แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Alec Love Me

หน้า: 1 ... 204 205 [206] 207 208 ... 216
4101
Magazine Interviews-China / 2009 Metropolis Gentleman
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:48:42 PM »
http://blog.sina.com.cn/s/blog_48c30ee30100br9x.html?tj=1

Metropolis Gentleman February 2009 issue




ซูโหย่วเผิง ชาแก้วหนึ่งที่ได้กรองมานับยี่สิบปี

ภาพ/เฉินเหยียนถ่าย แต่งหน้า/ฮ่าวจื่อ เสื้อผ้า/เนื้อข่าว/เสี่ยวลู่

ในเรื่องราววัยรุ่นอดีตของคนหนึ่งๆนั้น นิสัยเขาก็สม่ำเสมอที่ดีเรื่อยมา มีชื่อเสียงแต่เยาว์วัย ดังไปทั่วใต้ล่า และกับความเครียดที่ตามมานั้นทำให้หลงทิศไป ปล่อยตัวปล่อยใจตัวเอง หลังจากช่วงตกต่ำของชีวิต ได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและทรนงขึ้นมา ชายหนุ่มแห่งชุดขาวก็ค่อยๆก้าวสู่ความก้าวหน้า ความจำเริ่มขึ้น การหวนคิดนั้นจบลง สำหรับเขา ก็มักจะหยุดอยู่กับอดีตซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมเลย พวกเรารักเขา ก็เลยยอมที่จะติดตามเขาไปด้วย

เส้นทางการไปสัมภาษณ์เขา หลายคนได้คุยถึงซูโหย่วเผิงที่เราจะเจอในวันนี้ ที่จริงก็เป็นนักข่าวมามากมายแล้วนั้น ก็จะไม่มีการวิ่งไปไล่สัมภาษณ์ดาราอย่างนี้อีก แต่เมื่อเอ่ยถึงเขาแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งจะทำให้เราอยากอยากสัมภาษณ์

ในเวลาว่างที่รอเขาในห้องถ่ายรูปนั้น ได้ไปเปิดดูรูปถ่ายของเขาได้หวนคิดถึงเขาในภาพจากไกวๆหู่สู่ตัวของเขาที่สว่างไสวและเป็นผู้ใหญ่เป็นเวลายี่สิบปี เขาก็ได้เดินเข้ามาอย่างนี้แหล่ะ เข้ามาโดยไม่มีใครมาโอบอุ้มหน้าหลัง ไม่มีใครมาทักทายแบบเวอร์ๆ แต่กลับทำให้จิตใจแห่งการรอคอยนั้นว่าจะอยู่รอดหรือเปล่า

เดินเข้าใกล้เขา ถามไถ่เขาว่าสบายดีไหม เขาได้เงยหน้าขึ้น ยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ นัยตาที่เหมือนกับเหนื่อยนั้นไม่สามารถซ่อนความใสบริสุทธิ์ได้ เขาได้ขอโทษกับทุกคนที่เขาได้เสียเวลาคนอื่น แต่กลับไม่บอกถึงตลอดคืนที่เขาต้องเดินทางนั้น ซ้ำยังรีบชวนให้ทุกคนไปกินข้าว แต่กลับไม่สนว่าตัวเองจะต้องเดินทางไปที่เครื่องบินของทีมงาน สีหน้าอ่อนเพลียไปหมด แต่มีจิตใจที่ร่าเริงเต็มที่กับงานที่จะทำ

ห่วงใยดูแลทีมงานที่อยู่รอบข้าง เป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูแลเข้าใจคนอื่นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยามยิ้ม ก็ยากจะเก็บรอยยิ้มที่ซ่อนความสดชื่นข้างในอยู่ คนอื่นเปรียบว่าผู้ชายเสมือนเหล้า แต่ซูโหย่วเผิงกลับเหมือนน้ำชาเลิศรสในยามฤดูใบไม้ร่วง ยี่สิบปีก่อน แม้เขาเป็นชาใหม่ก่อนหน้าฝน ความหอมนั้นล่องลอยไปมา ทำให้คนตื่นเต้น ยี่สิบปีให้หลัง ชายผู้นี้ก็ได้กลายเป็นชาผู่เอ๋อที่มีอายุนานปี (ชานี้ไว้ยิ่งนานยิ่งหอม) กลิ่นหอมกรุ่น ตัวเองก็มีสิ่งที่จะให้คนอื่นหวนคิดถึง

อดีตให้มันผ่านพ้นไป

ในวันที่สัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง พอดีเป็นวันเกิดของเขา แม้จะไม่เป็นอย่างดาราหญิงนั้น ก็ยังไม่กล้าที่จะอวยพรวันเกิดให้แก่เขา แต่ว่า พวกเราเป็นเพื่อนที่ร่วมเติบโตกับเขานั้น ก็รู้ถึงหน้าเด็กอย่างเขาก็รู้เรื่องนี้แล้ว หรือว่ามองออกถึงการสองจิตสองใจของเรา ขณะที่พูดคุยกัน เขาได้เอ่ยถึงเรื่องอายุขึ้นมาก่อน มาเช็กข่าวสารที่เขียนไว้ในเว็ปไซต์ทั้งหมดของโหย่วเผิง ล้วนจะเห็นได้ วัน เดือน ปีเกิด ของเขานั้นเขียนไว้อย่างชัดเจน เหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะไม่แคร์กับอายุ(ไม่กลัวคนอื่นรู้) หรือว่ามั่นใจว่าเสนห์นั้นจะไม่จางไปกับอายุ  ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า เพี่ยงแต่เดินผ่านมาแล้วยิ่สิบปี เขาก็ยอมรับโดยปริยาย สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป

ยังอยู่ในเยาว์วัยเยาว์นั้น เขาได้เป็นขวัญใจทั้งวัยรุ่นชายหญิง เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นได้นำมาซึ่งความนิยมชมชอบกับเราในสมัยนั้น และทั้งยังเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กสิบกว่าขวบอย่างซูโหย่วเผิงด้วย ชายที่เต้นอยู่บนเวทีอย่างสุดยอดที่พวกเราได้เห็นนั้น ขณะที่เขายิ้มนั้นก็ได้เห็นถึงรอยยิ้มที่แสนจะลืมยาก จนเกือบจะกลายเป็นใบหน้าที่ติดอยู่ในใจของทุกคนไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นไกวๆหู่ที่ทุกคนรักจริงๆ แต่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเราก็รอคอยสิ่งที่ผลงานทียอดเยี่ยมของเขาในจอ

พวกเราล้วนอยากตีความหมายของซูโหย่วเผิงชื่อนี้เป็น “วัยใสน่ารัก”ตลอดกาล แต่ว่าไม่มีใครใสใจ หากว่าไม่เป็นนักร้องแล้ว ความตั้งใจของเขาคือนักประพันธ์เพลงเท่านั้น หากว่าไม่ถูกเรียกว่า “ไกวๆหู่” เขาก็จะเป็นวัยรุ่นที่ดื่อคนหนึ่ง หากว่าไม่เพียงถูกให้เรียกร้องที่จะร้อง (ชิงผิงก่อเล่อเหยียว)แล้ว นักร้องที่เขารักมากที่สุดนั้นคือ มาดอนน่ากับจาเนท ซูโหย่วเผิงไม่ได้เป็นปีเตอร์ฟานที่ไม่เติบโตหรือไม่โต ดังช่วงข้ามคืนเดียวอย่างชายคนนี้นั้นไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีกฏมีเกณฑ์ ปรารถนาที่จะมีความอิสระและบินสู่ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่

“แต่จริงๆแล้วรักเสี่ยวหู่ตุ้ยมากๆ แน่นอนนี่เป็นงานที่ผมได้ทุ่มเทสุดหัวใจ รวมทั้งรักในเพื่อนมิตรและดนตรี” ได้ทำงานที่ตัวเองชอบเป็นอย่างแรก รวมทั้งยังมีแฟนเพลงมากมายที่ทำให้เขาประทับใจทำให้เขาสู้ ความมีใจรักและความกดดันนั้นมันขัดแย้งอยู่ในใจเป็นเวลานาน มีรุ่งก็ต้องมีหล่ม สุดท้ายสมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ไม่อาจเหลียกเลี่ยงได้ที่จะต่างคนต่างเดิน ยังไม่ได้สัมผัสถึงสุขทุกข์นั้น สิ่งที่ซูโหย่วเผิงต้องการเพียงแค่ลมหายใจเดียว นับถือศีล และได้ลุกขึ้นสู้อีกครั้งที่จะบินไปที่อังกฤษเรียนต่อด้วยตัวคนเดียว



ร่วมมือประสานกับวันเวลา

ได้เห็นศิลปินที่รักษาตัวเองให้ไม่แก่วัยเยอะแล้ว ไม่ประทับใจไม่ได้เลยกับการที่ซูโหย่วเผิงนั้นได้ร่วมมือประสานกับวันเวลา “9 ปีของขวัญใจนักร้องนั้นได้ค่อยๆจากตัวผมได้นั้น หลังจากความสนใจค่อยๆได้หดหายไป ผมรู้สึกว่าวันเวลาได้ทิ้งบาดแผลไว้ นี่เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่พวกเราต้องยอมรับ และแล้วพอดีมีงานขององค์หญิงกำมะลอ ผมก็ได้รับไว้และลองทางนี้ดูว่าแสดงหนังจะเป็นอย่างไร หากว่าไม่ได้ลองงานนี้ ต่อจากนี้วงการบันเทิงก็คงไม่มีชื่อโหย่วเผิงคนนี้ต่อไป

ดำรงชีวิตตามกระแส เป็นการดำรงชีวิตของโหย่วเผิง จากการถูกถามจากหัวจรดเท้านั้น เขานั้นไม่เคยเอ่ยถึงอนาคตของ "หงถูต้าจื้อ"  รวมทั้งยังไม่ได้พูดถึง "จั่นติงไจ๋เถีย" เลย  “สำหรับการถ่ายหนังขวัญใจนั้น ถูกถามถึงหลายครั้งจริงๆ นี่เป็นการดำเนินการอย่างหนึ่งของตอนนั้น เป็นช่วงหนึ่งที่ผมได้เข้าสู่วงการบันเทิง ตอนนั้น ผมจะทำอย่างสุดความสามารถของผม เรียนรู้ให้ดีกับงานในนั้น”

“สุดท้ายก็ได้ฉลองความสำเร็จจนเหนื่อยแล้วสิ” ถามคำถามนี้อย่างระมัดระวัง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างรีบเร่ง “การดำเนินการนั้นซ้ำซ้อนจริงๆ รับบทแสดงนั้นก็แทบจะเหมือนๆกัน อารมณ์ความรู้สึกก็เหมือนๆกัน จนทีหลังก็รู้ได้เลยว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แบบสไตส์เดียวกันเลยแหล่ะ และแล้วก็จะไม่ค่อยชอบหรือมีความสุขกับบทอย่างนี้สักเท่าไร อยากจะมีบทที่ต่างออกไปมากๆ และแล้วก็เริ่มรับบททั้งภาพยนต์และละครเวที ภาพยนต์เมื่อเปรียบกับละครทีวีแล้ว ก็จะเป็นศิลป์อีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยแตกต่างไปจากความเป็นจริง ในรายละเอียดของเรื่องนั้นก็ยังทำให้ผมหลงไหลกับมันอีกด้วย


ปี 2006  ละครเวที(หอมดอกเบญจมาศ)ทำให้ซูโหย่วเผิงต้องขึ้นเวที ปี 2008 เขาได้ร่วมงานกับมอสดิคาสและเบลูซี่ ร่วมกันแสดงภาพยนต์ฮอลลีวูด(อาณาจักรคนปลา) ภาพยนต์ที่เขาได้ร่วมแสดง(อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ก็ได้เปิดฉายในปลายปี 2008  ในการงานของซูโหย่วเผิงนั้นยังรวมถึงการแสดงเป็นพระเอกในภาพยนตร์(เสียนจ่าวหลิวซันแจ่) ภาพยนตร์ที่เขาได้ถ่ายทำจนเสร็จสิ้นแล้วนั้น(สี่กามเทพ) จะเปิดฉายในวันวาเลนไทน์ในปี 2009 นี้ เรื่องใหม่(รักร้อน)จะเริ่มฉายในปลายปีนี้หรืออาจต้นปีหน้า ในเส้นทางการแสดงนั้นซูโหย่วเผิงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เขาได้ท้าทายตัวเองกับบทที่แตกต่างออกไปจากเดิม จากบทไกวๆหู่จนถึงอู่อาเกอ(องค์หญิงกำมาลอ) จนถึงภาพพจน์ในภาพยนตร์ที่มีมากมาย  “อนาคตล่ะ?”  “อนาคตหากมีโอกาสที่ดีผมก็จะลองไปลองทำเหมือนกัน บ่อยครั้งต้องปล่อยไปตามชะตาชีวิต ผมคิดว่านี่ก็คือช่วงชีวิตที่ต่างกันของมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับวัยอายุด้วย เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ด้วย”  สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว ทุกช่วงของวัยนั้นก็จะมีสิ่งสำคัญของชีวิต จะมอบหมายให้ชีวิตหรือการงานนั้นมีโอกาสหรือจังหวะที่ต่างกัน เคยผ่านจุดสูงสุดและตกต่ำสุดของงานมาแล้ว ตัวเขาที่ขึ้นๆลงๆมาเกือบยี่สิบปี เขาก็ได้เรียนรู้กับการเป็นมิตรกับเวลาและโอกาส สามารถมีความสุขกับทุกสถานการณ์  “ปัจจุบันก็อยากจะแสดงภาพยนตร์ให้มากหน่อย เพราะในช่วงระยะกับงานนี้นั้น ผมเพิ่มจะเป็นจุดเริ่มต้นเอง”

“ยังจะร้องเพลงอีกไหม?” นักข่าวได้ถามคำถามนี้ขึ้นที่มาจากในเน็ตก็เพราะว่าตลอดเวลานั้นก็มีข่าวว่า “คอนเสิร์ทฉลองครบรอบปีที่ยี่สิบของเสี่ยวหู่ตุ้ย” เหตุเป็นเพราะซูโหย่วเผิงเลยเป็นคำถามในตัวของคุณมาตลอด ได้พูดถึงเรื่องวันเวลาเก่าๆในอดีตกับเขาอย่างสบายๆ ถึงจะเข้าใจจริงๆว่า มิตรภาพจริงๆนั้นอายุไม่นาน มีวันทำร้าย ที่จริงในใจของเราทุกคนนั้นล้วนมีความบอบบางลึกๆอยู่ ในนั้นมันเก็บสิ่งที่ไม่อยากให้ใครเอ่ยถึงและเป็นสิ่งที่มีคุณค่า สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว อดีตของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นแหล่ะเป็นความทรงจำที่อยู่ในลึกๆในใจของเขา เพราะมีใจรักสุดๆกับเสี่ยวหู่ตุ้ย และเชื่อมั่นว่า เพียงแต่มีเงื่ยนไของค์ประกอบที่เหมาะสมแล้วก็สามารถที่จะมีเสี่ยวหู่ตุ้ยอีกครั้ง แต่เขา หรือพวกเขา ณ.วันนี้ แต่กลับไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตเลย

“ผมคิดว่าผมก็จะมีวิธีการระลึกถึงอดีตของผมที่พิเศษเหมือนกัน ก็เหมือนกันรักแรกในอดีต มันจะเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด และยังจะเป็นความหมายที่ไม่สามารถจะลบเลื่อนไปจากชีวิตได้ การระลึกเสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นเหมือนตรานาบในตัวเรา ไม่มีอะไรที่พิเศษ และก็ไม่จำเป็น เพราะอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะลบลืมมันได้อยู่แล้ว ในช่องทีวีก็ยังเปิดเพลงอดีตที่พวกเราร้องอยู่ แฟนๆได้บอกความประทับใจในอดีตกับเรา ทีมงานก็ได้สนุกสนานกันในการฝึกเต้นกับเราจนโตมาด้วยกัน มันก็เป็นสิ่งที่สวยงามแล้ว” วันเวลาเหลือไว้แต่รอยแผล ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าสิ่งที่เขาจะทำก็คือการยอมรับ นี่เป็นความจริงอย่างหนึ่ง เพราะรักสุดหัวใจจริงๆ และแล้วได้เอาความหวนคิดถึงนั้นเก็บซ่อนไว้ เก็บไว้อย่างไม่รบกวน


รักคนอื่น ให้มีความสุขกว่ารับ

ซูโหย่วเผิงหลังแสงไฟ ที่จริงยังมีสิ่งที่คนอื่นได้รู้อีกตำแหน่งหนึ่งของเขา –นักการกุศล เขาซึ่งได้รับหลักคำสอนจากหลักพุทธศาสนา ได้ยืนหยัดทำงานด้านการกุศลมาตลอด และก็ไม่เหมือนกันศิลปินคนอื่น เขาได้เลือกที่จะให้แบบเงียบๆ

น้อยคนที่รู้จักโรงเรียนซีว่างซูโหย่วเผิงที่ประเทศจีน เขาเป็นนักการทูตแห่งรัก ซึ่งโรงเรียนซีว่างเป็นแห่งแรกของจีน หลังจากมีแผ่นดินไหวที่เหวินชวนนี้ เขาไม่เพียงแต่ควักเงินบริจาคไปแถมยังจัดซื้อปัจจัยจำเป็นให้กับผู้ประสบภัยเหล่านั้นอีกด้วย เขาก็แค่คุยให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้มาโอ้อวดความดีของตัวเองเลย

“ผมเพียงแต่รู้สึกว่าความสุขแห่งการช่วยเหลือคนนั้นเราล้วนมีกัน สำหรับการให้นั้น อิ่มบุญก็เป็นตัวเอง รู้สึกสบายใจก็เป็นตัวเอง ทุกคนหากมีชีวิตที่ดีหน่อยนั้น ก็จะมีเสียงหนึ่งว่า รักคนอื่น นี่เป็นธรรมชาติของคนเรา ผมเข้าใจว่าคุณก็มีนะ เขาก็มี และถ้าคุณดีต่อคนอื่นแล้ว ลองทำดู คุณก็จะรู้สึกถึงการมีความสุขมากๆกับสิ่งที่ทำไป”  ในงานพิธีเปิดโรงเรียนซีว่างซึ่งสร้างภายใต้ในนามของเขานั้น เขาได้รับการต้อนรับที่แสนจะอบอุ่นจากคนในพื้นที่ ยิ่งกว่านั้นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนยังกล่าวกับเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า  “ขอบคุณคุณจริงๆ พวกเราจะจดจำคุณไปตลอดนิรันดร์กาลเลย”  ในวินาทีนั้น เขาได้กล่าวว่าเป็นความสุขที่ตนไม่เคยมีมาก่อนเลย ให้มีความสุขยิ่งกว่ารับ หลังจากชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน “ฉวยโอกาสที่ตัวเองยังมีอิทธิพลต่อสังคมอยู่นั้นก็รีบทำอะไรหน่อย สำหรับชายผู้นี้แล้ว เขาอาจจะยอดเยี่ยมดีกว่าคนดีด้วยซ้ำ การทำบุญบริจาคนั้นไม่ใช่ต้องทุ่มจนหมดเนื้อประดาตัว และยิ่งไม่จำเป็นต้องทำแบบเพื่อให้คนอื่นรู้เห็น รักคนอื่น เริ่มจากคนรอบตัวเรา ก็เพียงพอแล้ว


การดำเนินชีวิตคือ

ก่อนจะสัมภาษณ์นั้น ซูโหย่วเผิงที่กำลังอ่อนเพลียนั้นได้หาวไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกเห็นใจเขาเหมือนกัน  เขาได้บอกกับเราอย่างเซ็งๆว่าอยากจะบินไปที่เกาะแถวทะเลแบซิฟิกในทันทีทันใดเลย หาที่ที่ไม่มีใครรู้จักเราไปอาบแดด “ความคิดของพวกเราผู้ที่อนุรักษ์นิยมแล้วคิดว่าการทำงานถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นก็เลยให้ชีวิตของเรานั้นให้งานมาครอบครอง จนความเครียดอิ่มตัวหรือสุกแล้วค่อยรู้สึกตัวว่าทนไม่ไหวแล้ว” เขาได้เปลี่ยนทีท่าที่สบายว่า ทำต่อไป “ที่จริง ผมอยากจะเอาเวลาส่วนหนึ่งมาทำงาน อีกส่วนหนึ่งไปท่องเที่ยว”

ซูโหย่วเผิงในอายุก่อนสามสิบ เป็นคนหนึ่งที่จริงจังกับการงานเป็นอย่างมาก เมื่อเวลามาถึงปัจจุบัน ดูที่เขาได้เปลี่ยนทรงผมบอยแค่ทรงเดียวนั้นใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงเองอย่างนั้นแล้ว ก็จะรู้ว่าเมื่อก่อนนั้นจะขนาดไหน “ก็เป็นคนราศีกันย์นิ จะเป็นคนประเภทเจ้าสำอางค์ มักจะทำให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้ความกดดัน ภายใต้ความกดดันที่หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกกันแล้ว ผมก็ไปที่อังกฤษ ก็คือจะไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผมเพื่ออยากจะหาสิ่งที่หายไปให้กลับคืนมา

วันคืนที่ปล่อยชะตาชีวิตของตัวเองนั้น การเดินทางท่องเที่ยวกับหลักธรรมพุธทนั้นได้เปิดนิมิตใหม่ให้กับชีวิตผม “ท่องไปทุกที่ อ่านศึกษาหลักพระธรรม สิ่งที่ได้รับนั้นไม่ใช่อะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตในช่วงพริบตาอย่างที่ทุกคนคิดไว้ หรือเหมือนกับว่าถูกโยนในทันใดอย่างนั้น แต่เป็นการเข้าใจถึงหลักสัจธรรมอันล้ำลึกของพระพุธ หลักพระพุธจะชี้ให้คุณเห็นถึงธาตุแท้ของชีวิตคุณ จะสอนแนะนำคุณว่าจากจุดนี้ให้ไปจุดนั้นอย่างไร บวกกับเดินเที่ยวไปทั่ว ก็ได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไปของถิ่นนั้นๆ หลักการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป มันก็จะทำให้จิตใจเรานั้นได้เปิดกว้างขึ้น ก็จะค่อยๆเข้าใจและรู้สึกได้ว่า ทุกอย่างนั้นล้วนไปตามชะตาชีวิต

และซูโหย่วเผิงในวันนี้นั้น ก็จะไม่มองเรื่องการทำงานเป็นการหาเงินอีก ก็จะไม่ลดความคาดหวังในผลของงานที่เคยคาดหวังว่าต้องออกมาดี “คุณถามผมว่าจะหยุดพักงานเมื่อไร ที่จริงตอนนี้ผมก็กำลังหยุดพักอยู่ หากว่างานที่จะเข้ามานั้นมันชนกับตารางการท่องเที่ยวพักผ่อนของผมแล้ว หรือความฝันเกาะเล็กของผม นอกเสียจากงานนั้นสำคัญจริงๆ ไม่งั้นผมก็จะเลือกที่จะบินไปเที่ยวพักผ่อนอาบแดดที่เกาะนั้น” สำหรับเรื่องการเกษียณ(ลาจากวงการบันเทิง)นั้น จริงๆในใจเขานั้นก็เปิดกว้างเรื่องนี้เลยที่เดียวเชียว เป็นไปได้สูง ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเมื่อไร หากมันถึงก็คงใช่แล้วแหล่ะ

“ผมรู้สึกว่าอายุสามสิบของตัวเองก็ผ่านไปแล้ว ก็ได้เรียนรู้จากอดีตที่มีนิสัยอย่างคนราศีกันย์ที่มีท่าทีต่อการงานอย่างเอาจริงเอาจังนั้นได้มีมุมมองใหม่ที่แบบสบายๆไม่เครียดและตลกนิดๆกับงาน ผมจะรู้สึกว่าก็ต้องไปตามชะตาชีวิต ก็จะไม่ไปเคร่งเครียดกับมันนัก ทุกอย่างที่มีนั้นล้วนมีคุณค่าของมันในตัว มุมมองคุณค่าที่ต่างกันก็ได้รับผลที่ต่างกัน คุณอาจรู้สึกว่าการปล่อยไปตามชะตาชีวิตนั้นอาจเป็นแง่ลบไปหน่อย ที่จริงมันก็ไม่เชิง ความหมายในสิ่งที่ผมพูดเป็นการไม่เครียดแบบสบายๆ แต่ก็จะทำสุดความสามารถเหมือนกัน แต่จะไม่คิดว่าจะต้องได้อย่างที่หวังไม่งั้นไม่ยอม ชีวิตก็เป็น balance(สมดุลย์)  มิใช่หรือ” จากจุดสูงสุดของชีวิตตอนเสี่ยวหู่ตุ้ย ถึงจุดตกต่ำสุดที่ลอนดอน ล้วนเป็นการกระโดดจากขอบนี้ไปขอบโน้น เขาในวันนี้ สิ่งที่ปรารถนาที่สุดคือความสมดูลย์ เป็นความสมดุลย์ของชีวิตกับการงาน มีทั้งความสุขและสิ่งดีดีร่วมกัน ไม่ต้องการที่จะได้เยอะมากมายแต่เพื่อเพียงพอก็พอแล้ว เป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนอาบแดดในเกาะเล็กๆก็มีความสุขดีกว่าอยู่หน้ากล้อง ยี่สิบปีแห่งการเข้าวงการของชีวิตที่สูงต่ำนั้น สรุปแล้วการสมดุลย์พอเพียงเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติที่ดีที่สุด


4102

กระทู้ถามสด

ถาม >> คุณรู้สึกถึงนิสัยบุคลิกภาพของคนได้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?

ตอบ << ผมรู้สึกว่าตอนเด็กผมยังไม่มีนิสัยคนราศีกันย์ แสวงหาความเพร์อแฟรค อย่างไรก็ตามที่ตัวเองได้ผ่านสามสิบแล้ว ได้รับอิทธิพลจากธาตุน้ำ ผมก็ได้เปลี่ยนเป็นแบบตามธรรมชาติแล้ว อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นการหยวนๆ(ผ่อนคลาย)ให้กับตัวเอง เป็นวิธีการที่จะหยวนๆต่อคนอื่นที่ไม่เลวเลย

ถาม>> อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป?

ตอบ<< ผมรู้สึกว่าผมมีอารมณ์ขำขันกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ตามตรรกแล้วราศีกันย์นั้นจะเป็นคนที่จริงจัง ตอนนี้กระทบจากธาตุน้ำ ผมก็จะมีมุมมองที่สบายและให้อภัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ถาม>> ท่าทีมุมมองของชีวิตคุณในตอนนี้นั้นเป็นอย่างไร?

