แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Alec Love Me

หน้า: 1 ... 203 204 [205] 206 207 ... 216
4081

สัมภาษณ์โหย่วเผิง ในงานพิธิเปิดเว็ปไซน์โซวหูกวน (ฟงเซิง)

รายงานจากสถานีภาพยนตร์จีน

เรื่อง(เฟิงเซิง)ที่ได้ร่วมอยู่ถ่ายทำด้วยกันเป็นเวลายาวนาน ได้กำหนดเวลาฉายในวันที่ 1 ตุลาคม เมื่อวานภาพโปรเตอร์ของเรื่องนี้ได้เข้าสู่สถานี หลี่ปิงปิง จางหันอี๋ และโหย่วเผิงนักแสดงนำสามท่านได้มาถึงสถานี กิจกรรมการโฆษณาครั้งนี้จะต่างจากการโฆษณาหลายๆครั้งที่ผ่านมา และงานแถลงการครั้งนี้นั้นถือได้ว่ามีอะไรที่จะทำให้สื่อต้องถึงกับอึ้งทึ่งเลย นอกจากหลี่ปิงปิง จางหันอี๋ โหย่วเผิง เลขาธิการค่ายหัวอี้คุณหวังจงสือมาถึงในงานแถลงแล้ว ทางสื่อสังเกตุเห็นสีหน้าของนักแสดงนำทั้งสามท่านนั้นไม่เลวเลย จางหันอี๋ที่ใส่เสื้อทีเชิ๊ดเป็นที่ดึงดูดสายตา หากแต่จะเอ่ยถึงโปรสเตอร์แล้ว หน้าตาของพวกเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป

(เฟิงเซิง) โฆษณาเป็นที่รู้จักกัน

หากจะอ่านเรื่องราวในโปสเตอร์เหล่านี้ เราจะต้องรู้เรื่องราวของเฟิงเซิงหน่อย เป็นยุคทำสงคราม ทางหน่วยปราบปรามได้ข่าวถึงมีไส้ศึกอยู่ข้างใน และได้เรียกผู้สงสัยมาสอบสวน และมีเครื่องทรมานมากมาย เป็นเครื่องทรมานในฉากหลี่ปิงปิงแสดงและได้นำมาใช้


กวนเจียนซือ :  เครื่องทรมานเหล่านี้เหมือนกับว่าเครื่องผ่าตัด

หลี่ปิงปิง :  ฉันไม่ทราบว่าเมื่อทุกคนเห็นมันแล้วจะรู้สึกสั่นๆไหม (ฉันดูเหมือนเครื่องผ่าตัด) เครื่องเหล่านี้ได้เตรียมไว้เพื่อฉันเลย (ทั้งหมดเลยหรือ)ใช่ แค่มันถูกเอามาวางไว้บนโต๊ะ ก็ทำให้ทุกคนในห้องตกใจกลัวกันหมด

ในเรื่องโหย่วเผิงรีบเอาเก้าอี้ไฟฟ้ามาให้ดูและเป็นที่หวาดกลัวของทุกคน

กวนเจี้ยนซือ :  เป็นเก้าอี้ที่ไม่มีที่ติ

โหย่วเผิง : โอ้แม่เจ้า ใครเป็นคนมาให้ผม ที่นั่งก็อยู่ตรงกลางและทั้งยาวด้วย ผมไม่กล้าคิดว่าหากคนธรรมดาคนหนึ่งนั่งลงไปแล้วจะแสดงอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือจะมีเสียงอะไรออกมา

แต่เครื่องทรมานของหันอี๋นั้นมันลึกลับมาก

หันอี๋ :  มีเข็มเข้ามาอย่างหาที่มาไม่ได้ เข็มแล้วขวดเล็กล้วนเป็นของผม เหล่านี้ล้วนเป็นน้ำหอม อามานีซีดี ยังมีขาวฟ้าบ้าง ทำไมถึงเป็นน้ำหอมล่ะ มันต้องไปหาคำตอบในโรงภาพยนต์เสียแล้ว

ภาพสองสามภาพนี้ก็นำความเสียวหวาดกลัวมาสู่พวกเราแล้ว หลี่ปิงปิงกับจางหันอี๋ก็ยังต้องประสบการณ์เอง

หันอี๋ :  นี่คือการทรมานไฟฟ้า เหมือนไหมที่เขากำลังถูกมัดแล้วโดนช็อด คุณลองทำท่าทรมานหน่อย

ในภาพยนตร์ หน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ใช้เครื่องทรมานมากมาย แต่ผมที่แฝงอยู่ในหมู่ผู้ถูกสงสัยก็ไม่ยอมที่จะเปิดเผยตัวเอง

หลี่ปิงปิง : ว่า เอาชิ้นนั้นก่อน

โหย่วเผิง : ผมยังเป็นกระเทยไม่เหมือนพอหรอ

หลังจากที่ได้ยินจากการเล่าในเรื่องเครื่องทรมานแล้ว สื่อได้สังเกตุเห็นทรงผมของโหย่วเผิง

โหย่วเผิง : (ทรงผมของโหย่วเผิงมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องไหม) คุณสังเกตุได้ละเอียดมากเลย ทรงผมในหนังนั้นมันจบไปแล้ว ผมดูแล้วมันน่าเกลียดมาก ผมเลยได้ไว้ทรงที่ตามใจตัวเอง

โหย่วเผิงเล่นเป็นนักร้องละครเพลง ไป๋เสี่ยวเหนียน บุคลิกอันอ่อนโยน แต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนโยนไม่พอ

โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนโยนไม่สุดๆ เสี่ยวเหนียนนั้นจะไม่หญิงไม่ชาย ถ้าจะพูดภาษาเราคือเป็นพวกกระเทย แต่ว่าผมรู้สึกว่าผมยังอ่อนโยนไม่พอ

หวังจงสือ :  พวกเราทุกคนล้วนรู้สึกว่าคุณเป็นกระเทยได้ดี

โหย่วเผิงไม่กล้ารับคำชมเหล่านี้ แต่ทางด้านหันอี๋นั้นรู้สึกอิษฉา

หันอี๋ :  ในเรื่องนี้นั้น จริงๆแล้วไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นผมเป็นคนแสดง แต่ผมก็คิดแล้วคิดอีกตั้งนาน

โหย่วเผิง :  แล้วคุณมั่นใจหรือว่าจะแสดงอาการกระเทยออกมาได้ แน่นอน ผมเองเหมือนกระเทยเป็น

หันอี๋ :  ผมเคยเรียนกับเขา เขาเรียกผมว่าเสี่ยวไป๋ตลอด เมื่อผมเรียก เขาก็ จากนั้นเขาเริ่มร้อง คุณลองร้องให้พวกเราฟังหน่อย

โหย่วเผิง : ฝึกร้อง

เรื่องเฟิงเซิง ทำให้นักแสดงได้เข้าถึงอารมณ์ ตุลาปีนี้ จะมีเรื่องเจี้ยนก่อต้าแย่ร่วมฉายกับเรื่องเฟิงเซิง ผู้สร้างภาพยนตร์เฟิงเซิงคือ หวังจงสือ (เจี้ยนห่อต้าแย่)เป็นหนังแนวประเพณีสืบทอดมา แต่ของพวกเราคือแนวใหม่ สองเรื่องนี้นั้นจะออกในแนวที่ต่างกัน

หันอี๋ : สายตาของคุณจะหยุดไม่ได้เลย หากคุณหยุดก็จะต่อไม่ติด (เฟิงเซิง)เป็นเรื่องที่พิเศษ หลังจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
 
โหย่วเผิง :  หากว่าไม่เล่นเป็น กระเทย ผมก็ไม่รับ


ขณะสัมภาษณ์ หันอี๋ได้ล้อโหย่วเผิงอย่างไม่หยุด พูดว่าเขากระเทยขนาดไหน ในเรื่องโหย่วเผิงรับบทเป็นนักร้องละครเพลง เป็นบทที่ท้าทาย เมื่อดูจากการถ่ายแล้วเขากล่าว่า จากการแสดงไปแล้วนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่อ่อนพอ “มีท่าทางกระเทยออกนิดๆเอง แต่ว่าผมนั้นทำอย่างสุดๆแล้ว แต่ว่าหลายคนก็มองว่าผมเป็นคนละคนไปเลย เหมือนกระเทยมากๆ เวลาพูดนั้นน่ากลียด เบื่อ เวลาถ่ายทำนั้นผมไม่ค่อยไปดูหลังการถ่าย

เขายอมรับ เริ่มแรกที่รับบทมาดูนั้นมันแปลกๆ “เมื่ออ่านตัวบทจบแล้วรู้สึกว่าประทับใจมาก ยังมีคนอย่างนี้อยู่ด้วยหรือ ทำไมมันวิเศษอย่างนี้ นัยหนึ่งผมรู้สึกตื่นเต้น อีกด้านหนึ่งก็กังวลว่าจะแสดงได้ดีหรือเปล่า” หันอี๋ได้ชมว่าโหย่วเผิงแสดงได้ดี กลัวว่าทางแฟนๆของเขายากที่จะรับได้

โหย่วเผิงก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ ตอนหลังก็คิดไปมากว่าครึ่งวัน ผมแสดงได้ดีชัวร์ จากประสบการณ์การแสดงมาหลายปี หากจะแสดงบทนี้ได้ไม่ดีนั้น ผมเองก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” และเขาได้กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ จริงๆแล้วผมเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ไม่อยากจะหยุดอยู่ที่เดิม แต่ละตัวบทนั้นล้วนต้องชนะมัน เรียบรู้สิ่งใหม่ๆ หากคุณอยากจะดึงแฟนๆติดคุณ คุณก็ต้องพัฒนาอย่างไม่หยุด อย่าปิดกั้นตัวเอง

4082

09-08-12 : สัมภาษณ์โหย่วเผิง ในงานพิธิเปิดเว็ปไซน์โซวหูกวน (ฟงเซิง)


เว็ปไซน์ ฟงเซิง ได้เปิดแล้ว

โหย่วเผิง :  ผมเองก็ยังดูไม่หมด มีอะไรบ้าง เพราะว่าเกี่ยวกับการรับเสียง มีส่วนหนึ่ง ของผมเองก็มีส่วนหนึ่งแล้วตอนหลังก็มีการอัดเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ผมได้ดูที่เป็นส่วนของผมเท่านั้น

นักข่าว : แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?

โหย่วเผิง : ความรู้สึกเหรอ อืม พูดตรงๆนะ ตัวเองรู้สึกว่าการแสดงของตัวเองนั้นยังไม่เข้าเป้าก็คือยังไม่ถึงจุดที่ตัวเองคิดเอาไว้ พูดตรงๆ เพราะว่า "เสี่ยวเหนี่ยน" นั้นตัวเขาเองเป็นนักแสดง พูดตามตรงทางผู้กำกับและตัวบทของเขานั้นจริงๆแล้วเขาจะเป็นคนที่ไม่หญิงไม่ชาย ถ้าจะใช้ภาษาสมัยนี้ก็เรียกว่ากระเทย (หัวเราะ) สุดท้ายตัวเองดูแล้วก็.....

นักข่าว : การเรียนร้องเดิมทีก็เป็นอย่างนั้นเลยใช่ไหม?

โหย่วเผิง : ใช่ สุดท้ายเมื่อตัวเองมาแสดงแล้ว ตัวเองก็เริ่มรู้สึกว่าจะเป็นหญิงสาวไปแล้ว สุดท้ายเมื่อตัวเองมาเปิดดูแล้ว ก็ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย

นักข่าว :  หมายความว่าแสดงออกมาแล้วก็คือ ..ไม่ค่อยเป็นกระเทยเท่าไหร่

หวังจงเหล่ย :  ถอมตัวเกินไปแล้ว

นักข่าว :  บอกว่าถอมตัวเกินไป ความหมายของท่านก็คือเขาแสดงได้เหมือนผู้หญิงมากใช่ไหม?

หวังจงเหล่ย :  พวกเราทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วก็รู้สึกว่า คุณนี่เป็นคนอีกคนจริงๆ เหมือนผู้หญิงมากๆ

โหย่วเผิง :  (หัวเราะดัง) ไอ้ที่ว่ามันเหมือนผู้หญิงขนาดไหนนั้น ทุกคนต้องเข้าไปชมในโรงภาพยนนตร์ถึงจะรู้ (หัวเราะต่อ)

นักข่าว:  แล้วต่อบทที่คุณแสดงไปนั้น ความรู้สึกในระหว่างการแสดงหรือหลังจากที่ได้ดูผ่านไปแล้ว ก็น่าจะมีความรู้สึกแตกต่างกัน ?

โหย่วเผิง :  พูดตามตรง จริงๆแล้วเริ่มต้นนั้น ผมรู้สึกว่าทั้งเรื่องนั้น ร่วมทั้งเวลาถ่ายทำด้วย จริงๆแล้วน้อยมากที่ผมจะไปดูที่ผมถ่ายไปแล้ว ตลอดเวลานั้นผมเองจะรู้สึกว่า ก็คือไม่กล้าเผชิญกับภาพของตัวเอง อะไรอย่างนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจ ท่าทางอย่างนั้น ไหนไหนก็แสดงไปแล้ว จากนั้นผมก็ไว้ใจกับทางผู้กำกับ ทางผู้กำกับดูที่จอมอนิเตอร์บอกว่าโอเคผมก็โอเค บุคลิกของ "ไป๋เสี่ยวเหนียน" นั้นเป็นคนที่มีบุคลิกมาก ปากดี พูดก็ไม่เพราะ เป็นที่เกลียดชังของคนอื่น วันหนึ่งผมจำได้ว่าได้เข้าฉากกับปิงปิง เมื่อเราสองคนถ่ายเสร็จแล้ว เธอกล่าวกับผมว่า “โอ้ พวกเราสองคนเดินออกมาจากกล้องแล้ว พูดกับผมว่า .ในโลกนี้จะมีคนอย่างไป๋เสี่ยวเหนี่ยนอย่างนี้ได้เหรอ ? ฮ่าๆๆ  คนอย่างนี้ก็คือเขาเป็นอย่างนี้ๆ จะพูดไงดี คือมนุษย์สัมพันธ์ของเขาคงจะไม่ดี ฉะนั้นในเรื่องผมก็จะเป็นคนแรกที่ถูกจับไปทรมาน เป็นคนแรกที่ถูกจับไปทรมานเลย

นักข่าว :  คนแรกก็เป็นคุณที่ถูกจับไปทรมาน?

โหย่วเผิง : ใช่

นักข่าว :  พวกเขาล้วนมีประสบการณ์ไปเรียนต่างประเทศ แล้วคุณมีไหม?

โหย่วเผิง : พวกเขามีดีกรีขนาดนี้ เมื่อผมได้ฟังปุ๊บผมเองก็หน้าแดงไปเลย ผมอย่างดีก็ได้แค่ไปเรียนที่โรงละครโอเปร่าเท่านั้นเอง(หัวเราะ)

นักข่าว : ดูจากเรื่องของอาชีพแล้วมันคงต่างกัน แต่จริงๆแล้วก็น่าจะเหมือนกัน

โหย่วเผิง :  แต่ว่าหากพูดถึงเรื่องเมื่อกี้ เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของพวกเรา แม้ว่าในเรื่องนั้นผมอาจมีตำแหน่งที่ต่ำสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ว่าตำแหน่งของผมนั้นก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญในการอยู่เบื้องหลังนะ

นักข่าว : เบื้องหลังที่สำคัญ

โหย่วเผิง :  ใช่ ผมมีภูมิหลังที่สำคัญ แต่สำหลับภูมิหลังของผมเป็นมาอย่างไรนั้น นั่นก็เป็นเรื่องที่พิเศษเรื่องหนึ่งเหมือนกัน สำหรับเรื่องนี้นั้น ก็คงอีกหน่อยค่อยเปิดเผย หรือว่าพวกเราไปดูที่โรงเองก็ดี

นักข่าว : โอเค ใช่ ที่โรงภาพยนตร์ แต่ว่าสิ่งที่ผมอยากจะรู้ก็คือ โหย่วเผิง สำหรับบทบาทนี้แล้วมันเป็นอะไรที่คุณต้องเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ก็เหมือนกันคุณหวังที่ได้พูดไปนั้นมันไม่เหมือนเป็นตัวคุณเลย แล้วผู้คิดว่าขณะที่คุณได้รับบทนี้บุ๊ปแล้วคุณก็คงไม่ใช่จะรับโดยไม่คิดปั๊บเลยใช่ไหม? ยังมีช่วงเวลาที่จะคิดไตรตรองไหม?

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วมันก็ก้ำกึ่งนะ มันก้ำกึ่งจริงๆ ผมคิดว่าตัวละครบทนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครเมื่ออ่านแล้ว รวมทั้มผมเองด้วย ครั้งแรกที่ได้อ่านตัวบทของฟงเซิงเรื่องนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องราวมันดึงดูดคนมาก รวมทั้งมันยังประทับใจด้วย ก็เหมือนกับที่ หันอี๋ ได้พูดไป เธอมีอารมณ์ร่วมมากๆ คุณทราบไหม? ทุกคนที่เป็นชาวจีน หากคุณอ่านเรื่องอย่างนี้จบแล้ว คือในสมัยที่เต็มไปด้วยสงคราม จากนั้น ในชนเผ่าของพวกเรานั้น ทุกคนก็รอคอยฮีโร่ คุณทราบไหม ต้องการมีคนที่มีจิตใจอย่างนี้เพื่อมารับหน้าที่ที่หนักใหญ่อย่างนี้ มาเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างนี้ อย่างแรกคือ ประทับใจกับเรื่องราว อย่างที่สอง ไป๋เสี่ยวเหนียนพิเศษอย่างไรล่ะ (หัวเราะ)

นักข่าว :  แล้วพิเศษอย่างไร?

โหย่วเผิง : ใช่ ก็รู้สึกว่า มันภาคภูมิใจมากๆ ที่วันนี้มีโอกาสดีๆอย่างนี้ มีบทอย่างนี้มาให้ มีเนื้อเรื่องอย่างนี้มาอยู่ต่อหน้าผม ผมสามารถเลือกว่าจะรับหรือไม่รับ สำหรับบทของเขานั้นเป็นที่ดึงดูดของนักแสดงเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นสิ่งแรกที่ใจคิดก็คือ ผมสามารถรับแสดงบทอย่างนี้ได้ไหม เพราะภูมิหลังของเขานั้นพิเศษมาก ลักษณะพิเศษของเขานั้นก็เลียนแบบยากมากเหมือนกัน ใช่ จากนั้น ...



จางหันอี๋ : เดิมที่คือให้ผมแสดง

โหย่วเผิง:  ทุกคน. หา?

โหย่วเผิง : อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ

นักข่าว : ผมเองก็พึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก จริงๆเหรอ?

หันอี๋ : นี่เป็นเรื่องใน จริงๆเป็นอย่างนั้น เดิมที่คือให้ผมแสดงบทนี้ ไป๋เสี่ยวเหนียน

โหย่วเผิง : ผมอยากดูจังเลย

หันอี๋ : คุณไม่รู้ล่ะสิ จริงๆแล้วผมเล่น แต่ผมคิดแล้วคิดอีก

โหย่วเผิง :  แล้วคุณมั่นใจหรือว่าสามารถจะเล่นเป็นกระเทยอย่างนั้นได

หันอี๋ : แน่นอน

โหย่วเผิง :  คุณสามารถตัดใจได้เลยหรอ เจ้าพระคุณ

หันอี๋ : อื่ม ผมดูแล้ว บทนี้นั้นโหย่วเผิงเล่นได้ถึงพริกถึงขิงมากๆ มันมีรสชาติจริงๆ ยอดเยี่ยมๆ

โหย่วเผิง : ชมเกินไปๆ

นักข่าว: การแสดงออกที่แปลกอย่างนี้ไม่กลัวแฟนๆจะรับไม่ได้หรอ

โหย่วเผิง : จะให้พูดตามตรง นี่ก็น่าจะเป็นการล้อเล่นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็พูดจริงๆ ในเรื่องนี้นั้น หลังจากที่ได้ทุ่มเทในการแสดงอย่างนี้ไปแล้ว หากว่าบทบาทนี้ไม่เหมือนผู้หญิงเลยแล้ว ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน ผมถูกรบกวนปานตาย จริงๆ หากมิใช่ที่มันแปลกอย่างนี้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นการตลกครึ่งต่อครึ่ง สำหรับตัวเองแล้ว ผมรับทุกบทผมเองก็ต้องเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ผมไม่อยากจะยืนอยู่กับที่ นักแสดงทุกคนเมื่อรับบทมาดูแล้วก็ต้องพิจารณาว่ามันท้าทายตัวเองหรือเปล่า สิ่งที่สองที่จะต้องพิจารณาคือ ผมทำได้หรือเปล่า และผมเองรู้สึกว่า สิ่งที่สามารถที่จะดึงดูดแฟนๆของตัวเองคือการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุด นี่ถึงจะเป็นวิธีการที่ยั่งยืน ไม่ใช่เป็นการยื่นอยู่กับที่และปิดกั้นตัวเอง






4083
Online Interviews & Updates / [2007-12-17]โหย่วเผิงได้รับรางวัล QQ
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:18:44 pm »

สัมภาษณ์โหย่วเผิง ::  เปิดเว็ปไซเถิงซิ่นผู้เข้าเขียนฝากข้อความเกินสิบล้านคน ขอขอบคุณแฟนๆชาวเน็ตเป็นอย่างมาก แท้จริงแล้วการทำงานในด้านการกุศลนั้นก็ถือว่าเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก งานหลักของเป็นหน้านั้นก็ยังคงอยู่ที่จีน ถ่ายภาพยนตร์ ออกอัลบั้ม จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลย

ข่าวจากเถิงซิ่น  คืน 17 ธันวาคม 2007 ทางเถิงซิ่นเป็นเจ้าภาพในการจัดงานมอบรางวัล “ศิลปิน 2007 ”ขึ้นที่โรงละครเวทีปักกิ่งอย่างคึกคัก โหย่วเผิงก็ได้เข้าร่วมงานนี้ด้วย และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของเถิงซิ่น

สื่อ : ยินดีต้อนรับที่ได้กลับมา นี่เป็นห้องสัมภาษณ์ของเถิงซิ่นซึ่งอยู่ด้านหลังงาน “ศิลปิน 2007 ” ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั้นก็เป็นเพื่อนเก่าแก่ ซูโหย่วเผิง

โหย่วเผิง : สวัสดีทุกท่านครับ

สื่อ : ยินดีด้วยที่ได้รับรางวัลนี้

โหย่วเผิง : ไม่หรอกครับ วันนี้ที่ได้รับรางวัลนี้ยังรู้สึกละอายใจอยู่เหมือนกัน จริงๆแล้วมีศิลปินมากมายที่ได้ทำงานการกุศลอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน

สื่อ : คุณถ่อมตัวมากเลย ปีที่แล้วก็ได้รับหนึ่งรางวัลนี่ครับ ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วหลังจากที่สัมภาษณ์คุณเสร็จแล้วก็เป็นประโยชน์มากๆ วันนี้จะต้องขอพูดแน่ๆ คุณบอกว่าการแต่งตัวของผู้ชายนั้นต้องเรียบง่ายสะอาด

โหย่วเผิง : ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วจะใส่แบบสกปรกหรือ

สื่อ : ไม่หรอก ก็แบบสีดำ มันเข้ม ฉะนั้นวันนี้เลยใส่สีดำ เมื่อกี้ที่ขึ้นเวทีก็เป็นชุดดำ หลายคนได้แซวผม ผมตอบพวกเขาว่าโหย่วเผิงสอนผมเอง ผมรู้ดีว่าคุณยุ่งมากๆ เพิ่งมาถึงอย่างรีบร้อนเลย

โหย่วเผิง : ใช่ เพราะกับ QQ ก็ยังเป็นสหายเก่าด้วย ฉะนั้นต้องมาร่วมอย่างแน่นอน+

สื่อ : เว็ปของคุณนั้นมีคนเข้าดูเกินสิบล้านเลย

โหย่วเผิง : แฟนๆทางเว็ปนั้นส่วนมากจะมาจากเพื่อนๆทาง QQ  เพียงแค่ใส่ใจกับมันหน่อยก็จะมีการตอบสนองที่ดีมากๆ และยังขอขอบคุณ QQ ที่เอากระทู้ของผมวางไว้ในพื้นที่ที่สำคัญ ทำให้ความคิดของผมเป็นที่เห็นได้ง่ายต่อผู้เข้าชม

สื่อ : งานหลักนั้นได้ไปทำที่จีนมาแล้วกว่าปี ก็คือหลังจากที่ได้เซ็นสัญญากับคุณหัวอี้ พวกเรามาสรุปประเมินปี 07 ดู

โหย่วเผิง  : ปี 07 นี้ก็ไม่ถือว่าได้ทำงานอะไรมากมาย เพียงแค่ได้ทำงานการกุศลสองสามงานเท่านั้นเอง สำหรับผมแล้ว ละครโทรทันศ์ท์ที่ทำผ่านมานั้น สำหรับผู้กำกับที่มีเชื่อเสียงหรือเรื่องที่บิ๊กๆนั้นล้วนได้ร่วมงานมาหมดแล้ว อนาคตผมเองก็หวังว่าจะค้นหาทำอะไรที่รู้สึกทะลุทะลวงตัวเอง หรือว่าจะเป็นอะไรที่ทำให้ทุกคนทึ่งแปลกใจ

สื่อ : ปีนี้โหย่วเผิงได้ทำการกุศลมากมาย ร่วมทั้งได้บริจาคสิ่งของมากมายอีกด้วย

โหย่วเผิง  : ผมรู้สึกว่าปกติแล้วไปห่วงใยคนรอบข้างของเรา หรือว่าทุกคนต่างอภัยซึ่งกันและกัน อย่างนี้ก็ทำได้ หรือว่าจะบริจาคสิ่งของก็ยังเป็นการช่วยเหลือคนมากมายได้

สื่อ : ถ้าอย่างนั้น หากผมได้ชื้อ ก็เป็นการกระทำที่ดี

โหย่วเผิง : ก็เป็นการทำความดีด้วยหรือ?(หัวเราะ)

สื่อ : แล้วปีหน้าวางแผนไว้จะทำอะไร?

