนั้นจะมีการเพิ่มท่าเต้นเข้ามา ทำนองก็ยังมีการเรียบเรียงใหม่ แน่นอนสิ่งที่แตกต่างที่สุดนั้นคือ ตัวของเสี่ยวหู่ตุ้ยเอง ครั้งแรกที่ฉีหลง จื้อเผิง โหย่วเผิงขึ้นเวทีฉอลงตรุษจีนในปี 1992 ในงานนั้นทางผู้จัดงานได้เป็นผู้เลือกเพลงที่จะร้องให้ โดยจะมีการบันทึกเทปแบบ MTV (ซินเหนียนไคว่เล่อ:Happy New Year) ตอนนั้นโหย่วเผิงที่เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดยังไม่ถึง 19 เลย แต่ปีนี้เขาย่าง 37 แล้ว และฉีหลงที่เป็นพี่ใหญ่ที่สุดก็ย่าง 40 แล้ว
เหตุที่ดูแลเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้สื่อมารบกวนสมาธิของพวกเรา ทางผู้จัดงานได้เตรียมค่าชดเฉยให้พวกเขาโดยที่ใน 4 วันที่ซ้อมนั้นไม่ให้พวกเขาออกไปพบสื่อเลย ตอนที่ซ้อมนั้น ซึ่งจื้อเผิงกับฉีหลงได้เจอกันเป็นคู่แรกแล้วพวกเขาก็ได้มีการโอบกอดอย่างคิดถึง และได้ให้กำลังใจกันและกัน เมื่อโหย่วเผิงเดินเข้ามาก็รีบยกมือทักทายเป็นการใหญ่เลย นี่เป็นสัญญาลักษณ์แห่งการให้กำลังใจกันในอดีตที่ของพวกเขา
ส่วนเรื่องการร้องนั้นไม่มีปัญหา เนื้อร้องนั้นแทบจะไม่ต้องไปท่องมันเลย ขอแค่ดนตรีมาก็รู้แล้วว่าจะร้องอะไร “ไม่มีใครเข้าก่อนจังหวะ ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นเคย เข้าขากันดีกว่าเมื่อก่อน ท่าเต้นก็พร้อมกันมาก ดนตรีนั้นมันเหมือนฝังอยู่ในกระดูดอย่างนั้นเลย” เป็นคำบอกเล่าของโหย่วเผิง
ขณะที่เจ้าหน้าที่อัดเสียงเพลงของพวกเขาได้ยินเสียงประสานของพวกเขาแล้วอ้าปากค้างเลย พูดอย่างไม่หยุดว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ยกลับมาแล้ว ยังเป็นสไตน์รสชาติเดิม” ตอนที่ซ้อมนั้น พวกเขาต่างคนก็ต่างหยอกล้อกันเล่น แล้วก็ได้ทำท่าเต้นภาษามือของเพลงอ้ายด้วยกัน ฉีหลงได้ปลีกตัวมาซ้อมตีลังกาหลังอยู่มุมหนึ่ง ภาพนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่ในช่วงปี 80 ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ปล่อยโฮเลย (ซึ้ง)
คนที่แสดงได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นจื้อเผิง เขาที่ช่ำชองในลีลาการ้องเต้น เมื่อเปรียบกับฉีหลงที่มีวิชาตีลังกากับโหย่วเผิงนั้น เขาแสดงได้ดีกว่าเยอะ เขาเองยังบอกว่าเป็นอาจารย์จำเป็นในการสอนท่าเต้นด้วย ครั้งหนึ่งที่กำลังซ้อมเต้นอยู่นั้นจื้อเผิงเต้นไปๆก็หยุดนิ่งในทันใด แล้วน้ำตาไหลลงมา ขณะที่ถูกถามนั้นเขาตอบว่า “ไม่มีอะไร เม็ดทรายมันเข้าตา”
“มันลืมไม่ลงจริงๆ เสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นความทรงจำของตลอดชีวิต” ตอนหลังเขามาอธิบาย หลังจากที่ซ้อมเสร็จแล้ว เสือทั้งสามตัวก็ได้นัดกันไปทานข้าว ได้ข่าวว่าข้าวมื้อนี้กินตั้ง 3 ชั่วโมง