ตอบ<< ผมคิดว่าการปล่อยไปตามธรรมชาตินั้นจะดีที่สุด มีคนมากมายนั้นจะกระวนกระวายและพยายามจะฉวยโอกาสไว้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง ผมรู้สึกว่าหลายคนจะทำให้คนเรากระวนกระวายใจร้อน หรือว่าทำให้กระหายความสำเร็จเกินไป แต่ผมจะคิดว่า ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายก็จะดีกว่า

ถาม>> แต่ว่าในวงการอย่างนี้ ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตแบบเรียบง่าย?

ตอบ<< ผมไม่ได้เป็นเด็กใหม่ของวงการบันเทิง จุดสูงสุดของชีวิตนั้นผมได้ผ่านมาแล้ว ฉะนั้นวันนี้ที่เจอกับสิ่งเหล่านี้ ผมไม่กระเสือกกระสนหามัน และก็ไม่ใช่ว่าไม่มีมันไม่ได้ ฉะนั้นมุมมองคุณค่าของชีวิตของผมนั้นก็จะปล่อยไปตามธรรมชาติ ง่ายๆหน่อย เรียบๆหน่อย จริงๆแล้ว ไม่โลภชีวิตถึงจะร่ำรวยได้ แม้จะหาได้ทุกสิ่งในโลก สุดท้ายคุณก็ได้แค่เหนื่อยแล้วนอนได้แค่เตียงเดียวและหิวแล้วก็ได้แค่มื้อเดียวมิใช่หรือ?

ถาม>> คุณเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจในเรื่องความสวยความหล่อ ในชีวิตนั้นมีการใช้จ่ายเรื่องนี้อย่างไร?

ตอบ<< สำหรับจุดประสงค์ จริงๆแล้วผมไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไร ค่าใช้จ่ายที่เยอะที่สุดสำหรับผมแล้วน่าจะเป็นเสื้อผ้ามั้ง เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องงานด้วย นอกจากงานการแสดงแล้ว ศิลปินนั้นจำต้องให้การแต่งตัวมาเเป็นจุดเด่นสร้างภาพพจน์ของตัวเอง นอกเหนือจากนี้แล้ว ผมก็ไม่มีจ่ายใช้จ่ายอะไรที่พิเศษอีก ไม่ซื้อรถแข่ง และสะสมของโบราณมีค่าก็ไม่เป็น เข้าวงการมานานอย่างนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งของนอกกายนั้นยิ่งเรียบง่ายและใช้ได้ก็ยิ่งจะดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผมมักจะชอบแสวงหาสิ่งของที่ทำให้ผมมีความสุขมากกว่า เช่นถ้ามีเวลาผมก็จะไปดูละครเวที หรือว่าไปท่องเที่ยวคนเดียว ความสมบูรณ์ของร่างกายและความสงบของจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผมมากกว่ารถแข่งที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย


4103

ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นหยานเจาเหว่ยให้ได้

เพื่อที่อยากจะค้นหาชีวิตแท้จริงของตัวเองแล้ว ช่วงอายุยี่สิบเอ็ดปีนั้นซูโหย่วเผิงได้เลือกที่จะออกจากวงการชั่วครู่ ได้จากวิถีชีวิตที่ตนเองกระทำประจำ ทิ้งตัวเองไปอยู่ที่อังกฤษตามลำพัง ในสภาพที่ไม่รู้จักใครเลยที่นั่น

“เรียนอยู่ที่ลอนดอน พักอยู่ถัดต่อไปอีกสถานีของวอสปู้จิส ช่วงมีการแข่งขันเทนนิสพอดี และผมก็รักชื่นชอบเทนนิสเป็นอย่างมากเลยแหล่ะ แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้จะซื้อตั๋วเข้าชมอย่างไร แบบเซ่อๆ แล้วก็ไม่รู้จะไปถามใคร ตอนนี้หวนคิดถึงเวลานั้นก็มันดีเหมือนกัน ชีวิตที่ถูกคนจ้องมองใส่ใจนั้นจะทำให้คุณห่างเหินคนที่สำคัญคนหนึ่ง แต่ว่าเมื่อความรุ่งโรจน์ผ่านพ้นไป แม้จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว คุณถึงจะหาพบทางที่จะไปหาเขาใกล้ชิดเขา คนคนนั้นก็คือตัวคุณเองแหล่ะ อยู่ที่ไต้หวัน ผมแทบจะเป็นคุณชายที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ว่าตอนอยู่อังกฤษ จะซื้อไข่ไก่ฟองเดียวก็ยังจะต้องไปซื้อที่ห้างด้วยตัวเองเลย แต่ว่า วันเวลาที่โดดเดี่ยวดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้รับประโยชน์อย่างมาก"

ฉายาไกวๆหู่ที่ขึ้นชื่อนี้ได้จางหายลงไปกับวันเวลา ซูโหย่วเผิงก็ได้เรียนรู้ในการที่จะอยู่ตัวคนเดียวและเผชิญกับจิตภายใจของตัวเอง เริ่มเข้าสู่วงการก็ได้เป็นขวัญใจของสังคม เด็กหนุ่มแค่สิบกว่าขวบนั้นจะรับแรงความรุ่งโรจน์ที่พัดเข้ามาในชีวิตได้อย่างไร เพี่ยงแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด เดิมทีก็เป็นพวกความคิดเพอร์แฟรคอย่างคนราศีกันย์แล้ว ความกดดันที่ซูโหย่วเผิงแบกรับนั้นมันยากจะคิด

“ เมื่ออายุเพิ่มขึ่นหน่อยถึงรู้ว่า ที่จริงไม่จำเป็นต้องรับภาระหน้าที่ที่ไม่จำเป็นเยอะขนาดนั้นก็ได้ ชีวิตของเรานั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบคนอื่น แต่เป็นตัวองต่างหาก จะต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เมื่อก่อนจะทำอะไรจะต้องทำอย่างละเอียด รอบคอบมากๆ อาจเป็นความเครียด แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า เพียงแค่เน้นเรื่องใหญ่ก็พอแล้ว รายละเอียดก็อย่าไปลงกับมันเยอะเลย ให้โชคชะตานำมันไปก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าศิลปินทุกคนจะต้องเป็นอย่างหยางเจาเหว่ย "

วัตถุสิ่งของสำหรับผมแล้วมันไม่สำคัญมากมาย ผมมักจะหาสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจ เพียงแค่มีเวลาผมก็จะไปดูละครเวที หรือว่าไปท่องเที่ยวคนเดียว ความสงบและความนิ่งของจิตใจนั้นเร็วกว่ารถแข่งในโลกที่จะดึงดูดเรา

หลังอายุสี่สิบแล้ว คุณหวังที่จะมีวิถีชีวิตอย่างไร ไม่ต้องการให้มีงานเยอะอย่างนี้ ในวัยนี้นั้นควรจะมีชีวิตอย่างสบายๆผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายและจิตใจ สิ่งที่ผมหวังที่สุดก็คือสามารถที่จะไปท่องเที่ยวทั่วโลกได้ ไปกับคนที่เรารักหรือเปล่า? สำหรับความรักแล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับมัน? เป็นเรื่องของคนสองคน หลายๆครั้งนั้นจำต้องดูความรู้สึกด้วย ผมไม่ได้เอนตี้เรื่องแต่งงาน อยากแต่งก็แต่ง ไม่อยากแต่งก็อยู่ด้วยกัน ความรักเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และบอบบางที่ควรจะดึงดูดกันและกัน และไม่ใช่จะไปยืนยันอะไร ผมเองไม่ใช่ว่าอยากจะมีลูกสักเท่าไร เป็นโลกส่วนตัวของเราสองคนนั้นน่าจะเหมาะกับชีวิตผมนะ

การผ่อนคลายในความเครียดของเขานั้นพิเศษมาก เมื่อเขาไม่สบายใจนั้นจะไปที่สถานฟิตเนส ผ่อนคลายๆ ขณะที่ออกกกำลังกายนั้นก็จะระบายอารมณ์ไปด้วย อุปสรรค์ของชีวิตนั้นไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคืออารมณ์ที่ไม่สามารถขจัดทิ้งไป ทุกครั้งที่เป็นอย่างนี้ ผมจะเข้าไปที่ฟิตเนสกว่าครึ่งวัน ให้ออกเหงื่อหน่อยๆ เหนื่อยมากๆแล้วก็จะไม่คิดเรื่องวุ่นๆแล้วหล่ะ จะไม่คิดอะไรเลย อารมณ์ถูกระบายแล้ว ก็จะสงบลงอย่างอัตโนมัติแล้วสามารถไปเคลียปัญหาได้แล้ว เวลาที่ว้าวุ่นใจนั้นไม่ไปพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือหาหนทางออกหรือ? เขายิ้ม วิธีการระบายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมไม่ชอบที่จะเอาปัญหาของตัวเองไปรบกวนคนอื่น อย่างไรก็ต้องแก้ด้วยตัวเอง และอุปนิสัยของคนราศีกันย์ก็ปรากฏในตัวของเขา


ทุกเรื่องราวนั้นควรคิดในแง่บวก

เพื่อนนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิตซูโหย่วเผิง ที่ผ่านมานั้นเหตุเพราะหน้าที่การงานทำให้ละเลยเรื่องเพื่อนไป ตอนนี้เขาได้รื้อฟื้นทีละคน มารื้อฟื้นความเป็นมิตรที่ดีในอดีตใหม่อีกครั้ง ผมมักจะใช้เวลาว่างที่ไม่มีงานแล้วกลับไปที่ไต้หวันนัดพวกเขามาทานข้าวด้วยกันพูดคุยกัน เพื่อนสมัยวัยรุ่นที่ได้รวมตัวอยู่ด้วยกันนั้นเป็นความรู้สึกที่ดีที่สุด ไม่มีใครที่จะคุยกับคุณอย่างเกรงใจเพราะการงานหน้าที่ตำแหน่งหรอ ชีวิตที่มีเพื่อนที่มีความคิดที่อิสระสบายๆอย่างนี้หาไม่ค่อยมีเลยแหล่ะ ทุกนาทีที่ได้อยู่กับพวกเขานั้น ล้วนรู้สึกได้ถึงความไว้วางใจที่มีสูงมาก

เมื่อได้เอ่ยถึงนักท่องเที่ยวในจีนที่พึ่งไปท่องเที่ยวที่ไต้หวันนั้น ซูโหย่วเผิงได้แนะนำสถานทีเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาก แม้ว่าจะเคยเดินท่องไปทั่วโลกแล้ว แต่เกาะเล็กๆนี้ก็ยังมีเอกลักษณ์พิเศษของมันอยู่ หากว่าคุณจะมาไต้หวัน ในถนนคนเดินเล็กๆที่เต็มไปด้วยผู้คนและสินค้าอาหารมากมายสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยที่จะชิมมัน "ม้อไฟราม่า" กับ "ทอดเขอจื่อ" นั้นเป็นอาหารสุดยอดสองอย่างที่เขาได้แนะนำให้เรา

"ราม่า" นั้นก็คงไม่ต้องพูดมากมายเพราะในจีนก็มีเยอะอยู่แล้ว แต่ "เขอจื่อ" ทอดซิเป็นอาหารขึ้นชื่อของไต้หวันเลยแหล่ะ เป็นอาการที่ทำจากเนื้อปลาสด ผักโถงเกา ไข่ ก่อนอื่นก็ต้องใช้กะทะท้องแบนใส่น้ำมันตั้งให้ร้อน แล้ว "เทเขอจื่อ" ลงไป ไข่ไก่ ผักกาดแล้วโรยซอส รอ เขาจื่อ ร้อนแล้วจะพองขึ้น แล้วเอาอาหารที่ทำสุกๆนี้ลิ้มลองเข้าปากแล้วล่ะก็ เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ตัวผมเองน้ำลายก็จะไหลแล้วหล่ะ" เมื่อทานอาหารนี้แล้ว ซูโหย่วเผิงก็จะนำพวกเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะหยางหมิงซัน


ที่ของสวนและต้นไม้ของสวนนี้นั้นเขียวสวยมาก คุณจะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ความงามธรรมชาติของไต้หวัน ยังจำได้ไหมในตอนเด็กที่พวกเราตื่นเต้นกับหิ่งห้อยในสวนสาธารณะ หยางหมิงซันนั้นในเดือนต่างกันนั้นก็จะเห็นตัวหิ่งห้อยที่ต่างกันไปด้วย ทิวทัศน์อย่างนั้นคุณสามารถจิตนาการณ์ได้ไหม? ก็เหมือนกับได้เข้าไปสู่โลกแห่งความสวยงามอย่างนั้น คุณคงคิดไม่ถึงว่าไต้หวันมีสถานที่อย่างนี้ล่ะซิ” เสร็จจากการชมหิ่งห้อยแล้ว ซูโหย่วเผิงแนะนำให้ไปบ่อน้ำพุร้อนของหยางหมิงซัน จะให้ดีที่สุดนั้นต้องพักที่ภูเขานั้น ไปกินผักสดที่คนพื้นที่ได้ปลูก “ กลางคืนนั้นจะชมดาวในบรรยากาศที่เย็นสบายอย่างนั้น คุณก็จะรู้สึกถึงสวรรค์ก็อยู่ใกล้ๆกับคุณ”

ซูโหย่วเผิงเคยได้รับอีเมล์ เป็นเกมส์ ชื่อมันคือ “ทุกอย่างล้วนคิดในทางบวก” นี่ก็เเหมือนกับที่คุณแม่ตังเคยถาม วันนี้เงินสิบเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงหายไปแล้ว เด็กๆควรจะดิดในทางที่ดี นี่หมายความว่าไง ก็คือยังดีนะที่ใม่ใช่หนึ่งร้อยที่หายไป หากว่าคุณแม่ถาม วันนี้ไปเรียนไม่เอาร่มไป แต่ว่าฝนตกหนัก เด็กสามารถตอบว่า ยังดีนะที่บ้านน้าอยู่ใกล้ๆ สามารถเอาร่มมาให้ผมใช้อีก คุณแม่ถาม ตั้งใจในการเรียนและทำการบ้านเป็นอย่างมาก แต่ผลสอบนั้นไม่ได้ดังใจหวังเลย ...เด็กๆตอบว่า อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ลอกแอบดู กติกาในการเล่นของเกมส์นี้ก็คือ ต้องพยายามมองสถานการณ์ที่ดูเหมือนเลวร้ายกลับให้คิดเป็นแง่บวก หากคนไหนที่สามารถพริกสถานการณ์ที่เลวร้ายกลับกลายเป็นดีนั้นคนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ

“เมื่อดูเกมส์นี้แล้ว เริ่มคดถึงนิทานเรื่องหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ทำนาฬิกาข้อมือที่รักหวงนั้นหาย เครียดกลุ้มตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ป่วย มีเพื่อนมาเยี่ยมเขา เมื่อทราบถึงสาเหตุ แล้วถามเขาว่า “หากวันหนึ่งคุณทำเงินหนึ่งหมื่นหายอย่างไม่ตั้งใจ คุณจะทำเงินสองหมื่นหายอย่างตั้งใจหรือเปล่า? หญิงสาวตอบว่า “ไม่แน่นอน” แล้วทำไมหลังจากที่คุณทำเงินหนึ่งหมื่นหายแล้ว ยังต้องมาทำเอาเวลาแห่งความสุขและสุขภาพของสองอาทิตย์หายไปด้วยหล่ะ? หญิงสาวฟังแล้วได้ตื่นขึ้นดังฝันเลยแหล่ะ “เกมส์เรื่องนี้ทำให้ซูโหย่วเผิงเข้าใจว่า การจะได้ความสุขนั้นจริงๆแล้วมันไม่ยากอย่างนั้นเลย เพียงแค่ไปเล่นเกมส์ทุกเรื่องล้วนคิดในทางที่ดีเสมอเท่านั้น ชีวิตก็จะสวยงามเป็นอย่างยิ่ง” “สิ่งที่ต้องการที่สุดของชีวิตคนเราคือความคิดที่มองแง่ดี ความสุขก็จะไม่ห่างเหินเราไป ความคิดอย่างนี้จะนำมาซึ่งหยุดลงน้อยลง ชีวิตนั้นล้วนจะต้องสูญเสียไปกับวันเวลา และยังเป็นเวลาที่ได้รับด้วย หรือพูดได้ว่า พยายามที่จะให้มันสูญเสียน้อยที่สุด นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้รับแล้วนะ

4104
ซูโหย่วเผิง

ทิวทัศน์ของชีวิต ใช่ว่าจะเป็นจุดสูงสุดเสมอ

จางอ้ายฉิงกล่าวว่าการมีชื่อเสียงนั้นต้องเร็ว




หากต้องเสียเวลากำลัง( ให้อายุเยอะแล้วค่อยมีชื่อเสียง ก็จะไม่มีไฟแห่งความร้อนแรง) อย่างไรก็ตาม คนที่ดังตั้งแต่เยาว์วัยอย่างซูโหย่วเผิงกลับบอกว่า “ การมีชื่อเสียงแต่เยาว์วัยนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่มีความสุขเลย ชื่อเสียงเป็นเครื่องประดับที่ประกายแสงที่สุด และยังเป็นเครื่องเล่นที่อันตรายที่สุดด้วย หวนถึงตอนแรกที่มีชื่อเสียงนั้น เขายิ้ม กล่าวว่า “ แท้จริง ภาพทิวทัศน์ของชีวิตคนเรานั้นมีหลากหลายมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดเสมอไป”

ปีแห่งการไม่รู้จักขอบคุณ

ซูโหย่วเผิงได้เข้ามาในกองถ่ายของเราหลังทีมงานคนอื่นครึ่งก้าว เขาได้ไถ่ถามถึงหัวหน้าที่พวกเราคิดไว้แล้วว่าเขาต้องถามถึงแน่ เขาได้จ้องมองชุดเสื้อผ้าที่พวกเราเอามาอย่างละเอียด และเขาได้บอกกับพวกเราว่ารูปแบบของชุดไหนที่เขาได้ชอบ หลังจากที่ได้รูปทรงแล้ว ตัวเองก็ได้ไปจ้องจัดทรงผมที่หน้ากระจก ในเวลาพักครึ่งของการถ่ายนั้น เขาก็ได้เดินมาและจ้องส่องกระจกอย่างละเอียดอีกที และได้พูดคุยถึงมุมถ่ายกับ ตากล้อง นี่เป็นคนราศีกันย์จริงๆเลยแหล่ะ เป็นประเภทดื้อรั้นและละเอียดอ่อน ยิ่งกว่านั้นในการวิเคาะห์ความสวยความงามแล้วนั้นเขามีมุมมองเกณฑ์หลักของตัวเขาเอง ไม่ง่ายที่มีให้ความคิดมุมมองของคนอื่นจูงเขาไป ขณะที่พวกเราพูดถึงความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ตัวเขาเองก็ได้กล่าวว่าแท้จริงแล้วตัวเองก็เริ่มรับฟังยอมรับมุมมองความคิดอ่านของคนอื่นแล้ว ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้ที่จะยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลง

เสือน้อยสามตัวในสมัยนั้น อู่ฉี่หลงนั้นหน้าตาดีที่สุด เฉินจื้อเผินนั้นเสียงร้องเพลงเยี่ยมที่สุด และที่พากเพียรจริงจังที่สุดก็คือซูโหย่วเผิง ไม่ว่าจะสนองเรื่องร้องเพลงเต้นหรือกับสื่อต่างๆ ซูโหย่วเผิงนั้นซีเรียสมากกับผลที่ออกมาว่าจะเป็นไปตามที่คนอื่นหวังไว้หรือเปล่า

จำได้ครั้งหนึ่งได้ดูอ่านข่าวบันเทิงของหนังสือพิมพ์ หลินชินหยู พูดกับนักข่าวว่าตัวเองอายุสามสิบถึงจะเข้าใจ แท้จริงแล้วการแต่งหน้าไม่ใช่เป็นงาน เป็นอุปนิสัยที่ชอบรักของสุภาพสตรีอย่างหนึ่ง ใจผมเศร้าโศกจริงๆด้วยแหล่ะ อายุแค่สิบแปดก็ดังไปทั่งและเธอนั้นได้เหนื่อยกับชื่อเสียงเหล่านั้น ได้สูญเสียความสนุกสมัยเด็กมากมายที่เธอควรจะได้รับ"

ขณะที่พูดนั้น อนึ่งนั้นได้เสียดายกับขวัญใจของเรา และอีกอนึ่งก็ได้คิดถึงตัวเองในตอนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเธอเหมือนกัน วัยเด็กที่เดียงสา ทำไปหาประสบการณ์ไปด้วยว่าในการเข้าสู่วงการ คิดไม่ถึงเด็กหนุ่มที่ซื่อๆอย่างพวกเขานั้นดังได้รวดเร็วยิ่งกว่าลูกศรธนูอีก แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่สิบกว่าขวบนั้น ชื่อเสียงจะเป็นเครื่องประดับที่ล่อตาล่อใจที่สุด รวมทั้งยังเป็นของเล่นที่อันตรายที่สุดอีกด้วย


การเข้าสู่วงเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตก็ว่าได้ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นช่างอีเล็กโทรนิคอย่างผมนั้นกลับมากลายเป็นนักศิลปินไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น ตัวคนเดียวก็ได้เดินไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต จนทำให้ทั้งชีวิตนั้นไร้เป้าหมายทิศทาง คุณก็ไม่รู้เหมือนกันแหล่ะว่าจะก้าวให้สูงอย่างมั่นคงนั้นทำอย่างไร ทางไปมาของชีวิตคุณนั้นก็ทำให้คุณมั่วไปหมด ดูผิวเผินภายนอกแล้ว ศิลปินก็จะเป็นเด็กที่ถูกรักจนเสียคน แต่วัยรุ่นที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่อย่างซูโหย่วเผิงนั้นจิตใจยังรู้สึกกลัวอยู่ เพราะได้ส่ำสมการถูกรักมาตลอดชีวิต แต่ตัวเองกับไม่รู้ถึงสาเหตุเลยสักนิด

“ในตอนนั้นอายุยังน้อย โดยเหตุที่ประสบความสำเร็จของงานการแสดง คนรอบข้างเรานั้นดีต่อเราหมด ได้ดูแลเราเป็นอย่างดี จนผมเองก็ไม่รู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น ตอนนั้นมาหวนคิดดู พึ่งรู้ว่าความรักที่ได้รับในตอนนั้นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในโลกนี้จะมีใครบ้างที่มีหน้าที่ที่จะดีต่อคุณล่ะ ฉะนั้นควรจะขอบคุณสำหรับความรุ่งโรจน์ของการงานเหล่านั้น และยังต้องทราบซึ่งถึงอุปสรรค์และความอ่อนแอช่วงขณะหนึ่งเหมือนกัน มันจะทำให้คุณขึ้นจากที่ต่ำไปที่สูง เห็นถึงเมื่อก่อนที่คุยเคยยื่นอยู่ในจุดที่สูงสุดของชีวิต ที่จริงตอนนี้กลับมาหวนคิด เวลาที่ตกต่ำจากการตกลงมาจากที่สูงนั้นทำให้ผมได้เติบโตมากขึ้น กว่าอีก"



4105
Magazine Interviews-China / 2009 Top in life
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:29:38 PM »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากนิตรสาร  Top in life ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2009














4106
http://tieba.baidu.com/f?kz=514735115


อายุทำงานในวงการบันเทิง มีมากถึงยี่สิบปีอย่างโหย่วเผิง ตอนนี้นั้นได้หันหน้าทำงานด้านหนังภาพยนตร์เป็นงานหลัก ได้เห็นเขาโลดเล่นในแผ่นฟิลม์ที่ทำให้คนอื่นหัวเราะได้โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ เหมือนกับว่าเขาได้เข้าใจถึงประโยคที่ตัวเองชอบเอ่ย  “ทำตามใจตัวเอง”  แม้ว่าบ่อยครั้งจะมีความรู้สึกอ่อนล้าบ้าง แต่ว่าเขาในวันนี้ ก็เข้าใจตั้งนานแล้วว่าจะยึดและมั่นคงในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร

ซูโหย่วเผิง ความรู้สึกที่สมดูลย์อย่าง ทำตามใจตัวเอง

ช่วงนี้ในงานด้านหนังภาพยนตร์ ก็มักจะเห็นตัวของโหย่วเผิง เริ่มต้นครึ่งปีหลังของ 2008  เขาเริ่มต้นถ่ายหนังกับสี่แฝดอย่างเผ็ดมัน (หนังเรื่อง สี่กามเทศ) ต่อจากนั้นก็ได้เปลี่ยนร่าง กลายเป็นผู้ได้มีความรักกับหลินเจียซินอย่าง ( อ้ายฉิงฮูเจี้ย 2 อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ไม่เพียงเท่านี้ ไม่นานนี้เขายังหาเวลากลับไปที่จีนและไต้หวัน ได้มีส่วนร่วมเป็นศิลปินแขกรับเชิญในเรื่อง (อ้ายเต้าตี่) รับบทเป็นนักศิลปินที่มีบุคลิกเป็นเหมือนเต่า เขากล่าว “ เริ่มแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ผมมีความสนใจกับงานการแสดงหนังภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง”

จากเวทีเล็กๆสู่หนังภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ที่จริงมันไม่แปลกเลยสักนิด ดูเหมือนว่าทุกๆสิบปีชีวิตของโหย่วเผิงนั้นก็จะเจอการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากสิบปีแรก เขาได้เข้าวงเสี่ยวหู่ตุ้ย กับเพื่อนอู่ฉีหลง เฉินจื้อเผิงได้ร่วมสร้างเวทีเพลงที่นับไม่ถ้วนมากมาย การเริ่มต้นของสิบปีที่สอง หนังเรื่องที่ดังกระหึ่มอย่าง( องค์หญิงกำมะลอ) ทำให้เขาดังไปทั่วหล้า และจากจุดนี้ได้เจอความสุขของการแสดง

ตอนนี้ สิบปีที่สามกำลังเริ่มขึ้น ปี 2009  เขาได้เข้าร่วมกับทางฮอลลีวูด(เจ้าชายปลาคน) ได้ไว้หนวดเครา เปลี่ยนแปลงตัวเอง

เหตุไรถึงได้เปลี่ยนไปแสดงหนังภาพยนตร์อย่างกระทันหัน เผชิญกับคำถามนี้ คำตอบของซูโหย่วเผิงนั้นง่ายมาก เมื่อก่อนเป็นนักร้องเป็นขวัญใจ ไม่ว่าจะทำอะไร คนอื่นก็จะมองว่าคุณกำลังเล่นหุ่น ตอนนี้ต่างกันแล้ว เรื่องขวัญใจเรื่องความรักนั้นได้แสดงไปเยอะแล้ว จากการเปรียบเทียบ หนังภาพยนตร์นั้นท้าทายกว่าเยอะ อย่างไรก็ตาม ในปีใหม่นี้ก็อยากจะไปทำงานที่ใจตัวเองอยากทำและอยากมีชีวิตอย่างที่ใจตัวเองอยากมี

