แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Alec Love Me

หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20 21
341

โหย่วเผิง . ผมก็จะเป็นคนที่ทำให้เสียโฉม ใครหรือที่เดินสู่ความดัง? 10 ตุลาคม 2009

แค่พริบตาเดียว เป็นปีที่ยี่สิบที่โหย่วเผิงเข้าสู่วงการบันเทิง สำหรับไกวๆหู่ขวัญใจชาวไต้หวันคนนี้นั้น สิ่งที่ทุกคนไม่ลืมเป็นภาพติดตาติดใจคือภาพของอู่อาเกอในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ แต่ว่าโหย่วเผิงที่ห่างหายไปจากวงการภาพยนตร์ไปช่วงหนึ่งนั้นกลับมาโผล่ในภาพยนตร์สงครามเรื่องเฟิงเซิง โดยรับบทเป็นนักร้องละครเพลงไป๋เสี่ยวเหนียน แทบจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ในอดีตจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย จนทำให้แฟนๆคอหนังจำแทบไม่ได้ ผู้ผลิตภาพยนตร์เฝิงเสี่ยวหังกล่าวว่า “การแสดงของโหย่วเผิงนั้นยากจะให้คนลืม และผมเองก็ตะลึงด้วย เมื่อก่อนผมคิดว่าเขาแสดงได้เพียงพวกบทที่ดีๆเป็นขวัญใจพระเอก แต่ว่าในเรื่องเฟิงเซิงนั้นเขากลับพลิกบทจากหน้ามือเป็นหลังมือ มันเกินความคาดหมายของผมจริงๆ และโหย่วเผิงก็ได้สัมภาษณ์กับนักข่าวของหยางเฉิง เขากล่าวว่า “ ผมได้รอคอยบทที่แตกต่างอย่างนี้มาตลอด ผมจะไม่ยอมเดินอยู่ในเส้นทางเก่าๆอีกต่อไป”

(คำพูดที่สำคํญ . กับอดีต)

“หวังว่าทุกคนจะลืมอดีตของผมไป”

ปี 1989 โหย่วเผิงได้ร่วมเป็นสมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยกับจื่อเผิงและอู่ฉีหลง หลังจากที่ได้ออกอัลบั้มแรกไป(เซียวเหยาหยิ่ว) จนได้กลายเป็นวงนักร้องที่ดังที่สุดของไต้หวันอย่างรวดเร็ว ทั้งไปทั่วทิศที่มีชาวจีนอยู่ เหตุที่การเรียนดี เป็นเด็กที่เชื่อฟัง ฉะนั้นจนได้มีฉายาว่าไกวๆหู่ หลังจากที่เสี่ยวหู่ตุ้ยเลิกลากันจากไป ในปี 1997 โหย่วเผิงได้รับงานแสดงในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ และได้ย่างเข้าสู่วงการแสดงอย่างเป็นทางการ เมื่อรับบทเป็น อู่อาเกอ ตู้เฟย ฮัวอู่แช่ ซึ่งเป็นบทที่น่าคร่ำใคร้จนเป็นที่ชื่นชอบและฝั่งใจของเหล่าแฟนหนัง และเขาเองได้เจอกับความตกยากอีก และชีวิตเขาก็ตกทุกข์ได้ยาก และห่างหายจากวงการแสดงไปช่วงหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มรับเล่นเรืองเย้ออ้าย เป็นผู้ป่วยทางจิต และเรื่องเฟิงเซิงในบทไป๋เสี่ยวเหนียน”



นักข่าวหยางเฉิง (นข) โหย่วเผิง (ผ)

นข : คุณได้เชื้อเชิญจากทางเฟิงเซิงได้อย่างไร

ผ : มีคืนหนึ่งในปลายปีที่แล้ว ผู้ช่วยของอาจารย์เฉินก่อฝู่(ผู้กำกับเรื่อง)ได้โทรศัพท์มาหาผม บอกว่ามีบทอย่างนี้บทหนึ่ง แล้วถามผมว่าสนใจไหม ผมเลยตอบว่า แน่นอน แล้วเขาก็ส่งบทนั้นมาให้ผมที่บริษัททนายส่วนตัวของผม ตอนนั้นเนื้อบทยังไม่สมบูรณ์ บนหัวบทรู้สึกยังเขียนไว้ว่าเล่มของเฉินก่อฝู่ เมื่อผมดูแล้วยังต้องส่งกลับคืนไป..มันตื่นเต้นมากๆ

นข : ไป๋เสี่ยวเหนียนในบทกับในภาพยนตร์ที่แสดงไปนั้นเหมือนกันไหม ได้ยินว่าคุยใช้เวลาในการตัดสินใจกว่าอาทิตย์?

ผ : เหมือนกัน ก็เป็นบทที่ออกแนวกระเทย แล้วบทสนทนาก็มีจิตนาการณ์มากๆ เวลาพูดนั้นทั้งตรงและขนลุกเลย ตอนนั้นสิ่งที่ผมต้องคิดก็คือสามารถจะแสดงได้อย่างในบทหรือเปล่าเอง เพราะในเรื่องนั้นยังมีตอนหนึ่งที่ต้องร้องละครเพลงด้วย แม้ว่าตอนหลังไม่ได้ถ่ายในฉากนี้ อย่างไรก็ตามผมเองก็ไม่ได้คิดนาน และก็ได้ตัดสินใจรับการท้าทายเลย

นข :  ในใจมีความขัดแย้งไหม ไม่กลัวบทนี้จะทำลายภาพลักษณ์ของคุณหรือ จะทำลายหน้าตาที่เป็นพระเอกในอดีตของคุณ?

ผ :  การฉีกหน้าตัวเอง ? นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการที่จะทำ ถ้าไม่เช่นนี้แล้วปีที่แล้วทำไมผมต้องเล่นเรื่องเย้ออ้ายด้วยล่ะ สองสามปีนี้ที่ผมไม่รับบทเลย จุดประสงค์ก็คือไม่อย่างจะเดินเส้นทางเก่าๆ ผมมองว่าไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นพวกต่ำต้อย แต่ว่าตลอดเวลาผมเองก็กำลังรอคอยบทอย่างนี้อยู่ เพราะว่าตัวเองก็อยากจะเป็นนักแสดงที่ทุกคนยอมรับเหมือนกัน

นข :  จริงๆแล้วตามภาพลักษณ์ลักษณะของคุณแล้ว ยังสามารถรับบทที่เป็นพระเอกได้อีก

ผ : ผมเลี่ยนแล้ว ผมอยากจะทะลุทะลวง ก็หวังว่าทุกคนจะลืมภาพลักษณ์ในอดีตผมให้หมด จุดนี้นั้นต้องการทั้งเวลาและวาสนา ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรอแล้วจะได้โอกาสอย่างที่รอ แต่ว่าครั้งนี้มีบทของไป๋เสี่ยวเหนียน พูดจริงๆว่าตอนนั้นยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ผู้กำกับทั้งสองท่านก็ยอมรับว่าไม่ค่อยมั่นใจในตัวผม –“คุณทำได้ไหม? คุณจะยอมวางความเป็นผู้ดีแล้วมารับบทอย่างนี้ไหม? ทั้งคุณก็ไม่เคยเรียนการร้องละครเพลง พวกเราจะไปหาคนใหม่ๆดีกว่ามั้ง.”....

นข :  ปกติศิลปินที่ดังนั้นก็มักจะพะว้าพะวัง ...