โหย่วเผิง : เดิมทีแล้วปีนี้ต้องออกอัลบั้มหนึ่ง

สื่อ : ก่อนหน้านี้มีอัลบั้น (ต้าปู้เหลี่ยว)

โหย่วเผิง : ก็ยังนับว่าโอเค ปีหน้าอาจจะมีโครงการคอนเสิร์ด ตอนนี้กำลังประสานกับภาพยนตร์บางส่วน หวังว่าจะคืบหน้าไปมากกว่านี้

สื่อ : ปีหน้าสิ่งที่อยากจะทำที่สุดคืออะไร

โหย่วเผิง : เพราะว่าปีนี้ได้ทำงานที่ไม่เกี่ยวกับการแสดงมากมาย หวังว่าปีนี้จะของกลับไปสู่งานอาชีพเดิม

สื่อ : รวมทั้งร้องเพลง เล่นละคร

โหย่วเผิง : ผมรู้ว่าเพื่อนๆหลายคนร้อนใจ วันนี้ขอฉวยโอกาสนี้ก่อน ก็กำลังพยายามอยู่จริงๆ ทุกคนอย่างเพิ่งใจร้อน

สื่อ : ขอบคุณครับ แล้วสำหรับปีหน้ามีอะไรชี้แนะหรือเปล่า

โหย่วเผิง : อย่าหล่อกว่าผมก็แล้วกัน(อารมณ์ขัน)

สื่อ : โอเค  ปีหน้าผมจะไม่ขอโผ่ลออกมา โหย่วเผิงก็เป็นคนอย่างนี้แหละ ต่อเพื่อนเก่าแล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งคุยตลก ของคุณครับ



4084

2009-8-4 อายุสามสิบแห่งความสุข โหย่วเผิงได้พกการหวนคืนของภาพยนตร์ใหม่

“เสี่ยวหู่ตุ้ย”กับ (องค์หญิงกำมะลอ)เป็นงานจุดสูงสุดสองเรื่องของโหย่วเผิง หลังจากนั้นยังถ่ายเรื่อง(ฉิงติ้งอ้ายฉิงไห่ : รักข้ามขอบฟ้า) (อีเทียนสู่หลงจี้ : ดาบมังกรหยก) แม้ว่าการตอบรับจะไม่เหมือนองค์หญิงกำมะลอ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ ได้รับงานถ่ายละครทีวีที่แหวกแนวออกไปอย่าง(เย้ออ้าย) และภาพยนตร์(เฟิงเซิง) เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่โหย่วเผิงเป็นที่สนใจของสื่อ

นักข่าว : (เย้ออ้าย)กำลังออกอากาศในบางที่ เรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจ?

โหย่วเผิง : (เย้ออ้าย)เป็นละครแนวความรักในสมัยสงคราม เนื้อเรื่องนั้นได้มีความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพที่ย่ำแย่ของสังคม บทที่ผมแสดงนั้นเป็นโรคจิตคนหนึ่ง บทของหันเสวี่ยนั่นทั้งอกนั้นเต็มไปด้วยความอยากแก้แค้น ดูจากเนื้อเรื่องแล้ว น่าจะเป็นที่ตี่นเต้นและเป็นที่สนใจของผู้ชม

นักข่าว : ละคร(เย้ออ้าย) ภาพยนตร์(เฟิงเซิง)จะออกฉายในปีนี้ ได้ข่าวว่าในสองเรื่องนี้บทของคุณนั้นแนวจะแตกต่างจากเดิม ขอแนะนำบททั้งสองเรื่องของคุณให้ผู้อ่านได้รู้หน่อย

โหย่วเผิง : ในเรื่อง(เย้ออ้าย)นั้นเล่นเป็นซูหมิงเทา นี่เป็นบทที่ถ้าท่าทายผมมากที่สุดในรอบหลายปีนี้ เริ่มเรื่องนั้นหมิงเทาเป็นผู้ชายที่สง่าผ่าเผย จากปัญหาหลายๆอย่างนั้นทำให้เขากลายเป็นคนโรคจิต ในส่วนของความรักนั้น เขาเป็นคนที่จริงจังในเรื่องนี้ ในเรื่องของคู่สมรสนั้นเขาเป็นคนหนึ่งที่มีบุคลิกเงียบๆ ในเรี่องเฟิงเซิงนั้นก็มีความท้าทายมากๆเหมือนกัน ในเรื่องผมรับบทเป็นเสี่ยวไป๋เหนียน เขาเป็นคนที่เกิดที่ลี่เหยียน จะมีบุคลิกที่เหมือนคนลี่เหยียน สำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งใหม่ จากเรื่องนี้นั้นทำให้ผมต้องเตรียมตัวมาอย่างดี

นักข่าว : เรื่องพวกต่อสู้นั้นคุณถ่ายมาหลายปีแล้ว (การดักซุ่ม)นั้นคุณเป็นคนหนึ่งที่เป็นยอดฝีมือ กลัวไหมที่ผู้ชมจะมองว่าเรื่อง(เย้ออ้าย)กับ(เฟิงเซิง)ของคุณนั้นเป็นแค่มือสมัครเล่น

โหย่วเผิง :  ไม่น่าจะมองว่าสมัครเล่นมั้ง สำหรับเรื่อง(เย้ออ้าย)นั้นผมได้เตรียมตัวมานานแล้ว (เฟิงเซิง)นั้นได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องจากเรื่องเดิมเล็กน้อยโดยนักเขียนที่มีชื่อ แม้ว่าภาพยนตร์แนวต่อสู้นั้นจะนิยมมาก แต่ก็เชื่อว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องก็จะมีความแตกต่างกัน เช่น(เย้ออ้าย) กับ(การดักซุ่ม)นั้นมันแตกต่างกันสิ้นเชิง ผู้ชมจะรู้สึกถึงความแตกต่างจากการชม

นักข่าว :  การพัฒนาหลังจากเรื่อง(องค์หญิงกำมะลอ)นั้นรู้สึกเรียบๆ (เย้ออ้าย)และ(เฟิงเซิง)นั้นได้เป็นที่ดึงดูดของผู้ชมมากมาย เป็นการออกหมัดเดียวน็อกของคุณหรือเปล่า ?ต่อจากนี้แล้วจะมีการวางแผนอะไรไหม?

โหย่วเผิง :  เย้ออ้ายกับเฟิงเซิงนั้นเป็นผลงานถ่ายทำที่ต่างสมัยกัน เพียงแต่ได้ออกอากาศในปีนี้ด้วยกัน แท้จริงแล้วผมเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่มีเจตนาที่อยากจะหมัดเดียวดังเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมไม่ใส่ใจในงานนะ แท้จริงการเป็นนักแสดงนั้นจะถูกกระตุ้นมากกว่า คือรอดูตัวบทว่าจะเป็นอย่างไร ผมทำได้เพียงพยายามหาบทที่ท้าทายตัวเอง จริงจังกับทุกๆบท จากจุดนี้เป็นจุดเบิกทางการการแสดง พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง โหย่วเผิงท้ายท้ายเป็นผู้ป่วยทางจิต และเกาเหลากับทีมงานนั้นเป็นข่าวที่ไม่มีมูล

นักข่าว : ช่วงเวลาการถ่ายทำเรื่อง(เย้ออ้าย) เคยมีข่าวว่าคุณเกาเหลากับทางทีมงาน ใส่อารมณ์ เป็นเรื่องจริงไหม?

โหย่วเผิง :  เรื่องนี้จะขออธิบายหน่อย ตอนนั้นมีเว็ปไซน์บางเว็ปได้เขียนว่าผมรู้กฏเกณฑ์การทำงาน ไม่รู้จักให้ค่าน้ำชากับทางพนักงาน ถูกทีมงานจัดชุดและแต่งหน้า “เหน็บ” แต่ความจริงนั้นก็มีความสุขกับทีมงานอยู่ ตอนปิดกล้องพวกเราต่างก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์กัน สำหรับข่าวที่ออกมานั้นมันคนละเรื่องเลย

นักข่าว :  แล้วสามารถพูดถึงการทำงานกับผู้กำกับและทีมนักแสดงเรื่องเย้ออ้ายไหม?

โหย่วเผิง :  ก็สนิทสนมกลมกลืนกันกับนักแสดงและทีมงานทุกคน ขณะที่มีข่าวนี้ออกมา ทางผู้กำกับฝั่นยังออกมาแก้ข่าวให้ผม (แล้วรู้สึกอย่างไรต่อผู้กำกับฝั่น) ท่านเป็นคนหนึ่งที่จริงจังและละเอียดอ่อนกับงานมาก ขณะที่พวกเรากำลังถ่าย(เย้ออ้าย)นั้น พวกเราจะมาพูดคุยถึงเนื้อเรื่องด้วยกัน วางแผนกันว่าแต่ละฉากนั้นควรดำเนินการอย่างไร ร่วมแสดงกับหันเสวี่ยนั้นก็เห็นถึงประสบการณ์อันโชกโชนของเธอ ตัวละครหมิงเทาที่ผมเล่นนั้นบทมันพัวพันกันอุตลุด เขาหลกรักหันชิวเล่นโดยหันเสวี่ย แต่กลับไปแต่งงานกับคนอื่น บทของผมนั้นมีความรักเต็มอก แต่กลับเก็บกดไว้ สิ่งที่สำคัญในตัวหมิงเทาคือเป็นผู้ป่วยทางจิตที่สง่าผ่าเผย ฉะนั้นเล่นยากมาก ขณะที่หันเสวี่ยเล่นฉากเดียวกันกับผมนั้น เกิดประกายไฟมากมาย หวังว่าจะมีโอกาสร่วมงานกับเธออีก

นักข่าว :  เคยร่วมงานกับนักแสดงจีนมามากมาย ใครที่ให้ความประทับใจกับคุณมากที่สุด แล้วหวังที่จะร่วมงานกับนักแสดงคนไหนของจีนอีก?

โหย่วเผิง :  เจ้าเหว่ยประทับใจมากที่สุด เพราะจากสองเรื่อง(องค์หญิงกำมะลอ)(เหล่าฟางโหย่วซี่ : เราสองหัวใจเดียวกัน )จนถึง(ฉิงเซินเซินหยี่หมงหมง : มนต์รักในสายฝน) เราได้เติบโตมาด้วยกัน แม้ช่วงหลังจะไม่ได้ร่วมงานกันอีก แต่ก็หวังว่าอนาคตน่าจะมีโอกาส นอกจากนี้ยังมีหันเสวี่ย ได้ร่วมงานกันในเรื่องเย้ออ้าย ความรักเราสองนั้นรักได้ขมขื่นมากๆ ผู้เชี่ยวชาญเคยพูดว่าตัวละครสำคัญของเรื่องเย้ออ้ายนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ป่วยของพระล่อหยีเต๋อเลยทีเดียว เราทั้งสองก็มีความรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน เพราะเรื่องราวอารมณ์ของเรื่องนี้มันขึ้นๆลงๆ ขณะที่พวกเราได้แสดงนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันมีรสมากๆ ยังมีหลายคนที่ยังไม่เคยแสดงด้วยกัน แต่ก็ยังหวังอยากจะร่วมงานกับพวกเขา นี่จะต้องดูวาสนาว่ามีไหม E-mail./gzdsbxwzx@163.comC5 (เฟิงเซิง)ในเรื่องนั้นก็มีเทคนิก ได้มีประกายไฟกับหันเสวี่ย  ยังไม่ทิ้งการร้องเพลง

นักข่าว :  สองปีมานี้เน้นไปทางด้านละครภาพยนตร์ แล้วด้านการร้องเพลงเหมือนกับว่าชะงักไป อนาคตจะร้องเพลงอีกไหม มีแผนที่จะทำอัลบั้มเป็นจริงเป็นจังไหม?

โหย่วเผิง :  ใช่ สองปีนี้เวลาของผมนั้นจะใช้กับการถ่ายละครภาพยนตร์ ด้านการร้องเพลงนั้นเหมือนกับว่าละเลยไป แต่ว่าอย่างไรก็ตามตัวเองก็ยังรักในการร้องเพลง ทั้งยังเข้าใจว่าการร้องเพลงนั้นจะสื่อถึงตัวตนจริงๆของตัวเองออกมา เมื่อถึงโอกาสที่เหมาะแล้ว ก็จะมีเพลงใหม่ตามมา

นักข่าว :  แม้จะทุ่มเทไปในด้านละครภาพยนตร์ เหมือนกับว่ามันฮอตมาก เรื่อง(เย้ออ้าย)กับ(เฟิงเซิง)ได้โฆษณาออกไป คาดหวังอะไรไหม?

โหย่วเผิง : ผมไม่เห็นด้วยว่ามันฮอต เป็นไปไม่ได้ว่าทุกเรื่องนั้นจะดัง แต่ว่าการที่จะแสวงหาบทที่ดีนั้นก็ไม่เคยที่จะหยุด เช่น (เย้ออ้าย) ผมต้องขอบคุณถึงการยืนหยัดของผมเป็นอย่างมาก รอจนได้โอกาสที่ดีอย่างนี้ รอได้มีเพื่อนร่วมงานที่ดีขนาดนี้ ทุกคนต่างมาสร้างเสริมละครที่ดีละครหนึ่งนี้มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากๆ พูดถึงการคาดหวังแล้ว ผมคาดหวังสองเรื่องนี้จะมีการตอบรับที่ดีจากผู้ชม และหวังอยากให้ผู้ชมดูบทที่แตกต่างออกไปของผม

นักข่าว :  อนาคตจะมีแนวโน้มไปทางภาพยนตร์ไหม สามสิบปีผ่านไปแล้ว การจะเลือกบทนั้นจะเนียบกว่าก่อนไหม?

โหย่วเผิง : นี่ก็จะต้องดูวาสนาอีกที ความพึงพอใจของผมความหมายก็คืออย่างนี้ มีบทที่ดีๆและเรื่องที่ดีๆนั้นผมจะไม่พลาดแน่นอน รวมไปถึงละครทีวีด้วย เหมือนกับเรื่องเย้ออ้ายที่ผู้ชมได้ดู หากมีบทที่คลายๆอย่างนั้น ผมก็จะรับ
 



4085
Magazine Interviews-China / 2009 Men's Fitness
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:04:15 pm »
Thanks, http://blog.sina.com.cn/s/blog_4971588d0100do72.html

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากนิตรสาร Men's Fitness  ฉบับเดือน มิถุนายน 2009



หมายเหตุ  MF. เจี้ยนสร้าง
                 SU.โหย่วเผิง

ท้องฟ้าโปร่งใสทุกวัน

MF. อยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?

SU. จะพูดความรู้สึกนั้นมีมากมาย เริ่มแรกที่ย่างเข้าสู่วงการนั้นอายุยังน้อย สิบห้าขวบ(15) ก็เริ่มงานที่ยากลำบากแล้ว รับความกดดันที่เด็กในวัยนั้นไม่ควรรับมากมาย ช่วงนั้นที่จริงจังในการงานนั้นเป็นเพราะเซ็งๆ รู้เพียงว่าต้องทำให้สุดกำลังดีที่สุด ต้องจริงจังกับงานทุกงาน ตอนนี้นั้นก็นับว่ามีประสบการณ์ยาวนาน รวมทั้งบวกกับอายุที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ชีวิตที่ถึงจุดสุดยอดกับตกต่ำสุดนั้นผมได้เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้หลายปีผมเองก็เป็นคนบ้างาน ไม่หยุดในการต่อสู้ ทำงาน จนมาถึงระยะนี้ถึงได้ค่อยๆดีขึ้น เริ่มรู้เข้าใจว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกว่าการงานที่ผมจะต้องไปฉวยมันไว้

MF. เมื่อก่อนได้ยินว่าคุณทำงานจนแทบไม่เอาชีวิตเลย ตอนนี้ล่ะ?

SU. ผมในวันนี้ ไม่ได้ทำแต่งาน ก็ได้หันกลับมาใส่ใจความสัมพันธ์ของครอบครัวและเพื่อนมิตร หาเวลาว่างในการอยู่กับพวกเขาเยอะขึ้น ตอนนี้จะรู้สึกมีความสุขกับชีวิตมากกว่าในอคีต คงจะไม่เหมือนอย่างอดีตที่ทำงานหามเช้าหามค่ำอย่างวัวควาย จนสุดท้ายไม่สามารถที่จะรู้ว่าเวลาไหนเช้าเวลาไหนเย็นอย่างนั้น

MF. หรืออาจพูดได้ว่าโหย่วเผิงเป็นผู้ใหญ่แล้ว เริ่มรู้จักมีความสุขกับชีวิต มีความสุขกับเวลา?

SU. การงานในวงการบันเทิงสำหรับผมแล้ว อดีตคือทำงานรับจ้างคนอื่น ตอนหลังก็คือทำงาน ตอนนี้ก็เหมือนรู้สึกว่ามันเป็นการเล่นเกมส์ที่สนุก

MF. หมายความว่าคุณกำลังปฏิวัตตัวเอง ปฏิวัต โหย่วเผิงที่ เป็น “ไกวๆหู่” กับ “บ้าในการทำงาน”

SU. จริงๆแล้วนี่เป็นแค่ภาพพจน์ข้างภายนอก ผมนั้นดื้อมาตลอด การที่จะเรียกผมว่าไกวๆหู่นั้นน่าจะมองในแง่ของการเรียน เพราะตอนนั้นผมเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดังที่สุดของไต้หวัน เลยถูกยกให้เป็นต้นแบบไปเสียอย่างนั้น เป็นภาพลักษณ์ที่ดีไม่มีที่ติ ในช่วงที่ผมก่อทัศนะคุณค่าของตัวเองนั้น ก็เสมือนต้นกล้าต้นหนึ่ง ยังไม่ทันได้โตเต็มที่กับสิ่งที่มันจะโต แล้วก็ถูกความกดดันภายนอกมากดดัน มัดมือชกให้ผมต้องเจริญเติบโตในแบบอย่างที่ดี เติบโตให้เป็นเด็กที่ดีตามความคิดในดวงใจของทุกๆคน เพราะอายุและภาพลักษณ์ของคุณ ทางบริษัทก็จะไม่ยอมให้คุณไปทำอะไรที่นอกลู่นอกทางแน่นอน เกิดความขัดแย้งในตัวเองมากๆ แต่ว่าตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นผมเองก็ได้ปล่อยวางไปหมดแล้ว รู้ว่าไม่มีอะไรที่อยู่ยงคงกระพัน สิ่งของนอกกายที่มีนั้น สุดท้ายก็คือมันมาเดียวมันก็จะไป หลายปีนี้ ผมได้สัมผัสรู้สึกถึงอะไรหลายๆอย่าง พริบตาเดียวมีครบทุกสิ่งทุกอย่าง พริบตาเดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญสิ้นไปหมด ฉะนั้นจิตใจนั้นก็จะมั่นคงขึ้นเยอะ มีงานก็ตั้งใจทำมัน พยายามหาความสุขกับขั้นตอนเวลาทำงาน ผลลัพท์จะเป็นอย่างไรก็จะไม่ให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่

MF. ให้ความสำคัญกับขั้นตอนของงาน แต่ไม่สนว่าผลลัพท์จะเป็นอย่างไรใช่ไหม?

SU. แน่นอนก็จะต้องแสวงหาผลลัพท์ที่ดี อย่างไรก็ตามตัวเองก็ยังเป็นคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง เพียงบอกได้ว่าหลังจากที่ผ่านร้องผ่านหนาวมามากมายแล้ว ผมค่อนข้างจะใส่ใจในขั้นตอนการทำงานมากกว่า คงจะไม่เหมือนกับอดีต ให้ความสำคัญเพียงผลลัพท์เท่านั้น
 

MF. สองสามปีมานี้ ภาพพจน์ของคุณนั้นเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ใหญ่เยอะเลย ยังรู้สึกว่ามีใบหน้าเหี่ยวย่นไปหน่อย นี้มันเกี่ยวกับอายุหรือเปล่า?

SU. จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้นั้นมันคงไม่เกี่ยวกับตั้งใจที่จะเปลี่ยนมัน น่าจะเป็นเพราะเรื่องอายุมากกว่า แต่ก็คงไม่ใช่อายุล้วนๆ ตอนนี้ในท่ามกลางงานต่างๆนั้น ก็จะมีอะไรให้เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนสามสิบปีนั้น ผมเองมักจะปฏิวัติความคิดของคนอื่นและของตัวเอง มักจะชอบไม่เหมือนคนอื่นหรืออะไรใหม่ๆ ไม่ชอบทำอะไรที่ซ้ำๆซากๆ อยากจะเปลี่ยนแปลง อยากจะลองของใหม่ๆ แม้ตอนนี้พฤติกรรมอย่างเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่จิตใจมันได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมหมดแล้ว

MF. คุณก็เคยมีช่วงเวลาที่กระพือข่าวใช่ไหม?

SU. ใช่ เป็นช่วงอายุประมาณยี่สิบ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมล่มหลงในความมีหน้ามีตา ชอบที่จะกระพือข่าว ทุกวันจะขับรถแข่งของตัวเองไม่เรียน บึ้นขับผ่านหน้าเพื่อนๆไปอย่างไม่เห็นฝุ่น

MF. สำหรับซุปเปอร์สตาร์แล้ว การทำสิ่งเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเป็นพฤติกรรมที่เวอร์

SU. ใจจริงในตอนนั้นสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุดคืออยากจะมีชีวิตที่ปกติเหมือนกับคนทั่วไป เห็นคนอื่นกอดคอกันเดินกันไปอย่างพร้อมๆกัน อิจฉาเป็นอย่างมาก ช่วงที่อยู่มหาลัยนั้นผมไม่เคยได้เข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาลัยเลย มีเพื่อนน้อยมาก เด็กอายุยี่สิบปี(20) อย่างผมนั้นสิ่งที่ต้องการที่สุดคืออยากมีชีวิตที่ปกติเหมือนกับคนอื่นๆ อยากไปร้านอาหารเสริฟอาหารอยากทำอะไรที่คนปกติทำกัน สำหรับทุกคนชีวิตที่ปกติเป็นสิ่งที่มันมีโดยธรรมชาติ แต่สำหรับผมนั้นมันมีคุณค่ามากๆ

MF. แต่ว่าคุณได้ตัดสินใจเลือกทำในเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้.. ได้ปล่อยการเรียนที่ใกล้จะจบไป

SU. ใช่ นี่เป็นช่วงที่อายุยี่สิบเอ็ด(21)  ผมอยู่ปีสามแล้ว ได้ตัดสินใจปล่อยการเรียนไปแล้วมุ่งกับงานการแสดง การตัดสินใจครั้งนั้นจริงๆแล้วเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมากๆ มันขัดแย้งมากๆ ยิ่งดังผมเองก็ยิ่งไม่มีสมาธิในการเรียน ผมไม่ได้เป็นนักเรียนแล้วทุกคนคงจะไม่รักผมอย่างเคย ความคิดสองความคิดนั้นมันกำลังต่อสู้ขัดแย้งในตัวผม แต่ผมเองก็ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราต้องเสียสละถึงจะได้ เรื่องในโลกไม่มีได้ทั้งสองอย่างอย่างครบถ้วน หลักการง่ายๆที่จะตัดสินใจก็คือ คิดให้ดีว่าสิ่งที่คุณต้องการนั้นจริงๆคืออะไร

MF. ในช่วงนั้นเป็นเพราะขาดความรอบคอบไปหรือเปล่า

SU. แม้ว่าตอนนั้นตัวเองได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงานการแสดง แต่ความเป็นจริงแล้วการงานในตอนนั้นของผมนั้นก็นับว่าเป็นช่วงที่ตกต่ำของการงาน เพราะตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกวงกันไปได้พักหน่อยแล้ว ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง สามารถพูดได้ว่าตอนนั้นไม่มีละครอะไรที่จะให้เล่น และยิ่งกว่านั้นความตกต่ำนี้จะว่าไปแล้วก็สามปีทีเดียว จนถึงช่วงของ(องค์หญิงกำมะลอ) ถึงได้หลุดพ้นจากความตกต่ำของชีวิตการงาน

MF. แล้วในจิตใจของคุณมีความสมดุลย์ไหม?

SU. จะไม่สมดุลย์ได้ไง ตอนนั้นผมพึ่งออกจากการเรียน ตกอยู่ในสภาพการงานที่ต้องเริ่มด้วยศูนย์ หลายครั้งต้องเป็นอย่างนี้ คุณปรับสภาพจิตใจของคุณให้ดีแล้ว ก็จะไม่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

MF. ชีวิตที่สูงๆต่ำๆอย่างนี้มันทำให้คุณรู้สึกว่าไม่มั่นคงหรือเปล่า?

SU. ผมรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ชีวิตคนปกติแล้วก็ต้องมีขึ้นๆลงๆ ตอนขาขึ้นก็มีวิถีชีวิตของขาขึ้น ตอนขาลงก็มีวิถีชีวิตของขาลง จริงๆแล้วชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีแต่เรื่องงาน หากว่าช่วงเวลาการงานของคุณไม่ราบรื่น ก็ให้รีบมุ่งเรื่องความรัก หรือว่าทำงานอย่างอื่นก็ได้ หรือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่จะได้อยู่ร่วมกันกับครอบครัว หรือว่าถ้าเป็นผมก็จะไปท่องเที่ยว มันสามารถทำได้หลายอย่าง หากว่านาทีทองของงานมาแล้ว คุณก็ตั้งใจทำงานโดยดี และอย่างอื่นก็เอาได้ก่อน


MF. ได้ข่าวว่าคุณชอบเล่นบาส ทั้งยังเล่นได้ไม่เลวด้วย?