หนังภาพยนตร์ จุดเริ่มต้นใหม่

มุมมองจากคนข้างๆ ซูโหย่วเผิงพอที่จะมีความฉลาดและความรับผิดชอบพอ ได้เข้าสู่วงการตั่งแต่วัยรุ่น  ปีตอน ม.6  นั้นได้ละทิ้งงานการแสดงคอนเสิร์ตต่างๆไปและไม่ไปเสริมการเรียนหนึ่งปีเต็มๆ สามารถสอบได้เป็นอันดับหกของไต้หวันในการสอบเข้ามหาลัยทั่วประเทศ ในสมัยนั้นก็ยังมีการต่อต้านจากทางครอบครัวอยู่เหมือนกันกับขวัญใจ ผู้ปกครองหลายคนที่เห็นลูกหลายตัวเองชื่นชอบในตัวโหย่วเผิงนั้นก็รู้สึกดีใจ ในตอนนั้น เขาเป็นนักเรียนแบบอย่างที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม เขาเป็นขวัญใจหนึ่งไม่มีสองของดวงใจทุกคน

แต่ว่าในปีมหาลัยปีสี่นั้น เมื่อเริ่มรู้สึกกับการเลือกเรียนคณะที่ตัวเองเลือกนั้นกลับไม่ชอบ เขาก็ได้ตัดสินใจในการที่จะหยุดเรียน และได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยตัวคนเดียว จากสายตาเหมือนกับว่าใบปริญญานั้นอยู่แค่เอื้อมนั้น ว่าไม่เอาแล้ว ก็ไม่เอาจริงๆ

หลังจากที่กลับจากอังกฤษ ในวงการบันเทิงนั้นไม่เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นแล้ว ทางบ้านทั้งพ่อและแม่นั้นล้วนเจอวิกฤตการเงิน เป็นเวลาที่ตกอับมาก โหย่วเผิงกล่าวว่าในบ้านมีสมาชิกครอบครัวสี่คนแต่ทั้งสี่คนก็ต่างอยู่กันคนละที่คนละทาง วันเวลาอย่างนี้ มีมานานจนถึงเวลาที่เขาได้เจอกับจิงจู่เหอ(องค์หญิงกำมะลอ)

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียว เสี่ยวเยี่ยนจื่อ(นากเอกองค์หญิงกำมะลอ)ไปเรียนต่อ อู่อาเกอ(เขาเอง)ก็สามารถที่จะตั้งตัวได้

วันนี้ ในเรื่อง(อ้ายฉิงฮูเจี้ยว 2) เขานั้นได้สวมบทที่คลั่ง ทั้งยังเคยมีนามที่เคยใช้อย่าง (ชายดี) (สุภาพบุรุษ) (ชายยอดเยี่ยม) (ชายร่ำ)ได้เข้าร่วมการคัดประกวดทุกรายการ แม้กระทั่งในรถก็ไม่ลืมที่จะโบกมือกับทางและท้องฟ้า “เพื่อนสหายบนยอดดอย สวัสดี”

สำหรับผู้ชมแล้วได้กล่าวชื่นชมว่าซูโหย่วเผิงเล่นได้ไม่เบา เผชิญกับคำวิจารณ์อย่างนี้แล้ว โหย่วเผิงสุขใจเป็นพิเศษ แท้จริงแล้วนี่เป็นบทบาทที่ต้องการค้นหาอย่างยิ่ง  จู้จี้จุกจิกทุกวันอย่างคนเป็นประสาทอย่างนั้น หากว่าทุกคนดูบทที่ผมแสดงแล้วก็จะรู้ว่าถูกผมผ่า(ฟ้าผ่า)เสียแล้ว นั่นก็แสดงว่าผมสำเร็จแล้ว

รับรู้ว่าได้เป็นดารารับเชิญในหนังของ หวงจื่อเจียว เขาเป็นคนแรกที่ได้แบกกระเป๋ากลับไปที่ไต้หวัน สำหรับใจที่ร้อนรนอย่างนี้ หวงจื่อเจียว  กล่าวว่าตัวเองได้ติดหนี้น้ำใจเขาอีกแล้ว


สำหรับได้ร่วมแสดงหนังของเพื่อนที่ดีนั้น ซูโหย่วเผิงนั้นรู้สึกผ่อนคลายสบายๆมาก ในเนื้อเรื่องนั้นยังได้แสดงออกถึงการเป็นผู้กำกับอีกด้วย ในด้านนี้ เขาได้มีคำสั่งต่อนักแสดงที่ร่วมแสดงด้วย “ สภาพอารมณ์ร้อน สภาพสูญเสีย สภาพสามเส้า สภาพไม้ป่าเดียวกัน” ทีมงานได้ใช้วาจาแสดงสื่อออกมา หวงจื่อเจียวที่ได้นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะออกมาว่า “ นี่น่าจะเป็นผู้กำกับที่ไม่มีความเป็นผู้กำกับที่สุดที่ผมเคยเห็น”

เมื่อยุ่งกับงานเหล่านี้จะเสร็จแล้ว ก็ไม่ไกลจากการไปแสดงหนังออลลีวูด(เจ้าชายปลาคน)ที่เริ่มจะเปิดกล้อง เพื่อต้องการที่จะแสดงบทที่ได้รับเป็นนักรบนั้น ซูโหย่วเผิงได้บอกกับเราว่า ได้ฝึกฝนดำน้ำ เสียงและสำเนียงอย่างลำบาก หากมีเวลาก็จะไปเข้าฟิตเนส เขากล่าว “ จะต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดก่อนจะเปิดกล้อง จะไม่ให้คนอื่นว่าได้ว่า “อ้ายหยา ทำไม่นักรบปลาคนคนนี้ท้องพุงใหญ่จริงๆ”อะไรอย่างนั้น

โหย่วเผิงกล่าวว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดคือการปล่อยวางไม่ยึดติดตัวเอง ราศีกันย์อย่างเขานั้นเคยเคร่งกับตัวเองอย่างมาก สอบต้องได้ร้อยคะแนนทุกครั้ง งานจะต้องทำให้ได้ดีที่สุด ช่วงหนึ่งเขากลัวที่จะออกนอกบ้าน รู้สึกว่าเมื่อเดินอยู่ที่ท้องถนน ผู้คนที่เดินในถนนนั้นจะเพ่งสายตามาจ้องที่ตัวเขา แต่วันนี้ เขาก็สามารถจะสนองสายตาอย่างนั้นแล้ว

ปัจจุบัน ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าเขาได้เรียนรู้ในการที่จะปล่อยวางตัวเองแต่ต้นแล้ว ได้เอางานหนังต่างๆอย่างย่อๆไปลงบนเว็บไซด์ของตัวเองเพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่น ทั้งคืนก็ได้ศึกษาว่าจะเอาหนังในเว็บแปลงเป็น Pod ได้อย่างไร

ระยะนี้ เขายังได้ไปดูคอนเสิร์ดซึ่งเป็นขวัญใจของเขา(มอนดอนน่า)  แม้จะมีตั๋วฟรีแล้ว แต่โดยการชื่นชอบเธอแล้วเขาได้ซื้อตั๋วใบหนึ่งเพื่อสนับสนุนเธอ ครั้งนั้นไม่เพียงแต่เขาได้เปลี่ยนฐานะเป็นผู้ชมแต่เขาก็ยังเข้าไปในเว็บจองตั๋วที่อยู่แถวหน้าอีกด้วย รวมทั้งยังตะโกนเสียงร้องกับแฟนๆคนอื่นอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เสร็จจากคอนเสิร์ดแล้วเขายังไปซื้อของที่ระลึกจากงานอีกด้วย หลังจากที่กลับมาแล้ว เขาได้บอกว่าเมื่อก่อนมักจะมีคนไล่ตามตัวเองมาตลอด แต่ตอนนี้นั้นเป็นผู้ไล่ตามคนอื่นบ้างแล้วครั้งหนึ่ง

ชีวิตอย่างนี้นั้นก็ได้เหมือนกับความตัองการทำตามใจตัวเองที่ในอดีตอยากทำนั้นจนใกล้เป็นจริง ซูโหย่วเผิงได้รวบรวมชีวิตของเขาเป็นแบบสุภาพ แม้ว่าระยะนี้ยังไม่เป็นจริง แต่เขาก็พยายามสำหรับสิ่งนี้อยู่ เขากล่าว ตอนนี้จะไม่เพื่อคนอื่นเห็นว่าตนเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับไปไว้ผมยาว ไว้หนวดเครา ใส่เสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับตัวเองแต่จะให้เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ ตอนสัมภาษณ์เมื่อเจอเรื่องที่สนุก เขาก็จะหัวเราะแล้วกลิ้งนอนบนโซฟา เวลาถ่ายรูปหากอากาศอุ่นๆ เพื่อจะเข้ากับรูปทรงก็จะสวมเสื้อขนผ้าพันคอ เขายังมีมุขขำๆๆ มากมายออกมาอีกด้วย  “อาทิตย์ที่ผ่านมานั้นผมได้ใส่เสื้อหนังด้วย พวกคุณคิดว่าผ้าพันคอผืนนี้สามารถทำให้ผมแพ้ได้หรอ เป็นไปไม่ได้”

เพราะหลายปีนี้ได้เข้าสัมผัสกับหลักธรรมพุธท เรียนรู้ถึงการพึ่งพอใจแล้วจะมีสุข ตอนนี้ผมจะไม่เรียกร้องให้ตัวเองจะเอาในสิ่งที่ตัวเองอยากได้นั้นให้ได้ เรียนรู้ในการสงบ มีมุมมองที่เป็นกลางในการมองเรื่องต่างๆ ความสุขก็จะเป็นสิ่งที่ง่ายๆ



ข้อความในรูป

ชื่อ – สกุล . ซูโหย่วเผิง
วันเกิด .   11 กันยา
ราศี .  กันย์

ก่อนนี้ . เขาเป็น ไกวๆหู่ ของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทุกครั้งที่เจอการเต้นก็จะปวดหัว ตอนหลัง ได้กลายเป็นอู่อาเกอ(องค์หญิงกำมะลอ)  ตู้เฟย ในเรื่อง( ฉิงเซินเซิน หยี่หมงหมง)  ได้กลายเป็นพระเอกในสมัยใหม่ หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าสู่วงการหนังจีนโบราณ ฮ่วยบ่อข่วย  จางอู่จี้ ... ตอนนี้ได้หันไปในด้านหนังภาพยนตร์ เพื่อเปิดโลกกว้างให้กับงานของตัวเอง

ปี 2008  รายการหนังภาพยนตร์ในเซี่ยงไฮ้ ซูโหย่วเผิงกับหลินซินหยูคู่สหายเก่าที่ได้โด่งดังไปทั่ว

(อ้ายฉิงฮูเจี้ยว2 อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ซูโหย่วเผิงได้เล่นกับหลินเจียซิน

4107
Magazine Interviews-China / Re: 2008 นิตยสารสื่อเจี้ย (โลก)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:18:46 PM »

ปารีส ข่าว

อิ๋งเหลียนของจีนกับนิตยาสารสากล “นักท่องเที่ยวศิลปิน” รายงานพิเศษจากปารีส ในโลกนี้นั้น คงไม่มีใครคิดสงสัยถึงชีวิตที่สบายๆของชาวปารีส ในครั้งนี้ที่ทางอิ๋งเหลียนของจีนกับวารสารสากลได้ร่วมมือกันออก “นักท่องเที่ยวศิลปิน” เมืองปารีสนั้น พวกเรากับเหล่าศิลปินและผู้อ่านทุกคน ได้ยืนยันถึงแก่นสารของการบริโภคของชาวปารีส

ในสองสามวันนี้ พวกเราเหมือนกับคนปารีสที่มีความสุขกับฤดูใบไม้ร่วง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว พวกเรานั้นได้เหมือนก่อนๆที่ได้มาเจอกันที่ร้านขอยของอย่างไม่นัดหมาย พวกสาวๆได้ใส่กระโปรงสั้นที่สวยงาม พัดคลุมด้วยผ้าผืนหนึ่ง ได้นั่งอยู่นอกร้านกาแฟ แอบอิงข้างตะเกียงไฟดื่มกาแฟ ผู้คนที่หลากหลายในตลาดเดินไปมาอย่างไม่มองสัญญาจราจร พวกคู่รักต่างๆได้หาที่ลับตาคนจูบกันอย่างสไตล์ฝรั่ง

ในสองสามวันนั้น พวกเราได้ใช้การทานอาหาร ดื่มเหล้า ซื้อของในการมาคร่าเวลาของวันๆ ไม่ใช่คร่าเวลาสิ น่าจะว่าเป็นการเสพสุขกับวันๆ ขณะที่ตะวันจะลาจากนั้น พวกเราต่างก็หอบหิ้วของที่ซื้อมานั้นกลับไปที่โรงแรมที่พัก รู้สึกว่าช่วงยุ่งมากๆของปีหนึ่งนี้นั้น เป็นเวลาที่ให้ผมได้ผ่อนคลาดและสบายๆที่สุดของช่วงหนึ่ง

ซูโหย่วเผิงกับหลี่จิ้ง  . ปารีสเป็นสวรรค์แห่งการช๊อปปิ้ง

จากการเชื้อเชิญของอิ๋งเหลียนของจีนและนิตยาสารสากล ซูโหย่วเผิงกับหลี่จิ้งได้มาด้วย ได้รับหลายอย่างมากมายจากที่ปารีส

ในร้านขายนาฬิกา Dubail ซูโหย่วเผิงได้ซื้อนาฬิกา Rolex เรือนหนึ่งที่เห็นบุ๊ปก็ชอบเลย  และที่ห้างชุนเทียน ทำให้พวกเราได้เห็นหรือได้เปิดหูเปิดตาว่าการบริการที่ยอดเยี่ยมอย่างวีไอพีของห้างนั้นเป็นอย่างไร ในร้านชุ่นเทียนชั้นห้าของตึกขายเสื้อผ้าบุรุษ lisa พนักงานของอิ๋งเหลี่ยนได้พาพวกเราไปชมร้านกาแฟที่มีรูปแบบพิเศษไม่เหมือนใครร้านหนึ่ง นี่เป็นห้องพักผ่อนแบบวีไอพีที่ทางห้างชุนเทียนของ Paul smith ได้จัดขึ้นเป็นพิเศษ สิ่งที่ต่างจากสิ่งที่คิดไว้ในใจคือ ที่นี่ไม่เห็นการจัดทำแบบเอกลักษณ์ของ paul smith เลย แต่เต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆ กำแพงติดเต็มไปด้วยสไตล์ loft สำหรับอันนี้นั้น ซูโหย่วเผิงยังหยอกล้อว่า paul smith เคยไปที่จีนชัว สงสัยไปจีนแล้วได้รับอิทธิพลภาพวาดผนังของจีนแล้วมาทำแบบนี้ แต่ว่าพวกเราก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากที่นี่ ทางห้างนี้ได้มีการบริการพิเศษสำรับแขกลูกค้า ขณะที่พวกเราถูกเชิญนั่งนั้น และได้เตรียมเสื้อต้านลมที่เขาอยากได้เรียบร้อยแล้ว มาจาก hugo boss zigna และ armani ที่ห้างชุนเทียน อินเตอร์เน็ตของอิ๋งเหลียนนั้นดีมาก เพราะยังมีการบริการที่เป็นภาษาจีนโดยเฉพาะอีกด้วย

แต่ทางสาวสวย หลี่จิ้ง เป็นลูกค้าของศิลปินนิตยาสารสากลได้ประทับใจห้างเหล่าฝอแย่ ห้างนี้นั้นได้ออกแบบสไตล์เอเซียโดยเฉพาะ พนักงานนั้นเป็นสาวที่มาจากเซี่ยงไฮ้ บ่ายวันนั้น พวกเราทั้งหมู่คณะรวมทั้งชาวปารีสด้วยได้แยกย้ายกันเข้าไปแต่ละมุมของห้างเหล่าฝูแย่ เมื่อซื้อสิ่งที่ตัวอยากจะซื้อ maxim s ซอส เหล้าขาว ชอกโกแล็ค กับกระเป๋าแอลวี สเปร์น้ำ หลี่จิ้งได้นำเป็นไกค์ภาษาจีนนั้นได้ซื้อรองเท้าสองคู่ กับกระเป๋า marc jocbos ใบหนึ่ง แน่นอน หลี่จิ้วกล่าวว่า “ สินค้าที่นี่ถูกกว่าทางปารีสมากๆ รวมทั้งรูปแบบเยอะกว่าที่ปารีสอีก ยิ่งกว่านั้นยังมีไกค์ภาษาจีนให้อีกด้วย” นอกจากนี้แล้ว หลี่จิ้งชอบดานฟ้าของห้างนี้มาก ตอนอากาศดีนั้น จากนี่สามารถมองเห็นปารีสที่ไร้ขอบเขตได้ ตามที่เล่ามาว่า คนในพื้นที่หลายคนได้ถ่ายรูปแต่งงานที่นี่ จริงๆ ที่นี่เป็นตลาดของปารีส ข้างหลังเป็นสถานประวัติศาสตร์ของปารีส หากว่าให้หลี่จิ้งแนะนำ เขาจะกล่าวว่าที่นี่จะเป็นที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวมาปารีสแล้วต้องมาที่นี่

สิ่งที่ควรจะเอ่ยก็คือ ซูโหย่วเผิงกับหลี่จิ้ง และพวกเราที่ได้มาจับจ่ายซื้อของที่นี่นั้นล้วนใช้บัตรในการชำระเงิน หลี่จิ้งได้บอกว่าการจ่ายอย่างนี้นั้นสะดวกมากๆ รวมทั้งยังภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง





นอกจากการออกไปจับจ่ายแล้ว พวกเรายังมี......

จากการเชื้อเชิญของอิ๋งเหลียนของจีนกับนิตยาสารสากล ซูโหย่วเผิงกับหลี่จิ้งได้มานามศิลปิน  ได้รับหลายอย่างจากการมาที่ปารีส

 ในร้านขายนาฬิกา Dubail ซูโหย่วเผิงได้ซื้อนาฬิกา Rolex เรือนหนึ่งที่เห็นบุปก็ชอบเลย  และที่ห้างชุนเทียน ทำให้พวกเราได้เห็นหรือได้เปิดหูเปิดตาว่าการบริการที่ยอดเยี่ยมอย่างวีไอพีของห้างนั้นเป็นอย่างไร ในร้านชุ่นเทียนชั้นห้าของตึกขายเสื้อผ้าบุรุษ lisa พนักงานของอิ๋งเหลี่ยนได้พาพวกเราไปชมร้านกาแฟที่มีรูปแบบพิเศษไม่เหมือนใครร้านหนึ่ง นี่เป็นห้องพักผ่อนแบบวีไอพีที่ทางห้างชุนเทียนของ Paul smith ได้จัดขึ้นเป็นพิเศษ สิ่งที่ต่างจากสิ่งที่คิดไว้ในใจคือ ที่นี่ไม่เห็นการจัดทำแบบเอกลักษณ์ของpaul smith เลย แต่เต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆ กำแพงติดเต็มไปด้วยสไตล์loft สำหรับอันนี้นั้น ซูโหย่วเผิงยังหยอกล้อว่า paul smith เคยไปที่จีนชัว สงสัยไปจีนแล้วได้รับอิทธิพลภาพวาดผนังของจีนแล้วมาทำแบบนี้ แต่ว่าพวกเราก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากที่นี่ ทางห้างนี้ได้มีการบริการพิเศษสำรับแขกลูกค้า ขณะที่พวกเราถูกเชิญนั่งนั้น และได้เตรียมเสื้อต้านลมที่เขาอยากได้เรียบร้อยแล้ว มาจาก hugo boss zigna และ armani ที่ห้างชุนเทียน อินเตอร์เน็ตของอิ๋งเหลียนนั้นดีมาก เพราะยังมีการบริการที่เป็นภาษาจีนโดยเฉพาะอีกด้วย

แต่ทางสาวสวยหลี่จิ้ง เป็นลูกค้าของศิลปินนิตยาสารสากลได้ประทับใจห้างเหล่าฝอแย่ ห้างนี้นั้นได้ออกแบบสไตล์เอเซียโดยเฉพาะ พนักงานนั้นเป็นสาวที่มาจากเซี่ยงไฮ้ บ่ายวันนั้น พวกเราทั้งหมู่คณะรวมทั้งชาวปารีสด้วยได้แยกย้ายกันเข้าไปแต่ละมุมของห้างเหล่าฝูแย่ เมื่อซื้อสิ่งที่ตัวอยากจะซื้อ maxim s ซอส เหล้าขาว ชอกโกแล็ค กับกระเป๋าแอลวี สเปร์น้ำ หลี่จิ้งได้นำเป็นไกค์ภาษาจีนนั้นได้ซื้อรองเท้าสองคู่ กับกระเป๋า marc jocbos ใบหนึ่ง แน่นอน หลี่จิ้วกล่าวว่า “ สินค้าที่นี่ถูกกว่าทางปารีสมากๆ รวมทั้งรูปแบบเยอะกว่าที่ปารีสอีก ยิ่งกว่านั้นยังมีไกค์ภาษาจีนให้อีกด้วย” นอกจากนี้แล้ว หลี่จิ้งชอบดานฟ้าของห้างนี้มาก ตอนอากาศดีนั้น จากนี่สามารถมองเห็นปารีสที่ไร้ขอบเขตได้ ตามที่เล่ามาว่า คนในพื้นที่หลายคนได้ถ่ายรูปแต่งงานที่นี่ จริงๆ ที่นี่เป็นตลาดของปารีส ข้างหลังเป็นสถานประวัติศาสตร์ของปารีส หากว่าให้หลี่จิ้งแนะนำ เขาจะกล่าวว่าที่นี่จะเป็นที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวมาปารีสแล้วต้องมาที่นี่

สิ่งที่ควรจะเอ่ยก็คือ ซูโหย่วเผิง หลี่จิ้ง และพวกเราที่ได้มาจับจ่ายซื้อของที่นี่นั้นล้วนใช้บัตรในการชำระเงิน หลี่จิ้งได้บอกว่าการจ่ายอย่างนี้นั้นสะดวกมากๆ รวมทั้งยังภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ชาวปารีสนั้นไม่ยอมรับว่าปารีสเป็นเพียงเมืองซื้อของเท่านั้น พวกเขายังมีหลู่ฝูกง (วัง)  แม่น้ำไซน่า กับอาหารอร่อยที่นับไม่ถ้วน อิ๋งเหลียนของจีนนั้นเพื่อจะให้ทุกคนได้สัมผัสถึงชีวิตพักผ่อนที่สมบูรณ์ของชาวปารีส ยังได้จัดสรรกำหนดรายการหลายอย่าง เช่น การท่องเรือสำราญที่แม่น้ำไซน่า

ตัวเรือกับอิ๋งเหลียนของจีนนั้นแท้จริงไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ว่าซื้อตั๋วเรือนั้นใช้บัตรของอิ๋งเหลียนได้ด้วย

แสงตะวันส่องมายามเย็นนั้น แม่น้ำไซน่านั้นเป็นที่ดึงดูดคนเป็นอย่างยิ่ง คนทั้งหมดได้นั่งเก้าอี้ม้าสีแดงในเรือจนเต็มหมด ดูมองสะพานปารีสที่ถอยออกห่างจากตัวเราที่ละสะพานๆ สองฝั่งนั้นเป็นฝั่งซ้ายกับฝั่งขวา เป็นวิทยลัยเซิ้งหมุ่ พิพิธภัณฑ์เอ้าไซ้ ยังมีคู่รักที่จูบปากอยู่ข้างฝั่ง ลูกกับพ่อที่มีความสุข นี่เป็นวิถีชีวิตของชาวปารีสที่แท้จริง

จำได้ว่า หยิบหูฟังที่อยู่ทางขาวมือของคุณขึ้น กดเลยแปด จะได้ยินเสียผู้ชายได้บรรยายความงดงามของปารีสอย่างละเอียดเป็นภาษาจีน

นอกจากท่องเรือ อิ๋งเหลียนของจีนก็ยังให้เราได้สัมผัสถึงราตรีที่มีชื่อของปารีส อาหารมื้อค่ำวันนั้น เป็นอาหารที่อร่อยแบบฝรั่งเศรที่พวกเราเคยทาน ได้มีรสชาติเครื่องปรุงที่ดียอด


4108
Magazine Interviews-China / Re: 2008 นิตยสารสื่อเจี้ย (โลก)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:17:24 PM »

ระหว่างทางนั้น ก็เพื่อจะกลับบ้าน

Q : ในปี 2008 ได้ไปท่องเที่ยวหรือเปล่า?

A : ท่องเที่ยวเหรอ ?? ก็พึ่งไปงานคอนเสริทของ มอนดอนน่า ไปที่อเมริกา ที่ปารีสอีก ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าเป็นการไปท่องเที่ยวมากกว่าไปทำงานเสียอีก ฮ่าๆๆ

Q : ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่พวกเราคาดหวังก็คือคุณไปศึกษาเข้าใจถึงเมืองปารีส ถ้างั้น มีความรู้สึกอย่างไรกับเมืองปารีสบ้าง เป็นการมาครั้งแรกนี่?

A : ที่จริงเป็นครั้งที่สองที่มาปารีสนะ ครั้งแรกนั้นประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว นอกจากแม่น้ำไซน่าที่มีป้ายที่เพิ่มภาษาจีนขึ้นมาเยอะหน่อยก็ไม่ค่อยมีอะไร

Q : ดูซิ พวกเราได้วางแผนการเดินทางอย่างละเอียดที่เมืองปารีสให้กับคุณ แล้วส่วนตัวคุณล่ะ ก่อนจะออกเดินทางเคยวางแผนการเดินทางที่ละเอียดอย่างนี้ไหม?

A : ไม่เคยมีการท่องเที่ยวที่ไปไหนแล้วตกเย็นก็พักที่นั่นนะ อย่างน้อยๆก็จะมีการจองตั๋วไปกลับไว้ก่อน ฮ่าๆๆ

Q : คุณใฝ่ฝันไหม กับการเดินทางที่ตกอยู่ในสภาพอย่างไรก็พอใจอย่างนั้น?

A : ตัวผมในวันนี้ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น สมัยหนุ่มๆก็จะเป็นพวกดื้อหน่อย แต่ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยิ่งชอบความมั่นคงอยากจะให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ดีหน่อย ที่ผ่านมาที่ผมอยู่ที่อังกฤษนั้น ผมชอบมากกับการมีชีวิตส่วนตัวอย่างนั้น ผมก็ได้ตั้งใจไปพักโรงแรมวัยรุ่นอย่างนั้นจริงๆ ยิ่งเรียบง่ายยิ่งดี แต่ตอนนี้ผมก็ไม่คิดที่จะไปปล่อยวางตัวเองอย่างนั้นแล้วล่ะ แต่ตอนนี้แม้จะพูดได้ว่าไม่หรูหราอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าง่ายๆจนหยาบๆอย่างนั้น ก็จะมีความต่างหน่อย

Q : พูดแบบนี้หมายความว่า คุณก็เป็นคนหนึ่งที่อยากมีความสบายแบบดีๆหน่อยในการท่องเที่ยวเหมือนกัน?