ผ : ผมเป็นพวกอยากทำก็จะทำให้ได้ ไม่มีอะไรที่จะต้องสูญเสียไป อย่างมากก็แค่ไม่ทำแค่นี้เอง ผมคิดว่าการท้าทายกับการเปลี่ยนแปลงใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้ง เริ่มแรกพวกเราก็ไม่คิดว่าการตอบรับจากผู้ชมจะมากมายขนาดนี้ ทุกคนก็จะแฮปปี้ เพราะไป๋เสี่ยวเหนียนกลายเป็นคนที่เรียกความสุขให้กับทุกคน เขาไม่ได้เป็นฮีโร่ที่ให้ทุกคนประทับใจ แต่การที่ได้รับความนิยมที่สูงนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราคิดไม่ถึงเหมือนกัน บทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเดิมที่เป็นบทที่ลึกลับและแปลกปริศนา แต่ว่าตอนหลังบรรยากาศอย่างนี้ก็ถูกตัดทิ้งไปบ้าง เลยทำให้ทุกคำจำได้เฉพาะความตลกสนุกของเขา



(กุญแจสำคัญ : ทักษะการแสดง)

“ผมไม่เคยคิดจริงๆว่าจะเดินมาไกลขนานนี้”

“ศิลปินพระเอกนั้นทั่วไปแล้วจะมีความเครียดที่เหมือนๆกัน คือแฟนๆจะใส่ใจสนใจกับภาพลักษณ์มากกว่าฝีมือการแสดง โหย่วเผิงที่มีหน้าเด็กนั้น ทุกคนก็จะคิดเขาเป็นพวกที่ขาดฝีมือในการแสดง อู่อาเกอนั้นได้กลายเป็นมาตรฐานการตัดสินของเขาไป ส่วนเขาเองก็คิดว่านั่นเป็นแจกันเล็กๆใบหนึ่ง แม้ว่าการตกแต่งจะไม่ค่อยดี แต่กลับโด่งดังไปทั่ว “เตียบ่อกี้” กลับถูกแฟนๆทางเน็ตว่า อู่อาเกอท่านเดินทางผิดแล้ว แต่ในเรื่องเฟิงเซิง เขากลับถ่อมตัวเอง ทางผู้ผลิตเสี่ยวกังยังตะลึง ใช้คำว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือมาพูดการแสดงครั้งนี้ของเขา

นข : หลังจากที่รับบทในเรื่องเฟิงเซิงแล้ว คุณได้เตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

ผ : รีบไปเรียนการร้องละครเพลงเลย ตอนนั้นยังถ่ายทำเรื่องตามหาพี่สาม ที่กวางโจวอยู่เลย ผมเริ่มหาอาจารย์สอน ผมเองไม่กล้าที่จะเฉื่อยกับการเล่นภาพยนตร์ เพราะฝีมือของแต่ละคนนั้นล้วนกึ๋นๆทั้งนั้น

นข : ค่าเชิญอาจารย์มาสอนร้องละครเพลงนั้นคุณเป็นคนจ่ายหรือทางค่ายจ่าย?

ผ : ทางค่ายได้ให้มานิดหน่อย แน่นอนทางค่ายคงไม่อาจค่ายค่าตั๋วให้อาจารย์ไปสอนผมที่มนฑลยูนาน ส่วนนั้นผมเป็นคนจ่ายเอง ฉากแรกที่ได้เล่นกับอิงต๋านัน ในฉากมีบทร้อง ตัวเองก็ไม่กล้าทำแบบถูไถไป เลยเชิญอาจายร์สองท่านเข้าไปดูด้วย

นข : อาจารย์สอนอะไรคุณบ้าง?

ผ : ก็เริ่มจากพื้นฐาน ที่ผมเรียนเป็นบทในเรื่อง (อิ๋วเหยียนจิงม่ง) เป็นฉากที่คลาสสิคที่สุด เนื้อบทนั้นเขียนได้ดีมาก ละครเพลงก็เรียนยากเหมือนกัน ขั้นแรกต้องท่องบทก่อน ฝึกนิ้ว ดูซิ มือตอนนี้ยังมีเสียงอยู่เลย แล้วยังฝึกจังหวะเท้าด้วย ตัวจะต้องให้เหมือนหุ่นกระบอก ทุกคาบเรียนต้องมีความอดทน คาบละชั่วโมงถึงสองชั่วโมง เรียนไปทีละท่าๆ ต้องค่อยๆนำตัวเองเข้าสู่สถานการณ์อย่างนั้น บางครั้งคุณอยากจะดำน้ำไปหน่อย ก็จะรู้เลยว่าไม่ถูกต้อง อาจารย์ก็จะเตือนคุณ “ต้องสวยกว่านี้หน่อย ต้องอ่อนกว่านี้หน่อย” ทุกครั้งหลังเรียนเสร็จ เอวผมจะปวดจนงอไม่ได้ และคำพูดทั้งฉากนั้นผมได้ท่องหมดแล้ว เสียดายฉากนั้นตอนหลังไม่ถ่ายแล้ว

นข : นอกจากเรียนละครเพลงแล้ว คุณยังทำอะไรอีก?

ผ : ก็หาภาพยนตร์ที่เป็นแนวเดียวกันมาดู เช่น (เหม่ยหลันฟาง) (ป้าหวังเปี๋ยจี๋) ประเภทเหล่านี้ ทั้งยังไปหารูปเก่าๆ ไปดูชีวิตในสมัยโบราณนั้นเป็นอย่างไร ไปดูว่าชีวิตของพวกเขา ตอนอยู่ปักกิ่งผมก็ได้ดูละครเพลงมาพอสมควร ก็จะพยายามไปจิตนาการณ์ความรู้สึกของพวกเขา เดิมทีฉากในบทนั้นต้องการให้ผมร้องสดเลย นอกจากจะพยายามทางด้านเสียงแล้ว ผมยังต้องเปลี่ยนลักษณะการพูดของผมด้วย แม้ว่าตอนหลังจะไม่ถ่ายฉากนี้ แต่ก็เป็นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าความเป็นกระเทยของไป๋เสี่ยวเหนียนไม่เพียงแต่จะให้เห็นถึงบุคลิกของผู้หญิง ทั้งยังเป็นหวังเอ๋ออีกด้วย

นข : นักแสดงหลายคนอิงไปกับบทจะกลายเป็นอย่างนั้นไปเลย แล้วคุณแสดงเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนจะเป็นอย่างนี้ไหม

ผ : ผมคงไม่หนักขนาดนั้น แต่เพื่อจะรักษาอารมณ์อย่างนั้นผมก็จะทำท่าทางตอนอยู่ในกองถ่ายด้วย ไม่คุยกับคนอื่น ไม่ไปดูที่ทีวี ปกติแล้วผมจะหาที่เก็บตัวเงียบๆ ไปใคร่ครวญถึงอารมณ์อย่างนั้น โจวซิ่นได้พูดไปแล้วมิใช่หรือ “เอ้ ทำไมไม่เป็นไป๋เสี่ยวเหนียนเลย?”  ทันใดนั้นผมก็โผล่ออกมาอย่างผี แล้วก็หายตัวไป

นข : แล้วคุณประเมินการแสดงของคุณอย่างไรบ้าง?

ผ : เกินความคาดหมาย เริ่มแรกที่รับบทนี้ ผมเองก็ไม่เคยคิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้



(คำพูดสำคัญ : กับ ภาพลักษณ์)

คนที่เคยดูภาพยนตร์เฟิงเซินแล้วก็คงลืมฉากที่ไป๋เสี่ยวเหนียนถูกทรมานแล้วขังไว้ในห้องขังน้ำไม่ได้ ยิ่งฉากที่เขาถูกทุบตีจนต้องนอนจมบนกองเลือด จนทำให้หลายคนคิดไม่ตกและคิดไม่ถึงเกี่ยวกับตัวเขาที่เคยแสดงเป็นพระเอกอู่อาเกอกลับมารับสภาพเป็นอย่างนี้ โหย่วเผิงที่พึ่งฉลองอายุครบ 36 ไปนั้น สำหรับเขาที่มีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันที่เป็นพระเอกนั้น เขากล่าวว่า “หากว่าผมยังอยากจะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น ก็คงไม่ทำอย่างนี้แล้ว”

นข : ได้ข่าวว่าในเรื่องนั้นมีฉากหนึ่งที่คุณต้องถ่ายซ้ำถึงสิบสองครั้งในหนึ่งวัน เป็นฉากไหนกันมันยากอย่างนั้นเลยหรือ?