SU. ฝีมือเล่นบาสของผมนั้นไม่เลวจริงๆ ฮ่าๆ ล้อเล่น น่าจะพูดว่าผมรักในการเล่นบาสมากกว่า อีกอย่างคือเบสบอล อีกหลายๆอย่าง ผมชอบในการออกกำลังกาย ยังเคยคิดเล่นๆไปเล่นกล้ามเป็นนักกล้าม ฮ่าๆๆ สุดท้ายก็ล้มเหลวไป

MF. ทำไมถึงชอบเล่นบาส หรือว่าช่วงไปเรียนเล่นบ่อยๆ?

SU. ตอนเรียนก็เล่น อีกอย่างที่ผมชอบบาสก็เพราะผมชอบรูปภาพซุปเปอร์สตาร์ดารานักบาส เพราะเวลาในการถ่ายทำนั้นยุ่งมาก ผมก็ได้แต่ไปหาซื้อวีดีโอที่เขาอัดตอนแข่งไปดู ในกองถ่ายนั้น ผมก็จะเอาเครื่องวีซีดีเล็กๆของผมออกมาเปิดดู มันสุดยอดจริงๆ จำได้ว่าสองปีก่อน ผมรักในกีฬานี้มากจนไปหาซื้อชุดกีฬาบาสมาใส่สองสามชุด ทีมที่ผมชอบที่สุดคือ...(แปลไม่ได้ 55+) ชอบทีมเวิกค์และเทคนิกของพวกเขา โดยเฉพาะท่าทางที่ทื่อๆเซ่อร์ๆ แม้ว่าฝีมือผมนั้นจะไม่ดีนักซักเท่าไหร แต่ได้ดูขณะที่พวกเขาแข่งกันในสนามอย่างดุเดือดนั้นมันสุดยอดมาก

MF. ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าคุณไปสอนการเล่นบาสให้กับนักเรียนโรงเรียนซีว่าง

SU. ฮ่าๆ ใช่ครับ นั่นน่าจะปีที่แล้ว (2008) ปีที่แล้วผมได้ไปสอนวิชาพละให้กับนักเรียนโรงเรียนซีว่างหนึ่งคาบเรียน จะบอกว่าคาบสอนบาสก็คงไม่เชิง ก็คือได้นำพวกเขาเล่นช่วงเวลาหนึ่ง สำคัญคือกิจกรรมการกุศลอย่างนี้นั้นจำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะไปยืนสอนอยู่ในร่มอะไรอย่างนั้น

MF. สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการโปรโหมดที่ดีหรือเปล่า

SU. แน่นอนคงไม่ใช่ การทำงานด้านการกุศลของผมนั้นล้วนทำด้วยใจ ขณะที่เห็นเด็กๆที่คุณอุปการะยิ้มแย้มนั้นคุณก็จะรู้สึกถึงความอิ่มอกอิ่มใจที่ไม่เคยมีมาก่อน มันสำคัญกว่าชื่อเสียงเงินทองด้วยซ้ำ ปีนั้นโรงเรียนได้สร้างเสร็จและมีพิธีเปิดภายใต้ในนามของผมนั้น มีตาแก่ท่านหนึ่งได้หอบหิ้วไข่ไก่หนึ่งตระกร้ามามอบให้กับผมเพื่อเป็นการขอบคุณผม ตอนนั้นผมซาบซึ้งใจมากๆ เราดูเหมือนว่าเป็นการช่วงเหลือที่ไม่มากนัก แต่สำหรับที่ที่ต้องการช่วยเหลืออย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับพวกเขา การกระทำของเราที่น้อยนิดเหล่านั้นมันเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กๆทั้งชีวิตของพวกเขา ตั้งแต่นั้นมา ผมเองยิ่งรู้สึกมีใจในด้านนี้เป็นอย่างมาก ปรารถนาที่จะใช้กำลังของตัวเองทำอะไรๆเพื่อพวกเขาเยอะหน่อย บางครั้งผมเองก็สับสนมาก ตั้งใจอยากจะทำอะไรให้กับเด็กๆเหล่านั้นอย่างจริงใจหน่อย แต่ก็กลัวสื่อจะว่าผมทำเพื่อจะเอาหน้าเอาตา

MF. อย่างน้อยพวกเราก็รู้ว่าคุณไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าเอาตา และได้ผ่านสิ่งเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่าคุณก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยเลย

SU. ใช่ ผมรู้สึกว่าการเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนั้นเป็นการขุดสร้างภายใน นอกจากจะเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว ยังเป็นการตัดสินต่อสถาพที่คนอื่นดูตัวเราด้วย ในโลกใบนี้ที่คุณอยู่นั้น สามารถใช้สายตาและความอารีย์มามองเรื่องราวในโลก เมื่อก่อนผมเล่นภาพยนตร์ เล่นละครทีวี ตอนหลังผมก็ไปเล่นละครเวที แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่สร้างหลอกผู้ชมไปบ้าง แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่ง สำหรับผมแล้ว ในช่วงอายุนี้ของผมนั้น ผมคงจะไม่ทำงานเพื่อปากท้องเพื่อเงินทองอีกต่อไป


4086
Magazine Interviews-China / 2004 Ast Present Future
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:51:52 pm »
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=547406315

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงจากนิตรสาร Ast Present Future ปี 2004


ช่วงการเติบโตของโหย่วเผิง

เขาดูแมลงปอแดงที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าที่สดใส ดูใบโลกกับเปลือกหอยบนหาดทราย ได้บินไปโลกใหม่พร้อมกับผีเสื้อ วันเวลาของแมงปอสีแดงนั้นไม่มีแล้ว เพราะเขาได้เติบโตไปแล้ว ได้บินไปสู่พรุ่งนี้กับความฝัน ไกวๆหู่ในอดีต ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง อาชีพการร้องเพลงและการศึกษานั้นทำให้เขาภาคภูมิใจ วันเวลาของสิบหกปี พริบตาเดียวความบริสุทธิ์เดียงสาได้เปลี่ยนกลายเป็นความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนคือความจริงใจของนิสัย ราศีกันย์อย่างโหย่วเผิงนั้นแสวงหาความสวยงามสมบูรณ์ รักในดนตรี เริ่มจากเสี่ยวหู่ตุ้ยมาจนถึงวันนี้ ได้ทำอัลบั้มไม่ต่ำกว่าสามสิบอัลบั้ม เล่นละครโทรทัศน์แล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบเรื่อง ภาพยนตร์สิบเรื่อง

ความกดดันทำให้ผมเติบโต

หลายปีที่ไม่ได้เจอโหย่วเผิง เขาที่พึ่งผ่านอายุสามสิบเอ็ด (31) ไปหมาดๆ ให้ความรู้สึกที่เป็นผู้ใหญ่กับเรา เริ่มเข้าสู่วงการเมื่ออายุสิบห้า (15) อย่างไกวๆหู่ ในสายตาคนอื่นแล้วการเป็นดารานั้นอนาคตรุ่งโรจน์ ชีวืตเขาที่เต็มไปด้วยความถูกรักนั้นกลับเติบโตท่ามกลางความกดดัน

ช่วงนั้นผมจะสอบเข้ามหาลัย มีความกดดันจากภายนอกมากมาย คนทั้งโลกกำลังจ้องมองไปที่คุณความรู้สึกนั้นมันไม่เป็นสุขเลย เหมือนกับว่ากำลังรอคุณส่งการบ้านผลงาน รอดูว่าคุณสามารถส่งทำไหม ตอนหลังผมออกจากมหาลัยไต้หวันไปที่อังกฤษ อย่าคิดว่าการออกไปต่างประเทศจะสุขสบาย แท้จริงแล้วมันย่ำแย่ยิ่งกว่าเตรียมสอบเข้ามหาลัย และต้องเผชิญกับความกดดันที่แรงกว่า

ตอนเด็กนั้นผมเพียงแค่ชอบร้องเพลง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นแล้วจะเป็นศิลปิน ความรู้สึกก็เหมือนกับทำงาน ในตอนนั้นทางบริษัทก็คิดว่าฐานะจริงของผมนั้นเป็นนักเรียน หากว่าผมไม่ร้องเพลงอีก ก็สามารถไปเรียนหนังสือต่อได้ ฉะนั้นผมถึงได้เข้าใจถึงการทำงานเป็นอาชีพจริงๆว่าเป็นอย่างไร ต้องรอให้ผมจบมหาลัยแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนหนึ่ง (ผู้ใหญ่ทำงานแล้ว) ความกดดันอย่างนั้นมาจากครอบครัว มาจากเศรษฐกิจ ร่วมทั้งตัวเองด้วย ผมกำชับกับตัวเองว่าจะต้องทำให้สำเร็จ ตอนนั้นอายุผมนั้นยังเก้อเขินอยู่ จะไปแสดงบทอะไรถึงจะดี ตอนนี้หวนคิดไปแล้ว หากว่าตอนนั้นไม่ฝึกฝนผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้แล้ว คุณก็คงจะไม่เห็นผมในวันนี้ พวกเราก็คงไม่ได้มาคุยกันตรงนี้ด้วย หวนคิดถึงหนทางอันขมเปรี้ยวที่เดินผ่านมานั้น สายตาของเขานั้นได้มีความรู้สึกที่ซาบซึ้งออกมา


4087

โหย่วเผิงและหันเสวียพูดขำๆว่าช่วงเวลาการถ่ายนั้นเหมือนกับการร้นหาที่ตาย

เป็นครั้งแรกที่โหย่วเผิงได้สลัดคราบพระเอกมาแสดงเป็นคนบ้า เป็นกุลสตรีที่ฝังอยู่ในจิตใจของคนมากมายอย่างหันเสวียนั้นยิ่งที่จะรับบทที่ท้าทาย และเรื่อง(ก่อปี้หมู่ชิน)ที่จ้างจินแสดงนั้นตอนนี้ได้เปลี่ยนไปรับบทงานเฉพาะกิจที่บ้าระห่ำ (เย้ออ้าย) ตัวละครหลักสามตัวนั้นล้วนมีการเปลี่ยนบทบาทที่เป็นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ และพวกเขา ได้อธิบายบทบาทที่ตัวเองแสดงนั้นอย่างไร


โหย่วเผิง :  พระเอกเสี่ยวเซิงได้เดินสู่เส้นทาง “คนบ้า”คนหนึ่ง

ในเรื่อง(เย้ออ้าย)โหย่วเผิงได้รับบทเป็นหมิงเทาที่ป่วยเป็นโรคจิต ในเรื่องนั้นโหย่วเผิงที่หล่อเหลานั้นได้แต่งตัวมอมแมม เชื่อว่าหลายคนดูแล้วก็จะตกใจ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนพูดว่า บทบาทนี้เป็นเส้นทางที่โหย่วเผิงเปลี่ยนจากภาพพระเอกมาสู่ภาพแห่งความเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าโหย่วเผิงก็มีมุมมองความเห็นที่แตกต่างออกไป เขาได้กล่าวว่าจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ที่ดีหรือไม่ดี “ผมเป็นคนหนึ่งที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง บทนี้นั้นสำหรับผมแล้วมันเป็นการท้าทาย แต่ว่าพูดว่าเป็นการทะลุทะลวงจากพระเอกเปลี่ยนเป็นบทร้ายอย่างนี้นั้นมันเป็นการพูดที่น่าขำและผิวเผินไปหน่อย” และสำหรับการแสดงออกถึงความท้าทายในครั้งนี้นั้น โหย่วเผิงกล่าวว่า สำหรับตัวเองแล้วยังถือว่าน่าพอใจมาก

“ไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาของการเปลี่ยนแปลง”

นักข่าว : มีคนบอกว่า (เย้ออ้าย)เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอาชีพการแสดงคุณ จากภาพลักษณ์พระเอกเปลี่ยนเป็นชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

โหย่วเผิง : ไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาของการเปลี่ยนแปลงมั้ง ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นศิลปินที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง บทของพระเอกนั้นได้แสดงจนถึงจุดสูงสุดไปแล้ว และอยากจะท้าทายบทบาทอื่นที่น่าสนใจ ไม่อยากจะซ้ำๆซากๆ


นักข่าว : ยังไงก็ยากที่จะคิดภาพของคุณในเรื่องที่เปลี่ยนไป ตลอดเวลาทีผ่านมานั้นคุณให้ภาพกับทุกคนคือชายผู้ไม่มีวันแก่


โหย่วเผิง :  (หัวเราะ) ตอนนี้จะมีการแตกต่าง ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองแก่แล้ว โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และอายุก็วางอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมยอมที่จะชราไปตามอายุ และผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองก็มีอายุประมาณนี้แล้ว

นักข่าว :  มีคนบอกว่า บทคนบ้าของคุณครั้งนี้นั้นแสดงจนตีบทแตกเลย ได้เปลี่ยนภาพอดีตที่คงอยู่ในดวงใจของทุกคนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลย

โหย่วเผิง :  จริงๆแล้วผมรู้สึกว่าการพูดอย่างนี้นั้นมันน่าขำและผิวเผินมาก การเป็นนักแสดงคนหนึ่งนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่เป็นเฉพาะพระเอกเท่านั้น หรือจะเป็นเพียงคนดีๆอะไรอย่างนั้น ผมคิดว่าการแสดงเป็นคนบ้านั้น จุดสำคัญไม่อยู่ที่การสร้างภาพแต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาทางสายตา

“บางครั้งผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้ว”


นักข่าว : เมื่อกี้คุณบอกว่าบทคนบ้านั้นมันท้าทายมาก ได้ข่าวว่าเพื่องานนี้แล้วคุณยังไปศึกษาที่โรงพยาบาลโรคจิตช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนหน้านี้คุณเคยรู้สึกกดดันกับการแสดงเป็นคนบ้าไหม?

โหย่วเผิง : ก่อนจะถ่ายนั้นได้ทำการบ้านมาบ้าง ความกดดันนั้นก็มีอยู่บ้าง ก็ตอนนั้นก็ได้คิดไว้ว่าจะพลิกแพลงวิธีไปตามเหตุการณ์ เมื่อถึงเวลาก็คลั่งบ้า จะกลัวอะไร?

นักข่าว  : ขอพูดบทของคุณให้ชัดเจนคร่าวๆได้ไหม


โหย่วเผิง :  นี่เป็นบทบาทหนึ่งที่มีความหมายมากๆ สังคมวัฒนธรรมยุคนั้นพิเศษมาก ตัวบทเองก็น่าสนใจน่าตื่นเต้น การบ้าคลั่งของมันก็มีหลายขั้นเหมือนกัน มันซับซ้อนไม่น้อยเลย จริงๆแล้วเขาเป็นวัยรุ่นที่ใจร้อน แต่เด็กก็มีอาการทางจิตแล้ว ได้กำเริบที่รัสเซียครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ได้เกิดเรื่องบางอย่างที่รัสเซีย หญิงสาวที่ตนรักนั้นถูกใส่ร้ายว่าเป็นฝ้ายตรงข้าม และนี่ก็ยิ่งทำให้โรคของเขานั้นหนักขึ้น เมื่อเขากลับมาในประเทศตัวเองใหม่ๆ ก็เป็นช่วงที่ได้เห็นที่ตี่ผิ่ง แม้ว่าเขามีโรคจิตในตัวเขาแล้ว แต่ดูผิวเผินแล้วเขาเป็นคนปกติทั่วไปที่มีความสง่า ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่นเลย จากนั้นถูกเรื่องบางอย่างกระทบจิตใจ ก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ตอนหลังก็ถูกแฟนทิ้งและถูกกดดันจากการเมือง ก็ได้บ้าคลั่งขึ้นมา ในโรงพยาบาลนั้นได้โรคได้กำเริบอย่างหนัก ตอนหลังก็ได้หลบออกมาจากโรงพยาบาล ได้เร่ร่อนพเนจรไปทั่วสารทิศ เป็นผู้ป่วยทางจิตที่มีสติคนหนึ่ง จนกระทั่งหันชิวเจอเขาได้ไปรักษาโรคที่บ้านแล้ว ลักษณะของเขานั้นเปลี่ยนไปจนหมด ตอนหลังเขาได้แต่งงานกับหญิงอื่นและเป็นพ่อคน และก็สงบลงไปเยอะมาก ไม่มีอะไรที่แบบอารมณ์ร้อน

นักข่าว : คุยเคยบอกว่าทั้งเรื่องนั้นคุณได้แสดงในอารมณ์ที่บ้าๆบอๆอยู่ตลอดเวลา?

โหย่วเผิง :  (ฮ่าๆๆ) ผมคิดว่าผมเข้าใจพวกเขา เวลาที่ใจลอยนั้นผมก็รู้สึกว่าผมนั้นบ้าไปแล้วจริงๆ ก็คงไม่ได้เป็นอย่างนี้จนหมดเรื่อง แต่ว่าในบางฉากนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนบ้าเลยแหล่ะ ตอนนี้ย้อนหลังมาดูฉากที่ตัวเองเล่นไปแล้วนั้น อารมณ์สายตาของคนบ้า แม้แต่ตัวเองก็ยังตกใจเลย ว่าตอนนั้นผมเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

นักข่าว :  ได้ข่าวว่าคุณอินกับมันมากจนนอนไม่หลับบ่อยๆ

โหย่วเผิง : ตอนนั้นทั้งคนได้กลายเป็นแบบประสาท ตอนที่ถ่ายเสร็จใหม่ๆนั้นก็ยังไม่ลืมมัน สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ตอนนั้นพอดีไปหาผู้กำกับเกาเฉียนซู เขาประหลาดใจผมมากๆว่าทำไมผมไม่เหมือนคนเก่า ก็เพราะโดยเหตุนี้เอง ตอนหลังเขาจะทำหนังเฟิงเซิง สิ่งแรกที่เขาคิดถึงก็คือโหย่วเผิงที่บ้าๆบอๆ (หัวเราะ)ผมเองก็ดีใจที่เขาเองได้มองเห็นจุดนี้ของผม

4088
2009-04-21  8:52:00


โหย่วเผิงจะเป็นคนสายฟ้าแลบถึงที่สุด

รายงานข่าว รวมพล ดาราดังจากละครเย้ออ้ายทั้งหมด 27 ตอนอย่างโหย่วเผิง หักแส เฉิงหลงและแสเจียหนีเป็นต้น จะออกอากาศทั่วประเทศในวันที่  24  จากสถานียูนาน เมื่อวาน พระเอกของละครเรื่องนี้ได้ไปโปรโหมดที่เมืองคุนหมิง ขณะให้สัมภากษ์จากสื่อนั้น ได้ยินเสียงจากนักข่าวบางคนบอกว่าเขาใน(อ้ายฉิงฮูเจี้ยวจ้วนหยี  2)นั้นเขาได้ได้มีการเปลี่ยนแปลงบทไปมาก มันเป็นเหมือนมนษย์สาฟ้าแลบ โหย่วเผิงกล่าวอย่างขำๆว่า “ต่อไปผมก็จะไม่หยุดในการที่จะเป็นคนฟ้าแลบ จะท้าทายการยอมรับของแฟนๆ”

บ่ายวานนี้ เนื่องจากเครื่องลงช้ากว่ากำหนด กิจกรรมระหว่างโหย่วเผิงกับแฟนๆที่ได้นัดหมายกันในช่วง 4โมงกลับถูกเลื่อนออกไป จนถึง 5 โมงเย็น โหย่วเผิงที่แต่งตัวสบายๆก็ได้โผล่ออกมา ทันทีที่เขาปรากฎตัว ทำให้กล้องทุกตัวนั้นโฟกัสไปที่ตัวเขา แม้ว่าเวลานัดหมายนั้นจะช้าไปชั่วโมง แต่เสียงปรบมือเสียงกรี๊ดที่แฟนๆมาต้อนรับเขานั้นยังคงเสียงดังมาก ในงานนั้นส่วนมากจะมีแต่แฟนหนังที่เป็นสาวๆ และยังมีแฟนๆรุ่นวัยกลายคนที่มากจากก่วงโจว ฮ่องกง ได้ยินเสียงที่พวกเขาพร้อมใจกันตะโกนว่า “ จะอดีตหรือปัจจุบัน รักโหย่วเผิงที่สุด” ทำให้โหย่วเผิงซึ้งใจเป็นอย่างมาก ขณะที่สัมภาษณ์นั้น เพื่อทำการเรียกร้องของแฟนๆโหย่วเผิงได้ร้องเพลงประกอบของเย้ออ้ายสดๆให้แฟนๆฟัง เสียงร้องของเขานั้นทำให้แฟนๆกรี๊ดกันสะนั่น

ทีวี .  ผู้ป่วยโรคจิต มันเปลี่ยนภาพลักษณ์จากฟ้าเป็นดินเลย

พูดถึง(เย้ออ้าย) โหย่วเผิงได้แนะนำว่า มันเป็นบทที่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาที่เป็นแต่ผู้ดีสว่าผ่าเผย ในเรื่องนั้นตัวเองก็รับบทเป็นหมิงเทาที่เป็นโรคจิตที่หลากหลายอารมณ์หน้าตา อารมณ์นั้นมันต่างกันเยอะมาก บางครั้งเขาได้เปลี่ยนเป็นฉิงหลันซึ่งเป็นนิยายในสมัยโบราณ อารมณ์ความรักที่ซึ้งใหญ่ดังทะเล  บางครั้งก็หน้าตาสกปกมอมแมม อาการแสดงออกที่น่ากลัว เป็นภาพคนโรคจิตกำเริบสุดๆอย่างนั้น เอ่ยถึงตัวละครต่างๆของเรื่อง โหย่วเผิงได้กล่าวว่า “ นี่เป็นผู้ป่วยทางจิตเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในร่างกายนั้นมีอาการทางจิตที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าเขาได้ซื่อสัตย์ต่อศาสนาและความรักอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้กำกับฝ่านเรียกเราว่า “ผู้ป่วยทางจิตที่สง่าผ่าเผยคนหนึ่ง” ถามว่าการรับบทครั้งนี้นั้นมันเป็นอะไรที่ต่างกันแบบฟ้ากับดินเลย ไม่กลัวที่จะกระทบต่อภาพลักษณ์ที่อยู่ในใจของแฟนๆหรือ? โหย่วเผิงส่ายหัวแล้วพูดอย่างยิ้มว่าไม่กลัว “คงจะมีแฟนๆบางคนไม่เคยชิน จะมีเสียงตอบกลับมาบ้าง แต่ก็จะมีบางคนที่เห็นถึงความพยายามของผม และจะให้กำลังใจผมต่อไป”

ที่ผ่านมาก็ไม่มีตัวละครอย่างหมิงเทาให้ดูหรือให้เป็นแบบอย่าง  ฉะนั้นโหย่วเผิงก็ได้แต่เพียงไปสอบถามหมอ เข้าอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลที่เกียวกับคนเป็นโรคจิต ไปสัมผัสและเข้าใจถึงคนที่ป่วยทางจิต ในเรื่อง ขณะที่เขาแสดงบทของหมิงเทาตอนที่เข้าร่วมทหารกับรัสเซียได้เจอการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ และทำให้บุคลิกของเขาหักแหไป จนทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพที่สามส่วนปกติเจ็ดส่วนบ้าหรือเจ็ดส่วนปกติสามส่วนบ้าอย่างนั้น และจากตรงนี้ก็ทำให้โหย่วเผิงนั้นต้องเจอกับความลำบากมากมาย “บางครั้งผมอิงกับการแสดงมากเกินไป จนทำให้ตัวเองนั้นสับสนไปหมด ทั้งตัวแสดงบุคลิกอาการของคนบ้าออกมา”

ภาพยนตร์ เฟิงเซิง ยังท้าทายกับการยอมรับของผู้ชมต่อไป

จากฐานะของนักร้องที่เข้าสู่วงการบันเทิงอย่างโหย่วเผิง ระยะนี้ได้เปลี่ยนทิศทางการงานเน้นไปทางการแสดงภาพยนตร์เป็นหลัก ช่วงก่อนมีข่าวว่าโหย่วเผิงได้เข้าไปที่ห้องบันทึกการขับร้องเพลงไปบันทึกเพลงอัลบั้มใหม่ ทำให้เป็นที่รอคอยของแฟนเพลงเป็นจำนวนมาก สำหรับเรื่องนี้ เมื่อวานโหย่วเผิงยืนยันว่า การที่ตัวเองได้เข้าไปอัดเสียงในห้องนั้นเป็นเพียงการร้องแค่เพลงเดียวเท่านั้น และเพลงเดียวนี้จะออกมาในเร็วๆนี้ด้วย

โหย่วเผิงบอกว่าตัวเองนั้นไม่ได้รับงานแสดงเกือบสองปีเต็มเลย เหตุผลก็คือเพราะตัวเองนั้นไม่ชอบกับบทที่ต้องแสดงแบบสไตล์จำเจมาตลอด บทที่จำเจนั้นไม่ได้นำสีสันมาสู่ตัวเองเลย  “ฉะนั้นผมเองก็ได้รอคอยมาตลอด จนได้มาเจอบทที่วิปลิตอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าโอกาสนั้นมาแล้ว สามารถที่จะสำแดงความสามารถที่ซ่อนอยู่แล้ว” บทของหมิงเทานั้นโหย่วเผิงเข้าใจว่าเป็นบทที่ “ตั้งแต่รับงานแสดงมานั้นบทนี้เป็นบทที่ความยากมากที่สุด” นอกจากนี้ เขาเองยังกล่าวว่าอนาคตนั้นยังจะท้าทายความรู้สึกในภาพลักษณ์ของเขากับผู้ชม เขายังยกตัวอย่างเฟิงเซิงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น “ในเรื่องนั้นผมก็ยังรับบทที่มันแปลกๆ พิเรนๆ พวกหัวแข็กเป็นต้น เมื่อผู้ชมได้เห็นถึงบทบาทแล้วคงตลึงไม่น้อยเลย”


4089
2009-4-21 8:52:00



(เย้ออ้าย) จะออกอากาสทางสถานีหยูนานในวันที่ 24  วันนี้โหย่วเผิงไปโปรโมทที่เมืองคุนหมิง