A : จะพูดอย่างนี้ก็ได้นะ สำหรับตัวเองแล้วการท่องเที่ยวนั้นสิ่งที่สำคัญคือการได้พักผ่อนสบายๆไม่เครียดหากจะสบายๆนั้นก็ต้องให้ตัวเองผ่อนคลายหน่อย (ไม่ตรึงเคลียด) สะดวกหน่อย สบายหน่อย

Q : เมืองไหนที่ให้คุณสบายผ่อนคลายที่สุด? ไทเป ปักกิ่ง หรือว่าที่ไหน?

A : ไทเปกับปักกิ่งนั้นล้วนเป็นบ้านของผม แน่นอนในบ้านก็จะเป็นที่ที่สบายผ่อนคลายที่สุดแหล่ะ หากว่าไปถึงสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง เพียงแค่ไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผมที่นั่นก็จะเป็นที่ที่ผมผ่อนคลายสบายๆแล้วล่ะ

Q : ที่ฮ่องกง น่าจะไปบ่อยมากสิ?

A : ไปบ่อยๆ เป็นความจำเป็นของงาน บางที่ตัวเองจะไปซื้อของที่นั่นโดยเฉพาะ ตงจิงนั้นก็ยังเป็นสถานที่หนึ่งที่ผมมักจะชอบไปซื้อของเดินตลาดที่นั่น ที่เหล่านี้นั้นล้วนเป็นที่ที่เหมาะกับคนเอเซียจะไปซื้อของพวกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย

Q : ถ้างั้น ในตารางการเดินทางของคุณ เป้าหมายสถานที่ที่จะไปต่อจากนี้ในปีนี้นั้นที่ไหน?

A : ที่ต่อไปเหรอ กลับบ้าน จะรีบกลับไปถ่ายละครเรื่องใหม่ที่ใต้หวัน ความรู้สึกที่จะกลับบ้านนั้นดีมากเลยล่ะ

Q : คิดถึงบ้านแล้วหรือยัง?

A : ที่จริงการเดินทางทัศนาจรก็อย่างนี้แหล่ะ ขณะที่อยู่ในระหว่างการเดินทางนั้นก็จะเตือนตัวเองว่า บ้านอยู่ที่ไหน

เสื้อเชิ้ท : Dior

เสื้อสูท : Dior


========================================

2008 . 10. 8 A M 9.00

เสื้อผ้าที่ยืมให้ซูโหย่วเผิงในการเดินทางที่ปารีสสองรอบสุดท้ายที่ได้ส่งถึงสนามบิน เสื้อคลุมสองตัวของ Dior Home กางเกงขายาวสองตัว เสื้อเชิ้ดสองตัว รองเท้าหนึ่งคู่ ช่วงเวลาสุดท้านนั้น พวกเราได้รับของที่มาจากปารีสเหล่านี้ และผ่านไปอีกสองสามชั่วโมง เครื่องบินของเราก็ได้ออกบินแล้ว

2008 . 10. 9 A M 12.00

ที่สนามบินไตเกาลอสรับซูโหย่วเผิงอย่างราบรื่น เขาได้บินจากที่นิวยอร์ค ได้อยู่กับคณะหมู่ใหญ่พักที่โรงแรมที่มีชื่อเสียง hotel le faubourg

2008 . 10. 10  A M 7.30

Asami Kawai กับYoshiko Katayama นั้น เป็นสาวญี่ปุ่นสองคนที่เรียนศิลปะการออกแบบ พวกเราหาพวกเขาสองคนมาช่วยซูโหย่วเผิงแต่งตัวเรื่องนี้นั้นทุกอย่างทุ่มเทและยากลำบาก นี่เป็นการทำงานเป็นทางการวันแรก

2008 . 10. 11 P M 8.00

ซูโหย่วเผิงได้เริ่มลองชุดที่พวกเราได้จัดไว้ให้เขา เมื่อเขาได้เห็นเสื้อผ้าเหล่านั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้นมาก เขากล่าวว่า “ชุดนี้ เหมือนที่แขวนอยู่ที่โรงแรมที่เราพัก เป็นเสื้อที่ทันสมัย 

เป็นอย่างนั้นจริงๆ โหย่วเผิงหารู้ไม่ เสื้อผ้าเหล่านี้นั้นได้ส่งด่วนมาจากสิงคโปร์ เหมือนกับว่า โลกนี้ได้กลายเป็นสื่อที่ใหญ่ของเสื่อผ้าเหล่านี้

2008 . 10. 12 P M 2.00

ได้ถ่ายทำที่เมืองมอน่าทอสเกา(55+ อภัยด้วยค๊ะแปลไม่ได้จริงๆ)  ตรงกับสุดสัปดาห์พอดีเลย มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก มีชายหนุ่มในเมืองนี้ถามเราว่าโหย่วเผิงนั้นได้สนิทกับ Jacky มากใช่หรือเปล่า? ผมได้หันไปถามโหย่วเผิง โหย่วเผิงก็กำลังเล่น Canon450D ของเขาอยู่ เขาได้หัวเราะอย่างเสียงดัง บอกกับชายหนุ่มคนนั้น ผมกับ Jacky นั้นเล่นไพ่นกกระจอกบ่อยมาก

2008 . 10. 13 P M 3.00

กำลังรอไฟร์บินกลับที่เมืองสนามบินปารีส โหย่วเผิงก็เหมือนกับพวกเราที่ติดหวัดจากปารีสมา พวกเราได้ดื่มน้ำ Rerrier ทานยาด้วย หายใจที่อึดอัดทางจมูก และได้รับความสุขสุดท้ายที่อยู่เมืองปารีส

( เวลานี้ จิตใจของเราล้วนเต็มไปด้วยการขอบคุณสำหรับเพื่อนๆที่อยู่ทางปารีส อิ้งเสี่ยวหมั่น แสหมี่เจีย คุณตงที่เป็นไกค์ของเรา และรวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนด้วย)

4109
Magazine Interviews-China / Re: 2008 นิตยสารสื่อเจี้ย (โลก)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:15:24 PM »



ผมก็เป็นแบบ Dior

ไม่ผิด ซูโหย่วเผิงกล่าวด้วยตัวเองว่า “ผมก็เป็นแบบ Diorอย่างนั้น”

ผู้ออกแบบของ Dior Homme ท่าน  Kris Assche ใต้การออกแบบของเขาที่มีบุรุษที่ผิวบาง สันทัดกะทัดรัดคล่องแคล่ว มีจิตใจที่เร่าร้อน ซูโหย่วเผิงในตอนนี้เหมือนมีบุคลิกลักษณะอย่างนี้ ฉะนั้น เป้าหมายของเรานั้นเป็นยุโรป ที่กรุงปารีส

คิดแล้วมันสนุกจริงๆ ปีนั้น ขณะที่พวกเราได้ฟังเพลง ( ชิงผิงก่อเล่อเหยียน)อยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็คิดไม่ถึงหลังจากหลายปีของวันนี้ ผมสามารถที่จะพาชายผู้นี้มาในกรุงปารีสได้ นี่อาจไม่ใช่เป็นตอนที่ดีที่สุดของเรื่อง แต่ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ทุกเรื่องราวของเวลานั้น ล้วนเป็นไปตามวาสนา(ชะตา)  การอยู่ร่วมกันและการลาจากกัน ล้วนใช่”

โดยเหตุนี้ ผมเองก็ไม่เชื่อชายคนนี้ที่ยิ้มอยู่ต่อหน้าตากล้องและยังคงความเป็นหนุ่มอยู่ตลอดกาลอย่างเขา ใบหน้าเขาในตอนนี้นั้นได้เห็นถึงการดื่อรั้งที่เห็นได้ชัด แต่ว่า ก็ยังจะเห็นถึงริมฝีปากที่บางที่มีค่าควรแก่การยั่วเย้าและยืนหยัดอย่างทรหด


Kris กล่าวว่า นี่เป็นลักษณะคุณสมบัติของ Dior Homme

เวลาออกจากปารีส ซูโหย่วเผิงได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ได้รับจากปารีส ผมเห็นเขาเอาถุงใหญ่ๆหลายตัวของ Dior Homme ยัดใส่เข้าไปในกระเป๋าเดินทางของเขา ผมคิดว่า เขาคงได้เจอกับ Hedi อย่างไม่ได้นัดหมาย  Kris กล่าวว่า ชายผู้ใส่ Dior Homme นั้น มีระดับ(เกรด)แต่ไม่แสดงออกให้เห็น เป็นคนมีหัวสมองแต่ไม่คุยโว มีเงินแต่ไม่ลำพอง มีพรสวรรค์แต่ไม่อวด ผู้ชายอย่างนี้นั้น มีความเด่นอย่างแน่นอน รวมทั้งยังมีความสูงศักดิ์ที่ยากจะใช้คำพูดบรรยาย

อย่างน้อย ซูโหย่วเผิง ก็เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้

ผมตั้งใจหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ช่วงหลังของชีวิตผมนั้นจะเป็นนักทัศนาจรคนหนึ่ง

เมื่อเห็นโหย่วเผิง เขาพึ่งเสร็จสิ้นการเดินแปดชั่วโมงจากนิวยอร์คถึงปารีส กางเกงยีนส์ หมวกแก๊บ แว่นกันแดด หลังจากนั้นก็ได้ไปทักทายจับมือกับทุกคน และไปขอแผนที่ของเมืองปารีสที่โรงแรม Reception จนทำให้คนอื่นมองเขาไม่ออก เขาก็ถูกรบกวนจากความต่างของเวลาในการบินมาที่นี่

สิ้นเรื่องแล้ว เขาพูดกับผม สองสามวันนั้นเขาอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยอมที่จะเป็นนักเดินทางที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน


นักเดินทาง ประโยคนี้มาจากพระไตรปิฏก โหย่วเผิงเป็นพุทธนิกชนที่เคร่งมาก เขาไม่สูบบุหรี่ ไม่ทานเนื้อวัว ยิ่งกว่านั้นยังลดการดื่มเหล้า ได้พูดเรื่องการทัศนาจรกับพวกเรา เขาได้พูดถึงการทัศนาจรครั้งที่ผ่านมาที่ได้ไปที่อินเดียอย่างน้ำไหลไฟดับ การทัศนาจรนี้ยากจะลืม มันอาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อศาสนาของเขา แต่ว่า งานคอนเสิร์ทสองสามวันก่อนนั้นยิ่งทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งในการพูดคุย เขาเป็นเหมือนแฟนพันธ์แท้ของ มอนดอนน่า ที่ใส่เสื้อเชิ้ตเป็นรูปของเธอด้วย ได้บินไปที่นิวยอร์กดูคอนเสิร์ทของเธอโดยเฉพาะเลย ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ตอนสิบกว่าขวบนั้น ผมนั้นได้ชื่นชอบ Alternative กับ Modannaเป็นอย่างมาก แต่ก็ได้แต่ร้องเพลง (ผีเสื้อบินแล้ว) (แมลงปอสีแดง) ซึ่งเป็นเพลงวัยรุ่นอย่างนั้น

ฉะนั้น สำหรับคำว่า นักเดินทางนั้น ซูโหย่วเผิงได้มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าใคร ทุกครั้งในการเดินทางนั้นมีอยู่สองความหมาย อย่างแรก เขาจะไปเก็บเกี่ยวศึกษาชีวิตอีกเมืองหนึ่ง อย่างที่สอง ได้มองจากมุมมองที่กว้างกว่า ทัศนาจรกับวิถีชีวิตนั้นมีความหมายที่ใกล้เคียงกัน ก็เหมือนตอนนั้นที่เขาชื่นชอบเพลงอังกฤษอย่างนั้น แต่ได้ร้องเพียงเพลงวัยรุ่นในตอนนั้น หลังจากที่ได้ผ่านชีวิตที่ลำบากซูโหย่วเผิงก็เริ่มเข้าใจถึงสิ่งนี้เป็นช่วงหนึ่งของชีวิต ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร เขาก็กำลังทำสิ่งที่เขาอยากจะทำตลอดเวลา ใกล้ชิดกับดนตรีเป็นอย่างยิ่ง นักทัศนาจรอย่างซูโหย่วเผิงนั้นได้ชินกับการมีรอยยิ้มต่อเรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ที่กำลังเกิดขึ้นหรือที่จะเกิดขึ้นนั้น

ปัจจุบันนี้ซูโหย่วเผิงได้พอใจกับชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่หนึ่งปีมีเวลาทัศนาจรครึ่งปี ก็ยิ่งจะทำให้เขาดีใจ เขาได้หยิบกล้องส่วนตัวของเขาและให้ผมดูภาพที่เขาได้ถ่ายที่เมืองปารีส นั่นเป็นปารีสในสายตาของเขา เดือนตกกับความเครียด แต่เป็นสาวปารีสที่ตลาด ยังถูกซูโหย่วเผิงถ่ายมาได้


ในเวลานี้นั้น ผมรู้นะว่า “โหย่วเผิง คุณกำลังคิดอะไรอยู่”

4110
Magazine Interviews-China / 2008 นิตยสารสื่อเจี้ย (โลก)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:13:07 PM »
http://dzb.sg.com.cn/toptravel/wy/409885.shtml

ซูโหย่วเผิงนักเดินทางที่ยอดเยี่ม

ฉบับที่ 12  ที่มา นิตยสารสื่อเจี้ย (โลก)    

เวลาออกจำหน่าย 4 ธันวาคม 2008

========================================

ตอนพวกเราอยู่ที่ปารีสนั้น มักมีคนพื้นเมืองที่นั่นรวมเป็นกลุ่มถามถึงชื่อภาษาอังกฤษของโหย่วเผิง เวลานี้ เขาถูกโฟกัสด้วยกล้องและร้องตะโกนมาอย่างเสียงดังว่า “ALEC”

ALEC  ดั่งวัว  ราศีกันย์

รูปร่างผิวบาง เหมือนกับตัวอะไรที่สามารถที่จะสวมใส่ชุดต่างๆของ Dior Homme ได้

ชุดสูท . Dior

เสื้อเชิ้ต. Dior

รองเท้า . เป็นของส่วนตัว

เสื้อเชิ้ต . Dior

ผ้าพันคอ ฺ LV






4111

ซูโหย่วเผิง ::  รับพอใจกับบทแสดงที่มีบทพูดเยอะ อาชีพอนาคตนั้นหัวใจของงานจะอยู่ที่การแสดงหนัง

26/11/2008

สำนักข่าวซิงลั้น ละคร(อ้ายฉิ่งจ่อโหย้ว) จะฉายทั่วประเทศใน 26 พ .ย. นี้ บ่ายวันนั้น หนังเรื่องนี้จะไปจัดงานแถลงข่าวที่สถานีซิงกวงปักกิ่งอย่างคึกคัก ผู้กำกับหนัง. จางเจี้ยหยา ตัวละครเอก. หลินเจียซิน. เติ้งเชา .ซูโหย่วผิง, ตงต้าเหว่ย , เนี่ยเหยียน , หวงปอ , หลินเซิง , จางจิ้นหนิง  มาร่วมการแสดงเป็นต้น กับฝ่ายการผลิต ฝ่ายการจัดจำหน่าย แถลงว่าจะจับมือกันกับการเริ่มงานพิธีการเปิดฉายครั้งแรกในประเทศ หลังงานแถลงการเสร็จสิ้นแล้ว ซูโหย่วเผิง ได้มาให้สัมภาษณ์กับสื่อของ ซินลั้น ด้วยตัวเอง

พิธีกร : คุณโหย่วเผิง ทักทายกับพวกเราชาวซินลั้นหน่อยสิ

ซูโหย่วเผิง : สวัสดีชาวซินลั้นทุกคนครับ ผมโหย่วเผิงเองครับ

พิธีกร :ได้ยินว่าในเรื่องนี้โหย่วเผิงรับบทเป็นผู้เข้าแข่งขันการคัดเลือกเดอะสตาส์คนหนึ่งใช่เปล่า?

ซูโหย่วเผิง : ใช่ครับ

พิธีกร : ได้ข่าวว่าตัวคุณเองก็รู้สึกไม่ชอบประเภทอย่างนี้?

ซูโหย่วเผิง : อา?

พิธีกร : จะอธิบายอย่างไร......

ซูโหย่วเผิง : เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบ มันมองให้เห็นถึงประเด็นสำคัญที่ฮิตกันในสังคมปัจจุบันทั้งในอินเตอร์เน็ตด้วย ส่วนของผมนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้มีรายการคัดเลือกสตาร์(ดารา) มากมาย บางอย่างก็ใช่ที่เป็นเวทีให้กับวัยรุ่นมาแสดงความสามารถของตัวเอง แต่ผมรู้สึกว่าหากเหมือนกับบทผมในเนื้อเรื่องแล้วนั้น กลายเป็นเข้าร่วมการแข่งขันทุกอย่างเลย ใช้กลยุทธทุกอย่าง ท่าทางรูปแบบที่แปลกประหลาดมากมาย นั่นก็เกินไปแล้ว ไม่เหมาะสม

พิธีกร : หลายปีแห่งเส้นทางศิลปินนั้น จะช่วยแนะนำให้วัยรุ่นที่เข้าร่วมการคัดเลือกแบบนี้อย่างไรหรือมีข้อเสนอดีๆอย่างไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง : ผมจะรู้สึกว่าทุกอย่างให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ(ตามชะตา) มันอาจเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตคุณ มีคนชื่นชอบคุณ คุณก็ไม่ควรหยุดที่จะแสดงถึงความสามารถของคุณออกมา นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีงาม หลายเรื่องนั้นต้องตามชะตา ดำเนินชีวิตตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จะดีกว่า เหมือนกับตัวบทในเรื่องของผม ล้วนไม่มีชะตาวาสนาอย่างนั้น สุดท้ายต้องกลายเป็นบ้าไปแล้ว มันคลายกับไม่มีวาสนาอย่างนั้น

พิธีกร : จากบทที่คุณรับแสดงนั้นมีความยากไหม? หรือว่ามันเวอร์ไปหรือเปล่า?รู้สึกว่ามัน....?

ซูโหย่วเผิง : ความยากนั้นก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะบทบาทนี้เขาชอบพูดมากๆ ปกติ ในเรื่องแล้ว ตัวตนในบทละคร "อู๋หยี"  นั้นเขาจะเป็นคนออกแนวสไตล์บ้าระห่ำ ฉะนั้นปกติแล้วเขาจะเป็นคนสมบูรณ์ในเรื่องนี้ ผมนั้นไม่ค่อยต่างกัน พวกเราจำพวกเดียวกัน หากว่าคุณจะว่า "หลินเจียซิน"  เป็นหญิงส่วนเกินแล้ว พวกเราก็เป็นชายเศษเกินเหมือนกัน เพียงแค่คิดว่าจะรักตัวเองเท่านั้น บทร่วมผมกับ "หลินเจียซิน"  นั้นเป็นเพียงแต่ผมฝ่ายเดียวที่เป็นคนพูดไม่หยุด จนถึงสุดท้ายผมก็รู้สึกเกรงใจ ผมเลยบอกว่าตรงนี้ผมไม่พูดแล้วนะ ตรงนั้นผมก็จะตัดออก

พิธีกร : ครั้งแรกที่ได้รับบทละครในเวลานั้น เหมือนกับที่คุณพูดว่าบทอย่างนี้นั้นคุณจะไม่มีวันที่จะปฏิเสธ?

ซูโหย่วเผิง : บทนี้ผมเป็นคนเลือกเอง ฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดๆที่จะปฏิเสธ ผมพอใจกับบทนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งผมยังรู้สึกว่าหากว่ามีการเพิ่มเต็มส่วนใดส่วนหนึ่งเข้ามา ผมก็จะรู้สึกว่าศักยภาพการแต่งบทของผมนั้นจะขาดไม่ได้เลย เพราะว่าในตัวของบทสนทนานี้เรียบเรียงได้ดีมาก จุดสำคัญของความยากก็คือผมจะต้องยัดบททั้งหมดเข้าไปในสมอง และภาษาของผู้ประพันธ์นั้นผมจะต้องออกแรงใช้สมองไปจดจำมัน

พิธีกร : สำหรับของจีน....

ซูโหย่วเผิง : ผมรู้ตัวว่าผมถูกเรียกพูดมากแล้ว (หัวเราะ)

พิธีกร : ครั้งนี้ต่างคนก็ได้รูปแบบที่ต่างกันไป ราศี คุณรู้สึกว่าในชีวิตประจำวันนั้นคุณเป็นผู้ชายประเภทไหน?

ซูโหย่วเผิง : ผม? ผมเป็นคนทำนองไม่สูง

พิธีกร : หากว่าทำสองต่ำ อาจจะอยู่ในวงการบันเทิงนั้น ทุกคนก็ล้วนอยากจะโชว์ตัวเอง สิ่งนี้จะขัดแย้งกันไหม?

ซูโหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าวงการบันเทิงนั้นตามปกติแล้วจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของทุกคนมีความสุขความบันเทิง แต่ว่าการบังเทิงตามที่ผมเข้าใจนั้น เพราะว่าเป็นการต้องการของสังคม ฉะนั้นการบันเทิงก็มีทั้งระดับสูง การบันเทิงระดับกลาง การบันเทิงระดับต่ำ ชีวิตของคนเราทุกคนก็ต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ผมรู้สึกว่าสำหรับผมที่เป็นนักแสดงคนหนึ่งนั้น คุณสามารถที่จะเลือกว่าทางที่คุณจะเดินนั้นเป็นชั้นไหน คุณจะให้การบันเทิงกับคนอื่นรูปแบบใด ฉะนั้นผมรู้สึกว่ามีเส้นทางที่ต่างกันไปหลายทางด้วยกัน ไม่ใช่ว่าจะใช้รูปแบบที่ฝืนตัวเองหรือรูปแบบที่คนอื่นเขาทำกันถึงจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้

พิธีกร : เหมือนกันหนังเรื่องนี้นั้นมีตัวละครพระเอกอยู่มากมายและทุกคนล้วนเท่าเทียมเสมอกัน คุณเคยไหมที่ตอนแรกที่ได้รับบทนั้นกลัวที่จะมีการไปเปรียบเทียบกับคนอื่น?

ซูโหย่วเผิง : คิดไม่ถึง ตัวบทนั้นก็มีตัวพระเอกอยู่ 12 คนต่างก็มีจุดเด่นของแต่ละคนแน่นอนก็ยากจะพ้นจากการเปรียบเทียน แต่ว่าผมรู้สึกว่าจากประสบการณ์ทำงานมาหลายปีนั้น ผมคิดว่าการไปเปรียบเทียบนั้นเป็นเรื่องที่คิดมากไป เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็ดีแล้ว ตัวเองทำให้ดีก็โอเคแล้วล่ะ

พิธีกร : ก่อนหน้านี้ เรื่อง( อ้ายฉิงฮุเจี้ยวจ่วงหยี) ที่มีผู้หญิงถึง 12 คนติดตามชายคนเดียวได้ดูยัง?

ซูโหย่วเผิง : ต้องขอโทษด้วย เก้อเขินมาก

พิธีกร : หนังเรื่องนี้คุณเคยดูแล้วหรือยัง?

ซูโหย่วเผิง : ผมยังไม่เคยดูเลย เวลาส่วนมากของผมนั้นจะให้กับสื่อมากกว่า รวมทั้งผมก็ไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่ง

พิธีกร : หลังจากที่ตัวเองแสดงเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ ลองให้คะแนนกับตัวเองได้ไหม ว่าจะให้สักเท่าไร?

ซูโหย่วเผิง : ยังโอเคมั้ง คนรอบข้างยังส่งของขวัญให้ สำหรับผมแล้วตลอดเวลาผมหวังตัวเองว่าจะเป็นคนหนึ่ง  ตัวเองกำหนดตัวเอง หวังว่าจะเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาที่รับบทกับการแสดงนั้น โดยแท้จริงแล้วจิตใจของตัวเองนั้นไม่มีภาระอะไรเลย เพียงแค่อยากจะแสดงบทของเราให้ดี มีเพียงสิ่งเดียวที่กังวลใจคือ ในใจของตัวผมเองนั้นไม่มีปัญหาใดๆอยู่เลย สำคัญคือผู้ชม ไม่รู้ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกันกับเรื่องนี้ของผม แน่นอนผมรู้สึกว่าอาจจะจำเป็น ก็เหมือนครั้งนี้มีคนมากมาย สื่อมากมายได้โฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงหรือว่าการทะลุทะลวงอะไรบ้างอย่างของซูโหย่วเผิง ที่จริงสิ่งเหล่านี้นั้นตรงกันข้าม แสดงว่าในใจของพวกเราทุกคนได้มีภาพที่ตัดสินใจแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปคิดมากกับเรื่องนี้ ในเมื่อมีภาพที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็แสดงว่าอนาคตผมก็จะมีเวลาที่จะไปพัฒนาต่อไป

พิธีกร : เมื่อกี้คุณบอกว่าบทนี้คุณเป็นคนเลือกเอง ในบทมีการสนทนาที่เยอะมาก มีบทพวกโรคประสาทอะไรอย่างนี้ ก็คือว่า ผมอาจจะคิดไม่ถึงคำว่าเปลี่ยนแปลงไปนี้ แต่ผมคิดเพียงว่าคุณกำลังนำความกดดันกับการท้าทายมาสู่ตัวเองอย่างตั้งใจ?

ซูโหย่วเผิง : ทำเรื่องบางอย่างที่ต่างจากเดิม อย่าหยุดอยู่ที่เดิม รวมทั้งศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบอยู่ด้วย

พิธีกร : ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น รวมทั้งเริ่มแรกที่คุณร้องเพลง เต้นและค่อยๆมาแสดง แล้วเวลาแห่งอนาคตนั้นคุณคิดว่าจะไปท้าทายเรื่องอะไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง : อนาคตนั้นจะใช้เวลากับการแสดงให้มากกว่านี้ สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สนุกน่าสนใจ

พิธีกร : เริ่มแรกที่คุณเข้าสู่วงการนั้นภาพที่ให้กับคนอื่นคือนักเรียนมัธยมคนหนึ่งเป็นเด็กที่แสนดี ตอนนี้คุณดูสิภายนอกคุณก็เปลี่ยนไปแล้ว อารมณ์ในการพูดก็เปลี่ยนไปแล้ว

ซูโหย่วเผิง : หากว่าผมไม่เปลี่ยนนะ ผมก็สามารถเป็นหัวหน้าคนหล่อสวยได้สิ (หัวเราะ)

พิธีกร : ในเรื่องนั้นคุณมักจะเล่นมุกให้คนอื่นขำตลอดหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง : ไม่นะ มีความเครียดเยอะเหมือนกัน บทสนทนามากเกินไป พูดจนไม่ให้หยุด อีกอย่างบทพูดเกือบครึ่งหนึ่งของผมนั้นได้พูดขณะที่ยื่นอยู่บนรถและเปิดหน้าต่างอยู่ อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ก็อยู่แต่รถนั้น ไม่ว่าจะข้ามน้ำข้ามป่าดงพงษ์ไพร ตากลมกินลมตลอดเวลา ผมนึกในใจว่าทำไมผู้กำกับยังไม่ให้หยุดสักที มารู้ทีหลังว่าผู้กำกับไม่ได้วิ่งไปกับรถกล้อง ตอนหลังเมื่อกลับไปก็รู้สึกเจ็บคอแล้ว ไม่มีเวลาที่จะไปเล่นมุกขำอะไรเลย ผู้รู้สึกว่าผู้กำกับก็ไม่ง่ายเลย ชาย 12 คนต่างคนก็ต่างมีสไตล์บุคลิกที่ต่างกันไป มารวมอยู่ด้วยกัน ในส่วนของผมนั้นกะว่าจะถ่ายทำประมาณสองวัน ตอนหลังกลับบีบให้เป็นวันเดียวเอง ฉะนั้นก็ยุ่งกับงานแต่เช้าจนค่ำ

พิธีกร : เป้าหมายตอนนี้ของคุณคือจะเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง รวมกับการที่เริ่มแรกที่ทุกคนได้ฟังคุณร้องเพลงได้สัมผัสกับคุณ จากนี้ไปจะทิ้งการร้องเพลงไหม?