ผ : เยอะกว่านั้นอีกมั้ง ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้ง ฉากนั้นยากและสุดท้ายถูกตัดทิ้ง เป็นฉากที่ผู้ต้องสงสัยทั้งห้าคนได้ถูกนำตัวไปส่งที่บ้านแห่งหนึ่งในเวลากลางคืน จิงเซิงห่อได้วิ่งไปชนประตูห้องของไป๋เสี่ยวเหนียน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์ อยากให้ไป๋เสี่ยวเหนียนไปพูดสิ่งดีๆกับทางหัวหน้าผู้บัญชาการหน่อย ในคืนนั้น ผู้ต้องสงสัยทั้งห้าล้วนหนักใจมาก เหลือแต่ตัวไปเสี่ยวเหนียนที่ไม่หนักใจเพราะว่าเขามีผู้บัญชาการเป็นผู้พึ่งได้ เขาได้เปิดเพลงร้องเพลงในห้อง เนื้อเพลง “พวกคุณไม่แยกแยะถูกผิด เอาฉันมาขังไว้ในที่แบบนี้ ฉันจะด่าว่าพวกคุณ” เพื่อประโยคนี้ ผมไม่เพียงเป็นชายชาตรียังเป็นเหล่าเซิง ผมทั้งพูดทั้งร้องเพลงไปกับจิงเซิงห่อด้วย ตอนหลังจิงเซิงห่อโมโหแล้ว “หากไม่มีฉัน คิดว่าตอนนี้คุณจะได้เป็นนายคนหรือ?” จิตใจของไป๋เสี่ยวเหนียนก็เริ่มไม่สบายใจ แล้วหยิบเข็มฉีดยาออกมาจากกระเป๋า ฉีดตัวเอง ในบทนั้นเขียนไว้อย่างนี้ “เขาได้หายใจเข้าออก แล้วหน้าตาก็เหมือนดอกท้อ” จริงๆแล้วโรคหัวใจเขากำเริบ อย่างไรก็ตามวันที่สองเมื่อฟื้นแล้ว เขาก็เข้าไปในห้องตัวเองร้องเพลงเหมือนเดิม ทันใดนั้นก็สังเกตุเห็นว่าตัวเองมีผมขาวเส้นหนึ่ง และได้ระวังในการถอนผมที่หงอก แล้วคุณไม่รู้สึกหรือว่าคนผู้นี้มันลึกลับขนาดไหนกัน ? เสียดายฉากนี้ถูกตัดทิ้งไป

นข : แล้วคุณคิดว่าความยากในการเล่นบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นอยู่ที่ไหน?

ผ :  ในบทนั้นมีคำพูดของไป๋เสี่ยวเหนียนเยอะมาก จะบอกว่าเขาไม่หญิงไม่ชาย แท้จริงเขาก็เป็นทั้งหญิงและชาย” สำหรับนักแสดงแล้ว การจะทำอะไรก็จะทำให้มันถึงที่สุด แต่ก็จะไม่สามารถให้คนอื่นมองแล้วน่าเกลียด แล้วมันมีความเป็นหญิงความเป็นชายเท่าไรถึงนับว่าเป็นกระเทย ฉะนั้นเวลาจะแสดงถึงจะรู้ว่ามันยาก

นข : บทของไป๋เสี่ยวเหนียนถูกตัดทิ้งไปเยอะมาก คุณรู้สึกเสียใจไหม?

ผ :  แน่นอน ในตำนานนั้นไป๋เสี่ยวเหนียนไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยเลย แต่ว่าหลังจากที่เปลี่ยนเนื้อเรื่องไปบ้างแล้วก็เลยเป็นอย่างนี้ จนกลายเป็นอย่างนั้นไป ผมได้อ่านคำวิจารณ์บทหนึ่งเขียนอย่างนี้ว่า “บทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเปลี่ยนไปจนเด่นมาก คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้กับตัวเขาเสียอีก ทำไมตายเร็วจังเลย” ก็คือส่วนที่เป็นผู้ต้องสงสัยของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นถูกตัดออก เหลือเพียงส่วนที่เป็นฉากบันเทิง เสียดายเหมือนกัน

นข :  ผู้กำกับว่า คุณนั้นจะต้องทำใจให้ลืมอดีตของตัวเองให้หมดถึงจะเข้าฉากแสดงได้ เริ่มแรกคุณยังกังวลกับภาพลักษณ์ของอยู่หรือเปล่า?

ผ :  ไม่มีนะ หากว่าผมผะวงกับภาพลักษณ์ของผมแล้ว คงจะไม่รับบทอย่างนี้แล้ว เพียงแค่เริ่มแรกนั้นไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ จะคิดเสมอว่าคนอื่นเขาจะมองเราด้วยสายตาผิดปกติหรือเปล่า?และตอนหลังก็ไม่ไปคิดมันอีก ต้องกล้าอย่างเดียว จะไม่เป็นตัวถ่วงของทีมงาน ผมต้องขอขอบคุณอิงต๋าเป็นอย่างมาก เขาไม่มีความรู้สึกที่เบื่อหน่ายสักนิดเลย ได้ช่วยเหลือผมมาตลอด

นข : ตอนถ่าย “ถูกทรมานในเครื่องทรมาน” โหดร้ายน่าดูเลย?

ผ : ฉากที่ถูกทรมานนั้น ผมถูกทางการดึงผมผมแล้วลากเข้าไป ในคืนนั้น ผมขอร้องทหารให้มัดผม แล้วให้ผมนั่งบนเก้าอี้ทรมาน ผมร้องจนคอแทบจะแตก แล้วผู้บัญชาการได้เอาแส้มาตีผม ตีจนหูอื้อไปเลย

นข : แล้วคุณได้ทำท่าทางหรือสายตาให้กับไป๋เสี่ยวเหนียนไหม

ผ : ไม่จำเป็นให้ผมไปคิดทำอะไร เพราะในบทของเขานั้นก็เขียนมาดีแล้ว ตอนเที่ยงคืนถูกจับไปที่ซางจวน แต่เขาไม่พูดบ่นสักคำ สวมใส่เสื้อสูท สวมถุงมือ และหมวก เขาเป็นคนที่เนียบมาก สำหรับนอกเหนือจากบทนั้น ผมไม่ได้เตรียมอะไรมากมาย สำคัญคือต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นกระเทยออกมา ให้ได้อารมณ์อย่างนั้น



(คำพูสำคัญ : ความรัก)

“มีใครบ้างที่ไม่ปรารถนาความรักที่สมบูรณ์สวยงาม”

สามหนุ่มเมื่อ 20 ปีก่อนที่ได้เข้าสู่วงการในเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น เรื่องความรักของเสื่อสองตัวอย่างจื่อเผิงและโหย่วเผิงนั้นยังไม่ชัดเจน แต่สำหรับความรักของอู่ฉีหลงกับสาวสวยยูนานนั้นในช่วงหลายเดือนก่อนเป็นข่าวที่ใหญ่โตในวงการบันเทิง จนทำให้ความรักช่วงหนึ่งของพวกเขาสองคนนั้นกลายเป็นฟองสบู่ไป ไม่รู้ว่าโหย่วเผิงจะมีความคิดที่ว่าแม้จะเหงาจะขอยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือเปล่า?