เวลาที่แถลง 20 เม.ย. 2009

หนังเรื่อง(เย้ออ้าย)ที่นักแสดงพระเอกโหย่วเผิงกับนางเอกหันเสวี่ย ได้แสดงนั้นจะเริ่มออกอากาสในวันที่ 24 ของสถานีหยูนานทุกวันและวันละสามตอน ละครเรื่องนี้นั้นได้แตกต่างจากละครเรื่องเดิม จะออกแนวไปทางของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นสงครามจิตวิทยา และสามารถจะเห็นได้ถึงการเปิดเผยออกมาของคนในท้องถิ่น สามารถที่จะกล่าวได้ว่าละครเรื่องนี้จะเป็นละครจิตวิทยาเรื่องแรกของจีน วันนี้โหย่วเผิงพระเอกในละครจะไปโปรโมทเริ่มออกอากาศ  ละครเรื่องนี้ที่เมืองคุนหมิง ครั้งนี้นั้นโหย่วเผิงได้แสดงในแนวที่ต่างจากอดีตที่รับแต่บทที่ภาพลักษณ์ดีมากลายเป็นคนหนึ่งที่เป็นโรคจิต ได้รักกับเสิ่นหันชิวที่รับบทโดยหันเสวี่ยอย่างลืมตาไม่ขึ้น ได้รับความสับสนจากความบ้าคลั่ง ความรัก ความระแวงหลายอย่างนั้น โหย่วเผิงแสดงบทความรักที่สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี และทีมงานต่างก็ทึ่งและชมเชยการแสดงของเขา แม้กระทั่งผู้กำกับฝ่านยังหยุดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม “จากผลงานของเขามันกล่าวแก่ผมว่า เขาเป็นคนที่มีสปีริตจริงๆ”

20  เม.ย.  2009 รายงานข่าวจากสถานียูนาน . 24เม ย สถานียูนานจะออกอากาสละครเย้ออ้ายที่โหย่วเผิงและหันเสวี่ยได้แสดงเพื่อผู้ชมทุกท่าน

จากเจ้าชายในวังเป็นเป็นผู้ป่วยทางจิต จากภาพลักษณ์เจ้าหญิงสลัดมาเป็นหญิงสาวบ้าคลั่ง โหย่วเผิงกับหันเสวี่ย ได้ลสัดภาพลักษณ์เก่าในละครเรื่องเย้ออ้าย ได้ร่วมแสดงเรื่องที่ผิดปกติบวกกับความรัก ละครเรื่องนี้นั้นได้เอ่ยถึงสมัยเริ่มแรกของการสร้างราชอณาจักร หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่รักในสังคมนิยมได้ทำลายอำนาจ ได้มีการประลองกำลังทั้งในที่มืดและที่แจ้ง นางเอกหันเสวี่ยที่ลสัดคราบของความเป็นผู้มียศศักดิ์รับบทเป็นหญิงโสเภณี เซิ่นหันชิวที่สูงศักดิ์ หนักแน่น อารีย์ ไม่เพียงแต่จะได้รับหน้าที่ในการต้องไปทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยังต้องมีฉากที่ไปมีความรักที่ทั้งสูขทั้งน้ำตากับหมิงเทาที่โหย่วเผิงรับบทอย่าง ในเรื่อง ทั้งสองคนล้วนมีผลงานที่ดี จนได้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งเรื่อง มันคุ้มค่าแก่การรอคอยจริงๆ




4090

ในเรื่อง เย้ออ้ายนั้น ผมเองก็เป็นคนบ้าคนหนึ่ง

ฟังโหย่วเผิงพูดถึงจิตใจแห่งการสร้าง

สำนักข่าว ซูโจว

จากอู่อาเกอ(องค์ชายห้า) ในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ จนถึงตู้เฟยในเรื่อง(ฉิงเซินๆหยี่เหมิงๆ)และจางอู่จี้ใน(อีเทียนสูตี้) ศิลปินภาพยนต์และละครที่ได้เดินมาตลอดทางนั้น แม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็เป็นที่ตรึ่งตราลึกๆในใจเราอยู่ แต่เมื่อปี 2008  แล้ว โหย่วเผิงก็ไม่ได้แสดงละครทีวีอีกแล้ว เมื่อห่างกับสองปี โหย่วเผิงได้เลือกที่จะตัดสินใจร่วมงานกับโรงเรียนสถานีซูโจว รับการถ่ายทำละครทีวีเรื่องเย้ออ้าย 27  ตอนด้วยกัน ในเรื่องนั้นรับบทเป็นซูหมิงเทาที่ป่วยเป็นโรคทางจิต และได้ประสบความสำเร็จที่เห็นได้ชัดจากงานการแสดงของเขา เมื่อวาน (19 เม ย 2009 ) โหย่วเผงมาถึงที่ซูโจว เขาเองได้กล่าวถึงความบ้าคลั่งของตัวเองกับนักข่าว

นี่เป็นบทที่แปลกและน่าตื่นเต้น

สำหรับเรื่องราวของ(เย้ออ้าย)นั้น ผู้กำกับฝ่านเคยใช้ ”หญิงโสเภณี คนหนึ่งได้เจอกับชายสง่างามคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคจิต ในนั้นยังใช้ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง กับหน่วยข่าวกรองที่เป็นโรคความกดดัน ”คำสั้นๆ มาแนะนำ ก็เป็นไปในลักษณะอย่างนี้ที่มีคนหลายสไตล์บ้าๆบ้องๆ มาเจอกันแล้วมีเรื่องราวที่ตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้นมากมาย ซูหมิงเทาที่โหย่วเผิงรับบทนั้นก็เป็นตัวละครหนึ่งในนั้นที่มีบุคลิกที่พิเศษ ในเรื่องนั้นพระเอกเป็นชายหนุ่มที่สง่างามน้ำใจดี เป็นคนดี  แต่กลับถูกความกดดันจากเรื่องการเมืองและความรักอย่างแรง จนทำให้จิตใจไม่ปกติ ประสาทก็ไม่ปกติ นี่ไม่เพียงยากในการแสดงเท่านั้น แต่จะเรียกร้องให้ผู้แสดงนั้นมีสภาพทั้งภายในและภายนอกของร่างกายจะต้องสูง เหตุเพราะบทบาทที่น่าตื่นเต้น น่าแปลกประหลาดอย่างนี้แหล่ะเลยเป็นที่ถูกใจของโหย่วเผิง เขากล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าช่วงระยะเวลาในการเขียนเรื่องราวแต่ละตอนนั้นมันสนุกมาก บทของซูหมิงเทานั้นเป็นบทที่ถือได้ว่ายากที่สุดเท่าที่ผมเคยรับบทแสดงมา มันไม่มีต้นแบบ ไม่สามารถไปหามองดูตัวละครอื่นแล้วมาแสดง ก่อนหน้านี้นั้น ในสมองของผมนั้นไม่มีตัวละครใดๆโผล่ขึ้นมาเลย มันล้วนคิดขึ้นมาจากกระดาษขาวว่างเปล่าเท่านั้น

โหย่วเผิงกล่าวว่า “ขณะที่แสดงบทหมิงเทานั้น รู้สึกว่าสิ่งที่ยากมากๆก็คือมาตรฐานของมัน เพราะแต่แรกนั้นหมิงเทาไม่ได้เป็นคนบ้าเลย เขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง และค่อยกำเริบออกมา ต่อมาขณะที่เขาค่อยๆดีขึ้นแล้วนั้น ก็ได้รับการกระทบกระเทือนอีก และก็เป็นจิตประสาทอีกครั้ง ตัวเขานั้นก็มีแต่เดียวกำเริบเดียวหายไปๆมาๆอย่างนั้น”  โหย่วเผิงกล่าว บางครั้งหมิงเทานั้นเป็นบ้าอยู่ แต่คำพูดนั้นกลับมีเหตุมีผล การจะเป็นนักแสดงนั้นจำต้องรักษามาตราฐาน ก็ค่อยๆแสดงอาการโรคจิตของหมิงเทาไปตามลำดับหนักเบาของโรค สภาพการณ์ทั้งหมดนั้นก็เสมือนภาพภาพหนึ่ง ตอนถ่ายนั้นจะมีจุดๆที่ต่างกันไป แต่เมื่อถึงตอนสุดท้ายนั้นมันจะกลายเป็นเส้นเดียวที่เรียบร้อย วิธีการแสดงออกอย่างนี้นั้นบางทีมันทำให้ผมรู้สึกว่าสับสนมาก เมื่อตอนถ่ายทำเสร็จแล้วเนี่ยมันทำให้ตัวเองรู้สึกว่ายากจะเชื่อในตัวเองเลย ในเมื่อสามารถที่จะทำหน้าที่อย่างนี้ให้มันสำเร็จได้นั้น เมื่อได้แสดงตัวละครบทอย่างนี้จริงๆแล้วเนี่ยทำให้ตัวเองเหมือนกับเป็นคนบ้าคนหนึ่งจริงๆ


การลงทุนที่มีเลือด บังคับตัวเองบ้า

ในเรื่องนั้น หมิงเทานั้นเป็นโรคจิตคนหนึ่ง เพื่อจะแสดงบทนี้ให้ดี โหย่วเผิงกล่าวว่าตัวเองนั้นได้ตั้งใจไปในโรงพยาบาลโรคจิตไปสัมผัสชีวิตของพวกเราโดยตรงเลย ได้ไปสังเกตเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา แน่นอน การไปสังเกตุอย่างนี้ก็เป็นเพียงการไปดูชีวิตผิวเผินของพวกเขาเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพจิตใจของพวกเขาได้ เพราะว่าคุณไม่สามารถที่จะไปพูดคุยเป็นเวลาที่ยาวนานกับพวกเขาอย่างคนปกติได้ แต่ว่าขณะที่ถ่ายทำนั้น คุณก็ไม่สามารถที่จะแสดงแบบไม่เข้าถึงอารมณ์ของพวกเขาเลย ฉะนั้น ทุกครั้งที่ถ่ายทำ ผมก็มักจะพยายามให้ตัวเองนั้นเข้าถึงตัวบทของมัน บังคับตัวเองจนแทบบ้าแล้ว  โหย่วเผิงกล่าวว่า ทั้งเรื่องนั้นจะจบลงแบบบ้าๆบอๆอย่างนั้น บางครั้งก็มักจะรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นเป็นเหมือนคนโรคจิตจริงๆ จนทำให้ช่วงเวลาที่ถ่ายทำนั้นนอนไม่ค่อยหลับ “ตอนนี้เมื่อหวนกลับไปคิด ผมเองก็คิดไม่ตกเหมือนกันกับการถ่ายทำในระยะเวลาเดือนครึ่งนั้น ไม่รู้แรงกำลังมาจากไหนที่ทำให้งานนั้นเสร็จสิ้นลงได้

เหตุที่อยากจะให้บทนั้นสมจริง โหย่วเผิงได้อิงกับการเข้าฉากเป็นอย่างมาก จนกระทั่งยังมีการลงทุนถึงขนาดมีเลือดออก เขากล่าว มีฉากหนึ่งนั้นได้ไปถ่ายที่โรงบาลโรคจิต สภาพจิตใจของหมิงเทานั้นมันตกอยู่ในสภาพที่จิตใจแตกซ่านแล้ว ดิ้นไปดิ้นมา จิตใจกระสับกระส่าย รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย โหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวบทเดินที่คือต้องมัดมือมัดเท้าของหมิงเทา แต่ว่าเวลาถ่ายทำจริงๆ ทางทีมงานคิดถึงความปลอดภัยฉะนั้นเลยมัดแต่มือเท่านั้น สองเท้ายังดิ้นได้ “ผมเลยคิดว่าการถ่ายอย่างนี้นั้นมันไม่ค่อยถูกหลักเท่าไร เห็นได้ชัดว่าสองขายังดิ้นได้อยู่ ก็จะไม่มีอารมณ์ที่จะต้องไปดิ้นสู้ต่อไป” เพื่ออยากจะแสดงอาการทางจิตใจของหมิงเทาให้ออกมาได้สมจริงที่สุดนั้น โหย่วเผิงได้ขอให้ทางผู้กำกับเอาเชื่อกมัดที่เท้าของเขาอีกเส้น สุดท้าย ขณะที่ถ่ายทำนั้น อาการคลั้งบ้าของโหย่วเผิงกำเริบ ออกแรงเยอะไป ไม่มีอะไรมาประคองเขาไว้ แล้วเขาก็ตกลงมาข้างล้าง “ค้างกระแทกกับพื้น ริมฝีปากล้างโดนฟันกัดจนเป็นแผล” ตอนแรกนึกว่าไม่หนักหนาสากันแต่อย่างไร หยิบกระจกแล้วมาส่องตัวเอง ก็เพิ่มสังเกตุเห็นว่าเลือดไหลไม่หยุดเลย จนเขาต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล “มันทำให้ทีมงานตกใจจนให้ผมหยุดพักตั้งหนึ่งอาทิตย์ ผมรู้สึกต้องขอโทษพวกเขาจริงๆ แต่ว่า การที่ผมลงทุนขนาดนี้นั้นมันก็คุ้มค่า เพราะสิ่งที่ผมอยากจะแสดงออกมานั้นต้องการความสมจริง


“ขโมยวิชา” ในตัวของฝ่านเสี่ยวเทียน

โหย่วเผิงกล่าวว่า การเลือกที่จะร่วมงานกับทางโรงเรียนศิลปะการแสดงของซูโจวกับผูกำกับฝ่านนั้น เป็นโอกาสที่ดีโอกาสหนึ่ง อยู่ในระหว่างการถ่ายทำนั้น โหย่วเผิงสัมผัสว่าผู้กำกับฝ่านนั้นเป็นผู้กำกับที่กวดขันฉลาดทั้งยังมีไหวพริบที่ดีคนหนึ่ง ขณะในการสร้างบทนั้นเขามีไอเดียดีๆหลายอย่าง ความคิดของเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างธรรมชาติ เป็นสไตล์แบบกระโดดไปมาไม่อยู่กับที่ บางครั้งความคิดเขาเร็วเกินไป ปากเขาแทบจะตามสมองไม่ทัน ขณะพูดนั้นจะโดดไปมาตลอด “หากว่าไม่ใช่เป็นผู้กำกับที่พิเศษอย่างนี้จะไปกำกับละครที่พิเศษอย่างนี้ได้อย่างไง ผู้กำกับที่แปลกๆก็เลยมีการสร้างตัวละครที่แปลกๆออกมา และเนื้อเรื่องก็ประหลาดๆอีกด้วย”  โหย่วเผิงกล่าวว่า ในบุคลิกภาพบางส่วนในตัวของหมิงเทานั้นมันก็มีในตัวของผู้กำกับฝ่านด้วย “ผู้กำกับคนหนึ่งที่มีมารตฐาน มีประสบการณ์ มีความกวดขันนั้นมันย่อมมีอิทธิพลต่อผลงานการแสดงของตน การร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านนั้นแน่นอนผมย่อมมีความกดดัน อย่างไรก็ตามขณะที่แสดงบทของหมิงเทานั้นผมก็จะแอบขโมยสิ่งบางอย่างในตัวของผู้กำกับฝ่านมาใช้” โหย่วเผิงพูดแล้วหัวเราะไปด้วย

สำหรับละคร เย้ออ้าย ยังไม่ทันออกอากาศก็ร้อนไปแล้ว(เย้อแปลว่าร้อน) สังเกตุเห็นถึงมาการขโมยดาวโหลดในเน็ต โหย่วเผิงใช้คำว่า “ทั้งดีใจและเสียใจ”กับการกระทำอย่างนี้ ที่ว่าดีใจก็คือละครเย้ออ้ายนี้แม้ว่ายังไม่ทันได้ออกอากาศแต่ก็เป็นที่สนใจของมวลชนเป็นอย่างมาก ส่วนที่เสียใจคือกังวลถึงทางบริษัทผู้ผลิตรละครเรื่องนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะซื้อแผ่นจริงมาชม

ได้ขนามนามว่า “นักแสดงละครทีวี”อย่างโหย่วเผิงนั้นในปี 2009 นี้จะตัดสินใจไปเอาดีทางด้านภาพยนตร์แล้ว เขาได้กล่าวกับนักข่าวว่า หลังจากที่เสร็จสิ้นการโปรโมทละครทีวีเย้ออ้ายแล้ว เขาก็จะรีบกลับไปที่ค่ายที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์(เฟิงเซิง)นั้น ในภาพยนตร์เรื่องนั้นนั้น เขารับบทเป็นนักละครเพลงที่มีชื่อเสียง เขากล่าวว่าได้ยินว่าภาพยนตร์(ตู้ตันถิง)ของซูคุนนั้นน่าดูมาก แต่ว่าก็ยังไม่มีโอกาสได้ดู อย่างไรก็ตาม เหตุเพื่อจะถ่ายภาพยนตร์เฟิงเซิง เขาได้ไปหาอาจารย์เพื่อนให้ท่านสอนละครเพลง (เย้ออ้าย)เป็นการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ต่อแต่นี้ไปผมก็จะปรากฎตัวในบทบาทที่แตกต่างออกไปให้กับทุกคนได้เห็นและได้ตื่นเต้นไปด้วย นำความตื่นเต้นมาสู่ทุกคน” โหย่วเผิงมีความมั่นใจเต็มร้อย


4091

20  เม ย 09 โหย่วเผิงเป็นแขกรับเชิญในงานราตรี อยากเป็นคนแบบระห่ำ

ผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนได้สร้างละครเรื่องใหม่ เย้ออ้าย (ชื่อเดิม ต้าเจิ่นฝาน)จะออกอากาศทั่วประเทศในเร็วๆนี้ นักแสดงตัวเอกอย่างโหย่วเผิงกับหันเสวี่ยก็ได้มาถึงที่ซูโจว มาร่วมพิธีฉายปฐมฤกษ์ หันเสวี่ยได้ตอบรับการสัมภาษณ์ของสื่อ โหย่วเผิงก็ได้ไปที่งานราตรีและได้พูดคุยกับผู้อ่านด้วย

รายงาน บ่ายวาน ศิลปินชื่อดังทั้งเป็นนักร้อง นักแสดงละคร หนังอย่างโหย่วเผิง ได้ไปเป็นแขกให้กับทางงานในการพูดคุย


ถาม >> เริ่มแรกคิดอย่างไรที่ไปรับบทเป็นคนโรคจิตในละครเรื่องเย้ออ้าย

ตอบ <<  การที่จะรับบทอย่างนี้นั้นเป็นความใฝ่ฝันของผมมาโดยตลอด จากการแสดงหนังและละครมาจนถึงวันนี้ บทบาทของผมนั้นเป็นกระแสหลักมาโดยตลอด เป็นประเภทใหญ่ จะเป็นบทที่คนปกติเสียส่วนใหญ่ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ความคิดความสามารถแล้ว เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองแล้ว ฉะนั้นก็จะเลือกเอาบทที่ทุกคนมองว่าแปลกคน เป็นบทที่ไม่ใช่แต่เพียงราบๆเรียบๆ จากบทในเรื่องเย้ออ้ายนั้น เป็นคนโรคจิตที่สับสนมากๆ แม้ว่าเรื่องในละครนั้นมันสนุกมาก แต่ว่าบทนั้นมันไม่ดีเลย

ถาม >> เพื่อจะเปลี่ยนรับบทอย่างนี้นั้นได้มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ตอบ  << ปกติแล้วจะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้นๆ และได้ทำการบ้านพื้นฐานมาบ้าง แต่ว่าบทโรคจิตของเย้ออ้ายในเรื่องเก่านั้นไม่มีบทนี้เลย ฉะนั้นก็คงไม่มีแบบให้ดู แต่จะคิดขึ้นมาใหม่ๆล้วนๆ เพื่อจะแสดงบทนี้ให้ดีที่สุด เพียงทางเดียวคือต้องเข้าถึงความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง คิดใคร่ครวญตัวบทและบทของตัวละคร มีเพียงทางเดียวคือเอาตัวเองเข้าสู่สภาพอย่างนั้น ถึงจะมีจิตวิญญาณอย่างนั้นจริงๆ ในช่วงเวลานั้น ผมเองเป็นมิตรที่ดีต่อคนที่เป็นโรคจิต ในขณะถ่ายทำนั้น เหตุเพราะอารมณ์อิงกับเรื่องเกินไป เพื่ออยากจะให้เห็นถึงอารมณ์อย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งเหมือนกับจิตใจแตกซ่าน ต้องเสียเวลาไปมากมาย แต่ทุกคนก็ไม่บ่น ก็จะให้เวลาผม ผมขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง



ถาม >>  จะเข้าใจถึงบทอารมณ์ของซูหมิงเทาได้อย่างไร อนาคตจะรับบทที่แปลกๆอย่างนี้อีกไหม?

ตอบ <<  เขาเป็นผู้ป่วยทางจิตที่อยู่ในโลกแห่งความสับสนของสภาพจิต ในสมองของเขานั้นมีความทรงจำหลายอย่างได้พลุๆโผล่ๆอยู่ตลอด มันประสาทกินมาก ขณะถ่ายทำนั้น จิตใจตัเองจะแตกซ่านบ่อยๆ จริงๆแล้วการถ่ายทำละครทีวีนั้นมันทรมานคนมาก แค่ในฉากเดียวเท่านั้น คางของผมก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว เวลาพักก็น้อยมาก เวลาการถ่ายทำนั้นกระชับมาก ผมเองก็ยังงงอยู่ว่าช่วงเวลานั้นมันผ่านมาได้ไง บทบาทนี้ระห่ำมาก มีความท้าทายมากมาย สำหรับบทอย่างนี้นั้นมันเป็นที่ดึงดูดใจผมเป็นอย่างมาก ก็ยังจะไปแสดงบทอย่างนี้อีก

ถาม >>  รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจากละครทีวีมาเป็นภาพยนตร์นั้น ขอลองกล่าวถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ถ่ายทำไปในปีนี้ให้ฟังหน่อย(สี่กามเทพ กับ ตามหาพี่หลิวซัน)

ตอบ <<  ความแตกต่างระหว่างละครกับภาพยนตร์นั้นก็เยอะเหมือนกัน ทั้งด้านการสร้างกับการถ่ายก็มีมารตฐานที่ไม่เหมือนกัน และภาพยนตร์สองเรื่องนี้เป็นสองเรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนการแสดงจากละครมาสู่ภาพยนตร์ พูดได้ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องที่สองของผม

ถาม >>  ภาพยนตร์เฟิงเซิงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น นี่เป็นภาพยนตร์สไตล์ไหน ลองเล่าถึงบทที่คุณรับเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เล่นละครเพลงให้ฟังหน่อย

ตอบ >>  ความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่องกับภาพยนตร์นั้นผมเองก็บอกไม่ได้ แต่ว่า (เฟิงเซิง)บทของไป๋เสียวเหนียนนั้นมันสนุกมากๆ บทนั้นพิเศษและประหลาดมาก เป็นเรื่องหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของมัน และมีบทที่ตื่นตาตื่นใจด้วย เริ่มแรกนั้นผมเองก็ไม่ได้สัมผัสกับละครเพลงเท่าไหร่(เป็นละครเพลงจีนทางใต้) แต่เหตุเพราะความจำเป็นของการภาพยนตร์กับบทที่ตัวเองได้รับนั้นจึงไปศึกษาละครเพลง สมัยเด็กๆนั้น ที่ไต้หวันก็ได้เห็นละครเพลงบ่อยๆในทีวี ยังเด็กก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าละครเพลงนั้นมันมีศิลปะที่สวยงามมาก เป็นอะไรที่มีประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางศิลปะเป็นอย่างยิ่ง

ในระหว่างการถ่ายทำนั้น ผมรู้สึกว่าศิลปะโบราณของจีนนั้นสวยงามมาก คุณค่าของศิลปะนั้นสูงมาก ขณะที่รับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เป็นอาจารย์ศิลปะนั้น ตัวผมเองก็รู้สึกถึงตัวเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะไปแล้ว บทบาทนั้นมีอิทธิพลต่อผมอย่างเงียบๆ



ถาม >> คุยถึงการร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนในเรื่องเย้ออ้ายนั้น ในระหว่างการถ่ายทำนั้นมีเรื่องอะไรที่ยากจะลืมไหม?

ตอบ << ผู้กำกับฝ่านนั้นคนที่กวดขัน(เข้มงวด)  แน่นอน เวลาถ่ายทำนั้นจำต้องมีผู้กำกับอย่างนี้ถึงสามารถทำให้ละครนั้นเสร็จสิ้นไปด้วยดี มีความหนักแน่น มีประสบการณ์ ผู้กำกับที่เคร่งครัดนั้นมีอิทธิพลต่อผลงานละครเป็นอย่างมาก ร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านนั้นมีแรงกดดันแน่นอน แต่ว่าตอนถ่ายทำนั้นก็ยังโอเค ผู้กำกับฝ่านนั้นเป็นคนที่คบง่าย ความคิดของท่านนั้นมีการประยุคอยู่ตลอดเวลา ขณะถ่ายทำนั้นคุณก็จะสังเกตได้ว่าผู้กำกับหายไปในทันใดเลย ท่านก็จะไปตามหาความคิดของเขา จำได้ว่า ครั้งหนึ่งผมได้ทะเลาะกับผู้กำกับฝ่าน ลืมไปแล้วว่าสาเหตุอะไร แต่ว่าจุดฉนวนนั้นไม่ใช่ผม หลักๆคือการไม่เข้าใจกันในเรื่องบทบาทของตัวละคร เพราะว่าผมเองไม่ได้เป็นคนที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง ฉะนั้นความคิดของผมกับคนอื่นอาจไม่เหมือนกัน ผมเองก็มีทิฐิของตัวเองด้วย ก็เลยมีการแตกแยก

ถาม >>  อนาคตยังคิดที่จะถ่ายทำละครทีวีอีกไหม หากว่าจะถ่ายแล้วจะถ่ายแบบแนวอย่างนี้หรือเปล่า

ตอบ <<  ปีนี้หลักๆก็ยังคงเป็นการถ่ายภาพยนตร์ แต่ว่าก็มีละครทีวีบ้าง แน่นอนก็ยังคิดที่จะรับบทสไตล์อย่างนี้อยู่ มีบทที่แตกต่างที่เป็นลักษณะพิเศษอย่างนี้

ถาม  >>  เป็นศิลปินนั้น มีอะไรที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย คุณอยากจะเป็นศิลปินประเภทไหน?