ซูโหย่วเผิง : น่าจะมีโอกาสฟังผมร้องเพลงอีกนะ

พิธีกร : โอเค ขอบคุณคุณมากๆโหย่วเผิง

ซูโหย่วเผิง:ขอบคุณ


4112

ซูโหย่วเผิงกล่าวถึงหนทางของการลงทุนบ้านและที่ดิน

ต้นฉบับ ( เฉียนจิง) เนื้อหา / นักข่าว หันเจีย

   ซูโหย่วเผิง

กล่าว ตลาดการค้าตกนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการลงทุนที่ขาดไม่ได้ เหมือนกับชีวิตคนเรา มีขาขึ้นแน่นอนก็ต้องมีขาลง ท่ามกลางการตลาดที่แข่งขันพวกเราแข็งขันในการหาเงิน ในยามการตลาดตกก็สามารถพักผ่อนหย่อนใจเพื่อคอยโอกาส ในชีวิตของเราแต่ละคนนั้นล้วนอาจจะต้องเจอวิกฤตการตลาด ให้ลืมกิจการไปสักพัก ใช้เวลากับครอบครัวเยอะหน่อย สิ่งที่จะให้เราทำยังมีอีกเยอะแยะ

ก่อนหน้านี้สองสามวันซูโหย่วเผิงพึ่งกลับมาจากฮอลลีวูด ลือว่าเขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังชาวอเมริกา จะถ่ายหนังแนวภูตผีปีศาจเรื่องหนึ่ง จากการสอบถามโหย่วเผิงยืนยันเรื่องนี้ว่าใช่ แต่ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดต่างๆ แต่ได้พูดแบบกว้างๆสบายๆ “นี่เป็นโอกาสอีกครั้งสำหรับตัวเอง ผมจะฉวยโอกาสอย่างไม่ปล่อยให้หลุด”

ซูโหย่วเผิงที่นั่งต่อหน้านักข่าวนั้น เงียบ สุภาพ ใบหน้าไม่เคยเปลี่ยน รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ ดูจากภายนอกแล้ว เขาเป็นคนดีที่สม่ำเสมอมารยาทยอดเยี่ยม วาจานอบน้อม แต่ก็ไม่สามารถที่จะปิดบังความสูงศักดิ์ของเขาได้ ขณะสัมภาษณ์นั้น สายตาของเขานั้นจะจดจ้องมองคุณ ทำให้คุณรู้สึกว่าเขาสนใจในคุณอยู่ สิ่งที่ยิ่งทำให้คนอื่นประทับใจก็คือ เขาเป็นคนคล่องมากๆ พูดคล่อง ท่าทางคล่อง เหมือนกับว่าสิ่งที่เหมือนเกินในตัวเขานั้นกลายเป็นสิ่งที่สำคัญ (ประโยคนี้เห็นบ่อยมากๆค่ะ...)

เข้าวงการมายี่สิบปี จากนักร้องขวัญใจที่ย่างเข้าวัยรุ่น ถึงสิบปีที่แล้วในหนังเรื่องนั้นที่ทำให้ผู้คนหลงไหลกันมากอย่าง (องค์หญิงกำมะลอ) และจนวันนี้ที่กำลังจะเปิดกล้องถ่ายทำอย่าง ห่าวไหลอู ซูโหย่วเผิงไม่เคยที่จะจืดจางไปจากสายตาของผู้คน พูดถึงเคล็บลับเรื่องนี้ ซูโหย่วเผิงพูดอย่างธรรมดาๆว่า “ มันอาจจะถือได้ว่าผมเป็นคนขยัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงมาจากสิ่งที่ทุ่มเทไป”


การลงทุนอสังหาที่มีฝีมือ

สามปีที่แล้ว ได้ถือโอกาสที่ไปถ่ายหนังที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่ยุ่งอยู่นั้นซูโหย่วเผิงได้ฉวยหาเวลาว่างหลบไปซื้อบ้านหลังหนึ่งของตนในจีน  บ้านพักเขานั้นอยู่ใกล้ๆ “ซินเทียนตี้”  ยิ่งกว่านั้นคือมีมากกว่าสองหลัง เมื่อบ้านเขาตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว และแล้วก็มีนักลงทุนที่ไม่รู้จักได้มาซื้อบ้านไปโดยให้ราคาสูงถึงสองเท่าที่ซื้อมา แต่ซูโหย่วเผิงกลับปฎิเสธ เหตุผลง่ายๆ ย่านนี้เป็นย่านสำคัญของเซี่ยงไฮ้แล้ว คนมากมายเข้าแถวกันเพื่อจะเข้ามาอาศัยอยู่ย่านนี้ เริ่มแรกตัวเองซื้อมาได้ก็เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดี มันไม่ได้ซื้อได้ง่ายๆ การลงทุนงวดนี้ ตอนนี้ซูโหย่วเผิงได้กำไรเกินคาดจริงๆ

พูดถึงการลงทุนซื้อขายบ้าน ซูโหย่วเผิงพูดอย่างฉะฉาน เทียบกับโครงการ “หนันต้าปิง”ที่ปักกิ่งที่ขยายอย่างต่อเนื่องนั้น พื้นที่ที่เซี่ยงไฮ้นั้นน้อยกว่ามาก ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนล่วงหน้าและการควบคุมของการลงทุนซื้อบ้านในเซี่ยงไฮ้นั้นดีกว่าตั้งเยอะ บวกกับความคุ้นเคยที่เซี่ยงไฮ้  จนวันนี้ซูโหย่วเผิงยังไม่ซื้อบ้านในปักกิ่งเลย แต่ในเซี่ยงไฮ้ ตั้งแต่เมืองจนถึงซินเทียนตี้ล้วนมีบ้านของเขา บ้านที่ผ่านมือไม่น้อยกว่าสิบหลัง รวมถึงที่ไต้หวันกำลังอยู่ในภาวะที่ราคาบ้านตก เขาก็รีบฉวยซื้อบ้านใหญ่มากประมาณสามร้อยตารางเมตรหลังหนึ่ง ตอนนี้ราคาบ้านของที่นั่นเริ่มดีขึ้นเรื่อยมาหลายปีแล้ว

เริ่มแรกนั้นซูโหย่วเผิงก็เคยซื้อขายหุ้น แต่ถ้าไม่ใช่ได้ชดใช้ก็คือขาดทุนสองอย่าง ระยะหลังเขาได้ตัดสินใจลงทุนการซื้อขายบ้านก็พอ ตอนนี้ในจีน ไต้หวันและสิงคโปร์ อเมริกาเป็นต้น ล้วนมีบ้านที่เขาได้ซื้อไว้ ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ บ้านที่เยอะเหล่านั้นล้วนซื้อไว้ก็เพื่อพ่อแม่น้องชายนั่นเอง ผมขยันในการหาเงินมาตลอด จะฉวยไว้ทุกโอกาส”

ซูโหย่วเผิงยังเปิดเผยกับเราอีกว่า ตัวเองได้ขยายกิจการในจีนเป็นเวลายาวนาน เงินที่ได้รับนั้นเขาแทบจะเข้าธนาคารในจีนหมด ตอนนี้เงินหยวนของจีนก็แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับญาตมิตรที่ไต้หวันแล้ว ในช่วงค่ำคืนเดียวเงินไต้หวันสิงคโปร์ของซูโหย่วเผิงก็ขึ้นนับล้านหยวน


ความตกต่ำหลังจากวัยรุ่นที่ดัง

ยี่สิบปีก่อน โหย่งเผิงที่ยังเรียนอยู่ในมัธยมตน ชั่วคืนเดียวก็ดังพร้อมกับ เสี่ยวหู่ตุ้ย สิ่งที่ตามมาก็คือในคืนเดียวเขาก็ได้เป็นเศษฐีแล้ว ทั้งซื้อรถ ซื้อคอนโด ซื้อหุ้น ต่างๆขยายใหญ่โต หลังจากสามปีแห่งช่วงเวลาที่ฮึกเหิม ซูโหย่วเผิงสอบเข้ามหาลัยได้ สาขาช่างกลและอิเล็กทรอนิค จากนั้น วันดีๆเหมือนกับเดินมาถึงจุดสุดแล้ว ก่อนสอบเข้ามหาลัยนั้น ซูโหย่งเผิงได้คิดอย่างหนักว่าแท้จริงตัวเองชอบวิชาสาขาอะไร เพียงแค่อยากจะเชื่อฟังความเห็นที่ผู้ใหญ่บอกจึงได้สมัครสาขาที่ทางมหาลัยก็ถือว่ายอดเยี่ยม คิดไม่ถึงเมื่อเอาเข้าจริงๆแล้ว ความเซ็ง ความยากของหลักสูตรวิชานี้ทำให้ซูโหย่วเผิงต้านทานไม่ไหว และทุกเทอมเขามีวิชาที่สอบไม่ผ่าน สุดท้าย ขณะที่ซูโหย่วเผิงอายุยี่สิบเอ็ดนั้น เขาได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ทุกคนทึ่ง ลาออกจากการเรียน ทำงานด้านศิลปินเต็มตัว

หลังจากที่ซูโหย่วเผิงลาออกจากมหาลัยแล้ว ไปเรียนต่อที่อังกฤษอีกครึ่งปีแล้วกลับมาไต้หวัน “ในตอนนั้นเขาเป็นคนทำงานที่ยังวัยรุ่นอย่างเต็มตัว ไม่มีใบปริญญา งานด้านการแสดงก็ไม่ได้เล่าเรียนมาโดยตรง เคยแสดงละครพูดช่วงหนึ่ง แต่รายได้ก็ไม่ดีนัก” ซูโหย่วเผิงพูดถึงอดีตว่า หลังจากที่หมดสัญญาของ วงเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว รายได้สูงที่เคยได้นั้นได้หยุดลง ทำให้ยังปรับตัวไม่ได้ ในตอนนั้นเขานอกจากจะรับภาระเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายของครอบครัว และยังมีค่าผ่อนคอนโด ผ่อนรถที่ไม่น้อยอีกด้วย  “ จริงๆก็มีความรู้สึกว่ายังมีวันที่เราดูเหมือนว่าจะไปไม่รอดแล้ว”

สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือ ตัวเองคิดว่าจะมีเงินก้อนโตจากการลงทุนซื้อขายหุ้น และมันก็ไปเจอช่วงที่ตลาดหุ้นตกของไต้หวันอีก เดิมทีก็ไม่ค่อยรู้เรื่องตลาดหุ้นอยู่แล้ว แล้วยังมอบอำนาจให้ญาตไปดูแลเองอีก สุดท้ายตลาดหุ้นของเขานั้นขาดทุนยับเยิน ในชีวิตคนเรานั้นจะโชคดีดวงดีสองหนนั้นหายาก แต่เรื่องหนีเสือแล้วปะเจระเข้ซวยแล้วซวยอีกนั้นมีบ่อยมาก ในเวลานั้นสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดของซูโหย่วเผิงก็คือ ได้ขายรถไปหมดเหลือคนเดียวไว้เพื่อใช้สำหรับตัวเอง ขนาดไปจอดดีๆอยู่ข้างถนนก็ยังมีคนขับรถมาชนใส่จนเสีย


หนทางสู่สังคมที่ “เผชิญสภาพที่เลวร้าย”(อย่างไม่สะทกสะท้าน)

ปัจจุบันวันปีที่ผ่านไปอย่างซูโหย่วเผิง ข้างหลังตัวได้มีกระดาษที่เขียนถึงประสบการณ์มากมายติดอยู่ นึกว่าชีวิตที่ขึ้นๆลงๆของเขานั้น จะเล่าเรื่องราวชีวิตเป็นตอนๆกับความรักที่อลเวงให้กับเราฟังอย่างน่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่เขาได้กล่าวนั้นส่วนมากเป็นเรื่อง วาสนา ธุรกิจ ความรัก วิถีชีวิต .....ไม่มีอะไรนอกเหนือนี้

“ผมเชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ผมไม่รู้สึกอย่างที่ว่าพึ่งในกำลังของคนเราสามารถทำอะไรก็ได้ นี่เป็นทัศนะของผม ผมเป็นคนที่เชื่อเรื่องวาสนา แต่ผมก็ไม่ได้ปฎิเสธว่าถ้าขยันพยายามแล้วมันจะไม่เกิดผลอะไรเลย ผมรู้สึกว่าผลลัพธ์บางอย่างนั้นกำลังมนุษย์ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงมันได้ ผมจะไม่ซีเรียสกับผลที่จะเกิด เพียงคุณทำให้เต็มที่ แต่ผลนั้นไม่ใช่ว่าใช้ความพยายามของตัวเองแล้วสามารถเลือกผลลัพธ์ได้” เนื่องด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ซูโหย่วเผิงสามารถที่จะผ่านวิกฤตมรสุมของชีวิตไปได้

ปล่อยตามเวรกรรมของซูโหย่วเผิงนั้นเป็นการเผชิญในแง่ดี แต่ถ้ามันไม่ดีอย่างที่หวังก็ไม่คิดว่าจะต้องเอาให้ได้ เขาได้พบถึงการไร้ความหมายของการต่อสู้และการฝืนทำ เขาได้เข้าใจถึงหลักการเรื่องเหตุและผล แน่นอนก็จะไม่ไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่จำเป็น สุดท้ายคือปล่อยวาง

“ผมรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ ชีวิตคนก็มีขึ้นๆลงตามธรรมชาติ ช่วงที่ดีก็มีวิถีของช่วงที่ดี ช่วงที่ตกต่ำก็มีวิถีของช่วงที่ตกต่ำ ที่จริงชีวิตคนเราไม่ใช่ว่ามีเพียงแต่งานๆๆๆๆ ถ้าหากยามที่งานไม่ดี งานไม่ราบรื่น นั่นก็รีบฉวยโอกาสในเรื่องความรัก คุณสามารถที่จะทำอย่างอื่นได้ หรือว่าอาจเป็นเวลาที่ดีที่เราจะใช้เวลากับครอบครัว หรือว่าถ้าเป็นผม ผมก็จะใช้เวลานั้นไปเที่ยว ผมสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ถ้าโชคของงานเข้ามาคุณก็ต้องตั้งใจในการทำงาน และอย่างอื่นก็จะต้องสละไป” สุดท้ายซูโหย่วเผิงสรุปว่า ที่จริงเป็นประโยคง่ายๆ คิดอยากจะรักษาชีวิตที่มีความสุขนั้น จะต้องเรียนรู้ในการ “เผชิญกับสภาพเลวร้าย”อย่างสะทกสะท้าน


เรื่องราว “เสี่ยวหูตุ้ย”

เอ่ยถึงสภาพตอนเข้าวงการ ซูโหย่วเผิงอดที่จะหัวเราะฮ่าๆๆๆออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มเอ่ยถึงมัน “ ตอนเข้าวงการนั้นสนุกมากๆ เพราะก่อนนั้นผมรู้แค่เรียนหนังสือเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจบมัธยมต้นแล้วกลับเป็นศิลปิน”

หลายคนอาจได้รู้ว่า คุณพ่อของซูโหย่วเผิงนั้นหน้าตาหล่อเหลามาก หล่อจนเวลาเดินบนถนนก็ยังมีแมวมองมาจ้องจับ แต่ทัศนคติของพ่อซูนั้นโบราณมาก คิดว่าผู้ชายไม่ควรใบหน้ามาหากิน แต่นอนเขาก็ไม่ต้องการให้ลูกของตัวเองเกี่ยวข้องกับอาชีพนี้ ฉะนั้น ในตอนนั้นซูโหย่วเผิงได้ร่วมมือกับคุณแม่ที่ปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อรู้ เรื่องการเข้าร่วมคัดสรร เสี่ยวหู้ตุ้ย

ในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงเพียงแค่คิดว่าเข้าเสี่ยวหูตุ้ยเป็นงานที่ทำไปวันๆ ไม่ได้คิดที่จะยึดทำเป็นจริงเป็นจัง เพื่อไม่ให้เสียการเรียน ยังทำสัญญาว่าขณะเรียนนั้นจะไม่ลาไปทำโน้นทำนี่ ฉะนั้น เสี่ยวหูตุ้ยในตอนนั้น หนึ่งปีออกอัลบั้มเพียงสองชุด คือช่วงปิดเทอมหนึ่งกับเทอมสอง



ช่วงสัมภาษณ์ดารา(ซูโหย่วเผิง)

(เฉียนจิง)   มารตฐานแรกที่คุณจะเลือกบ้านนั้นคืออะไร?

ซูโหย่วเผิง :จะต้องอยู่ในย่านเมืองที่คึกคัก

(เฉียนจิง) จุดประสงค์ในการลงทุนจริงๆคืออะไร?   

ซูโหย่วเผิง :ในวงการศิลปินนั้นมีการยั่วยวนมากมาย สำหรับตัวเองแล้ว เพราะเคยผ่านชีวิตที่ตกต่ำ ฉะนั้นเรามีอาชีพนี้นั้น ไม่ใช่ว่าจะมีความปลอดภัยมั่นคง  ยามที่มีแรงสามารถทำก็ขยันทำหน่อย อย่างนี้รู้สึกว่ามีความปลอดภัย ของชีวิต นี่ก็ยังเป็นเป้าหมายในช่วงวัยนี้ของชีวิตผม ตอนนี้ ก็มีเงินฝาก บ้าง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานเพื่อยากได้เงินมาเลี้ยงชีพ ชีวิตก็สามารถที่จะยืดหยุ่นได้

(เฉียนจิง) ไต้หวัน ฮ่องกง จีน ศิลปินประเทศไหนที่บริหารเงินเก่ง? มีอะไรที่
                        พิเศษโดดเด่นบ้าง?


ซูโหย่วเผิง :ความคิดการบริหารเงินของศิลปินไต้หวันนั้นแคบมาก ถ้าไม่ใช่ลงทุนซื้อขายบ้านที่ดินก็เปิดร้าน และเวลาลงทุนก็คือ “ชอบถอนเงินออก”  “ยามแก่ไม่มีเงิน”ง่าย ถ้าเทียบกับดาราฮ่องกงแล้ว ศิลปินฮ่องกงนั้นเป็น ระดับอินเตอร์เยอะมาก

(เฉียนจิง) “เผชิญสภาพที่เลวร้าย”(อย่างไม่สะทกสะท้าน) นั้นหมายถึงการไปแสวงหาอย่างไม่คิดหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง :ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะพูดอย่างไร ที่จริงผมจริงจังการขั้นตอนของการทำงาน แต่ว่า คุณจะให้ผมไปแย่งชิงกับคนอื่น ผมรู้สึกว่ามันไม่สุภาพ การกระทำอย่าง นี้ผมไม่สามารถที่จะรับได้ ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นผมก็สบายๆ  ผมยอมที่จะเลือกเอาชีวิตที่สุขภาพดีกว่า

(เฉียนจิง) “ไกวๆหู่”เป็นขนานนามของคุณหรือ? (ไกวๆ แปลว่า เด็กดี เชื่อฟัง)

ซูโหย่วเผิง :ที่จริงมันเป็นเพียงแค่ภายนอก ผมเป็นคนที่ดื่อมาตลอด ไอ้เรื่อง “ไกวๆหู่”  นั้นเป็นสิ่งที่เขาเรียกเพราะเรื่องการเรียน เพราะในตอนนั้นผมเรียนใน โรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน และได้เป็นนักเรียนดีเด่นแบบอย่าง  เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่มีที่ติ ขณะที่ผมกำลังมีทัศนะทางคุณค่านั้น ก็เหมือน กับต้นกล้า การเป็นตัวตนของตัวเองยังไม่ได้เติบโตเต็มที่นั้น ก็ถูกแรงกด ดันจากภายนอก บีบให้ผมจะต้องโตแบบสมบูรณ์ไร้ที่ติ เติบโตเป็นเด็กดี ที่เป็นมารตฐานของชาวจีนอย่างนี้

(เฉียนจิง)  ถึงตอนนี้ท่าทีต่อการงานของตัวเองนั้นมีการเปลี่ยนไปไหม?

ซูโหย่วเผิง :การแสดง ร้องเพลง งานหลักสองอย่างนี้ยังเหมือนเดิม ที่แตกต่างอยู่ตรงที่ ว่า  จะพยายามทำตามใจตัวเอง จะเลือกเฉพาะบทที่เราชอบและร้องเพลง ที่เราอยากร้องเท่านั้น

(เฉียนจิง) ภาระอันเร่งด่วนของคุณจะเปลี่ยนภาพพจน์ของคุณไหม?

ซูโหย่วเผิง : “ผมอยากแสดงหนังร่วมสมัย แสดงหนังที่มันเข้ากับบุคลิคของตัวเอง” โหย่วเผิงอยากจะทำก็คือเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เป็นสุภาพบุรุษที่อยู่ด้วยแล้วให้ความปลอดภัย

ในวงการศิลปินนั้นสภาพทรัพย์สินไปด้าน ลงทุนไปด้าน มีความมั่นใจในการลงทุนสูง แต่ขาดการบริหารทรัพย์สินที่เป็นระยะยาว เช่นซูโหย่วเผิง ปัจจุบันมีการลงทุนซื้อบ้านอย่างเดียว แต่เมื่อภาวะการลงทุนสะดุดเจออุปสรรค์ ไม่เพียงเงินทองหด คุณสมบัติของชีวิตก็ถูกกระทบด้วย ทรัพย์สินสุดท้ายก็ว่างเปล่า

การลงทุนในภาวะที่ไม่แน่นอนนั้น นักศิลปินจะต้องดำเนินการจัดทรัพย์สินอย่างดี เพื่อจะให้เงินทองเรานั้นใช้ได้คล่องมือ และยังได้รับความเชื่อมั่นตลอดไป และยังคุ้มครองไม่ให้ค่าเงินตก การรักษาคุณสมบัติที่ดีของชีวิตนั้น จะแสดงให้เห็นถึงส่งต่อของทรัพย์สิน

เห็นได้ชัดว่า ชีวิตที่ตกต่ำเมื่อสิบปีที่แล้ว จนวันนี้ยังทำให้ซูโหย่วเผิงผวาใจอยู่ ภาวนาว่าต่อแต่นี้ไปการงานชีวิตของซูโหย่วเผิงนั้นจะไม่ตกต่ำอีกต่อไป แต่ชีวิตที่ค่อยๆยิ่งกว่านั้นคือมรสุมชีวิตที่หนักของศิลปิน การเตรียมการก่อนล่วงหน้ายิ่งดีเท่าไรก็จะทำให้เรายิ่งปลอดภัยเท่านั้น

ถ้าหากคิดถึงเพียงแค่ด้านการรักษา พักผ่อนยามชรา ดารากับนักธุรกิจนั้นมีรายได้สูงเหมือนกัน ธรรมดาแล้วไม่จำเป็นต้องซื้อประกัน พวกเขาไม่เคยขัดสนเรื่องเงิน แต่ว่า พวกเราต้องการการวิธีการวางแผนและบริหารทรัพย์สมบัติ

มีนักธุรกิจที่ก่อร่างสร้างตัวจากมือเปล่า มีปัญญาที่สามารถจะทำให้ธุรกิจของตัวเองดี แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงในการเขาไปพัวพันเงินกู้หมุนของธนาคารที่ต้องตกในสภาพลำบากยากแค้น ในสภานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชั่วพริบตาหากมีอะไรเปลี่ยนแปลงนั้น ยากจะรับประกันถึงความเป็นอยู่ของครอบครัวทั้งเด็กเล็กผู้ใหญ่ที่ชรา

เหตุนี้เอง เอาเงินก้อนหนึ่งมาทำประกันเพื่อความปลอดภัย ให้แยกทรัพย์สินของทางบ้านทางบริษัทให้ชัดเจน สามารถรับประกันถึงความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเองและครอบครัว เพราะหารบริษัทไหนที่ล้มละลายหรือธนาคารไหนที่ถูดอายัดบัญชีแล้ว ทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้เหล่านั้นก็จะไม่ปลอดภัย ในอนาคตที่วิตที่ยากแก่การคาดนั้น มีเพียงแต่ประกันที่สามารถให้ความปลอดภัยกับพวกเขาและครอบครัว

สำหรับโหย่วเผิงแล้ว การวางแผนทรัพย์สินอย่างนี้นั้นมันจำเป็นเหมือนกับนักธุรกิจทั่วไป ซื้อประกันสะสมเงินยามชรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เขาสามารถควักเงินที่ไม่ด่วนใช้สักก้อนหนึ่ง ซื้อชำระประกันระยะสั้น จุดประสงค์หลักไม่ใช่ว่าต้องการได้เงินประกันที่สูง แต่เผื่อไว้สำหรับอนาคตยามที่ธุรกิจเผชิญกับมรสุมที่หนักและช่วงตกต่ำของชีวิต หรือว่าในเวลาที่ชรา ก็อาจต้องเจอกับมรสุมชีวิตอย่างวัยหนุ่นนั้น เงินสดที่มีหมด เวลานี้ ประโยชน์ของเงินประกันยามชราก็จะเห็นว่าเป็นประโยชน์ ใบประกันนี้สามารถให้ผู้จ่ายประกันเบิกค่าใช้จ่ายได้ปีละก้อน รับประกันได้ว่าชีวิตตอนนี้ยังไม่เจอมรสุมเรื่องเงินง่ายๆ


4113
Magazine Interviews-China / 2008 ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:03:11 PM »
http://ent.xinmin.cn/star/2008/07/31/1270281.html



ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นขวัญใจที่ดี ตั้งใจว่าจะเกษียณตอนอายุสี่สิบ