นข : เรื่องของความรักนั้นได้วางแผนไว้บ้างไหม?

ผ :  นับจากปีที่แล้วมาจนถึงวันนี้ การงานของผมนั้นยุ่งมาก รอให้การโปรโมทเรื่องเฟิงเซิงเรียบร้อยแล้วผมก็จะให้ตัวเองได้พัก แล้วเรื่องอื่นๆถึงค่อยวางแผนได้

นข :  ในฐานะที่เป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องของอู่ฉีหลง

ผ : เรื่องราวความรักนั้น คนภายนอกไม่ควรจะไปก้าวก่าย อู่ฉีหลงเป็นผู้เข้มแข็ง เวลาที่เขาตัดสินใจทำอย่างนี้ก็น่าจะมีเหตุผลของเขา ใครบ้างที่ไม่อยากจะมีความรักที่สวยงามสมบูรณ์ ผมจะขออวยพรเขาตลอดไป

นข : เรื่องนี้จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีต่อความรักเปล่า?

ผ : มี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลาทำงานที่ไม่ตรงกัน บวกกับความห่างเหิน สำหรับพวกเราแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นบททดสอบของพวกเรา

นข :  สเปคผู้หญิงในดวงใจของคุณเป็นอย่างไร?

ผ : เพียงแค่ขอให้เธอมีความเข้ากันได้กับผมและงานของผม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังผม และสามารถเข้าใจกันและดูแลกันและกันได้ก็ดีพอแล้วแหล่ะ ยังมีอีกจุดหนึ่งคือ นิสัยต้องดี เรื่องการศึกษากับภูมิหลังนั้นถ้าจะให้ดีก็อย่าต่างกันมาก ยังต้องเป็นคนที่ชอบในเรื่องคล้ายๆกัน มีมุมมองคุณค่าที่เหมือนกัน

(ภาพลักษณ์ในสื่อ)

วันที่สัมภาษณ์นั้น โหย่วเผิงใส่ชุดสูทดำทั้งชุด สีผิวที่ออกเหลือง ทรงผมเป็นทรงเฟิงเซิงอยู่ ยังไว้หนวดนิดๆ ภาพของไกวๆหู่ที่เคยอยู๋ในความทรงจำนั้นกลับหายไปแล้ว เลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะดูแล้วมันไม่ปกติ และความเข้มที่มีหนวดกับทรงผมนั้นไม่ค่อยเข้ากับหน้าเด็กของเขาเลย แต่เขาก็ตั้งใจที่จะเดินไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ บางครั้งต้องเหนื่อยยาก บางครั้งก็ต้องถูกคนเข้าใจผิดบ้าง

ขณะที่กำลังพูดคุยถึงบทที่แสดงอยู่นั้น โหย่วเผิงกลายเป็นคนที่ลืมตัวเองกับไม่มีตัวเอง และน้ำเสียงของเขานั้นเปลี่ยนไป สำเนียงการพูดออกแนวปักกิ่ง ไม่เพียงแต่จะหลุดบทพูดออกมา ทั้งยังมีจังหวะเท้าออกมาด้วย เป็นทำนองละครเพลง ไป๋เสี่ยวเหนียนคงซึมเข้าไปในเส้นเลือดเขาไปแล้ว

342
2009-09-21(21 กันยายน 2009) http://ent.sina.com.cn/s/h/2009-09-21/14342707209.shtml



=โหย่วเผิง : คุณแม่บอกว่ามือไม้ยังอ่อนโยนไม่พอ

=21 กันยายน 2009 สถานีหัวหลง รายงานข่าวภาคค่ำ

=แท้จริงแล้วผมเองนั้นหักเหลี่ยมชีวิตสุดๆแล้ว ผมไม่สามารถที่จะยืนอยู่กับที่ได้
=ใช่ว่าผมไม่แก่ แต่ดูเหมือนเด็กไปเท่านั้น

=ปัจจุบันทำงานนั้นใส่ใจขั้นตอนวิธีการมากกว่าผลงาน

โหย่วเผิง

เสี่ยวหู่ตุ้ยในอดีตนั้น ได้กลายเป็นความทรงจำของคนหลายๆคนไปแล้ว ณ วันนี้ หนึ่งในเสือน้อยสามตัวอย่างอู่ฉีหลงนั้นได้แต่งงานและหย่าไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนเฉินจื้อเผิงก็ไม่ค่อยมีข่าวอะไรเลย เหลือเพียงไกวๆหู่อย่างโหย่วเผิง เข้าสู่วงการมาแล้ว 21 ปี ก็ยังยืนอยู่ ปีนี้ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์สงครามเรื่องเฟิงเซิง ทั้งยังได้หักเหลี่ยมเรื่องของบทที่รับแสดงด้วยการเป็นนักร้องละครเพลง เรื่องนี้จะออกฉายในวันที่ 30 ของเดือนนี้ สื่อก็ได้ฉวยโอกาสนี้มาสัมภาษณ์โหย่วเผิง

เกี่ยวกับเฟิงเซิง

นักข่าวรายการข่าวภาพค่ำ (นข)
โหย่วเผิง (ผ)

นข : ในเรื่องเฟิงเซิงนั้น คุณเล่นบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เป็นนักร้องละครเพลงนั้น ความรู้สึกในตอนที่คุณพิจารณารับบทนี้เป็นอย่างไร?

ผ : แท้จริงในเรื่อง พวกเราล้วนทำงานกับทางรัฐ ดูไปแล้วพวกเราเป็นเหมือนพวกขายชาติ แต่ก็ไม่วายที่จะส่งข่าวให้กับหน่วยต่อต้านทหารญี่ปุ่น ในที่สุดทำให้ทหารญี่ปุ่นเริ่มสืบหาว่าใครเป็นเกลือในหนอน

ไป๋เสี่ยวเหนียนที่ผมรับบทก็เป็นตัวละครหนึ่งที่เป็นเกลือในหนอน ตัวละครนั้นเป็นเลขาของผู้บัญชาการ แม้จะเป็นทหาร แต่ก่อนจะมาเป็นทหารนั้นไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเคยเป็นนักร้องละครเพลงมาก่อน บวกกับเป็นนักร้องที่มีชื่อด้วย ครั้งแรกที่เห็นเนื้อบทก็รู้สึกว่าบทนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก คำพูดไม่อ้อมค้อม ไม่ไว้หน้า บวกกับเติบโตจากงานแสดงละคร จึงมีบุคลิกที่ออกแนวกระเทยๆหน่อย

นข : แล้วคุณเคยเตรียนตัวกับการเล่นบทนี้อย่างไรบ้าง?

ผ : ตอนนั้นทางทีมงานบอกว่าเรามีเวลาน้อยมาก คำขอของผมก็คือจะต้องไม่เรียนการร้องละครเพลง ผมไม่อยากจะแสดงออกมาแบบโห่วแตก ฉะนั้นเลยควกเงินตัวเองไปเชิญอาจารย์สอนละครเพลงในสถาบันสอนมาสอนผม แต่ก็ไม่ดีที่จะเอาอาจารย์ไปในกองถ่ายด้วย ได้แต่เรียนอย่างลับๆ

นข : คุณบอกว่าสุดเหวี่ยงกับการแสดงออกแนวกระเทย มันสุดเหวี่ยงอย่างไรบ้าง?

ผ : ต้องเปลี่ยนแปลงในหลายๆจุด เช่น น้ำเสียงของการพูดคุย ลักษณะการออกเสียง ท่าทางในการเดิน ในเรื่องนั้นแม้กระทั่งขนตาผมยังต้องดัดมันจนเป็นหางนกยูงเลย นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์แย่ได้จัดวางไว้ทั้งหมด จะต้องเล่นให้ได้แบบอ่อนช้อย กระหนุงกระหนิงอย่างนั้นเลย

นข : ได้ข่าวว่าตอนแรกคุณแม่นั้นได้ขัดขวางแอนตี้กับบทนี้ของคุณเป็นอย่างมาก?