ตอบ << ผมรู้สึกว่าผมไม่มีเป้าหมายสุดท้ายอะไร ผมมีท่าที่ในใจที่ดีอย่างหนึ่งคือผมเองจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ผมนั้นไม่คิดว่าตัวเองนั้นสุดยอดแล้ว ผมคิดว่าตัวเองยังจะตัองพัฒนาอยู่เสมอ ผมอยากเป็นศิลปินที่สนุกที่ตื่นเต้นที่ระห่ำคนหนึ่ง



4092
Translated By  Chomnath



2009/04/01

ซูโหย่วเผิง .จำเป็นต้อนเรียนรู้ในการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”

คนเราทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ว่า “สวรรค์ไม่เป็นใจเสมอ” น้อยคนมากที่สามารถมีชีวิตดั่งปรารถนา การงานที่ราบรื่น การเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าของสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นทำให้ยากจะควบคุมได้ ฉะนั้นแต่ละคนก็ยากจะปรับนิสัยและจุดอ่อนของตัวเองให้ออกไปได้ สิ่งเหล่านี้นั้นมันล้วนได้เข้ามามีส่วนในชีวิตของพวกเราโดยปริยายแล้ว เราจำต้องเผชิญกับอุปสรรค์วิกฤตที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย บางคนชีวิตถึงกับต้องจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้โดยลุกไม่ขึ้น ไม่สามารถที่จะก้าวออกไปได้ บางคนสามารถอยู่ในช่วงเวลาอย่างนี้หาช่องทางที่จะปลดปล่อยและหลุดพ้นจะวิกฤต เดินออกจากวิกฤตได้



จากศิลปินโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้นเคย จนถึงเถียนจิงซวงที่มีชื่อเสียงมากในจีนนั้น และนักธุรกิจที่ดังที่พึ่งเซ็นสัญญาหมาดๆอย่างเจ้าเหว่ย วิกฤตที่พวกเขาเหล่านั้นเผชิญกันนั้นก็คงไม่ต่างไปจากที่พูด แต่ว่า จะหาช่องทางออกในการเผชิญกับวิกฤตนั้น จากประสบการณ์และเรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นอาจให้ข้อคิดกับคุณได้

“หากว่าการงานอาชีพของคุณอยู่ในสภาพของจุดสูงสุดนั้น คุณก็ตั้งใจในการทำการทำงาน พยายามที่จะหาเงินให้ได้มากหน่อย หากว่าการงานอาชีพคุณตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คุณสามารถที่จะวางงานต่างๆของคุณ ใช้เวลาที่จะอยู่กับเพื่อนๆและคนในครอบครัวให้เยอะหน่อย ให้เวลากับการดูแลสุขภาพของตัวเองให้เยอะหน่อย สิ่งที่จะทำงานก็ไม่ได้น้อยไปกว่าช่วงที่คุณยุ่งเลย จากการมองระยะไกล บางทีสิ่งเหล่านี้มันสำคัญกว่าหน้าที่การงานของคุณอีกด้วย

ซูโหย่วเผิงคิดว่า ชีวิตคนเรานั้นจำต้องผ่านวิกฤตและมรสุม ขณะที่วิกฤตเข้ามาในชีวิต ท่าที่ของคนเรานั้นบางทีก็สำคัญกว่าวิธีการรับมือวิกฤต

วัย 36 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นมองมีเขาแล้วก็ยังมีร่องรอย ไกวๆหู่ ให้เห็นอยู่ และภาพลักษณ์ของขวัญใจนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ปัจจุบันเขาได้เป็นศิลปินระดับต้นๆของวงการที่ได้เซ็นสัญญากับคุณหัวอี้ เขามีที่พักพิงที่มั่นคง การงานของเขาก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงและก้าวไกล อย่าไปดูว่าเขาอายุยังหนุ่ม แต่ว่าอายุประสบการณ์การงานของเขานั้นย่างเข้า 20 ปีแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นั้นเขาได้ผ่านจุดสุดยอดและจุดตกต่ำสุดของชีวิตมาหมดแล้ว นับๆแล้วละครยาวที่เขาแสดงก็ไม่ต่ำกว่า  20 เรื่องเลยแหล่ะ



ความรุ่งโรจน์ของวัยหนุ่มนั้นนำจุดสูงสุดของชีวิตมา

ขณะที่โหย่วเผิงกำลังเรียนมัธยมต้นนั้น วันหนึ่งถูกแมวมองของทางค่ายเพลงหมายตา จนมาปั้นเป็นหนึ่งในสามของนักร้องไต้หวันในวงเสี่ยวหู่ตุ้ย สิ่งที่โหย่วเผิงคาดไม่ถึงคือ แค่เพียงชั่วค่ำคืนเดียวก็ทำให้เขาดังไปทั่วไต้หวัน ต่อจากนั้นก็ดังไปที่จีน รวมไปถึงในเอเชียที่มีชาวจีนอยู่ด้วย  “ไกวๆหู่”  ชื่ออันนี้นั้นได้กลายเป็นชื่อที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเลย

ใครจะไปรู้ว่าในค่ำคืนเดียววันนั้นก็นำความมั่งคั่งมาสู่เขาด้วย ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อหุ้น เป็นคนมือเติบไปแล้ว ใจกล้า ในสายตาของคนช่วงวัยของเขานั้นดูเขาว่าเป็นคนรวยมาก “ในช่วงเวลานั้น” เป็นเวลาประมาณ 3 ปี วัย18 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นก็ต้องเผชิญกับการต้องสอบเข้ามหาลัย

ในสังคมไต้หวันสมัยนั้น ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นก็คือลูกสามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงดังๆได้ เพื่อจะมีการงานที่ดีในอนาคต จบแล้วสามารถมีงานที่มั่งคงทำ รวมทั้งตัวโหย่วเผิงเองด้วย แม้ว่าจะเป็นศิลปินขวัญใจแล้วหลายปี ลึกๆในใจของเขาแล้วเขาคิดว่าตัวเองก็เป็นแค่ศิลปินประดับวงการคนหนึ่งเอง สุดท้ายตัวเองจะต้องกลับเข้าสู่เส้นทางอาชีพที่พ่อแม่เป็นอยู่อย่างนั้น

อยู่ที่ไต้หวัน นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งหากสอบเข้ามหาลัยไม่ได้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างโหย่วเผิงหากสอบไม่ติดแล้วเนี่ย ผลจะเป็นอย่างไรนั้นก็คงรู้กัน โหย่วเผิงได้หวนคิดอดีตแล้วกล่าวว่า

"ในเวลานั้นตัวเองนั้นไม่มั่นใจมากๆ ความรู้นั้นเสมือนเยื่อบางๆยิ่งกว่ากระดาษ เพราะตลอดสามปีการบ้านของเขาที่ไม่ได้ทำส่งนั้นมีมากมาย เพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัย โหย่วเผิงได้เจรจากับทางค่ายเพลงหยุดต่อสัญญากับทางค่าย ในขณะเดียวกันมีบางสาเหตุทำให้ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” แยกย้ายกันไป ทำให้เขานั้นได้มีเวลาเต็มที่ในการเตรียมตัวที่จะสอบเข้ามหาลัย ทั้งวันและคืนในการอ่านทำให้เขาฝ่าฝันเข้าไปได้ ความพยายามนั้นไม่เคยละคนที่มีความมานะ โหย่วเผิงก็สอบเข้ามหาลัยดังแห่งหนึ่งของไต้หวันได้ และยังเป็นมหาลัยที่ดีและมีอนาคตอีกด้วย สุดท้ายก็โล่งใจอย่างโหย่วเผิงเมื่อเข้ามาเรียนในมหาลัยแล้วถึงจะรู้ว่า การท้าทายที่ใหญ่กว่าเดิมนั้นกำลังรอเขาอยู่"



พักการเรียนกลางคันเผชิญกับช่วงชีวิตที่ตกต่ำ

ในช่วงปีที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยนั้น ในใจโหย่วเผิงคิดอยู่อย่างเดียวคือจะขายหน้าไม่ได้ การสอบได้นั้นถือว่าได้รับชัยชนะ และแล้วเมื่อเขาได้นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนถึงจะรู้ว่า จริงๆแล้วตัวเองไม่ชอบคณะที่ตัวเองกว่าจะสอบได้มาอย่างยากลำบากแสนเข็นเลย จนต้องปากกัดตีนถีบในการที่จะเรียนไปจนผ่านไปสองเทอม สุดท้ายโหย่วเผิงเองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว และยังมีสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาทนเรียนต่อไปไม่ได้คือ ศิลปินที่มีชื่ออย่างเขานั้นหากว่าเมื่อมีผลการสอบออกมาแล้วเขาไม่ผ่านนั้น ก็จะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

จากความกดดันนานาประการ โหย่วเผิงได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่คนในตอนนั้นอาจเรียกว่า “การตัดสินใจที่บ้า” ลาออก หลังจากที่หนีออกมาจากรั่วมหาลัยแล้ว เขาได้ตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ลอนดอน นัยหนึ่งนั้นอยากจะเปลี่ยนคณะที่เรียนไปเรียนอย่างอื่น อีกด้านหนึ่งนั้นก็คือปลีกตัวออกจากสังคมที่รู้จักตัวเองไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักแล้วปรับตัวเองใหม่ และแล้ว การท้าทายของแท้ถึงจะเริ่มขึ้น

หลังจากครึ่งปี โหย่วเผิงก็ได้กลับจากลอนดอน “ตอนนั้นตัวเองก็เป็นคนทำงานเต็มตัวแล้ว ไม่มีใบปริญญา การที่จะไปเป็นนักแสดงตัวเองก็ไม่ได้เรียนมาโดยตรง ได้แต่เคยแสดงละครเวทีมาเรื่องหนึ่งเอง แต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่”  โหย่วเผิงหวนคิดแล้วกล่าวว่า หลังจากที่สัญญาของ“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้สิ้นสุดแล้ว รายได้จากการแสดงที่เคยได้สูงมากนั้นกลับหมดลง มันปรับตัวไม่ทันจริงๆ ตอนนั้นเขาเองไม่เพียงแต่จะดูแลค่าใช้จ่ายของครอบครัว ในแต่ละเดือนยังจะต้องจ่ายให้เป็นค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ไม่น้อยเลยที่เดียว บางครั้งดูเหมือนกับว่าชีวิตเราไปไม่รอดแล้วจริงๆ

ที่แย่กว่านั้นคือ โหย่วเผิงที่คิดว่าอยากจะมีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งจากหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้ แล้วตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไม่นิ่ง เดิมที่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นอยู่แล้ว แล้วมอบอำนาจการทั้งหมดให้กับญาติคนหนึ่งมาบริหาร สุดท้ายหุ้นที่ลงทุนได้นั้นขาดทุนไป ชีวิตคนเรานั้นจะหาโชคดีสองหนนั้นยากมาก แต่พวกหนีเสือปะไอ้เข้นั้นมีบ่อยจังเลย สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของโหย่วเผิงในตอนนั้นคือ หลังจากที่ได้ขายรถไปแล้วหลายคัน เหลือเพียงคันเดียวที่ตัวเองจะใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหนได้ เอามันไปจอดไว้ข้างถนนอย่างดี อยู่ดีๆก็ดันมีรถมาชนชีวิตคนเรามันชั่งเหมาะเจาะบังเอิญอะไรขนาดนี้ ชีวิตที่ตกต่ำที่สุดของซูโหย่วเผิงนั้นก็ประมาณสามปีกว่าๆ]



โดย (องค์หญิงกำมะลอ)ทำให้เขาดังขึ้นเป็นรอบที่สอง

ปี 1997 เป็นปีเดียวที่เขาอายุ  24  เขาถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นนักแสดงละครหนังเรื่ององค์หญิงกำมะลอ ในเวลานั้นโหย่วเผิงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าละครหนังที่ตัวเองแสดงไปนั้นตอนหลังมันดังเป็นที่นิยมกันขนาดนั้น เขาคิดแต่เพียงว่าฉวยโอกาสเอาไว้เรียนรู้ในการแสดงเฉยๆ กลางวันก็ทั้งเรียนไปด้วยฝึกไปด้วย กลางคืนก็เปิดไฟอ่านอย่างจริงๆจังๆ ทำไปแบบถูกๆผิดๆบ้างจนทำให้เขาแสดงละครหนังเรื่องนี้จนจบ และแล้วก็เหมือนดั่งความฝันที่ดังไปทั่วอณาจักร

ต่อจากนั้น อีกครั้งวันเวลาที่ราบรื่นเฮงๆนั้นได้มาดั่งนัดกันไว้ “นักร้องขวัญใจ”ในตอนนั้นได้กลายเป็น “นักแสดงขวัญใจ” ไปแล้ว ละคร หนัง และอัลบั้มที่เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่มีออกมาให้เห็น จนทำให้อาชีพการงานของโหย่วเผิงนั้นไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

หลังจากนั้น เขาก็เหมือนกับศิลปินคนอื่นๆของไต้หวัน โหย่วเผิงได้เข้าสู่การตลาดที่จะมุ่งไปทางประเทศจีน ก็เหมือนดั่งปลาได้น้ำ ว่ายไปแบบไร้พรมแดน โหย่วเผิงได้เริ่มทำธุระกิจซื้อบ้านที่ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งอีกครั้ง ทรัพย์สินที่ตัวเองได้สะสมของแต่ละปีนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อระยะเวลาผ่านไป โหย่วเผิงก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงของชีวิต กับการที่จะไปแสดงละครเป็นนักแสดงขวัญใจนั้นก็ค่อยๆถึงจุดที่สุด เขารู้ว่า การท้าทายครั้งที่สามกับการงานและชีวิตของเขานั้นมาถึงแล้ว และตอนนี้เขาเองก็ไม่ดื้อดึงรู้จักปล่อยวางเยอะแล้ว เขาได้กล่าวกับพวกเราว่า วิธีการที่สำคัญในการเผชิญกับสิ่งต่างๆนั้นต้องเรียนรู้ในการที่จะให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและมายังไงก็ไปอย่างนั้น


“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ  แต่ผมเองก็ไม่ได้หมายความว่าการออกแรงไปทำนั้นก็จะไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่ใช่ แต่มีผลลัพธ์บางอย่างนั้นไม่สามารถได้มาโดยการออกแรงทำ ฉะนั้นผมเองก็ไม่เน้นเรื่องของผลลัพธ์ซักเท่าไหร่ สิ่งที่คุณทำได้คือแค่ทำอย่างสุดกำลัง แต่ว่าผลลัพท์นั้นก็ไม่ใช่ว่าเมื่อผมพยายามทำแล้วจะสามารถกำหนดผลลัพท์ได้” ที่เขามีท่าทีความคิดอย่างนี้ ทำให้เขาได้ผ่านมรสุมชิวิตที่หนักหน่วงของช่วงนั้นมาได้

การไปตามธรรมชาติที่โหย่วเผิงว่านั้นเป็นการมองในโลกแง่ดี อย่างไรก็ตามหากมันไม่ได้อย่างที่คิดไว้ก็ไม่ฝืน เขาเข้าใจถึงความฝืนและความสมดูลย์ เขาได้เข้าใจถึงเหตุและผมของเรื่องราวต่างๆ แน่นอนเขาก็จะไม่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไม่ควรเปลี่ยน สุดท้ายก็คือเป็นไปตามธรรมชาติ

“ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไร ชิวิตคนเราก็ขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว ขณะที่ขึ้นนั้นก็มีวิธีการทำของมัน ขณะที่ขาลงก็มีวิธีการของขาลง จริงๆแล้วชีวิตคนเราไม่ใช่ว่ามีแต่งานๆๆ หากว่าการงานไม่ราบรื่น ธุรกิจไปไม่ได้แล้ว ก็รีบฉวยโอกาสในการมีความรัก คุณก็ยังสามารถทำสิ่งอื่นๆได้ หรือว่ามันอาจเป็นเวลาโอกาสที่ดีที่คุณจะอยู่กับครอบครัว และถ้าหากเป็นผมก็จะฉวยโอกาสไปท่องเที่ยว ผมสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ว่าถ้าหากจังหวะเวลาของการทำงานมาถึง คุณก็ไปตั้งใจที่จะทำมัน และงานบางอย่างก็จำต้องเสียสละมันไป” สุดท้ายโหย่วเผิงสรุปไว้ว่า “ที่จริงเพียงง่ายๆคำเดียว หากจะให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแล้ว จำเป็นจะต้องเรียนรู้ในการเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างถูกวิธี

“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ และผมเองก็ไม่ฝืนกับผลลัพท์ เพียงแค่ตัวเองทำอย่างดีทีสุด และผลลัพท์นั้นมันไม่ได้กำหนดมาโดยกำลังที่เราทำไป


### The End ###

4093
โหย่วเผิงท้าทายบทบาทโรคจิต ภาพพจน์ที่เป็นผู้ใหญ่

จากองค์ชายห้าใน(องค์หญิงกำมะลอ) ถึง ตู้เฟยใน(มนต์รักในสายฝน) จางอู่จี้ใน(อีเทียนสูหลงจี้/มังกรหยก) ตลอดเส้นทางแสดงของนักแสดงโหย่วนั้นภาพพระเอกได้ประทับอยู่ในดวงใจของทุกคนเรื่อยมา แต่ว่าหลังจากปี 2005 แล้ว โหย่วเผิงก็ไม่เล่นละครหนังอีกเลย ห่างจากจอเกือบสองปีเต็ม โหย่วเผิงได้ตัดสินใจเลือกที่จะร่วมงานกับค่ายโรงเรียนซูโจวหูน่า รับเล่นละครเย้ออ้ายทั้งหมดยี่สิบเจ็ด(27)ตอน ในเรื่องนั้นเล่นเป็นหมิงเทาที่เป็นโรคจิต ได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนบทของตัวเอง

กระหายสัมผัสการเปลี่ยนแปลง บทบาท “คงไม่ใช่กระแสหลัก”

บทบาทในเรื่องเย้ออ้ายที่โหย่วเผิงเล่นนั้นได้แตกต่างจากที่ผ่านมา จากเรื่องนี้ โหย่วเผิงกล่าวว่า  คิดอยากจะเล่นบทอย่างนี้ตลอดมา นับตั้งแต่ได้เริ่มแสดงในละครทีวีมาจนถึง ณ วันนี้ บทที่ตัวเองเล่นนั้นล้วนเป็นกระแสหลัก(บทหลัก)มาตลอด เป็นบทที่ปกติสามัญทั่วไป ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ อายุการทำงาน ความสามารถที่ได้เพิ่มขึ้น เพื่อฝีมือการแสดงที่ดีขึ้น ก็เลยต้องเลือกบทที่ในสายตาของทุกคนดูแล้วมันแหวกแนว บทของในเรื่องเย้ออ้าย เป็นผู้ป่วยโรคจิตที่สับสนคนหนึ่ง แม้ว่าเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นสนุก แต่ว่าบทนั้นเล่นไม่ง่ายเลย ก็จะยิ่งรู้สึกว่าการรับบทอย่างนั้นเป็นการพัฒนาทักษะการแสดงของตัวเองให้ดีขึ้น

เล่นบทนี้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก

มาเล่นในบทที่ไม่มีเนื้อบท และยังเป็นบทที่ไม่เคยลองมาก่อน โหย่วเผิงก็ได้มีซึ่งความลำบาก อย่างแรกคือต้องเข้าใจในตัวบทอย่างทะละปุโปร่ง ทำการบ้านทื่พื้นฐานมา ไม่เพียงแต่ไปสังเกตุทุกกิริยาบทของผู้ป่วยทางจิตที่โรงพยาบาลแล้ว ทั้งยังคลุ่นคิดภาวะจิตใจของมนุษย์ตลอดเวลา แต่ว่าบทของผู้ป่วยทางจิตในเรื่องก่อนของภาพยนตร์เย้ออ้ายนั้นไม่มีตัวละครนี้ บทนี้นั้นไม่มีที่ให้เลียนแบบ เป็นบทที่ใหม่ๆสดๆกันเลย เพื่อจะให้บทออกมาดี โหย่วเผิงก็ได้แต่เพียงเข้าใจ ลึกซึ้ง คลุ่นคิดกับตัวบทของมัน มีเพียงให้ตัวเองละลายให้อยู่ในอารมณ์ของบทเท่านั้น ถึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวบทมัน ในช่วงเวลานั้น โหย่วเผิงได้เป็นเพื่อนที่ดีกับผู้ป่วยทางจิต ขณะที่เขาถ่ายทำ เหตุที่อิงกับบทเกินไป ด้วยความอยากจะให้ได้ถึงอารมณ์ของบทอย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งอารมณ์ก็แตกซ่านออกมา ต้องใช้เวลาเยอะหน่อยในการถ่ายทำ

รับการท้าทายเดินสู่ภาพยนตร์

สำหรับการรับเล่นบทที่แตกต่างอย่างนี้ โหย่วเผิงก็ยังมีใจในการเล่นต่อไป “ แท้จริงแล้วสองปีก่อนจะรับเล่นบทนี้ ผมแทบจะไม่รับละครการแสดงอะไรเลย หลักๆก็คือความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผมนั้นทำให้ผมไม่อยากจะรับบทเดิมๆเก่าๆอย่างนั้นอีกแล้ว พวกเขาไม่มีอะไรที่ให้ผมสนใจ” เมื่อพูดถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ของเขา หน้าตาของเขาหน้ายังครึ๋ม “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีหน้าหน้าตา ต่อหน้าผู้ชมต่อหน้ากล้องเป็นเพียงหน้าหนึ่งของผม ผมได้รอโอกาสตลอดเวลา ให้ผู้ชมได้เห็นถึงอีกหลายๆหน้าของผม ขณะที่ผมได้อ่านเนื้อบทของเย้ออ้าย ผมรู้ว่าโอกาสมาแล้ว บทนี้โหดเหี้ยมมาก มีความท้าทายมาก สำหรับบทอย่างนี้นั้น ก็ยังเป็นที่ดึงดูดผมมากเหมือนกัน ก็ยังจะไปเล่นอีก” เมื่อเย้ออ้ายออกอากาศแล้วโหย่วเผิงก็ได้เตรียมตัวสำหรับที่จะรับการตอบรับของผู้ชมที่ไม่เหมือนเดิม เขาหวังว่าอนาคตของเขานั้นจะท้าทายการดูของผู้ชมอย่างไม่หยุด

ขณะที่ได้เอ่ยถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ได้ฉาย (สี่กามเทพ)และ(ตามหาหลิวซันแจ่) โหย่วเผิงก็ยังแถลงว่า ภาพยนตร์กับละครทีวีนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันเยอะ การสร้าง การถ่ายทำสิ่งที่อยากได้มานั้นล้วนต่างกัน ทั้งสองเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนไปเล่นภาพยนตร์จากละครทีวี ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ชิ้นแรกและชิ้นที่สองของผม ต่อจากนี้ไปก็ยังจะมีบทภาพยนตร์ที่แตกต่างกันไปที่จะเล่นอีก



4094


ซูโหย่วเผิง ไม่สามารถเป็นวัยรุ่นตลอดไปได้

ไม่รู้ว่ายังจะเรียกเขาว่าเสี่ยวไกวได้อีกหรือเปล่า ใบหน้าอันมีริ้วรอยนั้นมันกำลังสะท้อนบ่งบอกกับเราว่าเขากำลังพยายามจะมีภาพลักษณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ว่า การที่จะเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งนั้นไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ ดูซิ มีเรื่องเข้ามาอีกแล้ว เขาได้กลายเป็นหลิวเต่อหัวคนที่สองไปแล้ว มีแฟนคลับผู้หญิงที่บ้าคลั้งเขานั้นร้องเรียกเขาว่าที่รักๆ(ผัว)  อย่างกะจะเป็นจะตายอะไรอย่างนั้น มันวุ่นวายไปทั้งเมืองเลยแหล่ะ เดิมทีนั้น การงานของเขานั้นไปได้อย่างราบรื่น แต่ทันใดนั้นก็ได้เกิดการสะดุด มันทำให้คนอื่นเสียอารมณ์จริงๆเลย ขณะที่ตอบรับที่จะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวนี้นั้น เขาอยู่อย่างนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นักข่าวถาม ซูโหย่วเผิงตอบ

ถาม . ทำไมคุณพยายามที่จะหลีกเลี่ยงคำถามเรื่องของเสี่ยวหู่ตุ้ยหรือ?

ตอบ . ผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว เมื่อก่อนสื่อถามผม ผมก็ตอบแบบตรงไปตรงมา ว่าตัวเองนั้นยินดีที่จะให้เสี่ยวหู่ตุ้ยออกอัลบั้มอีกชุด แต่ว่าข่าวที่เขียนออกมาจากสื่อนั้นสื่อทำนองว่าผมมันพวกขี้คุย บอกว่าผมไม่มีเวลาที่จะไปซ้อมกับพวกเขา ตอนนี้ทุกคนเข้าใจว่าผมเป็นเหตุที่ทำให้ไม่สำเร็จ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดอีก ผมจะไม่พูดอีกแล้วก็น่าจะดี

ถาม . ในภาพพจน์นั้น เสี่ยวไกวเริ่มจากการร้องเพลงก่อน จากนั้นก็เข้าสู่การแสดงละคร แล้วเข้าไปแล้วก็ทำกันมานานหลายปีเลยทีเดียว ทำไมตอนนี้ได้กระโดดเปลี่ยนมาสู่สนามภาพยนตร์ในทันใดเลยล่ะ รวมทั้งยังแสดงภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง(เฟิงเซิง)เลยนะ ?