(หวนจู)ปีที่สิบ เข้าสู่วงการยี่สิบปี สำหรับอายุเกินสามสิบอย่างซูโหย่วเผิง ปีนี้สั่งจอวันต่างๆล่วงหน้ามากมาย ถ้าจะพูดเรื่องการมีชื่อเสียงนั้นจะถือว่าเร็ว สิบห้าปีก็ดังทั่วเอเซียก็นับว่าเป็นชีวิตที่เร็ว เขาที่พึ่งอัดเพลงโอลิมปิกเสร็จไปหมาดๆ เห็นได้ชัดว่ายังครุ่นคิดอยู่ในบรรยากาศของทำนองเพลงอยู่ เสียงดนตรียังให้เขาเร่าร้อนเดือดพล่านเหมือนเดิม ตื่นเต้นจะหาที่เปรียบไม่ได้ ภาษาทั้งรวดเร็วจนขีดสุด ได้ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาอย่างนับไม่ถ้วน เขาคุ้นเคยและชินกับชีวิตที่ “แบบลูกศรธนู” และยังบอกถึงอารมณ์ที่หนักแน่นของตัวเอง ได้หวนคิดถึงสมัยเด็กที่ได้แต่ใช้อารมณ์อย่างเด็ก เขาก็ยังสามารถหัวเราะเบิกบานได้ ไม่ว่าคุณจะยอมเชื่อหรือไม่เชื่อ ในตอนนั้นได้แอบย้อมผมของตัวเองเป็นสี่เขียวอย่างเสี่ยวไกว “ผู้กบฏ” ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นที่ไว้คราวอย่างขวัญใจที่มีคุณสมบัติ

เกี่ยวกับ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ในห้องเรียนกับงานคอนเสิร์ตนั้น “คีกัน”บ่อยๆ

พูดถึงสภาพขณะเข้าวงการนั้น  โหย่วเผิงนั้นอดที่จะขำไม่ได้ที่ขำออกมาสองสามครั้ง หลังจากนั้นค่อยพูดต่อ “ตอนเข้าวงการนั้นก็สนุก เพราะก่อนหน้านั้นผมได้แต่รู้จักเพียงเรียนหนังสือเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจบ ม.ต้น แล้วได้เป็นดาราเลย”

   หลายคนอาจไม่รู้จัก คุณพ่อของโหย่วเผิงนั้นหล่อมาก หล่อจนขณะที่เดินบนถนนยังมีแมวมองมาขุดค้นเขา แต่ความคิดพ่อของโหย่วเผิงนั้นแบบหัวโบราณ คิดว่าผู้ชายไม่ควรเอาโฉมหน้ามาทำมาหากิน แน่นอนก็ไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองไปเกี่ยวข้องกับงานอาชีพอย่างนี้ ฉะนั้น ตอนนั้นที่จริงซูโหย่วเผิงกับคุณแม่นั้นได้ปิดบังเรื่องนี้กับพ่อ เข้าร่วม “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ตอนคัดเลือก


   “ผมในตอนนั้นการเรียนก็ไม่เลวนะ ความคิดแบบหัวโบราณอย่างพ่อแม่ก็อยากให้ลูกได้ดี คุณจะต้องตั้งใจเรียน ตอนหลังเป็นคุณแม่ที่เห็นด้วย ท่านก็รู้สึกว่าลูกก็โตแล้ว ก็น่าจะไปเพิ่มเติมความรู้ ฝึกฝนตัวเอง เพียงแต่ในตอนนั้นท่านได้ทำสัญญากับผมไว้ คือ อย่าให้มันมากระทบต่อการเรียน ฉันก็จะอณุญาตให้เธอไปร่วมกิจกรรมนี้ จะช่วยคุณปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อรู้ จนมาถึงวันหนึ่ง รายการนั้นได้ออกบนทีวี สุดท้ายเห็นกันทั้งบ้าน ถูกเปิดโปงหมด ฮาๆๆๆ

   ในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงเพียงแต่คิดว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย”เป็นเพียงทำเพื่อเป็นการงานอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีความคิดแบบเป็นงานทำการค้า บริหาร เพื่อจะไม่ให้มันกระทบต่อการเรียน ยังได้ตกลงกับทางบริษัทว่าขณะเรียนจะไม่ขอลาหยุดการเรียน  “ฉะนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ล้วนเป็นหนึ่งปีออกอัลบั้มสองชุด คือปิดเทอมหนึ่งและเทอมสองเทอมละอัลบั้ม” แต่การทำงานจะไม่ให้กระทบต่อการเรียนได้อย่างไร เหมือนตอนนั้นที่ถ่าย (หยิวเสี่ยวอ๋อ) แต่มันกลับถ่ายทำตลอดช่วงปิดเทอมหนึ่งก็ยังถ่ายทำไม่เสร็จ ทำอย่างไรดี ก็จำต้องสละเวลาช่วงเปิดเทอมใหม่ๆไปถ่ายทำต่ออย่างจริงจัง

   สมัยนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้ตระเวนออกคอนเสิร์ตไปทั่วไต้หวัน และยิ่งทำเอาหนุ่มน้อยที่ยังเรียนหนังสืออยู่นั้นเหนื่อยสุดๆ ทุกวันเสาร์คาบที่สี่ช่วงเที่ยงยังไม่ทันเรียนเสร็จ พนักงานของทางบริษัทก็ได้มารอโหย่วเผิงที่หน้าโรงเรียนเพื่อเตรียมส่งขึ้นเครื่อง ตอนบ่ายวันนั้นยังมีคอนเสิร์ตอีกรอบ ต่อจากนั้นรีบขับรถวนไต้หวันแล้วไปอีกสถานที่หนึ่ง เช้าวันอาทิตย์ต้องเริ่มงานคอนเสิร์ทที่สอง ตอนบ่ายรอบที่สาม จนถึงเที่ยงคือถึงจะได้กลับบ้าน ฉะนั้น หลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์ อดหลับอดนอนอย่างเสี่ยวไกว (ไกวแปลว่าเชื่อฟัง) ไม่ไกวเลยที่ขณะเรียนนั่งหลับอยู่บ่อยๆ


   “ตอนนั้นอยู่ในโรงเรียนก็ยังรู้สึกว่าโดดเดี่ยวจริงๆ งานกิจกรรมกลุ่มของเพื่อนนักเรียนนั้นผมไม่ได้เข้าร่วมเลย อยู่ในโรงเรียนก็ได้แต่ง่วงนอนตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ หลังจากนั้นวันเสาร์ก็ถูกรับไปออกคอนเสิร์ต ฮ่าๆๆ” เมื่อถึงปีที่สาม เขาสุดจะทนแล้วได้บอกกับทางบริษัทว่า “ไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะสอบไม่ผ่านแน่ๆ รูปแบบอย่างนี้จะถูกทำลายเร็วๆนี้” มีการพูดและขอสิทธิของเขา จึงจะมีการหยุดหนึ่งปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยและ(วันเวลาในความเห็นของผม)เล่มนั้นของหลังจากนั้น

   เกี่ยวกับการเรียน  ม.สี่ ม.ห้า หลังผ่านไป
   ตอนสอบเข้ามหาลัย ได้รับกำลังใจจากทางบริษัทและเพื่อนอีกสองคน และยิ่งถูกเพ่งมองจากสังคม ทุกคนล้วนเข้าใจความรู้สึกผม ผมก็ไม่มีอะไรจะอ้างอี จำเป็นต้องเอาผลสอบออกเปิดเผย ฉะนั้นมีความกดดันมาก  ความกดดันที่หนักขนาดนี้ขณะที่ได้ปล่อยให้เด็กคนนี้แบก นิสัยอย่างเด็ก ก็ออกมาพร้อมกับความกดดัน

   ช่วงม.สี่ ม.ห้า ผลการเรียนของซูโหย่วเผิงนั้นไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน  ยังถูกทางบริษัทยกเอาชื่อมาบอกว่า เป็นขวัญใจที่ยอดเยี่ยม ทั้งเรียนดีทั้งทำงานเก่ง

   ปิดซัมเมอร์ตอนม.ห้า เสี่ยวหู่ตุ้ยปีก่อนได้ชะงักอัลบั้มชุดสุดท้าย(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) ที่จริงปิดเทอมของปีนั้น โหย่วเผิงได้เข้าเรียนพิเศษที่เฮ่าอยู่อินไห่  “รวมทั้งติวพิเศษของ ม.สี่ ม.ห้า ยังมีรายวิชาเรียนใหม่ ยังมีฟิสิกส์ เคมี ...วิชามากมายที่ก่อนหน้านี้ผมเรียนไม่ทัน “เพื่อนนักเรียนข้างๆก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ในการขึ้นชั้นของผม นอกจากการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว อีกด้านหนึ่งทางบริษัทก็จ่องหวังให้ผมทำอัลบั้มให้เสร็จโดยดี “ ตอนนั้นผมก็คิดว่า ตายจริง ทุกคนช่วงชิงเวลาทุกวินาที แต่การสอบม.ปลาย แม่จ๋า ท่านว่าตกวิชาเดียวจะตกขนาดไหน ยิ่งกว่านั้น ม.สี่ ม.ห้าผมตามไม่ทันหมดเลย ฉะนั้นอารมณ์ของผมหนักหน่วงมาก

   ตอนนั้น ทุกคืนกว่าจะเลิกเรียนพิเศษก็ สามทุ่มแล้ว ซูโหย่วเผิงที่ได้อยู่ท่ามกลางของผู้คนได้สวมแว่นที่หนาอย่างในละครที่คุณหมอที่ได้สวมแว่นอย่างนั้น ทรงผมที่ตั้งอย่างรุงรัง ก็ไม่ต่างอะไรกับนักเรียนคนอื่น แต่เมื่อเหนื่อยจากการเรียนทั้งวันแล้ว ออกจากห้องเรียนปุ๊บ อู่ฉีหลงกับพนักงานของทางบริษัทก็ได้รอเขาที่ถนนไปเรียนพิเศษเพื่อไปซ้อมคอนเสิร์ต “ในตอนนั้นผมใจผมไม่ยินยอม ผมก็คิดว่าพวกคุณมาเป็นศัตรูกับผมชัดๆเลย ไม่ใช่บังคับผมหรือ สอบไม่ผ่านแล้วทุกคนก็จะเสียหน้าไม่ใช่หรือ ...ตอนนั้นใจหนึ่งผมอยากเรียน แต่ก็ถูกพวกเขาลากไปอย่างไม่เต็มใจ” หม่าเหลยเหมิงอาจารย์ไต้หวันที่มีชื่อเสียงการจัดเรียง มีนามว่าเสี่ยหม่า ตอนนั้นพอดีท่านได้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดเรียงของอัลบั้ม(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) มีสีหน้าที่ไม่ดีขณะซ้อมอย่างซูโหย่วเผิง ก็เคยโดนเสี่ยหม่าด่าว่ายังจัง


   “สองสามวันก่อนผมได้เจออี้เนิงจิงในงานหนึ่ง เธอบอกว่ายังจำได้เมื่อก่อนได้เจอผมในงานหนึ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา น่าสงสารจริงๆ ทุกคนก็วิ่งมาถามผมว่าเป็นอะไร ผมก็ตอบว่าทางบริษัทไม่ให้ผมได้นอนเลย ฮาๆๆๆ เรื่องนี้ผมลืมไปหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ....

   เรื่องความรัก พวกเราได้อยู่อย่างแสนลำบาก

   วงการบันเทิงนั้นเป็นวงการหนึ่งที่ทำให้คนอารมณ์หุนหันพลันแล่น บ้างคนดังในช่วงพริบตา ก็มีบางคนชั่วคืนเดียวตกต่ำเหมือนอย่างดาวตก อิทธิพลของสื่อนั้นใหญ่มาก ถูกจ่องมองเกินไปก็ทำให้เกิดความกดดันมากเหมือนกัน

   ผมได้มีความสัมพันธ์กับสื่อนั้น ตัวเองก็มีเบื้องหลังเหมือนกัน พื้นนักข่าวของสื่อ ในตอนนั้นก็นับว่าอยู่ในระดับคุณแม่อย่างนั้น ก็ถามผมว่าความสัมพันธ์ของครั้งที่แล้วเมื่อใด? ถามอย่างนี้กันเลย แล้วผมก็รู้สึกว่า อื่ม? คุณถามเกินไปหรือเปล่า? สื่อมากมายในสมัยนี้ยิ่งของทางใต้หวันทุกคนล้วนแต่พูดเรื่องพวกนี้ สำหรับวัยรุ่นแล้วมันกระทบกระเทือนกันนะ ผมรู้สึกว่าศิลปินก็น่าจะมีคุณสมบัติดีบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าถามอย่างนี้ไม่ถูกหรืออย่างไร แต่ศิลปินบางคนก็ไม่แฟร์ ขณะที่ “หลิวย่ออิง” พูดเรื่องเหล่านี้กับคุณทุกวัน คุณก็รู้สึกว่า “หลิวย่ออิง” ดับสูญไปแล้ว(ความหวังหรือความฝัน) ผมได้คิดแทบล้มประดาตายกับตัวเองอย่างนั้น แต่เอาเบื้องหลังคุณมาเชื่อมพันกันก็จะกลายเป็นเชือกเส้นหนึ่ง นั่นก็คือภาพพจน์ของคุณ

   ตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าสู่วงการความตื่นเต้นที่เผชิญกับสื่อ ถึงตอนนี้ก็อยากกล่าวตรงๆว่าตัวเองก็มีอารมณ์ที่หนักแน่นขึ้น นอกจากความกล้า คิดว่าจำยิ่งต้องมีจิตใจที่เข็มเข็งเป็นผู้ใหญ่ “ผมรู้สึกว่าเรื่องความรักบางครั้งไม่ใช่จะคิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เราอาจชินกับการมีชีวิตอยู่ภายใต้ความกดดัน แต่ว่าสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมันไม่ยุติธรรม เรื่องอย่างนี้มีทั้งคนอวยพรและคนติเตียนว่ากล่าว แต่นั้นได้ใช่ว่าผู้ที่ถูกว่าแล้วนั้นจะทำเหมือนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ทุกคน มันมีความกดดันมากมายเหมือนกัน

   มีแฟนเป็นดารา การจับมือจูงแขนอย่างชาวบ้านเดินในตลาดก็ถูกคนรอบข้างมองว่าเกินไป ซูโหย่วเผิงยิ้มแล้วพูดเล่นว่า “ ใช่ พวกเราต้องอยู่อย่างลำบากมาก ฮ่าๆๆๆ..”

   บัดนี้ สำหรับซูโหย่วผิงแล้ว อาชีพนักแสดงดูเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นเหมือนภารกิจ “ตอนนี้สำหรับตำแหน่งที่สูงกว่าและความสำเร็จที่สูงกว่าผมรู้สึกเฉยๆ จะไม่เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นหนึ่งเดียวในเป้าหมายของชีวิต มีได้ใส่ใจกับการดำรงชีวิต ทั้งของตัวเองและคนที่ผมสามารถมีอิทธิพลชีวิตของเขา ในระดับหนึ่งๆ สำหรับผู้ที่สนับสนุนผมนั้น ผมได้ยืนหยัดมายี่สิบปีก็อาจเป็นแรงผลัดดันเป้าหมายของเขา  ท่าทีและทัศนคติของผม ที่จริงทุกคนอาจได้รับผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อทุกคนบ้าง

   เขากล่าวว่า ส่วนตัวจะเกษียณงาน(ลา)อย่างช้าก็อายุประมาณสี่สิบ “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทำไปก็พอสมควร หลังเวลานั้นแล้วจะไปทำงานเกี่ยวกับการกุศล สิ่งนี้น่าจะมีชีวิตที่สบายๆกว่า (ไม่เครียด) ไม่อยากวันๆอยู่แต่ใต้แสงสีเสียง อยู่ใต้สภาพชีวิตที่มีความเครียดและหาแต่ลาบยศมากเกินไป เพราะว่าผมไม่ได้จะคิดอะไรมากมายอย่างนั้น


   “แฟนหนังของโหย่วเผิง”  ฝูลี่

(ไคว้เล่อ8) :บรรดาแฟนๆกำลังจัดฉลองกิจกรรมปีที่ยี่สิบแห่งการเข้าวงการ คุณรู้หรือเปล่า

โหย่วเผิง :เข้าวงการปีที่ยี่สิบ พวกเราน่าจะจัดกิจกรรมนี้ในครึ่งปีหลัง แต่ก็คงไม่ได้จัดให้ตรงกับวันที่เข้ามาของปีที่ยี่สิบ วันที่ 27 เดือน 7 ผมยังยุ่งอยู่กับงานอยู่เลย วันนั้นไม่มีเวลาไปจัดฉลองจริงๆ

(ไคว้เล่อ8):ถ้าหากมีโอกาสเป็นไปได้ คุณมีเรื่องอะไรไหมที่อยากปฎิบัติให้เป็นจริงในวันนั้น?

โหย่วเผิง:ในหกเดือนหลังของปีนี้มีกิจกรรมที่ร่วมกับสื่อและเส้นหมี่(ไม่รู้หมายถึงอะไรอีก..555+) เพราะจะต้องรีบถ่ายหนังอีกเรื่องหนึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ต้องรอให้ถ่ายหนังเรื่องนั้นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปทำกิจกรรมอย่างอื่น

 (ไคว้เล่อ8) :ปีนี้เป็นปีที่สิบของ “หวนจู”  คุณรู้สึกละครไหหลำ มีอิทธิพลต่อคุณมากน้อยขนาดไหน?

โหย่วเผิง :เธอได้ให้โอกาสใหม่แก่ผม ได้เปิดประตูที่ใหม่ ที่จริงเริ่มแรกที่ถ่ายทำ พูดตรงๆ ผมเพียงแต่อยากจะฉวยผลงานของการแสดงเพื่อคืนสู่การร้องเพลง แต่มาจนถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่าความคิดบ้างอย่างผมเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบดนตรีแล้ว แต่สำหรับอนาคตของผมแล้ว การแสดงหนังน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นงานหลักของผม

(ไคว้เล่อ8) :ต่อไปยังจะถ่ายหนังไหหลำ(ไม่แน่ใจคำนี้ค่ะ) อีกไหม?

โหย่วเผิง :ไม่รู้สิ เธอยังเล่นอีกหรือเปล่า? ฮาๆๆๆๆ (หวนจู)

(ไคว้เล่อ8) :เคยคิดไหมว่าสิบปีที่แล้วที่เคยแสดงเป็นเสี่ยวเซิงในหนังไหหลำ (เซี่ยวเซิงเป็นพระเอก) หลังจากนั้นยี่สิบปีสามสิบปีจะมาแสดงเป็นพ่อในหนังไหหลำ

โหย่วเผิง :ไม่หรอก ผมคิดว่าผมไม่หรอก อย่างเอาผมไปคิดจนแก่อย่างนั้น

(ไคว้เล่อ8) :โหย่วเผิง ภาษาอังกฤษคุณไม่เพียงแต่คล่องจนผู้กำกับ “ห่าวไฉ้อู้” ชมคุณ ภาษาออสเตเรีย ก็ยังเก่งอีกด้วย เรียนมายังไงจากไหนหรือ?

โหย่วเผิง :ก็ยังโอเค สำหรับภาษาอังกฤษเพราะแต่เด็กผมก็ชอบฟังเพลงอังกฤษอยู่แล้ว จากนั้นก็ได้ไปเรียนที่อังกฤษหนึ่งปี แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพของภาษาอย่างนั้นแล้ว บางอย่างก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน ภาษาออสเตเรียนั้นเมื่อก่อนนั้นที่ถ่ายหนังบ่อยครั้งมีช่างภาพ ผู้กำกับ และรวมทั้งผู้จัดการคนก่อนของผมพวกเขาเป็นคนฮ่องกง ได้อยู่กันคุยกันบ่อยๆฉะนั้นก็เลยรู้ดี

(ไคว้เล่อ8) :สามารถเอาหนังพากษ์จีนที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้นมาเรียกน้ำย่อยหน่อยได้ไหม?

โหย่วเผิง :เดือนสิงหาคม ก็จะไปถ่ายหนังเป็นเวลายาวเลย จะเป็นเกี่ยวกับหนังประเภทความรักแบบสั้นๆ ศิลปินดาราที่จะร่วมแสดงตอนนี้ยังไม่แน่นอน ถ้าได้ข่าวมาจะบอกให้กับพวกคุณเป็นคนแรกเลย

(ไคว้เล่อ8) :ช่วงนี้ได้เตรียมตัวอย่างไรบ้าง (เหยินหยีตี้กว๋อ) อณาจักรเงื่อก , คนปลา

โหย่วเผิง :ด้านหนึ่งอยากให้คล่องภาษาอังกฤษกว่านี้หน่อย เพราะว่าหนังเรื่องนี้ทำแบบอินเตอร์ ผมคิดว่าผมยังจะต้องรับผิดชอบต่อคนจีนทั้งโลก ฮ่าๆๆๆ (ภาษาไม่ดีเสียหน้าชาวจีน) ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นแบบผู้กล้า แต่เกิดมาเป็นนักรบเงือกคนหนึ่ง แน่นอนจะใส่เสื้อผ้าลงน้ำไม่ได้ ฉะนั้นด้านร่างกายก็จะต้องมีการฟิตให้ดูดีบ้าง (คุณยังไม่พอใจกับรูปร่างอย่างนี้ของคุณอีกหรือ?) ผอมไปหน่อย ผมยังคิดว่า มันน่าจะดูดีกว่านี้ได้ 


4114
12 พฤษภาคม 2008
从乖乖虎到熟男 苏有朋讲述爱车生活
http://ent.sina.com.cn/s/h/p/2008-02-20/17291918408.shtml


ไกวๆหู่ถึงจุดโตเป็นผู้ใหญ่  ::  ซูโหย่วเผิงได้คุยถึงชีวิตของการรักรถ

ได้ล้างเอาความวัยแตกหนุ่มของซูโหย่วเผิงออกไปเสีย วันนี้ที่ได้ยืนอยู่ต่อหน้าผมนั่นเป็นตัวตนแท้จริงของเขา หลังจากได้ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมากมายแล้ว กลับกลายเป็นซูโหย่วเผิงที่เป็นผู้ใหญ่

ทรงจำเพื่อนเก่า


เริ่มแรกที่เห็นโหย่วเผิง ข้างกายเขานั้นไม่มีคนติดตามมากมายอย่างที่คิด มีแต่ทนายส่วนตัวเดินกับเขาเท่านั้น ได้ยิ้มให้ผมมาแต่ไกลเลย ทนายส่วนตัวเขาได้แนะนำให้เราสองคนรู้จักกัน เขาได้จับมือกับผมอย่างมีมารยาทมากๆ ทักทาย เขาทำได้ธรรมาชาติมากๆ เป็นกันเอง เหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานแล้วอย่างนั้น  ชุดที่ใส่ของเขานั้นก็ง่ายๆ ตัวนอกเป็นเสื้อขนอ่อนสีดำตัวหนึ่ง ตัวในนั้นเป็นเสื้อเชิ้ดสีเทากับผ้าพันคอสีเทาผืนหนึ่ง ตอนล่างเป็นกางเก่งยีนส์สีดำ การสวมใส่ของเขานั้นเป็นการแต่งตัวที่เรียบง่ายมากกับบรรดาศิลปินที่ผมได้รู้จักมา เขาคงสังเกตุออกว่าผมประหลาดใจกับการแต่งตัวของเขา ยิ้มและได้อธิบายว่า “ คนใต้อย่างผมนั้นกลัวหนาวหน่อย อย่าถือสานะครับ”  ผมหัวเราะแล้วส่ายหัว....ได้อยู่ด้วยกันกับเขา คุณจะมีความรู้สึกถึงการได้เจอเพื่อนเก่าอย่างนั้น เป็นสุขสบายๆ จะไม่ใส่ใจกับเรื่องพิธิตีตรองที่ทำให้ปวดหัว กับเขานั้นเหมือนกับว่าเคยรู้จักกัน ยิ่งกว่านั้นมีเหมือนกับว่าได้รู้จักมานาน รอยยิ้มที่หวานของเขานั้นเกือบจะทำให้ผมละลาย กลัวตะลึกไปหนึ่งนาที ผมได้รวบรวมสมาธิ ให้พนักงานทั้งหมดเข้าประจำงานของตัวเอง “ความสบายอยู่ที่ไหน ผมก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่น” เขาได้ถามอย่างชำนาญว่า งานอย่างนี้ศิลปินที่เคร่งระเบียบนั้นจะรีบทำให้ทันเวลา คนอื่นใช้เวลานี้ทำงานได้ชิ้นเดียว แต่เขากลับสามารถทำได้ห้าชิ้น

ภาพลักษณ์ชายผู้ใหญ่

ชายคนนี้ผิวพรรณดูแลได้ไม่เลวจริงๆ ดูไม่ออกจริงๆว่าเป็นหน้าของคนวัยสามสิบแล้ว เทียบกับภาพลักษณ์ในสมัยที่เริ่มดังไกวๆหู่นั้น ตอนนั้นยิ่งมีเสน่ห์ จนเป็นผู้มีอิทธิพลต่อเด็กหญิงอายุน้อยตั้งแต่แปดขวบจนถึงแม่เฒ่าวัยแปดสิบ จากภาพลักษณ์ลักษณะของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าสองปีที่แล้วมาก ให้ผมรู้สึกถึงความหนักแน่น ความรู้สึกที่สงบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าห่างเหิน แม้ว่ามาดทั้งตัวของเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ว่าสำหรับเรื่องการรักชอบของเพลงแล้วนั้น เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ในเวลาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าจนถึงการถ่ายแบบนั้น เขาได้ร้องเพลงอย่างไม่หยุด และร้องออกมาอย่างเสียงดังและมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างนั้นเลย  ขณะที่ร้องถึงเพลงที่ผมชอบนั้น เขาได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ข้างห้อง ผมกับทนายส่วนตัวของเขาได้คุยกันข้างๆห้องเขา เสียงเพลงที่แหลมคมนั้นได้ล่องลอยมากับช่องโห่วของระหว่างห้องเข้าสู่หูผม ทำให้แก้วหูผมสั่นสะเทือน มีความรู้สึกอารมณ์ที่อยากร้องด้วยกับเขา แต่ก็กลัวจะรบกวนสมาธิเขา ก็เลยไม่ออกเสียง เพียงแต่ร้อนเบาๆในใจกับเขา นี่อาจเป็นการร่วมร้องเพลงของเพื่อนเก่า



รถ Esprit รถแห่งความเร็วสูง

Esprit หลังจากที่ได้ออกสู่ตลาดปี  1972 แล้ว ทั้งรูปแบบและรูปทรงที่หรูนั้นเป็นที่สนใจของคอรถ Esprit ที่มีรูปทรงที่หรูนั้น ระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบสามสิบปี รูปทรงภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปตามรุ่นนั้นไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ปี  1980  นั้นได้เป็นรถที่ใช้แสดงหนังเรื่อง 007 ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว


การถ่ายแบบครั้งนี้ได้ใช้รถ Esprit v8  ที่ได้พัฒนามาความแรงถึง 7.5  ในการวางรูปแบบเครื่องยนตร์ ทั้งเร็วทั้งแรง รูปลัดกระทัดรัด หนักไม่เกิน 220กก แรงม้านั้นอยู่ที่ 357  แรงม้า หมุ่น 6500รอบ/นาที การขับเคลื้อนที่เร็วมาก 0-100กม /ชั่วโมงเพีองใช้ 4.9  วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 282/ชั่วโมง ในเรื่อง(The Spy Who Loved Me) ของหนัง 007 นั้น ผู้แสดงทั้งหลายก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารถ Esprit นั้นเป็นรถแห่งความเร็วสูง เป็นรถชั้นนำติดสิบอับดับของรถ เหตุนี้ เสน่ห์ของรถนี้นั้นก็ไม่ธรรมดา


ผมได้ใช่เป็นคอรถขนาดแฟนพันธ์แท้อย่างนั้น Q . ยุคแห่งรถ  A . ซูโหย่วเผิง

Q . มีรถคันแรกในเวลาใด

A . ตอนอายุ  18 ตอนเข้ามหาลัย ซื้อรถโคโรล่า นั่นเป็นรถคันแรกของผม

Q . ขณะที่เริ่มฝึกหัดขับรถนั้น มีเรื่องอะไรที่จะมาเล่าให้พวกเราซึ่งเป็นผู้อ่านได้ฟังบ้าง

A . ตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่น พึ่งฝึกหัดเอง เป็นพวกมือใหม่ของบรรดามือใหม่ ตอนสอบใบขับขี่นั้น ถอยรถเข้าช่องจอด ผมนั้นทั้งซ้ายทั้งตรง จนสุดท้ายก็ได้จอดรถที่ช่องได้ สุดท้ายก็ทำให้ไฝท้ายด้านขวานั้นแตกกระจุยเลยล่ะ

Q . รถที่คุณเคยมีนั้น ราคารถที่แพงสุดกับถูกสุดนั้นเป็นสองคันไหน

A . รถที่ถูกสุดนั้นเป็นรถโคโรล่าคันแรกของผม รถที่แพงที่สุดนั้นจะเป็นรถบีเอ็มรุ่น 325 ผมไม่ได้ใส่ใจกับราคาหรือภายนอกของรถเท่าไรหรอก ผมให้ความสนใจกับคุณภาพศักยภาพของมันกับความเร็วของมันมากกว่า ผมไม่ค่อยชอบรถที่กระพือไปทั่ว ฉะนั้นผมเองก็เลยไม่ใช่พวกแฟนพันธ์แท้ของรถ

Q . มีรูปทรงรถที่ชอบเป็นพิเศษไหม

A . จะชอบพวก suv ไม่ค่อยชอบรถแข่งเท่าไหร่ ตอนนี้อยากจะซื้อวอลโว่ ชอบบีเอ็มมากกว่าเบ้นซ์ เป็นเพราะบีเอ็มดีไซส์แบบวัยรุ่นๆ เบ้นซ์นั้นดูเหมือนกับคนที่ฐานะขับกัน สำหรับผมแล้วมันคงไม่เหมาะกัน (ผมรู้สึกว่า บางคนอาจถ่อมไปหน่อย)

Q . ชอบซิ่งไหม

A . สิ่งนี้สำหรับผมนั้นไม่มีเลย เพื่อนของผมเคยเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้อย่างหนัก ยังฝังใจกับภาพนี้อยู่ จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมขับรถด้วยความระวังตลอด ถ้าขับอยู่ในทางไฮเวย์นั้น เร็วสุดที่ผมเหยียบคือ 150 (ก็ถือว่ายังไม่ประมาท เพื่อนผมนั้นขับรถส่วนใหญ่จะเหยียบ 180 ขึ้นไป)

Q . รู้สึกอย่างไรกับการขับรถที่ปักกิ่ง

A . เพราะว่าตัวเองไม่คุ้มกับเส้นทางที่ปักกิ่ง ปกติแล้วคนขับรถเป็นคนขับให้ การงานกิจกรรมของผมก็ถูกจำกัดโดยเหตุนี้ ผมมักจะชอบขับรถไปตามทางด้วยตัวเอง ไปซื้อซีดีทีร้าน ไปร้านอาหารกินอาหาร ชีวิตที่เรียบง่ายนี้เป็นชีวิตที่มีมาแต่ก่อนแล้ว (ขณะที่พูดประโยคนี้นั้นได้เห็นถึงความเซ็งหลายปีที่เข้าสู่วงการ ไม่สามารถจะมีชีวิตปกติอย่างคนทั่วไป สำหรับคนบางคนแล้วน่าจะเป็นชีวิตที่ขมขื่น) ผมก็ยังรักในการขับรถ เพราะสามารถที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ว่าฟังเพลงที่ชอบ ร้องเพลง นอนหลับ

Q . ชอบเมืองไหนมากที่สุด

A . ก็ยังเป็นไทเปอยู่ดีนะ เพราะคุ้นกับเส้นทางต่างๆดี มีเพื่อนมิตรที่สนิท สถานที่ที่คุ้นเคย วัฒนธรรมที่คุ้น

Q . ผ่านวงการบันเทิงมาหลายปี มีความรู้สึกอย่างไร

A . โดยเหตุที่เข้าสู่วงการเร็วเกินไป สิบห้า(15) ก็เริ่มผ่านงานที่ยากลำบาก รับความกดดันที่ไม่น่าจะได้รับของคนในวัยนั้น การตั้งใจทำงานนั้นก็มาจากการเบื่อหน่าย ตอนนั้นรู้เพียงว่าทำสิ่งที่ดีๆอย่างสุดกำลัง ต้องจริงจังกับทุกงาน ตอนนี้ได้ตามวัยที่โตขึ้น ประสบการณ์ก็เยอะขึ้นแล้ว ประสบการณ์ที่ทั้งดีทั้งเลวร้ายเหล่านั้นสอนผมให้รู้อะไรหลายอย่าง ก่อนหน้านั้นสองปีผมก็เป็นพวกคนบ้างาน จนถึงปีนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลไปหน่อย เรียนรู้ว่ามีงานอีกหลายอย่างซึ่งเป็นสิ่งทีสำคัญกว่าที่ผมจะต้องไปฉวยไว้ ตัวผมในตอนนี้ ยังทำงานเต็มตัว แต่ก็มีการห่วงใยถึงความรู้สึกของคนในครอบครัวและเพื่อนๆมากขึ้น หาเวลาเยอะกว่านี้หน่อยในการอยู่กับพวกเขา ควรจะใส่ใจกับคุณค่าของชีวิตให้มากหน่อยแล้วล่ะ เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ทำงานอย่างวัวควายอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว สุดท้ายจนไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นอะไรก็ไม่รู้

Q . ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนเด็กคืออะไร

A . ก่อนเข้าประถมศึกษาก็เคยคิดไว้ว่าจะเป็นดาราศิลปิน เดียงสาแต่ก็รู้สึกว่ามีความหมายดีนะ ตอนหลังได้เข้าร่วมการคัดเลือกของรายการศิลปินไต้หวัน อู่ฉีหลงนั้นมีใบหน้าที่หล่อเลยเข้ารอบไปก่อยเลย ส่วนผมกับเฉินจื้อเผิงนั้นคัดแล้วคัดอีกจนรอบห้ารอบหกถึงจะเข้ามาได้ ตอนหลังพวกเราสามคนได้จัดเป็นวงเสี่ยวหู่ตุ้ย(วงเสือ)ที่ดังในช่วงพริบตาขึ้นมา เพื่อให้สมดุลย์กับรายการทางบริษัทได้ตั้งวงเสี่ยวเมาตุ้ยขึ้นมา (วงแมว) ตอนนี้คิดๆแล้วรู้สึกตอนนั้นมันมีคุณค่ามาก

Q . เรื่องอะไรที่อยากจะทำที่สุดในตอนนี้

A . อยากเป็นนักศิลปินอยากจะอัพตัวเองให้สูงกว่านี้ พยายามพัฒนาความสามารถทางศิลปินของตัวเอง เหมือนกับปีที่แล้วที่ผมได้ไปร่วมแสดงงานละครโรงละครใหญ่ที่เหม่ยฉี (หอมดอกเบญจมาศ) ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ทุ่มเทอะไรไปมากมาย และก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินเส้นทางนี้ให้ถึงที่สุด

Q . ปัจจุบันงานหลักนั้นจะเน้นไปทางไหน ร้องเพลงหรือว่าแสดงละคร

A . ตอนนี้อยากจะเปลี่ยนงานหลักเน้นไปทางแสดงหนังภาพยนตร์เป็นหลัก อยากจะไปแก้ตัวที่โรงภาพยนตน์ คนที่ผมอยากร่วมงานที่สุดคือผู้กำกับเฟิงเสี่ยวกังกับผู้กำกับหลี่อัน

Q . ระยะหลายปีนี้ ข่าวที่คุณทำงานพวกการกุศลนี้ออกมาเยอะมาก มีการโฆษณาที่เน้นหนักไปทางนี้ไหม

A . แน่นอนไม่ใช่อยู่แล้วล่ะ การทำงานการกุศลของผมนั้นล้วนทำจากใจ ขณะที่ได้เห็นรอยยิ้มที่เป็นสุขของผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเหล่านั้นแล้ว คุณก็จะรู้สึกได้เหมือนกันกับความรู้สึกที่อิ่มเอมใจ มันมีค่ามากกว่าได้เงินได้ทองได้ชื่อเสียงเสียอีก ปีที่แล้วพิธีเปิดโรงเรียนซีว่างที่สร้างภายใต้ชื่อผมนั้น มีลุงแก่คนหนึ่งได้นำเอาไข่ไก่ของบ้านเขาหิ้วมาแต่ไกลเพื่อจะมามอบให้ผมและขอบคุณผม ตอนนั้นผมสั่นตื้นตันใจไปหมด พวกเราดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่มีคุณค่าแก่การเอ่ยถึง แต่สำรับคนที่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านั้นมันสำคัญจริงๆ การกระทำเล็กๆน้อยๆของพวกเราก็สามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตของเด็กๆเหล่านั้นได้ หลังจากนั้นแล้ว ผมยิ่งรู้สึกถึงความลำบากของหน้าที่นี้ หวังว่าจะใช้กำลังที่ตัวเองมีอยู่นั้นพยายามทำช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุด บางเวลาผมก็สับสนเหมือนกัน ตั้งใจจริงใจในการทำเพื่อนเด็กๆเหล่านั้น แต่ก็กลัวสื่อว่าผมทำเพื่อเอาหน้า

Q . สำหรับผมนั้นไม่มีแน่นอน จากน้ำเสียงของคุณนั้น ผมรู้สึกถึงความจริงใจของคุณได้

A . ขอบคุณที่คุณเข้าใจผม



Q . เรามาเปลี่ยนเรื่องคุยที่ไม่เคลียดกัน วันวาเลนไทปีนี้ตั้งใจจะฉลองยังไง

A . สำหรับวันนี้นั้น ผมยังไม่มีเค้าความคิดอะไรเลย ส่วนมากก็จะผ่านไปกับชีวิตที่อยู่ในงานถ่ายละคร รวมทั้งงานวันเกิดก็จะอยู่ในงานกองถ่าย เป็นศิลปินนั้น บางครั้งทำตามตัวเองไม่ได้ วันวาเลนไทที่ผมต้องการนั้น ก็ให้มันเรียบๆง่ายๆก็พอแล้ว มีแฟนหญิง นั่นจะต้องอยู่ในวัยที่พร้อม วาเลนไทที่ไปท่องต่างประเทศ ผมนั้นมักจะชอบไปเที่ยวประเทศแถวยุโรป ไม่กลัวเลยแม้แต่ตีนภูเขาอามีพีซี่ก็ยังได้ ไปใช้ชีวิตสองคน ไม่ว่าจะให้ของขวัญอะไรก็ดีใจมากๆ

ระหว่างสัมภาษณ์นั้น เมื่อพูดถึงเริ่องในใจนั้น เขาก็จะมีการตอบสนองเห็นด้วยมาตลอด มักจะพูดบ่อยๆว่า ใช่คับ ๆ ถูกต้องจริงๆ” มีศิลปินน้อยคนมากที่จะยอมรับและบอกถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของตนเอง เขากลับไม่ได้แสร้งอะไรเลย หลายปีนี้ได้ยึดมั่นในความคิดอุดมการณ์ของตัวเอง ระหว่างที่พูดคุยกับเขา รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ถูกจับบังคับมาก ไม่ชอบสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สำหรับชีวิตของตัวเอง เขาไม่อยากจะใช้ชีวิตตามวิถีเดิมๆที่ทำกันทั่วไป เขาอยากจะให้หลุดพ้นจากสิ่งเดิมๆและเข้าสู่ชีวิตที่มีสีสัน โหย่วเผิงได้ดูรูปที่ผมถ่ายให้เขาเขาบอกว่าผอมลงไปเยอะ รอยเส้นบนใบหน้านั้นเห็นชัดขึ้น มีใบหน้าอารมณ์ที่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่ใครจะรู้ได้ว่าภายนอกที่เห็นเขาสุขุมนั้นแต่ภายในใจดวงนั้นเต็มไปด้วยความเร้าร้อน เขาต้องการความยอมรับจากคนอื่น เขาไม่ใช่ไกวๆหู่ที่มีใบหน้าที่อ่อนๆอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่เป็นอู่อาเกอที่มีจิตใจอ่อนโยนหรือตู้เฟยที่มีนิสัยที่ดีๆ เขาต้องการที่จะมีช่องว่างเวลาเพื่อจะมายืนยันตัวเอง ปีใหม่นี้

“โหย่วเผิงมาจากแดนไกล แต่ก็ยังมีความสุข”

กลุ่มที่มีอายุมากกว่าสามสิบขึ้นไปที่เป็นโสด คนกลุ่มนี้ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี  มีงานการที่ดี มีเงินเดือนที่สูง ก็ยังรักษาความเป็นโสด ใช้เงินให้กับตัวเองได้ รู้จักหาความสุขใส่ชีวิต เปรียบกับคนที่แต่งงานแล้ว พวกเขาพูดเรื่องการออมเงิน ใช้จ่ายอย่างไม่อั้น เป็นที่รักยิ่งของนักธุรกิจกับสื่อนิตยาสาร

4115
Magazine Interviews-China / 2008 Trading Up magazine
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:48:55 PM »
2008 Trading Up magazine



บางครั้งอาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้ดูหนังโบราณสมัยของเขาเยอะไปหน่อย ในสมองนั้นมักจะจำได้แต่ภาพใบหน้าเด็กของเขา สิ่งที่ได้ยินก่อนเลยคือเสียงเพลงที่แว่วมา  ซูโหย่วเผิงได้เดินเข้ามาในห้องแต่งหน้าด้วยมือล้วงกระเป๋ากางเกง “ วันนี้ใครจะมาสนทนากับผม?” เปรี่ยมด้วยชีวิตชีวาในการจะคุย ผมได้ถอนหายใจ พริบตาเดียวก็ได้สะท้อนถึงเมื่อยี่สิบปีก่อน ทั้งสมองนั้นกำลังคิดถึง วัยหนุ่มวัยแน่นของผมเอ๋ย...(หัวเราะ)

ดาราที่มีใบหน้าเด็กนั้นสามารถที่จะปกปิดอายุได้ ซูโหย่วเผิงนั้นเป็นนอกเหนือกรณี ถึงอย่างไรก็ยังเป็นใบหน้าที่เราคุ้นเคยมาแต่สมัยประถม แม้ว่าจะดูไปแล้วอาจจะหนุ่มกว่าดาราหนุ่มหลายคน นับดูแล้ว ถึงเดือนนี้ เขาได้เข้าสู่วงการยี่สิบปีแล้ว ในโรงเรียนนักเรียนชายหล่อๆที่ได้เรียนแบบเขาอย่างบ้าคลั่งในสมัยนั้นนั้น ล้วนเสียศูยน์ไม่มีความสง่าเหลืออยู่แล้ว ซูโหย่วเผิงแต่กลับยังเหมือนเดิม ร้องเพลง แสดงละคร แป๊บเดียวยี่สิบปี ยังมี---  ที่ยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่ดี เพียงแต่ ลักษณะท่าทางขณะที่เขาพูดนั้น สามารถเป็นถึงมืออาชีพในการทำงานที่รวดเร็วน่าเชื่อถือ ซึ่งหาในวัยหนุ่มนั้นแทบจะไม่มีเลย


ผู้สูงศักดิ์ (อาจหมายถึงผู้อุปภัมภ์ในชีวิต)

ขณะที่เขากำลังคิดนั้น มักจะใช้มือขยี้ผม ผู้แต่งทรงผมจำต้องแต่งทรงผมให้เข้าที่ให้เข้าทางครั้งแล้วครั้งเล่า  “ที่จริงผมมักจะชอบคิดเรื่องต่างๆ ตอนเป็นนักศึกษานั้นมักจะรวมกลุ่มปรึกษาประชุมกับเพื่อนๆ  ในตอนนั้นรู้สึกว่า ชีวิตคนนั้นไม่ใช่ว่าจะเดินไปด้วยรูปแบบเดียวเท่านั้น เส้นทางของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่ามีความสุขหรือเปล่านั่นแหละเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”  ซูโหย่วเผิงที่เข้าสู่มหาลัยนั้น เคยผ่านวันเวลาที่ลำบากมากในช่วงมัธยมปลายช่วงหนึ่ง ยังเด็กอายุยังน้อย แต่กลับถูกชาวจีนทั้งโลกเพ่งสายตาจับจ้องอยู่ที่เขา เป็นเสี่ยวหุ่ตุ้ยที่มีการเรียนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ทุกคนก็จับจ้องมองไปที่เขาว่าซูโหย่วเผิงนั้นจะสอบเข้ามหาลัยไหน

“สิ่งที่โชคดีก็คือ ทุกช่วงชีวิตของผมนั้นล้วนมีผู้สูงศักดิ์ปรากฏ”  มีอาจารย์ให้คำปรึกษาท่านหนึ่งได้ให้คำชี้แนะแก่ซูโหย่วเผิงที่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเป็นประจำ “ท่านจะไม่บอกกับผมว่าทำอย่างไรจึงถึงถูก ไม่ว่าจะเป็นการอกหัก หรือว่าทุกเรื่องที่คิดไม่ตก ท่านเพียงแต่รับฟังและเป็นเพื่อน ค่อยๆช่วยผมให้อารมณ์ที่มั่นคงไม่สับสน หลังจากนั้นค่อยช่วยผมหาช่องทางออกที่ถูกต้อง”

ผู้สูงศักดิ์นั้นไม่เพียงแต่ปรากฏครั้งนี้เท่านั้น และยังรวมถึงเป็นผู้มีชื่อเสียงในช่วงหลังด้วย สำหรับซูโหย่วเผิงนั้น เวลาสิบปีเหมือนกับช่วงวิถีการพัฒนาของเหตุการณ์ที่สำคัญ ในปีที่สิบของการเข้าสู่วงการ เขาได้มีโอกาสได้เล่น (องค์หญิงกำมะลอ)

ในตอนนั้น ความสง่างามของเสี่ยวหู่ตุ้ยที่มีอยู่ในตัวเขานั้นได้จางเลือนไปหมดแล้ว เขาได้ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นนักร้องขวัญใจที่ดังก็ไม่ใช่ไม่ดังก็ไม่เชิงอะไรอย่างนั้น ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ตกต่ำมาก แล้วยังต้องเครียดกับสภาพการเงินที่ไม่คล่องอีก “ไม่เคยคิดเลยว่าอนาคตจะดังอีกหรือไม่ การที่เข้าสู่การเป็นนักแสดงนั้นล้วนเหตุเพราะการเงินขัดคล่อง” การตัดสินใจ(เป็นนักแสดง)เพื่อจะมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้นั้นกลับเปลี่ยนชีวิตของเขาอีกครั้งหนึ่ง 



“ตอนแรกที่แสดงนั้นก็เรียกว่าเป็นหนังแสดงหน้าใหม่ ก็เหมือนกับ "จ้าวเวย" ที่มักจะถูกพี่ๆที่แต่งหน้ารังแก”  พวกเราไม่เคยเห็นหรือมีประสบการณ์ที่คนคนหนึ่งดังแล้วกลับมาดังใหม่อีกครั้งหนึ่ง แน่นอนนั่นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายๆของช่วงชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้างต้นที่พูดไปคือเริ่มต้นใหม่ จิตใจถ่อมลง  “ตอนนั้นจริงๆ แล้วแสดงละครไม่เป็นเลย  จะไปเปรียบเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ในการแสดงอย่างงั้นได้ไง? มีแต่ถ่อมใจลงแล้วไปเรียนรู้ หากเริ่มต้นใหม่ตลอดแล้ว ก็จะไม่มีทางที่จะพัฒนาได้"

หรือว่าลักษณะบุคลิกแท้ของเขานั้นเป็นนักเรียนที่ดีคนหนึ่ง ผู้คนค่อยๆทิ้งภาพ “ไกวๆหู่”  เริ่มเห็นถึงชายที่โตเป็นผู้ใหญ่คนนี้ จากละครเพลงไหหลำ สู่ จิงเซียวจี้จื้อ จากคนที่เป็นแบบอย่างไม่มีที่ตำหนิสู่นักแสดง 3 มิติ วันนี้ กลิ่นไอของความเป็นนักร้องนั้นแทบจะถูกลบออกจากสมองของทุกคนแล้ว เขาในตอนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงชายยอดเยี่ยมของชาวจีนไปแล้ว



สะสม

“ศิลปะการแสดงนั้นไม่ได้เป็นเทคนิค แต่เป็นการทุ่มเทอย่างจริงจัง สำหรับผมแล้ว การแสดงนั้นไม่เป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองแรง” บทบาทที่ซูโหย่วเผิงเกี่ยวข้องนั้นได้ล้ำสมัยปัจจุบัน  โบราณ และข้อมูลต่างๆ ล่าสุดนั้นได้ข่าวว่าได้เข้าร่วมแสดงหนังฮอลลีวูดกับมอร์นี่คา พีลูสคิสตาตัน แสดงเป็นนักรบคนปลา นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว เขายังกำลังพยายามปั้นร่างกายตัวเอง(เป็นเงือก) ผ่านบทบาทละครที่สำคัญในการปั้นสร้างนั้น เขาเริ่มที่จะรู้สึกถึงบทบาทแสดงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง ได้ทุ่มเททั้งหมด จนที่สุด “คิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง” จนถึงปัจจุบันนี้  สำหรับเขาแล้วสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ(ต้าเสิ้นฝัน)ที่กำกับโดย ฝันเสี่ยวเทียน


ในเรื่องนี้ซูโหย่วเผิงได้รับบทเป็น "ซูหมิงโซ้ว"  ที่ถูกความรักทำให้บ้าจนเป็นโรคจิต “คนบ้า” ตัวมันเองก็เป็นบทแสดงหนี่งคนท้าทายผู้แสดง ซูโหย่วเผิงยังจะต้องเผชิญกับเบื้องหลังกิจกรรมที่ไม่ปกติของประชาชนในสมัยเริ่มแรกในการตั้งราชอาณาจักร  “บทแสดงนี้มันไม่เหมือนกับสภาพการณ์ของแต่ละช่วงของชีวิต จากการไม่พอใจกับสงคราม จนถึงการต่อสู้ก่อนเกิดโรคนี้ อารมณ์หวั่นไหวตกใจง่ายเป็นโรคประสาท จนสุดท้ายกลายเป็นคนบ้า อารมณ์การแสดงออกของบทนั้นล้วนต่างกัน จะไม่หยุดในการที่จะปรับตัวเองเข้าสู่อารมณ์ในสภาพอย่างนั้น นี่ไม่ง่ายที่เดียว



ผู้กำกับฝันเสี่ยวเทียนเปิดเผยว่า เหตุที่เลือกซูโหย่วเผิงรับบทนี้ก็เพราะ ภาพลักษณ์เขาดี นิสัยที่ดี บุคลิกดี วัฒนธรรมและศิลปะนั้นล้วนไปถึงจุดสุดยอดแล้ว” ได้เดินเส้นทางแห่งขวัญใจมาบ่อยแล้วอย่างซูโหย่วเผิงด้วยเหตุนี้เองได้ขยายเส้นทางการแสดงของตัวเองกว้างขึ้น ได้ขุดค้นคุณสมบัติพิเศษอย่างอื่นในตัวเขา  ที่จริงแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นเขาใส่ใจกับภาพลักษณ์ของนักแสดงมากๆ ไม่เคยรับบทละครในบทร้ายๆเลย ได้รักษาภาพลักษณ์ที่ดีงามมาตลอด และสิ่งนี้ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับรางวัล “บุคคลที่เด็กๆชื่นชอบที่สุด” ผมไม่สามารถหยุดที่จะคิดขึ้นได้ว่า ในสมัยประถมนั้น ได้เคยอ่านบทความแจ้งให้ทราบหนึ่งให้คุณแม่ฟัง เนื้อหามีดังนี้ว่า นักเรียนที่จะซื้อตั๋วเข้าชมของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นจำเป็นต้องมีคะแนนใบเกรดที่มากกว่า 90 ขึ้นไป

“อดีตคุณเคยเป็นขวัญใจของพวกเรา ยี่สิบปีผ่านไป ผู้คนที่ชื่นชอบคุณนั้นก็ยังเป็นคนในวัยนี้ นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือว่าไม่ดีล่ะ?” เขาไม่เขินเลย หัวเราะและพูดไปด้วย “อย่าลืมว่านอกเหนือจากเด็กๆแล้ว ยังมีคุณแม่และพี่ ป้า น้า อา หลายท่านอีกด้วยนะ” อดีตเขาเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นเดียวกันกับเขา ปัจจุบันนี้ พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีความนึกคิดการตัดสินใจที่โตเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง และเขาก็ได้กล่าวออกมาว่า “ ทุกเรื่องนั้นล้วนต้องทำให้ดีที่สุด” ใช้ชีวิตวิถีที่ตัวเองชอบ “ชีวิตที่สบายๆ”

“ความจริงแล้วชีวิตของคนเรานั้นล้วนมีทุกข์สุขปะบนด้วยกัน ดูตัวเองและชีวิตนั้นก็กำลังก้าวสู่ความสมบูรณ์ การทุ่มเท ความพยายามของตัวเองนั้นก็ได้รับการตอบกลับจากทุกคน นี่ก็ดีที่สุดแล้ว” ที่จริงบางอย่างในวงการนั้น เขาไม่ใช่เป็นคนที่มีความสุขกับการที่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น ชีวิตประสาคนทั่วไปของเขานั้นล้วนหายไปจากชีวิตของเขาในช่วงวัย 15 แล้ว หากมาเทียบกับการสูญเสียอย่างนี้แล้ว การมีชื่อเสียงนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญเลย



คนเราถึงที่สุดแล้วความโตเป็นผู้ใหญ่จะทำให้จิตใจเราสงบลงได้ อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่จำต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่อย่างฝืนๆ เริ่มแรกที่เป็นนักแสดงนั้น ความมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้อื่นนั้น เขาเคยมีความขัดแย้งในการทำเหมือนเป็นวัยรุ่น ความจริงที่เรียก เสี่ยวไกว นั้นเป็นเพราะความเป็นคนกันเองและกับของคนที่เรียก เขาก็กลับรู้สึกว่าใช้ความสง่าของอดีตสะท้อนความพยายามของปัจจุบัน ไม่เป็นการยุติธรรมเลย เขาในสมัยนั้นเป็นผู้ใหญ่อย่างเขินเก้อ  เหมือกับเด็กที่พึ่งมีจุดยืนของตัวเอง พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะลบล้างตลอดที่ผ่านมาในลักษณะเด็กของเขา แล้วย่อมค่อยๆถูกยอมรับ ความเป็นผู้ใหญ่ถึงค่อยๆนิ่ง มีเพียงแต่ความนิ่ง ถึงสามารถนำมาซึ่งอิสระที่แท้จริง

คิดแบบธรรมดา

เมื่อเอ่ยถึงชีวิตปัจจุบันแล้ว เขาใช้ประโยคนี้มาสรุปทุกอย่างในชีวิต “ตามเวรตามกรรม”  เข้าสู่หนที่ 3 ของสิบปี เขาก็ไม่ค่อยอยากไปวางแผนมันนัก  เพียงแค่หวังว่าได้ใช้ชีวิตตามที่ใจชอบ แน่นอน เขาก็รับแบบหน้าที่ความรับผิดชอบที่ผู้ชายต้องมี

“หน้าที่รับผิดชอบ” สำหรับในตัวเพื่อนสมิทอย่างอู๋ฉีหลงนั้น  สิ่งนี้ได้กลายเป็นครอบครัวลูกมีลูกไปแล้ว  ซูโหย่วเผิงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับคำถามในแนวนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากใคร่ครวญแล้ว เขาก็ยังคิดว่า “เรื่องชีวิตคู่” ที่จริงไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็นของชีวิต เป็นผมชายนั้นการรับได้ที่มีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน การไปมาหาสู่กับญาติมิตร ความถ่อมใจ การขอบคุณ สิ่งเหล่านี้ในชีวิตนั้นสามารถเห็นถึงคุณสมบัติของคน แต่ไม่ใช่ว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาแบบอย่างวิถีชีวิตของคนทั่วไปทำนั้นมาใช้กับตัวเรา  คุณสมบัติเหล่านี้ได้เป็นที่ชมชอบในท่ามกลางเพื่อนของเขา

“คุณลองดูคนคนหนึ่ง หากมีความหวังหมายมากมายแต่เป้าหมายนั้น สุดท้ายจะไม่พบความสุข หากจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เข้ามาในชีวิตนั้นมันยาก การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปปรับตัวเข้ากับทุกสิ่งนั้นถึงจะง่ายกว่า จิตใจบริสุทธิ์ มีอะไรอีกหรือที่ยังไม่พอใจอิ่มใจ?