ผ : แท้จริงมันไม่ได้รุนแรงตามข่าวที่เสนอออกไปเลย เริ่มแรกคุณแม่จะไม่สนับสนุนบ้าง แต่ตอนหลังกับมาช่วยเหลือผมอย่างมากมาย เพราะว่าช่วงหนึ่งผมต้องซ้อมร้องละครเพลงตลอด แม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำก็ยังร้องไม่หยุดเลย วันหนึ่งผมได้ซ้อมทั้งเพลงทั้งท่าจนเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นผมซ้อมที่บ้าน สุดท้ายคุณแม่เดินเข้ามาทักว่าตาผมมันไม่หวานพอ “เธอที่แสดงในบทอย่างนี้นั้น มันดูแล้วสายตาไม่ค่อยอ่อนโยนเลย”

นข : ใช่หรือเปล่าที่คุณแม่คุณเชี่ยวชาญในด้านนี้ เลยมองออกว่าคุณยังหวานอ่อนไม่พอ?

ผ : จริงๆคุณแม่ผมไม่ได้เก่งจนถึงขั้นนั้น ไอ้เรื่องว่าผมจะแสดงได้เหมือนกระเทยได้มาน้อยแค่ไหนนั้น ท่านก็ดูออกเหมือนกัน ท่านก็ยังรู้สึกว่าผมอ่อนโยนไม่พอ

เกี่ยวกับชีวิตนักแสดง

นข : คุณได้แสดงนักร้องละครเพลงที่เป็นกระเทยบทหนึ่ง กังวลเกี่ยวกับการรับไม่ได้ของแฟนๆไหม?

ผ : ผมรู้สึกว่านี่แหละเป็นข้อแตกต่างระหว่างขวัญใจกับนักแสดง หากว่าอยากจะเป็นขวัญใจของแฟนๆตลอดไป ก็จะต้องรับแต่บทเดิมๆ และในระยะสองปีนี้ผมเองก็ไม่เคยรับบทแสดงอีกเลย จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่ได้ดูบทเฟิงเซิงแล้ว หากว่าผู้ชมรู้สึกว่าเพื่องานแสดงผมไม่กลัวในเรื่องของภาพลักษณ์แล้วก็ผมคิดว่านั่นก็จะบรรลุเป้าหมายของผมแล้ว

นข : หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว คุณก็ก้าวเข้าสู่วงการแสดงทันที ตอนนั้นเป็นวาสนาอะไรของคุณ หรือว่ารู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในด้านนี้?

ผ : แท้จริงตอนนั้นผมเข้าสู่วงการบันเทิงกว่าสิบปีแล้ว พูดในฐานะนักร้องคนหนึ่ง ระยะเวลาสิบปีก็เป็นจุดสูงสุดขั้นหนึ่งแล้ว ในสายตาของทุกคนนั้น ล้วนมองผมเป็นไกวๆหู่ แท้จริงผมเป็นคนดื้อไม่เบาเลย ผมไม่สามารถจะหยุดอยู่ตรงนั้นได้

นข : สำหรับแฟนๆในจีนนั้นภาพที่ตรึงอยู่ในใจของทุกคนก็น่าจะเป็นบทอู่อาเกอในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ จนถึงทุกวันนี้ก็ล้วนยังมีภาพนี้ติดอยู่ในใจของแฟนๆอยู่ คุณคิดว่านี่เป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว?

ผ : เป็นภาพลักษณ์ที่ต้องมีอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ เช่นตอนที่เจ้าเหว่ยดังนั้น ต้องเสียเวลามากมายในการที่จะบอกกับทุกคนว่าเขาไม่เพียงแต่เป็นเสี่ยวเยี่ยนจื่อ และก่อนหน้านั้น ผมเองก็เป็นเด็กดีอยู่ หลังจากที่เล่นบทของอู่อาเกอไปแล้วทำให้ทุกคนประจักษ์ว่าผมเองก็แสดงบทอย่างนี้ได้เหมือนกัน ทั้งยังเป็นการทะลุทะลวงด้วย

นข : คุณก็แสดงภาพยนตร์ต่อสู้มาไม่น้อยเหมือนกันเช่นเตียบ่อกี้, อัวอู๋แช่, เซียงตุ้ยเหยาฉี แล้วคุณชอบบทไหนมากกว่ากัน?

ผ : บทต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นที่สนใจในตอนนั้น ยังมี ฉิงเซินๆ หยี่หมงๆ(มนต์รักในสายฝน)  ตอนหลังกระแสภาพยนตร์เกาหลีมา พวกเราก็ยังได้ร่วมมือกันดาราอย่างไฉ่หลินด้วย แล้วผมเองก็ได้เดินผ่านมาทีละก้าวๆอย่างนี้แหล่ะ บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นที่ชื่นชอบของคนในยุคนั้น

นข : ล้วนมีคนพูดว่าโหย่วเผิงแก่ไม่เป็น แต่ตอนจะรับบทนั้นมีไหมที่บางเรื่องนั้นแทบจะไม่คิดถึงคุณเลย?

ผ : จริงๆแล้วใช่ว่าผมไม่แก่ เพียงแค่หน้าตาผมอ่อนกว่าอายุไปหน่อยเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในวงการบันเทิง ไม่มีปัญหา แล้วแต่ผู้ใหญ่เห็นว่าผมเหมาะกับบทอะไรก็รับบทอันนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วผมสามารถแสดงได้เยอะกว่านี้

นข : สิบกว่าปีก็ได้แต่ขยายงานที่จีน แล้วเวลาว่างที่อยู่ในปักกิ่งนั้นมากกว่าเวลาที่อยู่ในไทเปหรือเปล่า?

ผ : อื่ม น่าจะเป็นอย่างนั้น คุณแม่ก็อยู่ที่ปักกิ่ง คุณแม่อยู่ทั้งสองที่เลย เวลาที่ท่านไม่มีธุระ ผมก็ชวนท่านมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน

นข : ก่อนหน้านี้คุณเล่าว่ามีการไปลงทุนที่นั่น ตอนนี้เป็นเวลาเก็บเกี่ยวแล้วใช่ไหม?

ผ : ไม่ได้ลุงทุนอะไรมากมาย จริงๆก็ไม่มีธุระกิจใหญ่โตอะไร เพียงแค่ไปศึกษาดูธุระกิจของตัวเองด้วยความตั้งใจเท่านั้นเอง

นช : อยู่ในวงการบันเทิงก็นานพอสมควร ได้เรียนรู้เคล็บลับความเป็นอยู่ในวงการอย่างไรบ้าง ?เช่น เวลาเผชิญกับข่าวลอย หรือเผชิญกับเรื่องราวเชิงลบ เผชิญกับความกดดัน มีวิธีการแก้ไขอย่างไร?

ผ : ภาวะจิตใจภายในนั้นมีการเปลี่ยนไปอย่างมากมาย ถ้าเทียบกับตอนเริ่มเข้าสู่วงการนะ แต่ตอนนี้นั้นจะให้ความสำคัญกับวิธีขั้นตอนการทำงานมากกว่าผลของงาน

ถามด่วนตอบด่วน

นข : สถานที่ที่คุณอยากไปที่สุดคือที่ใด?

ผ : ลอนดอนมั้ง เพราะตอนเด็กเคยไปเรียนที่นั่นช่วงเวลาหนึ่ง เลยอยากจะกลับไปดูดูว่าเป็นอย่างไรแล้ว

นข : คุณเชื่อเรื่องรักชั่วนิรันดรไหม

ผ : น่าจะเชื่อนะ

นข : บุคคลที่คุณอยากจะขอบคุณที่สุดคือใคร?