ตอบ . คนเราล้วนต้องการที่จะก้าวหน้า อีกทั้ง ผมก็ยังเป็นวัยรุ่นประเภทกระหายความก้าวหน้าอีกด้วย ฮ่าๆ ทุกคนก็สามารถที่จะเห็นว่าผมเดินมาทีละก้าว และกำลังเติบโตอย่างไม่หยุด ถ้าจะพูดนั้น อายุของผมก็ไม่ใช่ว่าเด็กๆแล้ว จะเป็นวัยรุ่นตลอดไปคงไม่ได้ บางที่เมื่อเป็นโอกาสก็อยากให้ผู้ชมได้เปิดหูเปิดตาบ้าง

ถาม . สิ่งที่คุณบอกว่าเปิดหูเปิดตาคือสนามภาพยนตร์ของคุณใช่เปล่า?

ตอบ . พูดอย่างนี้ก็ยังได้ ผมนั้นรอคอยเรื่องเฟิงเซิงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก รู้ไหมว่าในเรื่องนั้นผมได้แสดงเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงด้านละครเพลงด้วย เมื่อก่อนไม่เคยรู้เรื่องละครเพลงอย่างนี้มาก่อนเลย สำหรับผมแล้วมันเป็นอะไรที่ยากมากๆเหมือนกัน

ถาม . คุณเองเป็นคนเอ่ยว่าเมื่อก่อนไม่เคยรับบทที่เกี่ยวกับพวกละครเพลงอย่างนี้มาก่อนเลย งั้นคุณสามารถรับประกันไหมว่าการแสดงครั้งนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวังแน่

ตอบ . อันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผมเองพูดได้ ผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าผมแสดงได้ดีมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อผู้กำกับเลือกผมแล้ว มันบ่งบอกว่าตัวผมเองก็มีความสามารถพอที่จะรับบทนี้ ผมเองก็เชื่อมั่นในตัวเองเหมือนกัน หากว่าไม่มีความมั่นใจแล้วจะไปแสดงได้อย่างไง

ถาม . ก่อนหน้านี้คุณเคยได้ดูต้นฉบับของเรื่อง (เฟิงเซิง) นี้ไหม ? คุณรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน?

ตอบ . เคยดูนะ นี่น่าจะพูดได้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจน่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา ตัวละครที่ผมรับแสดงคือเสี่ยวไป๋เหนียนที่มันจะแตกต่างไปจากเดิมหน่อย จะเน้นและเป็นตัวสำคัญกว่าบทเดิมของมัน ตัวละครนั้นก็มีหลากหลายและมีสีสันมาก

ถาม . นั่นหมายความว่า ในภาพยนตร์นั้นได้เพิ่มบทคุณเข้าไปอีก อย่างนี้แสดงว่าทางบริษัทเขาดีต่อคุณมากๆเลย

ตอบ .นั่นแหล่ะ...ดังนั้นผมต้องแสดงให้ดีที่สุด เช่นตอนนี้ผมเองก็รู้ว่าตัวเองได้รับบทเป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านละครเพลงคนหนึ่ง ผมก็รีบที่จะไปเรียนด้านนี้เพิ่มเติม เริ่มเรียนจากการร้องแบบพื้นๆไปก่อน ทุกอย่างนั้นเป็นการเริ่มต้น

ถาม . งั้นการแสดงละครเพลงครั้งนี้คุณคงลำบากมากๆเลยซินะ มันอาจจะเรียกได้ว่าทรมานเลยมั้ง สิ่งที่ยากที่สุดคืออะไร?

ตอบ . สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำท่าทางของร่างกาย เรื่องนี้มันฝึกยากมาก ไม่ว่าจะเป็นมือไม้แม้กระทั่งตัวก็ต้องอ่อนช้อยไปหมด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือก่อนหน้านี้ผมเองได้ฟิตร่างกายให้มีกล้าม มันไม่ง่ายเลยที่ร่างกายผมจะมีกล้ามขึ้นมาแต่ตอนนี้กล้ามกลับกลายเป็นความยากในการทำให้อ่อนช้อย เช่นครูสอนนั้นสอนผมทำท่าทางของมือไม้ ให้ผมเอามือไปข้างหลังไหล่ ผมรู้สึกตัวเองได้เลยว่ามันแข็งกระด้างมากๆ กล้ามเนื้อนั้นมันแน่นตึงมาก จะงอยังไงก็งอไปไม่ถึง

ถาม . ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ร่างกายก็ต้องเจ็บปวดล่ะซิ?

ตอบ. ตอนเริ่มใหม่ๆก็ใช่ ครูพูดว่า “คุณต้องปล่อยตัวสบายๆ อย่าเกร็ง ๆ” ผมได้แต่พูดกับครูอย่างตรงๆว่า “ครู ผมไม่เกร็งเลยนะ ผมไม่เกร็งจริงๆ และเมื่อได้ผ่านการฝึกฝนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้นั้นก็นับว่าก้าวหน้าไปมากแล้ว ธรรมดามากๆเลย หากว่าผมว่างๆก็จะฝึกซ้อมทำท่าทางไม้มือด้วยตัวเอง

ถาม . เข้าใจว่าคนที่จะเล่นละครเพลงนั้นมือไม้นั้นต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษเลย เป็นอย่างนี้จริงๆเปล่า ?แล้วคุณได้ดูแลอย่างพิเศษบ้างเปล่า?

ตอบ . ใช่ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่จะต้องให้นิ้วมืออ่อนโยน ฉะนั้นการที่จะดูแลรักษามันนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่แล้ว แต่ว่าผมเองก็ไม่ได้ไปสรรหาครืมอะไรมาดูแลรักษาเป็นพิเศษหรอก

ถาม . ดูจากตารางเวลาของคุณในปีนี้แล้ว เวลาส่วนใหญ่นั้นจะทุ่มเทให้กับการแสดงภาพยนตร์เป็นหลัก จริงๆแล้วช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับอะไรอยู่เปล่า?

ตอบ . ตลอดปี 2009 นี้นั้น ผมได้ให้การแสดงภาพยนตร์เป็นเรื่องหลักจริงๆ ช่วงนี้พึ่งถ่ายเรื่อง (ตามหาพี่หลิวซัน, Xun Zhao Liu San JIe) เสร็จไปหยกๆ แล้วก็ต้องรีบไปที่ถ่ายทำของ(เฟิงเซิง)ต่ออีก

ถาม . ได้ข่าวว่าคุณจะเข้าไปเป็นนักรบที่ฮอลลีวูด?

ตอบ . หลังจากเรื่องเฟิงเซิงเสร็จแล้วผมก็จะต่อเรื่อง(อณาจักรปลาคน - Ren Yu Di Guo)ของฮอลลีวูดต่อ สำหรับฮอลลีวูดแล้วผมไม่มีใจกล้าอย่างนั้นที่จะไปบากบั่น

ถาม . คุณตั้งใจว่าจะเข้าฮอลลีวูดโดยผ่านทางเรื่องนี้หรือ?

ตอบ . ฮ่าๆ จริงๆแล้วเรื่องการเข้าสู่ฮอลลีวูดนั้นผมเองก็ไม่มีความกล้าอย่างนั้นหรอก (อณาจักรปลาคน - Ren Yu Di Guo)นั้นสำหรับผมมันเป็นอะไรที่ใหม่ๆเอง ตอนนี้ผมเพียงแต่อยากจะทำงานที่อยู่ข้างหน้าของผมให้มันแล้วเสร็จ

ถาม . ได้ข่าวว่า จะทำแต่ภาพยนตร์ คุณไม่คิดที่จะหันมาแสดงละครเพลงอีกแล้วหรอ?

ตอบ . น่าจะไม่มีอีกแล้วนะ ความพัฒนาของภาพยนตร์นั้นมันเร็ว รวมทั้งช่วงนี้ผมยังรู้สึกที่อยากจะทำเรื่องนี้เป็นอาชีพเลย แน่นอนหากว่าอนาคตมีบทละครที่ดีๆที่น่าสนใจให้เล่นก็ยังอยากจะคิดดูก่อนเหมือนกัน

ถาม . ตอนนี้คุณรู้สึกเกี่ยวกับการรับบทในตอนนี้กับอดีตนั้นมันต่างกันหรือไม่เหมือนกันตรงไหมบ้างไหม?ความหมายของผมคือตอนนี้มีการต่อรองหรืออำนาจในการพูดมากน้อยแค่ไหน?

ตอบ. เป็นนักแสดงนะ การรับบทในสมัยก่อนนั้น ตามความเห็นและมุมมองของผมเองแล้วนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากมายหรอก ก่อนอื่นคือทางบริษัทเขารู้สึกว่าโอเค จากนั้นค่อยให้ผมมาตัดสินใจเอง ตอนนี้ผมเองก็จะพยายามไปรับดูบทด้วยตัวเอง ดูบทที่ไม่เหมือนกัน เพื่อจะเพิ่มศักยาภาพในการแสดงของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญขาดไม่ได้เลยคือต้องมีความท้าทายด้วย

ไม่แต่งงานกับแฟนเพลงหรอ

ถาม. ช่วงนี้ข่าวคุณดังแพร่กระจายไปทั่ว แล้วเจ้าตัวรู้ตัวหรือเปล่า?

ตอบ . ผมก็ได้ยินเหมือนกัน รวมทั้งยังมีนักข่าวโทรศัพท์มาถามผมไม่น้อยเลยที่เดียว จริงๆแล้วเป็นแค่ข่าวเฉยๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าแฟนเพลงคนนั้นเขาประโครมข่าวออกมาเพื่อต้องการอะไรกัน

ถาม . แล้วคุณกลัวไหม ? อดีตเคยมีแฟนเพลงทำอย่างนี้ไหม?

ตอบ. ผมอยากจะบอกกับแฟนเพลงอย่าไปหลงรักคนจนหัวปรับหัวปรำ อย่างนี้มันอันตรายมาก เชื่อว่าศิลปินส่วนใหญ่นั้นชื่นชอบแฟนเพลงที่มีสติ รู้จักคิด ผมเองก็ไม่ต่าง

ถาม . ในเมื่อข่าวในเน็ตที่ว่าคุณแต่งงานกับแฟนเพลงนั้นไม่เป็นความจริง งั้นตัวคุณเองเคยวางแผนเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานไหม?หากจะว่าไปแล้วอายุคุณก็ไม่น้อยแล้วนะ

ตอบ . เรื่องความรักนั้นจำเป็นต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ ตอนนี้ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

ถาม. คุณอย่าเอาข้ออ้างอะไรแบบว่ายุ่งมากมาเป็นโล่เลยนะ

ตอบ . การงานในปีนี้ของผมนั้นยุ่งจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเวลา ผมเองก็กำลังรอกามเทพของผมอยู่เหมือนกัน คุณดูซิ แว่นที่ผมสวม รวมทั้งหนังที่ผมแสดงล้วนแล้วแต่มีกามเทพอยู่ด้วย มัน สวิท(หวาน)มากๆ ผมยังได้แสดงเรื่องผมรักกามเทพอีกด้วย เดือนมิถุนายนนี้จะออกอากาศ

ไม่บังคับว่าต้องเป็นเขยจีนแผ่นดินใหญ่

ถาม . หล่อเจียเหลียง,วุ่ยจิ้นเจ๋, ยังมีอู่ฉีหลง ล้วนเป็นเขยจีนแผ่นดินใหญ่ คุณจะเป็นเหมือนพวกเขาหรือเปล่า?

ตอบ. จริงๆแล้วผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหนก็ตาม เพียงแค่มีการพูดที่เข้าใจกัน มีความสนใจที่เหมือนกันก็เพียงพอแล้วแหล่ะ จุดนี้นั้นผมเองก็ไม่เน้นมากมายหรอก

ถาม . ตอนนี้แม้แต่แว่นตายี่ห้อดังก็ยังหาคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นเพราะคุณดังในเรื่องนี้หรือเปล่า?

ตอบ. มันอาจเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นผมเคยเป็นคนสายตาสั้น 600 มั้ง รวมทั้งผมใส่แว่นก็ไม่ใช่ว่าจะทุเรศเสียเมื่อไหร่ มันดูแล้วเหมือนกับเด็กเรียนเลยแหล่ะ สำหรับเรื่องที่ว่าผมเองดังไม่ดังนั้น ผมว่าก็ยังพอไหวนะ

ถาม . ตอนนี้ศิลปินล้วนแต่ระมัดระวังในเรื่องการเป็นพรีเซ็นเตอร์ คุณเคยคิดหรือใคร่ครวญเรื่องนี้เปล่า?

ตอบ . การเป็นพรีเซ็นเตอร์ครั้งนี้นั้นหลักๆคือผมเองเป็นคนที่ชอบสะสมแว่น ในบ้านยังมีตู้เก็บแว่นที่สร้างมาโดยพิเศษเลย รวมทั้งสองสามปีมานี้สังคมนั้นนิยมแว่นดำเป็นอย่างมาก การเอาแว่นมาประดับให้เข้ากับชุดที่ใส่นั้นเป็นกระแสนิยมของสังคมไปแล้ว แว่นที่ต่างกันออกไปนั้นก็ได้เห็นถึงความเท่ที่ต่างกันออกไป รวมทั้งยังสามารถทำให้เรามีอารมณ์ที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ละวันอีกด้วย อดีตของผมนั้นมักจะชอบสะสมแว่นที่แปลกประหลาดและสีที่ไม่เหมือนชาวบ้าน แต่ตอนนี้นั้นผมจะไม่เลือกอย่างนั้นเด็ดขาด



### จบสัมภาษณ์ ###

Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=553220811
http://xqs.sh333.com/wy/200903/t20090318_2241611.htm

4095
Magazine Interviews-China / 2009 Metropolis Gentleman
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:48:42 pm »
http://blog.sina.com.cn/s/blog_48c30ee30100br9x.html?tj=1

Metropolis Gentleman February 2009 issue




ซูโหย่วเผิง ชาแก้วหนึ่งที่ได้กรองมานับยี่สิบปี

ภาพ/เฉินเหยียนถ่าย แต่งหน้า/ฮ่าวจื่อ เสื้อผ้า/เนื้อข่าว/เสี่ยวลู่

ในเรื่องราววัยรุ่นอดีตของคนหนึ่งๆนั้น นิสัยเขาก็สม่ำเสมอที่ดีเรื่อยมา มีชื่อเสียงแต่เยาว์วัย ดังไปทั่วใต้ล่า และกับความเครียดที่ตามมานั้นทำให้หลงทิศไป ปล่อยตัวปล่อยใจตัวเอง หลังจากช่วงตกต่ำของชีวิต ได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและทรนงขึ้นมา ชายหนุ่มแห่งชุดขาวก็ค่อยๆก้าวสู่ความก้าวหน้า ความจำเริ่มขึ้น การหวนคิดนั้นจบลง สำหรับเขา ก็มักจะหยุดอยู่กับอดีตซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมเลย พวกเรารักเขา ก็เลยยอมที่จะติดตามเขาไปด้วย

เส้นทางการไปสัมภาษณ์เขา หลายคนได้คุยถึงซูโหย่วเผิงที่เราจะเจอในวันนี้ ที่จริงก็เป็นนักข่าวมามากมายแล้วนั้น ก็จะไม่มีการวิ่งไปไล่สัมภาษณ์ดาราอย่างนี้อีก แต่เมื่อเอ่ยถึงเขาแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งจะทำให้เราอยากอยากสัมภาษณ์

ในเวลาว่างที่รอเขาในห้องถ่ายรูปนั้น ได้ไปเปิดดูรูปถ่ายของเขาได้หวนคิดถึงเขาในภาพจากไกวๆหู่สู่ตัวของเขาที่สว่างไสวและเป็นผู้ใหญ่เป็นเวลายี่สิบปี เขาก็ได้เดินเข้ามาอย่างนี้แหล่ะ เข้ามาโดยไม่มีใครมาโอบอุ้มหน้าหลัง ไม่มีใครมาทักทายแบบเวอร์ๆ แต่กลับทำให้จิตใจแห่งการรอคอยนั้นว่าจะอยู่รอดหรือเปล่า

เดินเข้าใกล้เขา ถามไถ่เขาว่าสบายดีไหม เขาได้เงยหน้าขึ้น ยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ นัยตาที่เหมือนกับเหนื่อยนั้นไม่สามารถซ่อนความใสบริสุทธิ์ได้ เขาได้ขอโทษกับทุกคนที่เขาได้เสียเวลาคนอื่น แต่กลับไม่บอกถึงตลอดคืนที่เขาต้องเดินทางนั้น ซ้ำยังรีบชวนให้ทุกคนไปกินข้าว แต่กลับไม่สนว่าตัวเองจะต้องเดินทางไปที่เครื่องบินของทีมงาน สีหน้าอ่อนเพลียไปหมด แต่มีจิตใจที่ร่าเริงเต็มที่กับงานที่จะทำ

ห่วงใยดูแลทีมงานที่อยู่รอบข้าง เป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูแลเข้าใจคนอื่นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยามยิ้ม ก็ยากจะเก็บรอยยิ้มที่ซ่อนความสดชื่นข้างในอยู่ คนอื่นเปรียบว่าผู้ชายเสมือนเหล้า แต่ซูโหย่วเผิงกลับเหมือนน้ำชาเลิศรสในยามฤดูใบไม้ร่วง ยี่สิบปีก่อน แม้เขาเป็นชาใหม่ก่อนหน้าฝน ความหอมนั้นล่องลอยไปมา ทำให้คนตื่นเต้น ยี่สิบปีให้หลัง ชายผู้นี้ก็ได้กลายเป็นชาผู่เอ๋อที่มีอายุนานปี (ชานี้ไว้ยิ่งนานยิ่งหอม) กลิ่นหอมกรุ่น ตัวเองก็มีสิ่งที่จะให้คนอื่นหวนคิดถึง

อดีตให้มันผ่านพ้นไป

ในวันที่สัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง พอดีเป็นวันเกิดของเขา แม้จะไม่เป็นอย่างดาราหญิงนั้น ก็ยังไม่กล้าที่จะอวยพรวันเกิดให้แก่เขา แต่ว่า พวกเราเป็นเพื่อนที่ร่วมเติบโตกับเขานั้น ก็รู้ถึงหน้าเด็กอย่างเขาก็รู้เรื่องนี้แล้ว หรือว่ามองออกถึงการสองจิตสองใจของเรา ขณะที่พูดคุยกัน เขาได้เอ่ยถึงเรื่องอายุขึ้นมาก่อน มาเช็กข่าวสารที่เขียนไว้ในเว็ปไซต์ทั้งหมดของโหย่วเผิง ล้วนจะเห็นได้ วัน เดือน ปีเกิด ของเขานั้นเขียนไว้อย่างชัดเจน เหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะไม่แคร์กับอายุ(ไม่กลัวคนอื่นรู้) หรือว่ามั่นใจว่าเสนห์นั้นจะไม่จางไปกับอายุ  ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า เพี่ยงแต่เดินผ่านมาแล้วยิ่สิบปี เขาก็ยอมรับโดยปริยาย สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป

ยังอยู่ในเยาว์วัยเยาว์นั้น เขาได้เป็นขวัญใจทั้งวัยรุ่นชายหญิง เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นได้นำมาซึ่งความนิยมชมชอบกับเราในสมัยนั้น และทั้งยังเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กสิบกว่าขวบอย่างซูโหย่วเผิงด้วย ชายที่เต้นอยู่บนเวทีอย่างสุดยอดที่พวกเราได้เห็นนั้น ขณะที่เขายิ้มนั้นก็ได้เห็นถึงรอยยิ้มที่แสนจะลืมยาก จนเกือบจะกลายเป็นใบหน้าที่ติดอยู่ในใจของทุกคนไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นไกวๆหู่ที่ทุกคนรักจริงๆ แต่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเราก็รอคอยสิ่งที่ผลงานทียอดเยี่ยมของเขาในจอ

พวกเราล้วนอยากตีความหมายของซูโหย่วเผิงชื่อนี้เป็น “วัยใสน่ารัก”ตลอดกาล แต่ว่าไม่มีใครใสใจ หากว่าไม่เป็นนักร้องแล้ว ความตั้งใจของเขาคือนักประพันธ์เพลงเท่านั้น หากว่าไม่ถูกเรียกว่า “ไกวๆหู่” เขาก็จะเป็นวัยรุ่นที่ดื่อคนหนึ่ง หากว่าไม่เพียงถูกให้เรียกร้องที่จะร้อง (ชิงผิงก่อเล่อเหยียว)แล้ว นักร้องที่เขารักมากที่สุดนั้นคือ มาดอนน่ากับจาเนท ซูโหย่วเผิงไม่ได้เป็นปีเตอร์ฟานที่ไม่เติบโตหรือไม่โต ดังช่วงข้ามคืนเดียวอย่างชายคนนี้นั้นไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีกฏมีเกณฑ์ ปรารถนาที่จะมีความอิสระและบินสู่ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่

“แต่จริงๆแล้วรักเสี่ยวหู่ตุ้ยมากๆ แน่นอนนี่เป็นงานที่ผมได้ทุ่มเทสุดหัวใจ รวมทั้งรักในเพื่อนมิตรและดนตรี” ได้ทำงานที่ตัวเองชอบเป็นอย่างแรก รวมทั้งยังมีแฟนเพลงมากมายที่ทำให้เขาประทับใจทำให้เขาสู้ ความมีใจรักและความกดดันนั้นมันขัดแย้งอยู่ในใจเป็นเวลานาน มีรุ่งก็ต้องมีหล่ม สุดท้ายสมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ไม่อาจเหลียกเลี่ยงได้ที่จะต่างคนต่างเดิน ยังไม่ได้สัมผัสถึงสุขทุกข์นั้น สิ่งที่ซูโหย่วเผิงต้องการเพียงแค่ลมหายใจเดียว นับถือศีล และได้ลุกขึ้นสู้อีกครั้งที่จะบินไปที่อังกฤษเรียนต่อด้วยตัวคนเดียว



ร่วมมือประสานกับวันเวลา

ได้เห็นศิลปินที่รักษาตัวเองให้ไม่แก่วัยเยอะแล้ว ไม่ประทับใจไม่ได้เลยกับการที่ซูโหย่วเผิงนั้นได้ร่วมมือประสานกับวันเวลา “9 ปีของขวัญใจนักร้องนั้นได้ค่อยๆจากตัวผมได้นั้น หลังจากความสนใจค่อยๆได้หดหายไป ผมรู้สึกว่าวันเวลาได้ทิ้งบาดแผลไว้ นี่เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่พวกเราต้องยอมรับ และแล้วพอดีมีงานขององค์หญิงกำมะลอ ผมก็ได้รับไว้และลองทางนี้ดูว่าแสดงหนังจะเป็นอย่างไร หากว่าไม่ได้ลองงานนี้ ต่อจากนี้วงการบันเทิงก็คงไม่มีชื่อโหย่วเผิงคนนี้ต่อไป

ดำรงชีวิตตามกระแส เป็นการดำรงชีวิตของโหย่วเผิง จากการถูกถามจากหัวจรดเท้านั้น เขานั้นไม่เคยเอ่ยถึงอนาคตของ "หงถูต้าจื้อ"  รวมทั้งยังไม่ได้พูดถึง "จั่นติงไจ๋เถีย" เลย  “สำหรับการถ่ายหนังขวัญใจนั้น ถูกถามถึงหลายครั้งจริงๆ นี่เป็นการดำเนินการอย่างหนึ่งของตอนนั้น เป็นช่วงหนึ่งที่ผมได้เข้าสู่วงการบันเทิง ตอนนั้น ผมจะทำอย่างสุดความสามารถของผม เรียนรู้ให้ดีกับงานในนั้น”

“สุดท้ายก็ได้ฉลองความสำเร็จจนเหนื่อยแล้วสิ” ถามคำถามนี้อย่างระมัดระวัง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างรีบเร่ง “การดำเนินการนั้นซ้ำซ้อนจริงๆ รับบทแสดงนั้นก็แทบจะเหมือนๆกัน อารมณ์ความรู้สึกก็เหมือนๆกัน จนทีหลังก็รู้ได้เลยว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แบบสไตส์เดียวกันเลยแหล่ะ และแล้วก็จะไม่ค่อยชอบหรือมีความสุขกับบทอย่างนี้สักเท่าไร อยากจะมีบทที่ต่างออกไปมากๆ และแล้วก็เริ่มรับบททั้งภาพยนต์และละครเวที ภาพยนต์เมื่อเปรียบกับละครทีวีแล้ว ก็จะเป็นศิลป์อีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยแตกต่างไปจากความเป็นจริง ในรายละเอียดของเรื่องนั้นก็ยังทำให้ผมหลงไหลกับมันอีกด้วย


ปี 2006  ละครเวที(หอมดอกเบญจมาศ)ทำให้ซูโหย่วเผิงต้องขึ้นเวที ปี 2008 เขาได้ร่วมงานกับมอสดิคาสและเบลูซี่ ร่วมกันแสดงภาพยนต์ฮอลลีวูด(อาณาจักรคนปลา) ภาพยนต์ที่เขาได้ร่วมแสดง(อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ก็ได้เปิดฉายในปลายปี 2008  ในการงานของซูโหย่วเผิงนั้นยังรวมถึงการแสดงเป็นพระเอกในภาพยนตร์(เสียนจ่าวหลิวซันแจ่) ภาพยนตร์ที่เขาได้ถ่ายทำจนเสร็จสิ้นแล้วนั้น(สี่กามเทพ) จะเปิดฉายในวันวาเลนไทน์ในปี 2009 นี้ เรื่องใหม่(รักร้อน)จะเริ่มฉายในปลายปีนี้หรืออาจต้นปีหน้า ในเส้นทางการแสดงนั้นซูโหย่วเผิงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เขาได้ท้าทายตัวเองกับบทที่แตกต่างออกไปจากเดิม จากบทไกวๆหู่จนถึงอู่อาเกอ(องค์หญิงกำมาลอ) จนถึงภาพพจน์ในภาพยนตร์ที่มีมากมาย  “อนาคตล่ะ?”  “อนาคตหากมีโอกาสที่ดีผมก็จะลองไปลองทำเหมือนกัน บ่อยครั้งต้องปล่อยไปตามชะตาชีวิต ผมคิดว่านี่ก็คือช่วงชีวิตที่ต่างกันของมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับวัยอายุด้วย เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ด้วย”  สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว ทุกช่วงของวัยนั้นก็จะมีสิ่งสำคัญของชีวิต จะมอบหมายให้ชีวิตหรือการงานนั้นมีโอกาสหรือจังหวะที่ต่างกัน เคยผ่านจุดสูงสุดและตกต่ำสุดของงานมาแล้ว ตัวเขาที่ขึ้นๆลงๆมาเกือบยี่สิบปี เขาก็ได้เรียนรู้กับการเป็นมิตรกับเวลาและโอกาส สามารถมีความสุขกับทุกสถานการณ์  “ปัจจุบันก็อยากจะแสดงภาพยนตร์ให้มากหน่อย เพราะในช่วงระยะกับงานนี้นั้น ผมเพิ่มจะเป็นจุดเริ่มต้นเอง”