สามารถที่จะพูดสิ่งเปล่านี้ออกมาอย่าง “ไกวๆหู่” (ฉายาของเขา) ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่จริงๆ

เข้าสู่วงการ20ปี เป็นผู้ที่มีความเป็นวัยหนุ่มกว่าคนรอบข้าง จนบัดนี้ซูโหย่วเผิงยังมีใจขอบคุณสำหรับชีวิตของตัวเองอยู่ ในเวที่คอนเสิร์ตนั้นเคยถึงจุดสูงสุด ในด้ายละครนั้นก็มีความสำเร็จมากมายแล้ว สำหรับสภาพของตนเอง ชีวิตของเขาคงไม่มีอะไรที่ขาดไป “เส้นทางชีวิตนับจากวันนี้ไปก็จะไม่ไปบังคับฝืนมัน คะแนนภายนอกนั้นที่จริงไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญอะไร เพียงแต่ยังถนอมรักษาการมีอิทธิพลที่ดีต่อสังคมของตัวเองให้ดี สามารถที่จะทำสิ่งอื่นได้” แม้ว่าในกิจกรรมการกุศลหรืองานเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะก็สามารถเห็นรูปของโหย่วเผิง ทั้งยังได้รับโล่มากมายจากการทำงานการกุศล เขาก็ยังยืนยันเหมือนเดิม “การทำกุศลนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ ทุกวันของคนเรานั้นล้วนสามารถทำการกุศลกับคนรอบข้างที่ประสบปัญหา รวมทั้งชีวิตแห่งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการให้อภัยการไม่แกร่งแย่งกับเพื่อนรอบข้างของตัวเรา นี่ล้วนเป็นกิจกรรมการกุศลทั้งสิ้น”

ก่อนจะลา ผมยังได้ถามถึง วันที่7 เดือน7 ครบรอบปีที่20ของเสี่ยวหู่ตุ้ย โหย่วเผิงจะทำอะไรบ้าง จะมีการติดต่อกับเพื่อนอีกสองคนหรือเปล่า เขาหัวเราะ “เขาสองคนล้วนงานยุ่ง ร่วมทั้งปกติพวกเราก็ได้เจอกันเป็นประจำ ไม่มีความจำเป็นจะทำอะไรเป็นพิเศษ”

น่าจะเป็นอย่างนี้ แม้ตัวเขาเองก็ยังไม่ระลึกถึง ผมเองก็ไม่จำเป็นที่จะไประลึกถึงวันเวลาเหล่านั้นอีก เพียงแต่ใส่ใจวันนี้ให้ดีที่สุด ความยิ่งใหญ่ในอดีตนั้น ยังสู่ความสุขของตอนนี้ไม่ได้เลย



4116
Magazine Interviews-China / Re: Sept. 2008, 25 Ans
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:27:48 PM »



4117
Magazine Interviews-China / Re: Sept. 2008, 25 Ans
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:26:50 PM »




4118
Magazine Interviews-China / Re: Sept. 2008, 25 Ans
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:23:32 PM »

ไข่ตี่อา >>  ราศีกันย์จะรู้สึกไม่มีความปลอดภัยบ่อยๆหรือเปล่า? ลดความรู้สึกนี้อย่างไร?

ซูโหย่วเผิง >> เมื่อนอนไม่อิ่มแล้วนั้น แน่นอนจะส่งผลต่อภาวะของอารมณ์ ขณะที่มีความกดดันหรือความเครียดนั้นปกติแล้วจะไม่มีอารมณ์โกรธโมโห ก็หน้าบูดหน้าเบี้ยว สิ่งรอบข้างสวนมาคือราศีกันย์ก็จะปิดโทรศัพท์ จะนอนอย่างไม่รู้ฟ้าถล่มดินทลายอย่างนั้นประมาณสองสามวันก็จะฟื้นคืนพลังเอง ขณะที่อารมณ์ไม่ดีสุดๆนั้น ผมชอบที่จะจัดของในบ้าน ตอนเด็กผมจะชอบจัดแยกของของผมให้เป็นระเบียบสัดส่วน และตอนนี้คนรอบข้างสังเกตุเห็นผมไม่พูดไม่จานั้น หมกมุ่นกับการจัดเก็บของนั้นก็จะรู้ว่าผมกำลังอาราณ์ไม่ดี คุณเคยเห็นชายราศีกันย์ตื่นแต่ตีสามมาทำกับข้าวไหม? เขามักจะเอากับข้าวที่ทำเสร็จร้อนๆนั้นเข้าตู้เย็นแล้วไปนอนต่อ


ไข่ตี่อา >>   ดวงของการระลึกครบรอบยี่สิบปีนั้น ลองคุยถึงความสัมพันธ์ระหว่างราศีพฤษจิอย่างอู่ฉีหลงกับราศีพฤษภอย่างเฉินจื่อเผิงว่าเป็นอย่างไร?

ซูโหย่วเผิง >>  อู่ฉีหลงเป็นพี่ใหญ่ของวง ความสามารถในการบริหารนั้นยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้เป็นทั้งอาเสี่ยทั้งเปิดร้านอาหาร ธุรกิจนั้นรุ่งโรจน์อย่างมีสีมีสัน ในสามคนนั้นเฉินจื้อเผิงเป็นที่ติดบ้านที่สุด (อาลัยอาวรณ์ถึงบ้าน) มักจะมีสร้างความโรแมนติกเล็กๆน้อยๆแก่ชีวิต เช่น ขณะที่อยู่บ้านคนเดียวนั้น ก็มักจะจุดเทียนในบ้าน ยิ่งกว่านั้นยังทำอาหารที่อร่อยที่ตนเองชอบให้แก่ตัวเอง เป็นคนที่หาความสุขให้ชีวิตเก่งมาก หากมาเปรียบเทียบกันแล้ว ผมเป็นคนที่ชอบมีชีวิตที่อิสระ บางครั้งในด้านบริหารเงิน บริหารครอบครัวนั้นผมสู้พวกเขาสองคนไม่ได้ แต่ผมรู้สึกว่า สามราศีนี้ต่างมีสิ่งดีที่ไม่เหมือนกัน ราศีพฤษจิกับราศีพฤษภนั้นจะเป็นพวกชอบชื่นชมซึ่งกันและกัน เกิดมาเพื่อนเป็นสหาย ราศีพฤษภกับราศีกันย์นั้นจะมีความคิดความอ่านที่ไปกันได้ แต่ราศีพฤษจิกับราศีกันย์นั้นจะมีความสมเหตุสมผลที่เหมือนกัน มีความรักใคร่สนิทสนมกัน ถูกทำนองคลองธรรมด้วยกัน

ไข่ตี่อา >>  ตามที่ทราบว่าราศีกันย์นั้นจะเป็นโรคกลัดกลุ้มได้ง่าย นี่เป็นเพราะเป็นคนที่มีความคาดหวังสูงเกินไปหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง >>  มีโซฟาประเภทหนึ่งเรียกว่าคนที่ไม่รักในศักดิ์ศรี ภายนอกนั้นมีลักษณะที่นุ่มนวล แต่ข้างในนั้นเต็มไปด้วยทราย ไม่ว่าคุณจะนั่งอย่างไรก็จะรู้สึกได้ถึงสบายทั้งตัว ผมคิดว่าความสมบูรณ์แบบนั้นตามหาจนถึงจุดจบนั้น ก็คือต้องเรียนรู้ในการปรับตัวให้เข้ากับสรรพสิ่งทุกอย่าง ใช้รูปแบบที่ธรรมชาติที่สุดนั้นมาแสดงถึงความต่างของตัวเอง พูดแบบเปิดอก การซื่อต่อราศีต่างๆนั้นเป็นจุดสูงสุดของราศีกันย์ ผมตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้ ผมกับคุณแม่ก็เป็นคนราศีกันย์ คนประเภทนี้อย่างเรานั้นไม่ชอบในการความตื่นเต้น การที่จะยึดถือพวกธรรมเนียมจารีตนั้นเหมาะสำหรับประเภทเรามากกว่า ท่านมักจะต้อนรับที่ผมกลับบ้านด้วยการจัดทำบ้านให้สะอาด

ไข่ตี่อา >> ล้วงความลับ

ราศีกันย์เป็นราศีที่ทำงานอย่างมีระเบียบ ราศีมีน นั้นตรงข้ามกันไร้ความระเบียบ แต่ราศีกุมภ์นั้นเป็นราศีที่ชอบทำให้ระบบงานเสีย อิน หยาง ของซูโหย่วเผิงนั้นเป็นราศียึดความจริงจัง หลงๆลืมๆ แต่เขากลับไม่ได้ดำเนินตามดวงที่ทำนายไว้ เขาเคยเป็นตัวอย่างของวัยรุ่น แต่โดยเหตุการหยุดการเรียนของเขานั้นกลับถูกติเตียนเป็นภาพลบ เมื่อผ่านการชำระของราศีมีนแล้ว ทุกคนก็ได้เห็นถึงสิ่งที่เขาทำ คือเขาได้เปลี่ยนไปเป็นสุภาพบุรุษ ภาพลักษณ์ดังแสงตะวัน รอยยิ้มนั้นสดใส ซูโหย่วเผิงนั้นยังซื่อสัตย์ชัดเจนเหมือนเดิม เขาได้ถ่ายถอดสปิรีตของตัวเองให้กับทุกคนที่ชื่นชอบในตัวเขา ราศีมิถุนที่แทนครอบครัว กับราศีกันย์ที่แทนความเป็นเพื่อนนั้นล้วนเป็นตัวเอง ฉะนั้นสร้างครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่เขาได้รับความมั่นคงของชีวิต

การวิเคาะห์ราศี

โลกในใจของซูโหย่วเผิงนั้นสมบูรณ์มาก สับสนแต่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ดวงอาทิตย์กับธาตุน้ำนั้นตกลงที่ราศีกันย์ สื่อถึงนิสัยที่เป็นพลเมืองดี แต่ว่าความเฮงของราศีกุมภ์นั้นได้นำความเปลี่ยนแปลงมาให้ ไม่ชอบการบังคับ ชอบคิดเองทำเอง จะทำให้ชีวิตของซูโหย่วเผิงนั้นหลังจากที่ได้มีการตัดสินใจเลือกครั้งสำคัญแล้วนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ในเรื่องการแสดง ราศี...อยู่กลางท้องฟ้า เมื่อดวงจันทร์อยู่ในองศาที่ เก้าสิบ ได้กระตุ้นพรสวรรค์ในการแสดงของเขา ความรุ่งโรจน์ก็จะตามมาอย่างธรรมชาติ ราศีพฤษภกับราศีตุลทั้งสองตกที่ราศี.. ได้สำแดงถึงสุขภาพที่แข็งแรงของเขากับงานแสดงที่มีเกรดยอดเยี่ยม ด้วยดวงจันทร์กับธาตุดินอยุ่องศาที่หนึ่งร้อย สำแดงให้เห็นถึงเขามีความตั้งใจความหวังใจในเรื่องของความรักมาก มีความรับผิดชอบนั้นสูง ทั้งธาตุไฟนั้นไม่เพียงแต่จะเพิ่มเสน่ห์ให้กับเขาแล้ว ในเรื่องความรักนั้นจะเห็นถึงความเป็นผู้ชายของเขา

วิจารณ์ราศีกันย์

ราศีกันย์เป็นราศีที่หกของสิบสองราศี กับราศีถุนเป็นธาตุน้ำเป็นพวกรักษากฏและเป็นตัวของตัวเอง เป็นพวกที่รอบคอบละเอียดทั้งชอบคิดชอบศึกษา เป็นพวกเงียบแต่แสวงหาความเพรอร์เฟรก ให้ความสำคัญกับหลักการเหตุผล เป็นแบบที่มีประสิทธิภาพ ในสมองของพวกเขาดังคอมพิวเตอร์ ทำงานอย่างมีระบบระเบียบ ความรัก มิตรภาพ ความสัมพันธ์แบบญาติ การศึกษา การเงิน เงื่อนไขทั้งหมดนั้นจะถูกจัดอย่างมีระบบระเบียบ ดำเนินไปอย่างมีระเบียบ พวกเขาทุกคนล้วนเหมือนอาจารย์โรงเรียน เคร่งในวินัยและระเบียบในการคบคน

เคล็บลับการคบกับชายราศีกันย์

อย่างให้ชายราศีกันย์เห็นรอยสกปรก

มุมมองของชายราศีกันย์นั้น สภาพนั้นดีที่สุดให้เป็นระเบียบ ของต่างๆนั้นดีที่สุดต้องให้สะอาด คนนั้นให้ดีต้องซื่อบริสุทธิ์ สปิริตนั้นดีที่สุดต้องดีเสมอต้นเสมอปลาย แต่ในด้านความรักนั้น คุณสามารถเป็นคนที่เคยมีภรรยาแล้ว แต่อย่างสับสนวุ่นวายเกินไป

เข้าใจถึงความคิดความเคยชินของชายราศีกันย์

เติบโตตามวัยนั้น ชายราศีกันย์ทุกคนล้วนจะมีนิสัยที่ชอบคิด พวกเขานั้นจะยึดศีลธรรมทางสังคม ใช้ความคิดที่สมเหตุสมผล มั่นใจ ไม่มีดีที่สุด มีเพียงดีกว่า

อย่าโรแมนติกกับชายราศีกันย์

ชายราศีกันย์นั้นจะดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญาตลอด เหตุผลในหัวสมองของพวกเขานั้นคือ เพราะมีเอ ฉะนั้นจึงมีบีออกมา ถ้าเปรียบกับความรักนั้น การพูดหลักการเหตุผลเป็นสิ่งที่พวกเขาชอบมากกว่า

จะต้องจำคำสัญญาที่มีต่อชายราศีกันย์ไว้ให้ดี

ชายราศีกันย์นั้นเรียกร้องตัวเองคือ “พูดแล้วต้องทำ ทำแล้วต้องมีผล” หากว่าคุณเป็นคนรักของพวกเขา นี่จะเป็นหลัการที่คุณจะต้องยึดรักษากับเขา

หากว่าคุณเจอชายราศีกันย์ที่เกิดช่วง 24.8-2.9

ราศีกันย์ที่มุ่งมานะ คนราศีกันย์ที่เกิดในช่วงนี้นั้นเขาจะจัดระเบียบของชีวิตอย่างระเอียดมาก พวกเขาที่มีการจัดระเบียบที่เคร่งนั้นจะเสียตรงที่เข้าใจคนอื่นกับช่วยเหลือคนอื่น มักจะทำอย่างเคร่งเคร่งขรึมขรึมเพื่อจะให้งานออกมาดีที่สุด น่าเสียดายที่เหตุเพราะถูกเรื่องภายนอกรบกวนแล้วทำให้พวกเขามีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง ก่อให้เกินความเครียด

เมื่อคุณเจอชายราศีกันย์ที่เกิดช่วง 3.9-12.9

เป็นราศีกันย์ที่มีความรับผิดชอบ ราศีกันย์ในช่วงนี้มักจะให้ความสำคัญในเรื่องจริยธรรมศีลธรรม มักจะสำรวจจุดดีของตัวเองอยู่เสมอ พวกเขามีสิติสัมปัชัญญะมาก การตัดสินใจทุกอย่างนั้นพวกเขาได้คิดแล้วคิดอีก ขณะเดียวกันก็ฟื้นฝอยหาตะเข็บ มักจะมีเรื่องทางวาจา เป็นพวก “ปากร้ายใจดี” ควาามจริงแล้ว พวกเขาที่เหมือนแข็งนั้นก็มีใจดังทูตสวรรค์เหมือนกัน

เมื่อคุณเจอราศีกันย์ที่เกิดช่วง 13.9-23.9

เป็นราศีกันย์ที่มีสิติสัมปะชัญญะ ราศีกันย์ในช่วงนี้มักจะแตกต่างจากคนอื่น ปกติแล้วจะมีความคาดหวังต่อตัวเองสูง ซื่อตรง เกลียดพวกผักชีโรยหน้าหรือพวกแสแสร้ง การไวต่อความรุ้สึกนั้นเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จของพวกเขา



*** จบสัมภาษณ์ ***

4119
Magazine Interviews-China / Re: Sept. 2008, 25 Ans
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:20:51 PM »

ผู้ชายราศีกันย์

เชิญเข้าสู่ระเบียบชีวิตของผม ว่าเขาเป็นคนที่คัดเลือก ที่จริงเขาเอาใจใส่คนอื่นมากๆ ว่าเขาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ที่จริงเขาเป็นคนรอบคอบ  ....ชายโสด สิ่งที่แสวงหาตลอดชีวิตคือระเบียบของชีวิต กับในใจที่ใสสะอาดอย่างเขา

ซูโหย่วเผิงคุยถึงราศี

ไข่ตี้อา>> ประเมินผู้ชายราศีกันย์อย่างไร?

ซูโหย่วเผิง >>  ดูราศีในไต้หวันนั้นนิยมมาก ตอนเด็กนั้นผมก็ได้มีโอกาสไปศึกษา ก็มีความรู้พื้นๆเกี่ยวกับสิบสองราศีเหมือนกัน หน้าตาของผู้ชายราศีกันย์นั้นเหมือนดังเป็นที่เด่นชัดส่วนหนึ่งของราศี ถ้าพูดกับราศีอื่นแล้วละก็ ชายโสดนั้นเป็นผู้ที่มีความละเอียดอ่อนกว่า ประณีตกว่า มีความคิดดีสวยงาม ยังพิถีพิถันกับตัวเอง ไม่เพียงแต่เป็นร่างกายเท่านั้น รวมทั้งสปิริตกับศีลธรรมด้วย นอกจากนี้ วินัยกฏเกณฑ์ของงานชิ้นแรกนั้นดีกว่า ทำงานอะไรล้วนมีการบรรลุ

ไข่ตี้อา>> ราศีที่ออกมาเป็นอย่างนี้ จะชอบผู้หญิงแบบไหน?

ซูโหย่วเผิง >> ส่วนตัวแล้ว ผู้หญิงที่ชายราศีกันย์รักนั้นไม่สวยก็ยังได้ แต่จะต้องอ่อนหวาน และไม่จำเป็นต้องเก่งทั้งบู้บุ๋น (ความรู้และความสามารถ) แต่จะต้องมีความรู้ประดับอยู่ มีไหวพริบดี แม้จะไม่อ่อนโยนมากๆก็ไม่เป็นไร แม้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาใจเก่งแต่ก็ขอให้ใส่ใจหน่อย แต่หากโมโห หน้าขมวด ประจำอะไรอย่างนี้เป็นต้นแล้ว ก็คงจะรับไม่ได้เหมือนกัน

ไข่ตี้อา >>  ปกติชอบอะไรพิเศษบ้าง?

ซูโหย่วเผิง >>  จะเปรียบกับราศีอื่น ชายราศีกันย์นั้นมักจะมีท่าทีระมัดระวังในการทำสิ่งที่ตนชอบ เช่น แต่เล็กจนโตผมเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยว ก่อนออกจากบ้านนั้นจะมีการเตรียมตัวที่ดีมาก แม้กระทั่งเอาแผนที่ชื่อสถานที่มาเซฟไว้ในสมอง จะมีความตื่นตัวเสมอ ระวังเสมอ ไปต่างแดนดีกว่าการเดินไปห้องครัวตัวเอง แม้ว่าจะไปท่องเที่ยว เมื่อมีคนถามทางก็จะมีน้ำใจในการหาคำตอบให้เขา พร้อมที่จะนำทางให้กับคนถาม บางครั้งก็มีเป้าหมายที่ไม่ได้คาดการไว้ก็มีบ้าง

ไข่ตี้อา >> ปกติใช้รูปแบบใดในการคบกับคนรัก?

ซูโหย่วเผิง >> ตอนเด็กก็มีความคิดในการเขียนกลอนรัก แต่ก็ไม่เคยเขียนสำเร็จ ตอนนี้กลับใช้กิริยาบทปกติทั่วไปในการแสดงออก แต่ว่า มีหญิงชายที่สำรวมเกินไปจะพลาดการแสดงออกอย่างนี้ไป ท่าทางการแสดงความรักนั้นมันก็ปรับเปลี่ยนไปตามสมัย ไหลไปตามเวลา ความรักนั้นค่อยๆทย่อยสะสม ทั้งเจตนาหรือไม่ก็ดังสายน้ำที่ไหล สุดท้ายรวมกันที่ทะเลรัก หากจะมีรักที่จริงใจ ต้องก้าวอย่างมั่นคงและมั่นใจ

ไข่ตี่อา >> ล้วงความลับ

ราศีที่เจ็ดของซูโหย่วเผิงนั้นถูก ราศีสิงห์ ราศีกันย์ ราศีตุล  ทั้งสามยึดครอง เพื่อนร่วมงานที่ทำงานกับเขาย่อมรู้ว่านิสัยของเขานั้นเป็นคนเอาจริงเอาจัง เรื่องนี้ต้องลงมือทำเอง จะต้องทำให้ได้ดังที่ตัวเองวางไว้ถึงจะพัก

ฉะนั้นยี่สิบกว่าปีที่เข้าสู่วงการนั้นมีผลงานดีมากมาย  ธาตุดินนั้นได้รับผลกระทบทางลบจากราศีกรกฏา ฉะนั้นจะต้องระวังในเรื่องความรักเป็นพิเศษ สำหรับการที่จะแสดงออกถึงความในใจนั้นมักจะชอบรอก่อนแล้วค่อยทำ ธาตุไฟนั้นตกอยู่กับราศีพฤษภ สำหรับซูโหย่วเผิงที่ไม่มีเหล่ห์นั้น มักจะทำร้ายคนอื่นด้วยปากอย่างง่ายๆ แต่ยังดีที่มีเดือนและธาตุดินมาประกอบด้วย ในอีกแง่หนึ่งนั้นสามารถที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นมีความรู้สึกดีต่อเขา การคบหาคนอื่นนั้นยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกกันเองมากขึ้น


4120
Magazine Interviews-China / 2008 25 Ans
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:15:44 PM »
Sept. 2008, 25 Ans




ซูโหย่วเผิง


ปี 1988 เข้าสู่เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้เข้าสู่วงการโดยภาพลักษณ์ที่ดี ได้พัฒนาก้าวหน้าทั้ง หนัง ละคร เพลง ยี่สิบปีมานี้นั้นอัลบั้มที่ได้ออกไปนั้นมากกว่าสามสิบอัลบั้ม ยังมีละครที่ดังสามสิบกว่าเรื่องกับหนังที่ยอดเยี่ยมอีกสิบกว่าเรื่อง ละครหลักที่สำคัญ (องค์หญิงกำมะลอ/องค์ชายห้า, ซื่ออู่อาเกอ/ซื่อหลาง, เจ๋ใต้ซวงเจียว ,ฮัวอู๋เช/ฮวยบ่อข่วย, ฉิงเซินเซิน อี๋หมงหมง/ตู้เฟย, อีเทียนถูหลงจี้ แสดงเป็น จางอู่จี้, เรื่องฉิงติ้งอ้ายฉิงไห่ แสดงเป็น ลู่เอินฉี, ) วันเกิด 11 กันยายน สถานที่เกิด ไทเป

นักโหราศาสตร์ ไข่ตี่อา

เป็นผู้เชี่ยวชาญสำนักข่วงซินลั้น ศึกษา เรื่องดาราศาสตร์โบราณกับดาราศาสตร์สมัย ได้มีการติดต่อค้นคว้าแลกเปลี่ยนศึกษากับนักค้นคว้าที่มหาลัยลอนดอน มุ่งมั่นในการศึกษาเรื่องโหร และได้เผยแพร่ไปทั่วเกี่ยวกับเรื่องของโหราศาสตร์ เชี่ยวชาญในดาราศาสตร์ จิตวิทยา เป็นต้น ได้มีการดำเนินการในหลายรูปแบบ การวิเคาะห์บุคลิกนิสัยคน

หน้า: 1 ... 204 205 [206] 207 208 ... 216