ผ : คุณแม่ของผม

นข : หากว่าวันหนึ่งคุณไม่ทำอาชีพศิลปินแล้วคิดว่าจะไปทำอะไร?

ผ : เป็นนักท่องพเนจร เดินทางรอบโลก

นข : สามารถเขียนออกมาได้ไหมว่า เวลาที่คุณไม่ได้ทำงานเนี่ย คุณจะทำอะไรในวันนั้น?

ผ : ต้องดูว่าตอนนั้นพักอยู่ที่ไหน หากว่าอยู่ที่ปักกิ่ง จะนอนกินบ้านกินเมืองเอา ท่องเน็ต แล้วออกไปออกกำลังกายบ้าง

(คนอื่นประเมินตัวโหย่วเผิง)

เฝิงเสี่ยวกัง

โหย่วเผิงนั้น “เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือไปแล้ว”

เฝิงเสี่ยวกังเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิง ขณะที่ทางสื่อได้ถามเขาเกี่ยวกับบทที่โหย่วเผิงเล่นในเฟิงเซิง และเฝิงเสี่ยวกังได้ตอบอย่างหนักแน่ว่า “เมื่อก่อนผมก็คิดว่าเขาแสดงได้แต่บทที่เป็นผู้ดีเป็นขวัญใจพระเอกประมาณนี้ แต่มาในเรื่องเฟิงเซิงนั้นเขากับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย มันเกินความคาดหมายของผม และเรื่องเฟิงเซิงก็จะเป็นเรื่องหนึ่งที่เขาจะเกี่ยวเก็บความสำเร็จ”


จางเสี่ยงอู่

(เหม่ยหลันฟาง) หากโหย่วเผิงไม่ได้แสดงด้วยก็จะเสียดายมากๆ

เป็นคำกล่าวของศาสตราจารย์จางเสี่ยวอู่แห่งมหาลัยปักกิ่ง การแสดงในเฟิงเซิงของโหย่วเผิงนั้นเป็นสีสันของเรื่อง หากทางเหม่ยหลันฟางไม่ได้เลือกเขามาแสดงด้วยก็คงจะเป็นที่น่าเสียดาย”


(ความเชื่อมโยง)

ภาพยนตร์เฟิงเซิง

กับบทของโหย่วเผิง

ภาพยนตร์สงครามเรื่องเฟิงเซิงได้ปรับปรุ่งเนื้อเรื่องใหม่จากเรื่องราวตำนานในตระกูลม่าย เนื้อเรื่องนั้นเป็นสงครามในจีนซึ่งญี่ปุ่นมารุกรานและตั้งกองบัญชาการอยู่ที่นั่น ในกองบัญชาการนั้นมีสายลับอยู่ด้วยทั้งยังมีข่าวได้รั่วไหลออกไปจนทำให้ผู้ใหญ่ในกองบัญชาการต้องสืบหาว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้กันแน่ และได้จับห้าคนไปสอบสวนที่จวนอาทิ โจวซิ่น หลี่ปิงปิง จางหันอยี โหย่วเผิง และอิงต๋าเฟิง ได้มีการสอบสวนอย่างทรหด และทางโหย่วเผิงก็ได้รับบทเป็นนักร้องละครเพลง เป็นเลขาของผู้บัญชาการ แม้ตำแหน่งจะไม่สูง แต่ว่าสามารถที่จะเลื่อนขั้นได้อย่างไม่สิ้นสุด

ผู้รับการสัมภาษณ์

ซูโหย่วเผิง

ประวัติส่วนตัว. นักแสดง นักร้อง นับจากตอนเข้าสู่เสี่ยวหู่ตุ้ยมาจนถึงวันนี้ เป็นเวลา 21 ปีไปแล้ว และเคยแสดงเรื่ององค์หญิงกำมะลออีกด้วย

เบื้องหลังการสัมภาษณ์ : ภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิงจะออกฉายในวันที่ 30 กันยายน บทที่โหย่วเผิงเล่นนั้นคือเป็นเลขาของท่านผู้บัญชาการ นับว่าอยู่ภายใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น เขาเคยเป็นนักร้องละครเพลงมาก่อน

และเนื้อหาในเรื่องนี้จัดเรียงโดย คังถิงฟาง


343

โหย่วเผิงบันทึกรายการวงจิ่งซิงบอเค่อ ใน “ไป๋เสี่ยวเหนียน”


31  สิงหาคม โหย่วเผิงที่กำลังยุ่งกับงานภาพยนตร์(เฟิงเซิง)ที่จะออกฉายในวันชาตินั้นได้เป็นแขกรับเชิญใน(กวงจิ่งบอเค่อ) ได้เป็นผู้ประกาศทีมใหม่ ภาพโหย่วเผิงที่เห็นได้ชัดคือสง่าและเข้ม ยิ่งทำให้เป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือรอยยิ้มที่หวาน อบอุ่น  เวลาบันทึกรายการก็ยังยิ้มหวานตลอด เวลาที่ได้เป็นผู้ดำเนินรายการนั้น ภาษาจีนกลางที่ชัดแจ๋วของเขานั้นทำให้ผู้จัดการชมเขาว่าพูดได้ดีและบันทึกอย่างราบรื่น และเขาเองก็ยังพูดตลกว่าอยากจะเป็นผู้ประกาศข่าว

หลังจากที่บันทึกรายการเสร็จแล้ว เขาก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของ(เตี้ยนหยิ่งหวั่ง)


“ไป๋เสี่ยวเหนี่ยน”เวลาพูดแล้ว “ไม่เป็นภาษาคนเลย” เดี๋ยวชายเดี๋ยวหญิงมันจะทำให้ทีมงานเลียนแบบ

ในเรื่องเฟิงเซิงนั้นโหย่วเผิงได้แสดงบทที่กลับหัวกลับหางกับภาพลักษณ์เก่าๆของเขา ได้แสดงเป็นนักร้องละครเวทีเสี่ยวไป๋เหนียน เขาที่เป็นมือขวาของผู้บัญชาการทหารที่อยู่ใต้คนคนเดียวแต่เหนือคนนับหมื่น เขามีเหตุผลเพียงพอกับการที่ไม่หญิงไม่ชาย โดยฉะเพาะคำพูดที่แทงใจดำ เพื่อจะให้ผลงานนี้ได้ดีที่สุด โหย่วเผิงได้เชิญครูสอนร้องละครเพลงของปักกิ่ง มาสอนทุกวัน ซ้อมจังหวะทำนองของเพลง กระทั่งต้องขังตัวเองอยู่ในห้องในการฝึกฝนและดู “เหม่อยหลันฟาง”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเฟิงเซิงที่เป็นบทที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่งนั้น และโหย่วเผิงพูดไปยิ้มไปก็พลอยมีอารมณ์ไปด้วย ไม่เพียงแต่มีการยกมือยกนิ้ว(เป็นท่าของละครเพลง) ทั้งยังร้องออกมาให้ฟังสองสามประโยค เห็นตัวของไป๋เสี่ยวเหนียนเลยทีเดียว ผู้ทำภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิงนั้นได้แซวโหย่วเผิงว่าเป็นพวกนักแสดงมืออาชีพเลย ทางผู้กำกับเองก็ได้กล่าวว่าตัวละครไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ไปเลย แต่ว่าอย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มแรกเปิดกล้องถ่ายทำนั้นไม่รู้โหย่วเผิงหาท่าไม่ถูกหรืออะไรไม่รู้ถึงได้มีการ NG21 ครั้ง มีความกดดันมากจนทำให้ออกมาแบบติดขัดบ้าง “จริงๆแล้วตัวละครในเรื่องนี้นั้นสิ่งที่ท้าทายที่สุดก็คือการจะต้องชนะใจตัวเอง คำพูดที่ไป๋เสี่ยวเหนียนพูดนั้นมันไม่ใช่คำพูดของคนเขาพูดกันจริงๆ มันต้องออกเป็นเสียงของผู้หญิงซึ่งมันผิดธรรมชาติมากๆ” โหย่วเผิงก็ได้กล่าวต่อ “ต่อมาทางทีมงานก็ชอบเอาคำพูดของไป๋เสี่ยวเหนียน ท่าทางของเขามา “ล้อเลียน”