“ยังจะร้องเพลงอีกไหม?” นักข่าวได้ถามคำถามนี้ขึ้นที่มาจากในเน็ตก็เพราะว่าตลอดเวลานั้นก็มีข่าวว่า “คอนเสิร์ทฉลองครบรอบปีที่ยี่สิบของเสี่ยวหู่ตุ้ย” เหตุเป็นเพราะซูโหย่วเผิงเลยเป็นคำถามในตัวของคุณมาตลอด ได้พูดถึงเรื่องวันเวลาเก่าๆในอดีตกับเขาอย่างสบายๆ ถึงจะเข้าใจจริงๆว่า มิตรภาพจริงๆนั้นอายุไม่นาน มีวันทำร้าย ที่จริงในใจของเราทุกคนนั้นล้วนมีความบอบบางลึกๆอยู่ ในนั้นมันเก็บสิ่งที่ไม่อยากให้ใครเอ่ยถึงและเป็นสิ่งที่มีคุณค่า สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว อดีตของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นแหล่ะเป็นความทรงจำที่อยู่ในลึกๆในใจของเขา เพราะมีใจรักสุดๆกับเสี่ยวหู่ตุ้ย และเชื่อมั่นว่า เพียงแต่มีเงื่ยนไของค์ประกอบที่เหมาะสมแล้วก็สามารถที่จะมีเสี่ยวหู่ตุ้ยอีกครั้ง แต่เขา หรือพวกเขา ณ.วันนี้ แต่กลับไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตเลย

“ผมคิดว่าผมก็จะมีวิธีการระลึกถึงอดีตของผมที่พิเศษเหมือนกัน ก็เหมือนกันรักแรกในอดีต มันจะเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด และยังจะเป็นความหมายที่ไม่สามารถจะลบเลื่อนไปจากชีวิตได้ การระลึกเสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นเหมือนตรานาบในตัวเรา ไม่มีอะไรที่พิเศษ และก็ไม่จำเป็น เพราะอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะลบลืมมันได้อยู่แล้ว ในช่องทีวีก็ยังเปิดเพลงอดีตที่พวกเราร้องอยู่ แฟนๆได้บอกความประทับใจในอดีตกับเรา ทีมงานก็ได้สนุกสนานกันในการฝึกเต้นกับเราจนโตมาด้วยกัน มันก็เป็นสิ่งที่สวยงามแล้ว” วันเวลาเหลือไว้แต่รอยแผล ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าสิ่งที่เขาจะทำก็คือการยอมรับ นี่เป็นความจริงอย่างหนึ่ง เพราะรักสุดหัวใจจริงๆ และแล้วได้เอาความหวนคิดถึงนั้นเก็บซ่อนไว้ เก็บไว้อย่างไม่รบกวน


รักคนอื่น ให้มีความสุขกว่ารับ

ซูโหย่วเผิงหลังแสงไฟ ที่จริงยังมีสิ่งที่คนอื่นได้รู้อีกตำแหน่งหนึ่งของเขา –นักการกุศล เขาซึ่งได้รับหลักคำสอนจากหลักพุทธศาสนา ได้ยืนหยัดทำงานด้านการกุศลมาตลอด และก็ไม่เหมือนกันศิลปินคนอื่น เขาได้เลือกที่จะให้แบบเงียบๆ

น้อยคนที่รู้จักโรงเรียนซีว่างซูโหย่วเผิงที่ประเทศจีน เขาเป็นนักการทูตแห่งรัก ซึ่งโรงเรียนซีว่างเป็นแห่งแรกของจีน หลังจากมีแผ่นดินไหวที่เหวินชวนนี้ เขาไม่เพียงแต่ควักเงินบริจาคไปแถมยังจัดซื้อปัจจัยจำเป็นให้กับผู้ประสบภัยเหล่านั้นอีกด้วย เขาก็แค่คุยให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้มาโอ้อวดความดีของตัวเองเลย

“ผมเพียงแต่รู้สึกว่าความสุขแห่งการช่วยเหลือคนนั้นเราล้วนมีกัน สำหรับการให้นั้น อิ่มบุญก็เป็นตัวเอง รู้สึกสบายใจก็เป็นตัวเอง ทุกคนหากมีชีวิตที่ดีหน่อยนั้น ก็จะมีเสียงหนึ่งว่า รักคนอื่น นี่เป็นธรรมชาติของคนเรา ผมเข้าใจว่าคุณก็มีนะ เขาก็มี และถ้าคุณดีต่อคนอื่นแล้ว ลองทำดู คุณก็จะรู้สึกถึงการมีความสุขมากๆกับสิ่งที่ทำไป”  ในงานพิธีเปิดโรงเรียนซีว่างซึ่งสร้างภายใต้ในนามของเขานั้น เขาได้รับการต้อนรับที่แสนจะอบอุ่นจากคนในพื้นที่ ยิ่งกว่านั้นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนยังกล่าวกับเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า  “ขอบคุณคุณจริงๆ พวกเราจะจดจำคุณไปตลอดนิรันดร์กาลเลย”  ในวินาทีนั้น เขาได้กล่าวว่าเป็นความสุขที่ตนไม่เคยมีมาก่อนเลย ให้มีความสุขยิ่งกว่ารับ หลังจากชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน “ฉวยโอกาสที่ตัวเองยังมีอิทธิพลต่อสังคมอยู่นั้นก็รีบทำอะไรหน่อย สำหรับชายผู้นี้แล้ว เขาอาจจะยอดเยี่ยมดีกว่าคนดีด้วยซ้ำ การทำบุญบริจาคนั้นไม่ใช่ต้องทุ่มจนหมดเนื้อประดาตัว และยิ่งไม่จำเป็นต้องทำแบบเพื่อให้คนอื่นรู้เห็น รักคนอื่น เริ่มจากคนรอบตัวเรา ก็เพียงพอแล้ว


การดำเนินชีวิตคือ

ก่อนจะสัมภาษณ์นั้น ซูโหย่วเผิงที่กำลังอ่อนเพลียนั้นได้หาวไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกเห็นใจเขาเหมือนกัน  เขาได้บอกกับเราอย่างเซ็งๆว่าอยากจะบินไปที่เกาะแถวทะเลแบซิฟิกในทันทีทันใดเลย หาที่ที่ไม่มีใครรู้จักเราไปอาบแดด “ความคิดของพวกเราผู้ที่อนุรักษ์นิยมแล้วคิดว่าการทำงานถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นก็เลยให้ชีวิตของเรานั้นให้งานมาครอบครอง จนความเครียดอิ่มตัวหรือสุกแล้วค่อยรู้สึกตัวว่าทนไม่ไหวแล้ว” เขาได้เปลี่ยนทีท่าที่สบายว่า ทำต่อไป “ที่จริง ผมอยากจะเอาเวลาส่วนหนึ่งมาทำงาน อีกส่วนหนึ่งไปท่องเที่ยว”

ซูโหย่วเผิงในอายุก่อนสามสิบ เป็นคนหนึ่งที่จริงจังกับการงานเป็นอย่างมาก เมื่อเวลามาถึงปัจจุบัน ดูที่เขาได้เปลี่ยนทรงผมบอยแค่ทรงเดียวนั้นใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงเองอย่างนั้นแล้ว ก็จะรู้ว่าเมื่อก่อนนั้นจะขนาดไหน “ก็เป็นคนราศีกันย์นิ จะเป็นคนประเภทเจ้าสำอางค์ มักจะทำให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้ความกดดัน ภายใต้ความกดดันที่หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกกันแล้ว ผมก็ไปที่อังกฤษ ก็คือจะไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผมเพื่ออยากจะหาสิ่งที่หายไปให้กลับคืนมา

วันคืนที่ปล่อยชะตาชีวิตของตัวเองนั้น การเดินทางท่องเที่ยวกับหลักธรรมพุธทนั้นได้เปิดนิมิตใหม่ให้กับชีวิตผม “ท่องไปทุกที่ อ่านศึกษาหลักพระธรรม สิ่งที่ได้รับนั้นไม่ใช่อะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตในช่วงพริบตาอย่างที่ทุกคนคิดไว้ หรือเหมือนกับว่าถูกโยนในทันใดอย่างนั้น แต่เป็นการเข้าใจถึงหลักสัจธรรมอันล้ำลึกของพระพุธ หลักพระพุธจะชี้ให้คุณเห็นถึงธาตุแท้ของชีวิตคุณ จะสอนแนะนำคุณว่าจากจุดนี้ให้ไปจุดนั้นอย่างไร บวกกับเดินเที่ยวไปทั่ว ก็ได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไปของถิ่นนั้นๆ หลักการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป มันก็จะทำให้จิตใจเรานั้นได้เปิดกว้างขึ้น ก็จะค่อยๆเข้าใจและรู้สึกได้ว่า ทุกอย่างนั้นล้วนไปตามชะตาชีวิต

และซูโหย่วเผิงในวันนี้นั้น ก็จะไม่มองเรื่องการทำงานเป็นการหาเงินอีก ก็จะไม่ลดความคาดหวังในผลของงานที่เคยคาดหวังว่าต้องออกมาดี “คุณถามผมว่าจะหยุดพักงานเมื่อไร ที่จริงตอนนี้ผมก็กำลังหยุดพักอยู่ หากว่างานที่จะเข้ามานั้นมันชนกับตารางการท่องเที่ยวพักผ่อนของผมแล้ว หรือความฝันเกาะเล็กของผม นอกเสียจากงานนั้นสำคัญจริงๆ ไม่งั้นผมก็จะเลือกที่จะบินไปเที่ยวพักผ่อนอาบแดดที่เกาะนั้น” สำหรับเรื่องการเกษียณ(ลาจากวงการบันเทิง)นั้น จริงๆในใจเขานั้นก็เปิดกว้างเรื่องนี้เลยที่เดียวเชียว เป็นไปได้สูง ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเมื่อไร หากมันถึงก็คงใช่แล้วแหล่ะ

“ผมรู้สึกว่าอายุสามสิบของตัวเองก็ผ่านไปแล้ว ก็ได้เรียนรู้จากอดีตที่มีนิสัยอย่างคนราศีกันย์ที่มีท่าทีต่อการงานอย่างเอาจริงเอาจังนั้นได้มีมุมมองใหม่ที่แบบสบายๆไม่เครียดและตลกนิดๆกับงาน ผมจะรู้สึกว่าก็ต้องไปตามชะตาชีวิต ก็จะไม่ไปเคร่งเครียดกับมันนัก ทุกอย่างที่มีนั้นล้วนมีคุณค่าของมันในตัว มุมมองคุณค่าที่ต่างกันก็ได้รับผลที่ต่างกัน คุณอาจรู้สึกว่าการปล่อยไปตามชะตาชีวิตนั้นอาจเป็นแง่ลบไปหน่อย ที่จริงมันก็ไม่เชิง ความหมายในสิ่งที่ผมพูดเป็นการไม่เครียดแบบสบายๆ แต่ก็จะทำสุดความสามารถเหมือนกัน แต่จะไม่คิดว่าจะต้องได้อย่างที่หวังไม่งั้นไม่ยอม ชีวิตก็เป็น balance(สมดุลย์)  มิใช่หรือ” จากจุดสูงสุดของชีวิตตอนเสี่ยวหู่ตุ้ย ถึงจุดตกต่ำสุดที่ลอนดอน ล้วนเป็นการกระโดดจากขอบนี้ไปขอบโน้น เขาในวันนี้ สิ่งที่ปรารถนาที่สุดคือความสมดูลย์ เป็นความสมดุลย์ของชีวิตกับการงาน มีทั้งความสุขและสิ่งดีดีร่วมกัน ไม่ต้องการที่จะได้เยอะมากมายแต่เพื่อเพียงพอก็พอแล้ว เป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนอาบแดดในเกาะเล็กๆก็มีความสุขดีกว่าอยู่หน้ากล้อง ยี่สิบปีแห่งการเข้าวงการของชีวิตที่สูงต่ำนั้น สรุปแล้วการสมดุลย์พอเพียงเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติที่ดีที่สุด


4096

กระทู้ถามสด

ถาม >> คุณรู้สึกถึงนิสัยบุคลิกภาพของคนได้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?

ตอบ << ผมรู้สึกว่าตอนเด็กผมยังไม่มีนิสัยคนราศีกันย์ แสวงหาความเพร์อแฟรค อย่างไรก็ตามที่ตัวเองได้ผ่านสามสิบแล้ว ได้รับอิทธิพลจากธาตุน้ำ ผมก็ได้เปลี่ยนเป็นแบบตามธรรมชาติแล้ว อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นการหยวนๆ(ผ่อนคลาย)ให้กับตัวเอง เป็นวิธีการที่จะหยวนๆต่อคนอื่นที่ไม่เลวเลย

ถาม>> อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป?

ตอบ<< ผมรู้สึกว่าผมมีอารมณ์ขำขันกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ตามตรรกแล้วราศีกันย์นั้นจะเป็นคนที่จริงจัง ตอนนี้กระทบจากธาตุน้ำ ผมก็จะมีมุมมองที่สบายและให้อภัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ถาม>> ท่าทีมุมมองของชีวิตคุณในตอนนี้นั้นเป็นอย่างไร?

ตอบ<< ผมคิดว่าการปล่อยไปตามธรรมชาตินั้นจะดีที่สุด มีคนมากมายนั้นจะกระวนกระวายและพยายามจะฉวยโอกาสไว้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง ผมรู้สึกว่าหลายคนจะทำให้คนเรากระวนกระวายใจร้อน หรือว่าทำให้กระหายความสำเร็จเกินไป แต่ผมจะคิดว่า ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายก็จะดีกว่า

ถาม>> แต่ว่าในวงการอย่างนี้ ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตแบบเรียบง่าย?

ตอบ<< ผมไม่ได้เป็นเด็กใหม่ของวงการบันเทิง จุดสูงสุดของชีวิตนั้นผมได้ผ่านมาแล้ว ฉะนั้นวันนี้ที่เจอกับสิ่งเหล่านี้ ผมไม่กระเสือกกระสนหามัน และก็ไม่ใช่ว่าไม่มีมันไม่ได้ ฉะนั้นมุมมองคุณค่าของชีวิตของผมนั้นก็จะปล่อยไปตามธรรมชาติ ง่ายๆหน่อย เรียบๆหน่อย จริงๆแล้ว ไม่โลภชีวิตถึงจะร่ำรวยได้ แม้จะหาได้ทุกสิ่งในโลก สุดท้ายคุณก็ได้แค่เหนื่อยแล้วนอนได้แค่เตียงเดียวและหิวแล้วก็ได้แค่มื้อเดียวมิใช่หรือ?

ถาม>> คุณเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจในเรื่องความสวยความหล่อ ในชีวิตนั้นมีการใช้จ่ายเรื่องนี้อย่างไร?

ตอบ<< สำหรับจุดประสงค์ จริงๆแล้วผมไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไร ค่าใช้จ่ายที่เยอะที่สุดสำหรับผมแล้วน่าจะเป็นเสื้อผ้ามั้ง เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องงานด้วย นอกจากงานการแสดงแล้ว ศิลปินนั้นจำต้องให้การแต่งตัวมาเเป็นจุดเด่นสร้างภาพพจน์ของตัวเอง นอกเหนือจากนี้แล้ว ผมก็ไม่มีจ่ายใช้จ่ายอะไรที่พิเศษอีก ไม่ซื้อรถแข่ง และสะสมของโบราณมีค่าก็ไม่เป็น เข้าวงการมานานอย่างนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งของนอกกายนั้นยิ่งเรียบง่ายและใช้ได้ก็ยิ่งจะดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผมมักจะชอบแสวงหาสิ่งของที่ทำให้ผมมีความสุขมากกว่า เช่นถ้ามีเวลาผมก็จะไปดูละครเวที หรือว่าไปท่องเที่ยวคนเดียว ความสมบูรณ์ของร่างกายและความสงบของจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผมมากกว่ารถแข่งที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย


4097

ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นหยานเจาเหว่ยให้ได้

เพื่อที่อยากจะค้นหาชีวิตแท้จริงของตัวเองแล้ว ช่วงอายุยี่สิบเอ็ดปีนั้นซูโหย่วเผิงได้เลือกที่จะออกจากวงการชั่วครู่ ได้จากวิถีชีวิตที่ตนเองกระทำประจำ ทิ้งตัวเองไปอยู่ที่อังกฤษตามลำพัง ในสภาพที่ไม่รู้จักใครเลยที่นั่น

“เรียนอยู่ที่ลอนดอน พักอยู่ถัดต่อไปอีกสถานีของวอสปู้จิส ช่วงมีการแข่งขันเทนนิสพอดี และผมก็รักชื่นชอบเทนนิสเป็นอย่างมากเลยแหล่ะ แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้จะซื้อตั๋วเข้าชมอย่างไร แบบเซ่อๆ แล้วก็ไม่รู้จะไปถามใคร ตอนนี้หวนคิดถึงเวลานั้นก็มันดีเหมือนกัน ชีวิตที่ถูกคนจ้องมองใส่ใจนั้นจะทำให้คุณห่างเหินคนที่สำคัญคนหนึ่ง แต่ว่าเมื่อความรุ่งโรจน์ผ่านพ้นไป แม้จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว คุณถึงจะหาพบทางที่จะไปหาเขาใกล้ชิดเขา คนคนนั้นก็คือตัวคุณเองแหล่ะ อยู่ที่ไต้หวัน ผมแทบจะเป็นคุณชายที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ว่าตอนอยู่อังกฤษ จะซื้อไข่ไก่ฟองเดียวก็ยังจะต้องไปซื้อที่ห้างด้วยตัวเองเลย แต่ว่า วันเวลาที่โดดเดี่ยวดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้รับประโยชน์อย่างมาก"

ฉายาไกวๆหู่ที่ขึ้นชื่อนี้ได้จางหายลงไปกับวันเวลา ซูโหย่วเผิงก็ได้เรียนรู้ในการที่จะอยู่ตัวคนเดียวและเผชิญกับจิตภายใจของตัวเอง เริ่มเข้าสู่วงการก็ได้เป็นขวัญใจของสังคม เด็กหนุ่มแค่สิบกว่าขวบนั้นจะรับแรงความรุ่งโรจน์ที่พัดเข้ามาในชีวิตได้อย่างไร เพี่ยงแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด เดิมทีก็เป็นพวกความคิดเพอร์แฟรคอย่างคนราศีกันย์แล้ว ความกดดันที่ซูโหย่วเผิงแบกรับนั้นมันยากจะคิด

“ เมื่ออายุเพิ่มขึ่นหน่อยถึงรู้ว่า ที่จริงไม่จำเป็นต้องรับภาระหน้าที่ที่ไม่จำเป็นเยอะขนาดนั้นก็ได้ ชีวิตของเรานั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบคนอื่น แต่เป็นตัวองต่างหาก จะต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เมื่อก่อนจะทำอะไรจะต้องทำอย่างละเอียด รอบคอบมากๆ อาจเป็นความเครียด แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า เพียงแค่เน้นเรื่องใหญ่ก็พอแล้ว รายละเอียดก็อย่าไปลงกับมันเยอะเลย ให้โชคชะตานำมันไปก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าศิลปินทุกคนจะต้องเป็นอย่างหยางเจาเหว่ย "

วัตถุสิ่งของสำหรับผมแล้วมันไม่สำคัญมากมาย ผมมักจะหาสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจ เพียงแค่มีเวลาผมก็จะไปดูละครเวที หรือว่าไปท่องเที่ยวคนเดียว ความสงบและความนิ่งของจิตใจนั้นเร็วกว่ารถแข่งในโลกที่จะดึงดูดเรา

หลังอายุสี่สิบแล้ว คุณหวังที่จะมีวิถีชีวิตอย่างไร ไม่ต้องการให้มีงานเยอะอย่างนี้ ในวัยนี้นั้นควรจะมีชีวิตอย่างสบายๆผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายและจิตใจ สิ่งที่ผมหวังที่สุดก็คือสามารถที่จะไปท่องเที่ยวทั่วโลกได้ ไปกับคนที่เรารักหรือเปล่า? สำหรับความรักแล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับมัน? เป็นเรื่องของคนสองคน หลายๆครั้งนั้นจำต้องดูความรู้สึกด้วย ผมไม่ได้เอนตี้เรื่องแต่งงาน อยากแต่งก็แต่ง ไม่อยากแต่งก็อยู่ด้วยกัน ความรักเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และบอบบางที่ควรจะดึงดูดกันและกัน และไม่ใช่จะไปยืนยันอะไร ผมเองไม่ใช่ว่าอยากจะมีลูกสักเท่าไร เป็นโลกส่วนตัวของเราสองคนนั้นน่าจะเหมาะกับชีวิตผมนะ

การผ่อนคลายในความเครียดของเขานั้นพิเศษมาก เมื่อเขาไม่สบายใจนั้นจะไปที่สถานฟิตเนส ผ่อนคลายๆ ขณะที่ออกกกำลังกายนั้นก็จะระบายอารมณ์ไปด้วย อุปสรรค์ของชีวิตนั้นไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคืออารมณ์ที่ไม่สามารถขจัดทิ้งไป ทุกครั้งที่เป็นอย่างนี้ ผมจะเข้าไปที่ฟิตเนสกว่าครึ่งวัน ให้ออกเหงื่อหน่อยๆ เหนื่อยมากๆแล้วก็จะไม่คิดเรื่องวุ่นๆแล้วหล่ะ จะไม่คิดอะไรเลย อารมณ์ถูกระบายแล้ว ก็จะสงบลงอย่างอัตโนมัติแล้วสามารถไปเคลียปัญหาได้แล้ว เวลาที่ว้าวุ่นใจนั้นไม่ไปพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือหาหนทางออกหรือ? เขายิ้ม วิธีการระบายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมไม่ชอบที่จะเอาปัญหาของตัวเองไปรบกวนคนอื่น อย่างไรก็ต้องแก้ด้วยตัวเอง และอุปนิสัยของคนราศีกันย์ก็ปรากฏในตัวของเขา


ทุกเรื่องราวนั้นควรคิดในแง่บวก

เพื่อนนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิตซูโหย่วเผิง ที่ผ่านมานั้นเหตุเพราะหน้าที่การงานทำให้ละเลยเรื่องเพื่อนไป ตอนนี้เขาได้รื้อฟื้นทีละคน มารื้อฟื้นความเป็นมิตรที่ดีในอดีตใหม่อีกครั้ง ผมมักจะใช้เวลาว่างที่ไม่มีงานแล้วกลับไปที่ไต้หวันนัดพวกเขามาทานข้าวด้วยกันพูดคุยกัน เพื่อนสมัยวัยรุ่นที่ได้รวมตัวอยู่ด้วยกันนั้นเป็นความรู้สึกที่ดีที่สุด ไม่มีใครที่จะคุยกับคุณอย่างเกรงใจเพราะการงานหน้าที่ตำแหน่งหรอ ชีวิตที่มีเพื่อนที่มีความคิดที่อิสระสบายๆอย่างนี้หาไม่ค่อยมีเลยแหล่ะ ทุกนาทีที่ได้อยู่กับพวกเขานั้น ล้วนรู้สึกได้ถึงความไว้วางใจที่มีสูงมาก

เมื่อได้เอ่ยถึงนักท่องเที่ยวในจีนที่พึ่งไปท่องเที่ยวที่ไต้หวันนั้น ซูโหย่วเผิงได้แนะนำสถานทีเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาก แม้ว่าจะเคยเดินท่องไปทั่วโลกแล้ว แต่เกาะเล็กๆนี้ก็ยังมีเอกลักษณ์พิเศษของมันอยู่ หากว่าคุณจะมาไต้หวัน ในถนนคนเดินเล็กๆที่เต็มไปด้วยผู้คนและสินค้าอาหารมากมายสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยที่จะชิมมัน "ม้อไฟราม่า" กับ "ทอดเขอจื่อ" นั้นเป็นอาหารสุดยอดสองอย่างที่เขาได้แนะนำให้เรา

"ราม่า" นั้นก็คงไม่ต้องพูดมากมายเพราะในจีนก็มีเยอะอยู่แล้ว แต่ "เขอจื่อ" ทอดซิเป็นอาหารขึ้นชื่อของไต้หวันเลยแหล่ะ เป็นอาการที่ทำจากเนื้อปลาสด ผักโถงเกา ไข่ ก่อนอื่นก็ต้องใช้กะทะท้องแบนใส่น้ำมันตั้งให้ร้อน แล้ว "เทเขอจื่อ" ลงไป ไข่ไก่ ผักกาดแล้วโรยซอส รอ เขาจื่อ ร้อนแล้วจะพองขึ้น แล้วเอาอาหารที่ทำสุกๆนี้ลิ้มลองเข้าปากแล้วล่ะก็ เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ตัวผมเองน้ำลายก็จะไหลแล้วหล่ะ" เมื่อทานอาหารนี้แล้ว ซูโหย่วเผิงก็จะนำพวกเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะหยางหมิงซัน


ที่ของสวนและต้นไม้ของสวนนี้นั้นเขียวสวยมาก คุณจะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ความงามธรรมชาติของไต้หวัน ยังจำได้ไหมในตอนเด็กที่พวกเราตื่นเต้นกับหิ่งห้อยในสวนสาธารณะ หยางหมิงซันนั้นในเดือนต่างกันนั้นก็จะเห็นตัวหิ่งห้อยที่ต่างกันไปด้วย ทิวทัศน์อย่างนั้นคุณสามารถจิตนาการณ์ได้ไหม? ก็เหมือนกับได้เข้าไปสู่โลกแห่งความสวยงามอย่างนั้น คุณคงคิดไม่ถึงว่าไต้หวันมีสถานที่อย่างนี้ล่ะซิ” เสร็จจากการชมหิ่งห้อยแล้ว ซูโหย่วเผิงแนะนำให้ไปบ่อน้ำพุร้อนของหยางหมิงซัน จะให้ดีที่สุดนั้นต้องพักที่ภูเขานั้น ไปกินผักสดที่คนพื้นที่ได้ปลูก “ กลางคืนนั้นจะชมดาวในบรรยากาศที่เย็นสบายอย่างนั้น คุณก็จะรู้สึกถึงสวรรค์ก็อยู่ใกล้ๆกับคุณ”

ซูโหย่วเผิงเคยได้รับอีเมล์ เป็นเกมส์ ชื่อมันคือ “ทุกอย่างล้วนคิดในทางบวก” นี่ก็เเหมือนกับที่คุณแม่ตังเคยถาม วันนี้เงินสิบเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงหายไปแล้ว เด็กๆควรจะดิดในทางที่ดี นี่หมายความว่าไง ก็คือยังดีนะที่ใม่ใช่หนึ่งร้อยที่หายไป หากว่าคุณแม่ถาม วันนี้ไปเรียนไม่เอาร่มไป แต่ว่าฝนตกหนัก เด็กสามารถตอบว่า ยังดีนะที่บ้านน้าอยู่ใกล้ๆ สามารถเอาร่มมาให้ผมใช้อีก คุณแม่ถาม ตั้งใจในการเรียนและทำการบ้านเป็นอย่างมาก แต่ผลสอบนั้นไม่ได้ดังใจหวังเลย ...เด็กๆตอบว่า อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ลอกแอบดู กติกาในการเล่นของเกมส์นี้ก็คือ ต้องพยายามมองสถานการณ์ที่ดูเหมือนเลวร้ายกลับให้คิดเป็นแง่บวก หากคนไหนที่สามารถพริกสถานการณ์ที่เลวร้ายกลับกลายเป็นดีนั้นคนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ

“เมื่อดูเกมส์นี้แล้ว เริ่มคดถึงนิทานเรื่องหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ทำนาฬิกาข้อมือที่รักหวงนั้นหาย เครียดกลุ้มตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ป่วย มีเพื่อนมาเยี่ยมเขา เมื่อทราบถึงสาเหตุ แล้วถามเขาว่า “หากวันหนึ่งคุณทำเงินหนึ่งหมื่นหายอย่างไม่ตั้งใจ คุณจะทำเงินสองหมื่นหายอย่างตั้งใจหรือเปล่า? หญิงสาวตอบว่า “ไม่แน่นอน” แล้วทำไมหลังจากที่คุณทำเงินหนึ่งหมื่นหายแล้ว ยังต้องมาทำเอาเวลาแห่งความสุขและสุขภาพของสองอาทิตย์หายไปด้วยหล่ะ? หญิงสาวฟังแล้วได้ตื่นขึ้นดังฝันเลยแหล่ะ “เกมส์เรื่องนี้ทำให้ซูโหย่วเผิงเข้าใจว่า การจะได้ความสุขนั้นจริงๆแล้วมันไม่ยากอย่างนั้นเลย เพียงแค่ไปเล่นเกมส์ทุกเรื่องล้วนคิดในทางที่ดีเสมอเท่านั้น ชีวิตก็จะสวยงามเป็นอย่างยิ่ง” “สิ่งที่ต้องการที่สุดของชีวิตคนเราคือความคิดที่มองแง่ดี ความสุขก็จะไม่ห่างเหินเราไป ความคิดอย่างนี้จะนำมาซึ่งหยุดลงน้อยลง ชีวิตนั้นล้วนจะต้องสูญเสียไปกับวันเวลา และยังเป็นเวลาที่ได้รับด้วย หรือพูดได้ว่า พยายามที่จะให้มันสูญเสียน้อยที่สุด นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้รับแล้วนะ

4098
ซูโหย่วเผิง

ทิวทัศน์ของชีวิต ใช่ว่าจะเป็นจุดสูงสุดเสมอ

จางอ้ายฉิงกล่าวว่าการมีชื่อเสียงนั้นต้องเร็ว




หากต้องเสียเวลากำลัง( ให้อายุเยอะแล้วค่อยมีชื่อเสียง ก็จะไม่มีไฟแห่งความร้อนแรง) อย่างไรก็ตาม คนที่ดังตั้งแต่เยาว์วัยอย่างซูโหย่วเผิงกลับบอกว่า “ การมีชื่อเสียงแต่เยาว์วัยนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่มีความสุขเลย ชื่อเสียงเป็นเครื่องประดับที่ประกายแสงที่สุด และยังเป็นเครื่องเล่นที่อันตรายที่สุดด้วย หวนถึงตอนแรกที่มีชื่อเสียงนั้น เขายิ้ม กล่าวว่า “ แท้จริง ภาพทิวทัศน์ของชีวิตคนเรานั้นมีหลากหลายมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดเสมอไป”

ปีแห่งการไม่รู้จักขอบคุณ

ซูโหย่วเผิงได้เข้ามาในกองถ่ายของเราหลังทีมงานคนอื่นครึ่งก้าว เขาได้ไถ่ถามถึงหัวหน้าที่พวกเราคิดไว้แล้วว่าเขาต้องถามถึงแน่ เขาได้จ้องมองชุดเสื้อผ้าที่พวกเราเอามาอย่างละเอียด และเขาได้บอกกับพวกเราว่ารูปแบบของชุดไหนที่เขาได้ชอบ หลังจากที่ได้รูปทรงแล้ว ตัวเองก็ได้ไปจ้องจัดทรงผมที่หน้ากระจก ในเวลาพักครึ่งของการถ่ายนั้น เขาก็ได้เดินมาและจ้องส่องกระจกอย่างละเอียดอีกที และได้พูดคุยถึงมุมถ่ายกับ ตากล้อง นี่เป็นคนราศีกันย์จริงๆเลยแหล่ะ เป็นประเภทดื้อรั้นและละเอียดอ่อน ยิ่งกว่านั้นในการวิเคาะห์ความสวยความงามแล้วนั้นเขามีมุมมองเกณฑ์หลักของตัวเขาเอง ไม่ง่ายที่มีให้ความคิดมุมมองของคนอื่นจูงเขาไป ขณะที่พวกเราพูดถึงความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ตัวเขาเองก็ได้กล่าวว่าแท้จริงแล้วตัวเองก็เริ่มรับฟังยอมรับมุมมองความคิดอ่านของคนอื่นแล้ว ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้ที่จะยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลง

เสือน้อยสามตัวในสมัยนั้น อู่ฉี่หลงนั้นหน้าตาดีที่สุด เฉินจื้อเผินนั้นเสียงร้องเพลงเยี่ยมที่สุด และที่พากเพียรจริงจังที่สุดก็คือซูโหย่วเผิง ไม่ว่าจะสนองเรื่องร้องเพลงเต้นหรือกับสื่อต่างๆ ซูโหย่วเผิงนั้นซีเรียสมากกับผลที่ออกมาว่าจะเป็นไปตามที่คนอื่นหวังไว้หรือเปล่า

จำได้ครั้งหนึ่งได้ดูอ่านข่าวบันเทิงของหนังสือพิมพ์ หลินชินหยู พูดกับนักข่าวว่าตัวเองอายุสามสิบถึงจะเข้าใจ แท้จริงแล้วการแต่งหน้าไม่ใช่เป็นงาน เป็นอุปนิสัยที่ชอบรักของสุภาพสตรีอย่างหนึ่ง ใจผมเศร้าโศกจริงๆด้วยแหล่ะ อายุแค่สิบแปดก็ดังไปทั่งและเธอนั้นได้เหนื่อยกับชื่อเสียงเหล่านั้น ได้สูญเสียความสนุกสมัยเด็กมากมายที่เธอควรจะได้รับ"

ขณะที่พูดนั้น อนึ่งนั้นได้เสียดายกับขวัญใจของเรา และอีกอนึ่งก็ได้คิดถึงตัวเองในตอนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเธอเหมือนกัน วัยเด็กที่เดียงสา ทำไปหาประสบการณ์ไปด้วยว่าในการเข้าสู่วงการ คิดไม่ถึงเด็กหนุ่มที่ซื่อๆอย่างพวกเขานั้นดังได้รวดเร็วยิ่งกว่าลูกศรธนูอีก แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่สิบกว่าขวบนั้น ชื่อเสียงจะเป็นเครื่องประดับที่ล่อตาล่อใจที่สุด รวมทั้งยังเป็นของเล่นที่อันตรายที่สุดอีกด้วย


การเข้าสู่วงเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตก็ว่าได้ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นช่างอีเล็กโทรนิคอย่างผมนั้นกลับมากลายเป็นนักศิลปินไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น ตัวคนเดียวก็ได้เดินไปถึงจุดสูงสุดของชีวิต จนทำให้ทั้งชีวิตนั้นไร้เป้าหมายทิศทาง คุณก็ไม่รู้เหมือนกันแหล่ะว่าจะก้าวให้สูงอย่างมั่นคงนั้นทำอย่างไร ทางไปมาของชีวิตคุณนั้นก็ทำให้คุณมั่วไปหมด ดูผิวเผินภายนอกแล้ว ศิลปินก็จะเป็นเด็กที่ถูกรักจนเสียคน แต่วัยรุ่นที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่อย่างซูโหย่วเผิงนั้นจิตใจยังรู้สึกกลัวอยู่ เพราะได้ส่ำสมการถูกรักมาตลอดชีวิต แต่ตัวเองกับไม่รู้ถึงสาเหตุเลยสักนิด

“ในตอนนั้นอายุยังน้อย โดยเหตุที่ประสบความสำเร็จของงานการแสดง คนรอบข้างเรานั้นดีต่อเราหมด ได้ดูแลเราเป็นอย่างดี จนผมเองก็ไม่รู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น ตอนนั้นมาหวนคิดดู พึ่งรู้ว่าความรักที่ได้รับในตอนนั้นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในโลกนี้จะมีใครบ้างที่มีหน้าที่ที่จะดีต่อคุณล่ะ ฉะนั้นควรจะขอบคุณสำหรับความรุ่งโรจน์ของการงานเหล่านั้น และยังต้องทราบซึ่งถึงอุปสรรค์และความอ่อนแอช่วงขณะหนึ่งเหมือนกัน มันจะทำให้คุณขึ้นจากที่ต่ำไปที่สูง เห็นถึงเมื่อก่อนที่คุยเคยยื่นอยู่ในจุดที่สูงสุดของชีวิต ที่จริงตอนนี้กลับมาหวนคิด เวลาที่ตกต่ำจากการตกลงมาจากที่สูงนั้นทำให้ผมได้เติบโตมากขึ้น กว่าอีก"



4099
Magazine Interviews-China / 2009 Top in life
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:29:38 pm »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากนิตรสาร  Top in life ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2009














4100
http://tieba.baidu.com/f?kz=514735115


อายุทำงานในวงการบันเทิง มีมากถึงยี่สิบปีอย่างโหย่วเผิง ตอนนี้นั้นได้หันหน้าทำงานด้านหนังภาพยนตร์เป็นงานหลัก ได้เห็นเขาโลดเล่นในแผ่นฟิลม์ที่ทำให้คนอื่นหัวเราะได้โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ เหมือนกับว่าเขาได้เข้าใจถึงประโยคที่ตัวเองชอบเอ่ย  “ทำตามใจตัวเอง”  แม้ว่าบ่อยครั้งจะมีความรู้สึกอ่อนล้าบ้าง แต่ว่าเขาในวันนี้ ก็เข้าใจตั้งนานแล้วว่าจะยึดและมั่นคงในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร

ซูโหย่วเผิง ความรู้สึกที่สมดูลย์อย่าง ทำตามใจตัวเอง

ช่วงนี้ในงานด้านหนังภาพยนตร์ ก็มักจะเห็นตัวของโหย่วเผิง เริ่มต้นครึ่งปีหลังของ 2008  เขาเริ่มต้นถ่ายหนังกับสี่แฝดอย่างเผ็ดมัน (หนังเรื่อง สี่กามเทศ) ต่อจากนั้นก็ได้เปลี่ยนร่าง กลายเป็นผู้ได้มีความรักกับหลินเจียซินอย่าง ( อ้ายฉิงฮูเจี้ย 2 อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ไม่เพียงเท่านี้ ไม่นานนี้เขายังหาเวลากลับไปที่จีนและไต้หวัน ได้มีส่วนร่วมเป็นศิลปินแขกรับเชิญในเรื่อง (อ้ายเต้าตี่) รับบทเป็นนักศิลปินที่มีบุคลิกเป็นเหมือนเต่า เขากล่าว “ เริ่มแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ผมมีความสนใจกับงานการแสดงหนังภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง”

จากเวทีเล็กๆสู่หนังภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ที่จริงมันไม่แปลกเลยสักนิด ดูเหมือนว่าทุกๆสิบปีชีวิตของโหย่วเผิงนั้นก็จะเจอการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากสิบปีแรก เขาได้เข้าวงเสี่ยวหู่ตุ้ย กับเพื่อนอู่ฉีหลง เฉินจื้อเผิงได้ร่วมสร้างเวทีเพลงที่นับไม่ถ้วนมากมาย การเริ่มต้นของสิบปีที่สอง หนังเรื่องที่ดังกระหึ่มอย่าง( องค์หญิงกำมะลอ) ทำให้เขาดังไปทั่วหล้า และจากจุดนี้ได้เจอความสุขของการแสดง

ตอนนี้ สิบปีที่สามกำลังเริ่มขึ้น ปี 2009  เขาได้เข้าร่วมกับทางฮอลลีวูด(เจ้าชายปลาคน) ได้ไว้หนวดเครา เปลี่ยนแปลงตัวเอง

เหตุไรถึงได้เปลี่ยนไปแสดงหนังภาพยนตร์อย่างกระทันหัน เผชิญกับคำถามนี้ คำตอบของซูโหย่วเผิงนั้นง่ายมาก เมื่อก่อนเป็นนักร้องเป็นขวัญใจ ไม่ว่าจะทำอะไร คนอื่นก็จะมองว่าคุณกำลังเล่นหุ่น ตอนนี้ต่างกันแล้ว เรื่องขวัญใจเรื่องความรักนั้นได้แสดงไปเยอะแล้ว จากการเปรียบเทียบ หนังภาพยนตร์นั้นท้าทายกว่าเยอะ อย่างไรก็ตาม ในปีใหม่นี้ก็อยากจะไปทำงานที่ใจตัวเองอยากทำและอยากมีชีวิตอย่างที่ใจตัวเองอยากมี

หนังภาพยนตร์ จุดเริ่มต้นใหม่

มุมมองจากคนข้างๆ ซูโหย่วเผิงพอที่จะมีความฉลาดและความรับผิดชอบพอ ได้เข้าสู่วงการตั่งแต่วัยรุ่น  ปีตอน ม.6  นั้นได้ละทิ้งงานการแสดงคอนเสิร์ตต่างๆไปและไม่ไปเสริมการเรียนหนึ่งปีเต็มๆ สามารถสอบได้เป็นอันดับหกของไต้หวันในการสอบเข้ามหาลัยทั่วประเทศ ในสมัยนั้นก็ยังมีการต่อต้านจากทางครอบครัวอยู่เหมือนกันกับขวัญใจ ผู้ปกครองหลายคนที่เห็นลูกหลายตัวเองชื่นชอบในตัวโหย่วเผิงนั้นก็รู้สึกดีใจ ในตอนนั้น เขาเป็นนักเรียนแบบอย่างที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม เขาเป็นขวัญใจหนึ่งไม่มีสองของดวงใจทุกคน

แต่ว่าในปีมหาลัยปีสี่นั้น เมื่อเริ่มรู้สึกกับการเลือกเรียนคณะที่ตัวเองเลือกนั้นกลับไม่ชอบ เขาก็ได้ตัดสินใจในการที่จะหยุดเรียน และได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยตัวคนเดียว จากสายตาเหมือนกับว่าใบปริญญานั้นอยู่แค่เอื้อมนั้น ว่าไม่เอาแล้ว ก็ไม่เอาจริงๆ

หลังจากที่กลับจากอังกฤษ ในวงการบันเทิงนั้นไม่เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นแล้ว ทางบ้านทั้งพ่อและแม่นั้นล้วนเจอวิกฤตการเงิน เป็นเวลาที่ตกอับมาก โหย่วเผิงกล่าวว่าในบ้านมีสมาชิกครอบครัวสี่คนแต่ทั้งสี่คนก็ต่างอยู่กันคนละที่คนละทาง วันเวลาอย่างนี้ มีมานานจนถึงเวลาที่เขาได้เจอกับจิงจู่เหอ(องค์หญิงกำมะลอ)

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียว เสี่ยวเยี่ยนจื่อ(นากเอกองค์หญิงกำมะลอ)ไปเรียนต่อ อู่อาเกอ(เขาเอง)ก็สามารถที่จะตั้งตัวได้

วันนี้ ในเรื่อง(อ้ายฉิงฮูเจี้ยว 2) เขานั้นได้สวมบทที่คลั่ง ทั้งยังเคยมีนามที่เคยใช้อย่าง (ชายดี) (สุภาพบุรุษ) (ชายยอดเยี่ยม) (ชายร่ำ)ได้เข้าร่วมการคัดประกวดทุกรายการ แม้กระทั่งในรถก็ไม่ลืมที่จะโบกมือกับทางและท้องฟ้า “เพื่อนสหายบนยอดดอย สวัสดี”

สำหรับผู้ชมแล้วได้กล่าวชื่นชมว่าซูโหย่วเผิงเล่นได้ไม่เบา เผชิญกับคำวิจารณ์อย่างนี้แล้ว โหย่วเผิงสุขใจเป็นพิเศษ แท้จริงแล้วนี่เป็นบทบาทที่ต้องการค้นหาอย่างยิ่ง  จู้จี้จุกจิกทุกวันอย่างคนเป็นประสาทอย่างนั้น หากว่าทุกคนดูบทที่ผมแสดงแล้วก็จะรู้ว่าถูกผมผ่า(ฟ้าผ่า)เสียแล้ว นั่นก็แสดงว่าผมสำเร็จแล้ว

รับรู้ว่าได้เป็นดารารับเชิญในหนังของ หวงจื่อเจียว เขาเป็นคนแรกที่ได้แบกกระเป๋ากลับไปที่ไต้หวัน สำหรับใจที่ร้อนรนอย่างนี้ หวงจื่อเจียว  กล่าวว่าตัวเองได้ติดหนี้น้ำใจเขาอีกแล้ว


สำหรับได้ร่วมแสดงหนังของเพื่อนที่ดีนั้น ซูโหย่วเผิงนั้นรู้สึกผ่อนคลายสบายๆมาก ในเนื้อเรื่องนั้นยังได้แสดงออกถึงการเป็นผู้กำกับอีกด้วย ในด้านนี้ เขาได้มีคำสั่งต่อนักแสดงที่ร่วมแสดงด้วย “ สภาพอารมณ์ร้อน สภาพสูญเสีย สภาพสามเส้า สภาพไม้ป่าเดียวกัน” ทีมงานได้ใช้วาจาแสดงสื่อออกมา หวงจื่อเจียวที่ได้นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะออกมาว่า “ นี่น่าจะเป็นผู้กำกับที่ไม่มีความเป็นผู้กำกับที่สุดที่ผมเคยเห็น”

เมื่อยุ่งกับงานเหล่านี้จะเสร็จแล้ว ก็ไม่ไกลจากการไปแสดงหนังออลลีวูด(เจ้าชายปลาคน)ที่เริ่มจะเปิดกล้อง เพื่อต้องการที่จะแสดงบทที่ได้รับเป็นนักรบนั้น ซูโหย่วเผิงได้บอกกับเราว่า ได้ฝึกฝนดำน้ำ เสียงและสำเนียงอย่างลำบาก หากมีเวลาก็จะไปเข้าฟิตเนส เขากล่าว “ จะต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดก่อนจะเปิดกล้อง จะไม่ให้คนอื่นว่าได้ว่า “อ้ายหยา ทำไม่นักรบปลาคนคนนี้ท้องพุงใหญ่จริงๆ”อะไรอย่างนั้น

โหย่วเผิงกล่าวว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดคือการปล่อยวางไม่ยึดติดตัวเอง ราศีกันย์อย่างเขานั้นเคยเคร่งกับตัวเองอย่างมาก สอบต้องได้ร้อยคะแนนทุกครั้ง งานจะต้องทำให้ได้ดีที่สุด ช่วงหนึ่งเขากลัวที่จะออกนอกบ้าน รู้สึกว่าเมื่อเดินอยู่ที่ท้องถนน ผู้คนที่เดินในถนนนั้นจะเพ่งสายตามาจ้องที่ตัวเขา แต่วันนี้ เขาก็สามารถจะสนองสายตาอย่างนั้นแล้ว

ปัจจุบัน ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าเขาได้เรียนรู้ในการที่จะปล่อยวางตัวเองแต่ต้นแล้ว ได้เอางานหนังต่างๆอย่างย่อๆไปลงบนเว็บไซด์ของตัวเองเพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่น ทั้งคืนก็ได้ศึกษาว่าจะเอาหนังในเว็บแปลงเป็น Pod ได้อย่างไร

ระยะนี้ เขายังได้ไปดูคอนเสิร์ดซึ่งเป็นขวัญใจของเขา(มอนดอนน่า)  แม้จะมีตั๋วฟรีแล้ว แต่โดยการชื่นชอบเธอแล้วเขาได้ซื้อตั๋วใบหนึ่งเพื่อสนับสนุนเธอ ครั้งนั้นไม่เพียงแต่เขาได้เปลี่ยนฐานะเป็นผู้ชมแต่เขาก็ยังเข้าไปในเว็บจองตั๋วที่อยู่แถวหน้าอีกด้วย รวมทั้งยังตะโกนเสียงร้องกับแฟนๆคนอื่นอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เสร็จจากคอนเสิร์ดแล้วเขายังไปซื้อของที่ระลึกจากงานอีกด้วย หลังจากที่กลับมาแล้ว เขาได้บอกว่าเมื่อก่อนมักจะมีคนไล่ตามตัวเองมาตลอด แต่ตอนนี้นั้นเป็นผู้ไล่ตามคนอื่นบ้างแล้วครั้งหนึ่ง

ชีวิตอย่างนี้นั้นก็ได้เหมือนกับความตัองการทำตามใจตัวเองที่ในอดีตอยากทำนั้นจนใกล้เป็นจริง ซูโหย่วเผิงได้รวบรวมชีวิตของเขาเป็นแบบสุภาพ แม้ว่าระยะนี้ยังไม่เป็นจริง แต่เขาก็พยายามสำหรับสิ่งนี้อยู่ เขากล่าว ตอนนี้จะไม่เพื่อคนอื่นเห็นว่าตนเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับไปไว้ผมยาว ไว้หนวดเครา ใส่เสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับตัวเองแต่จะให้เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ ตอนสัมภาษณ์เมื่อเจอเรื่องที่สนุก เขาก็จะหัวเราะแล้วกลิ้งนอนบนโซฟา เวลาถ่ายรูปหากอากาศอุ่นๆ เพื่อจะเข้ากับรูปทรงก็จะสวมเสื้อขนผ้าพันคอ เขายังมีมุขขำๆๆ มากมายออกมาอีกด้วย  “อาทิตย์ที่ผ่านมานั้นผมได้ใส่เสื้อหนังด้วย พวกคุณคิดว่าผ้าพันคอผืนนี้สามารถทำให้ผมแพ้ได้หรอ เป็นไปไม่ได้”

เพราะหลายปีนี้ได้เข้าสัมผัสกับหลักธรรมพุธท เรียนรู้ถึงการพึ่งพอใจแล้วจะมีสุข ตอนนี้ผมจะไม่เรียกร้องให้ตัวเองจะเอาในสิ่งที่ตัวเองอยากได้นั้นให้ได้ เรียนรู้ในการสงบ มีมุมมองที่เป็นกลางในการมองเรื่องต่างๆ ความสุขก็จะเป็นสิ่งที่ง่ายๆ



ข้อความในรูป

ชื่อ – สกุล . ซูโหย่วเผิง
วันเกิด .   11 กันยา
ราศี .  กันย์

ก่อนนี้ . เขาเป็น ไกวๆหู่ ของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทุกครั้งที่เจอการเต้นก็จะปวดหัว ตอนหลัง ได้กลายเป็นอู่อาเกอ(องค์หญิงกำมะลอ)  ตู้เฟย ในเรื่อง( ฉิงเซินเซิน หยี่หมงหมง)  ได้กลายเป็นพระเอกในสมัยใหม่ หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าสู่วงการหนังจีนโบราณ ฮ่วยบ่อข่วย  จางอู่จี้ ... ตอนนี้ได้หันไปในด้านหนังภาพยนตร์ เพื่อเปิดโลกกว้างให้กับงานของตัวเอง

ปี 2008  รายการหนังภาพยนตร์ในเซี่ยงไฮ้ ซูโหย่วเผิงกับหลินซินหยูคู่สหายเก่าที่ได้โด่งดังไปทั่ว

(อ้ายฉิงฮูเจี้ยว2 อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ซูโหย่วเผิงได้เล่นกับหลินเจียซิน

หน้า: 1 ... 203 204 [205] 206 207 ... 216