เฟิงเซิง นั้นได้มีการลงนามห้ามมีการเผยแพร่เนื้อเรื่องออกไปมิเช่นนั้นจะถูกปรับ

เมื่อถามถึงว่า ใครเป็น “เหลากุ่ย”ในเรื่อง โหย่วเผิงก็ตอบอย่างระมัดระวังว่า “พวกเราล้วนลงนานต้องเก็บความลับเหล่านี้ไปแล้ว และค่าปรับก็เขียนไว้อย่างชัดเจน” ตามสิ่งที่เขาพูดมา สิ่งที่โอเว่อร์ที่สุดคือ เนื้อหาของเรื่องในมือของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้หากมีเนื้อเรื่องรั่วไหลออกไปก็จะรู้ว่าเป็นใคร

โหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวเองก็ยังไม่ได้ดูเรื่องทั้งเรื่อง เพียงแต่ได้ดูตอนที่ตัวเองเล่น “ตอนจบนั้นพูดไม่ได้ แน่นอนมันเหนือความคาดหมาย” ในเรื่องเฟิงเซิงนั้นโหย่วเผิงได้ร่วมแสดงกับโจวซิ่น, หลี่ปิงปิง, จางหันอี่, และนักแสดงหลักอีกเจ็ดท่าน ซึ่งได้เผชิญกันการจับตัว “เหลากุ่ย”และต่างก็คิดจะฆ่าซึ่งกันและกัน ..



344
Magazine Interviews-China / 2009 Life Style
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:30:41 PM »

ซูโหย่วเผิง... ผมในวันนี้ เหมาะแก่การเป็นนักแสดงอย่างยิ่ง

หลายปีมานี้ ภาพที่โหย่วเผิงให้กับทุกคนคือเป็นนักแสดง แต่ว่าย่างก้าวแรกที่เดินเข้าสู่วงการบันเทิงนั้น เขาเป็นนักร้องคนหนึ่ง ได้รื้อฟื้นเพลงเก่าๆน่าฟังของเขา(หนี่ไคว้ปู่ไคว้เล่อ) เขานั้นพูดออกมาแบบตกใจเหมือนกัน “คุณเคยฟังหรือ นั่นเป็นเพลงในอัลบั้มชุดปี 2000

ผลงานล่าสุดที่เขาได้แสดงนั้นเป็นเรื่องเฟิงเซิงที่กำลังจะฉายในเร็วๆนี้ เป็นผลงานชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งในรอบปี “บทบาทที่ผมเล่นในเรื่องเฟิงเซิงนั้นชื่อไป๋เสี่ยวเหนียน เขาเป็นนักร้องละครเวที อีกตำแหน่งหนึ่งเป็นผู้ติดตามผู้บัญชาการ ตัวละครนี้นั้นสับสนเป็นอย่างมาก เขารับทั้งร้องเพลงทั้งสภาพจิตใจ มีความรุ้สึกที่กลมกลืนไปทั่วทุกด้าน แต่แท้จริงแล้วภายในจิตใจนั้นบริสุทธิ์ เขาเป็นคนที่บุ่มบ่าม ภายนอกดูเหมือนผู้มีจิตใจงดงาม ไม่เป็นพิษภัยต่อผู้อื่น รูปแบบของอาจารย์แย่หมินเทียนที่ได้วางไว้นั้น เมื่อทันทีที่ผมเห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่า ว้าว ใบหน้าของผมนั้นขัดได้เกลี้ยงมาก สุดท้ายก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อจะให้มันเข้ากับบท” เพื่อบทนี้แล้ว โหย่วเผิงได้ทุ่มเทอย่างมาก เขาได้เชิญอาจารย์สอนร้องเพลงละครเวทีมาสอนเขาโดยเฉพาะเลย ตอนนั้นเขายังถ่ายละคร(พี่หลิวซัน)ที่ยูนานอยู่เลย และได้ไปรับอาจารย์มาสอนโดยเฉพาะ “เพราะในบทนั้นมีฉากอย่างนี้ ฉะนั้นไม่เรียนไม่ได้ มันจะดำน้ำถ่ายแบบถูๆไถๆไปไม่ได้ ผมเชื่อว่าการทุ่มเทของผมนั้น ผู้ชมจะเห็น”

หลายปีมานี้ โหย่วเผิงได้ไปชิมรสชาติของบทคนบ้าไม่น้อยเลย “ปีที่แล้วผมได้เล่นบทโรคจิต ในเรื่อง(พี่หลิวซัน)นั้นได้เรียนการร้องเพลงท้องถิ่น จริงๆแล้วก่อนหน้าโน้นผมเองก็เคยแสดงละครหุ่นของเกาหลีมาด้วย เข้าสู่วงการมานานมากแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสักนิด ผู้ชมจะเบื่อหรือไม่เบื่อนั้นยังเป็นเรื่องเล็ก ตัวเองซิจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งเดิมๆ” สมัยที่เขาเป็นนักร้องขวัญใจนั้น เพียงแค่อยู่บนเวทีแล้วจับไมค์ร้องเพลงแค่นี้ ทำให้บรรดาแฟนๆผู้หญิงที่อยู่ข้างล้างเวทีก็ดิ้นกันแทบจะหลุดโลก ตอนหลังตลาดการทำเพลงนั้นไม่ค่อยสู้ดี แล้วก็เริ่มหันมารับงานแสดง เริ่มแรกนั้นออกอัลบั้มก็เพื่อการแสดง และเมื่อแสดงไปนานๆก็จะติดใจติดอารมณ์กับงานนี้ ก็เลยชอบงานแสดงไปใหญ่เลย “ผมนั้นอายุเยอะแล้ว” ตัวเขาเองก็อดหัวเราะไม่ได้ “งานการแสดงนั้นน่าจะเป็นงานที่เหมาะที่สุดสำหรับอายุผมในตอนนี้ การจะเป็นนักร้องนั้น คุณจะต้องรักษาความมันบนเวทีไว้ไม่ให้มันถอยหลัง และมันก็มีความเกี่ยวข้องกับอายุด้วย แต่กว่าถ้าเป็นนักแสดงแล้ว คุณจะแสดงไปจนถึงแก่เฒ่าก็ไม่มีปัญหา ผมนั้นไม่อยากจะมีชีวิตซ้ำซากกับการเป็นขวัญใจในสมัยนั้น และยินดีที่จะลองทำถูกทำผิดกับสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะงานแสดงภาพยนตร์ มันมีความท้าทายเป็นอย่างมาก”

หลายปีมานี้ เขาเลือกที่จะทำงานในจีนมากกว่า เพราะตลาดในจีนนั้นกว้าง โดยเฉพาะอาชีพบันเทิงนั้นได้พัฒนาขึ้นในช่วงนี้ ทั้ง ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ก็ล้วนมีการทุ่มทุนลงไปเยอะมาก ค่ายหัวอี้ที่โหย่วเผิงสังกัดนั้นก็ยังเป็นบริษัทชั้นนำในวงการด้วย เขาซาบซึ้งใจกับเจ้าของบริษัททั้งสองเป็นอย่างมาก “ผมนั้นเลื่อมใสในเจ้าของบริษัทคุณหวังจงจินและคุณหวังจงสือทั้งสองเป็นอย่างมาก พี่หวังใหญ่นั้นหนักแน่นมาก พี่หวังเล็กก็เปรี่ยมด้วยความสามารถ พวกท่านสองคนได้ร่วมมือกันสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับพวกเรา สามารถนำอิสระในการพัฒนาการแสดงให้กับศิลปินที่สังกัดอยู่ในค่ายของท่านอย่างดีมาก

อยู่ในค่ายนี้สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือเรียกว่าดีที่สุดก็คือได้มีโอกาสที่พิเศษมากๆ เช่นโหย่วเผิงนั้นก็ได้มีโอกาสไปเล่นหนังฮอลลีวูด “เหมือนคล้ายกับ(จื่อหวงหวัง) เป็นหนังแนววิญญาณจิตนาการณ์ แน่นอนมีจุดเด่นมากมาย เหตุเพราะการจะเตรียมตัวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมก็ได้มีการฟิตร่างกาย”

"ลู่อี้" ในสายตาของโหย่วเผิง ผมชอบ ลู่อี้ เป็นอย่างมาก เขาเป็นคนที่ขยัน เป็นคนซื่อตรง ไม่เคยสร้างภาพ แต่เป็นคนที่พูดตามตรงตามเนื้อผ้า ชีวิตของเขาเป็นแมนมาก

"จางหันอี้"  ในสายตาของโหย่วเผิง สนิทกับหันอี้มากๆ พวกเราเล่นเรื่องเฟิงเซิงด้วยกันเขาจริงจังกับชีวิตประจำวันมาก

"หวังเป่าฉาง" ในสายตาของโหย่วเผิง เป่าฉางเป็นคนที่แฮปปี้ ทุกครั้งที่อยู่กับเขานั้นรู้สึกแฮปปี้ไปด้วย และผมเองก็รู้สึกว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่เขามีมาก ทุกครั้งก็จะอิทธิพลต่อคนอื่น นำคนอื่นแฮปปี้ด้วยกัน

345

09-08-12 : สัมภาษณ์โหย่วเผิง ในงานพิธิเปิดเว็ปไซน์โซวหูกวน (ฟงเซิง)


เว็ปไซน์ ฟงเซิง ได้เปิดแล้ว

โหย่วเผิง :  ผมเองก็ยังดูไม่หมด มีอะไรบ้าง เพราะว่าเกี่ยวกับการรับเสียง มีส่วนหนึ่ง ของผมเองก็มีส่วนหนึ่งแล้วตอนหลังก็มีการอัดเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ผมได้ดูที่เป็นส่วนของผมเท่านั้น

นักข่าว : แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?

โหย่วเผิง : ความรู้สึกเหรอ อืม พูดตรงๆนะ ตัวเองรู้สึกว่าการแสดงของตัวเองนั้นยังไม่เข้าเป้าก็คือยังไม่ถึงจุดที่ตัวเองคิดเอาไว้ พูดตรงๆ เพราะว่า "เสี่ยวเหนี่ยน" นั้นตัวเขาเองเป็นนักแสดง พูดตามตรงทางผู้กำกับและตัวบทของเขานั้นจริงๆแล้วเขาจะเป็นคนที่ไม่หญิงไม่ชาย ถ้าจะใช้ภาษาสมัยนี้ก็เรียกว่ากระเทย (หัวเราะ) สุดท้ายตัวเองดูแล้วก็.....

นักข่าว : การเรียนร้องเดิมทีก็เป็นอย่างนั้นเลยใช่ไหม?

โหย่วเผิง : ใช่ สุดท้ายเมื่อตัวเองมาแสดงแล้ว ตัวเองก็เริ่มรู้สึกว่าจะเป็นหญิงสาวไปแล้ว สุดท้ายเมื่อตัวเองมาเปิดดูแล้ว ก็ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย

นักข่าว :  หมายความว่าแสดงออกมาแล้วก็คือ ..ไม่ค่อยเป็นกระเทยเท่าไหร่

หวังจงเหล่ย :  ถอมตัวเกินไปแล้ว

นักข่าว :  บอกว่าถอมตัวเกินไป ความหมายของท่านก็คือเขาแสดงได้เหมือนผู้หญิงมากใช่ไหม?

หวังจงเหล่ย :  พวกเราทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วก็รู้สึกว่า คุณนี่เป็นคนอีกคนจริงๆ เหมือนผู้หญิงมากๆ

โหย่วเผิง :  (หัวเราะดัง) ไอ้ที่ว่ามันเหมือนผู้หญิงขนาดไหนนั้น ทุกคนต้องเข้าไปชมในโรงภาพยนนตร์ถึงจะรู้ (หัวเราะต่อ)

นักข่าว:  แล้วต่อบทที่คุณแสดงไปนั้น ความรู้สึกในระหว่างการแสดงหรือหลังจากที่ได้ดูผ่านไปแล้ว ก็น่าจะมีความรู้สึกแตกต่างกัน ?

โหย่วเผิง :  พูดตามตรง จริงๆแล้วเริ่มต้นนั้น ผมรู้สึกว่าทั้งเรื่องนั้น ร่วมทั้งเวลาถ่ายทำด้วย จริงๆแล้วน้อยมากที่ผมจะไปดูที่ผมถ่ายไปแล้ว ตลอดเวลานั้นผมเองจะรู้สึกว่า ก็คือไม่กล้าเผชิญกับภาพของตัวเอง อะไรอย่างนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจ ท่าทางอย่างนั้น ไหนไหนก็แสดงไปแล้ว จากนั้นผมก็ไว้ใจกับทางผู้กำกับ ทางผู้กำกับดูที่จอมอนิเตอร์บอกว่าโอเคผมก็โอเค บุคลิกของ "ไป๋เสี่ยวเหนียน" นั้นเป็นคนที่มีบุคลิกมาก ปากดี พูดก็ไม่เพราะ เป็นที่เกลียดชังของคนอื่น วันหนึ่งผมจำได้ว่าได้เข้าฉากกับปิงปิง เมื่อเราสองคนถ่ายเสร็จแล้ว เธอกล่าวกับผมว่า “โอ้ พวกเราสองคนเดินออกมาจากกล้องแล้ว พูดกับผมว่า .ในโลกนี้จะมีคนอย่างไป๋เสี่ยวเหนี่ยนอย่างนี้ได้เหรอ ? ฮ่าๆๆ  คนอย่างนี้ก็คือเขาเป็นอย่างนี้ๆ จะพูดไงดี คือมนุษย์สัมพันธ์ของเขาคงจะไม่ดี ฉะนั้นในเรื่องผมก็จะเป็นคนแรกที่ถูกจับไปทรมาน เป็นคนแรกที่ถูกจับไปทรมานเลย

นักข่าว :  คนแรกก็เป็นคุณที่ถูกจับไปทรมาน?

โหย่วเผิง : ใช่

นักข่าว :  พวกเขาล้วนมีประสบการณ์ไปเรียนต่างประเทศ แล้วคุณมีไหม?

โหย่วเผิง : พวกเขามีดีกรีขนาดนี้ เมื่อผมได้ฟังปุ๊บผมเองก็หน้าแดงไปเลย ผมอย่างดีก็ได้แค่ไปเรียนที่โรงละครโอเปร่าเท่านั้นเอง(หัวเราะ)

นักข่าว : ดูจากเรื่องของอาชีพแล้วมันคงต่างกัน แต่จริงๆแล้วก็น่าจะเหมือนกัน

โหย่วเผิง :  แต่ว่าหากพูดถึงเรื่องเมื่อกี้ เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของพวกเรา แม้ว่าในเรื่องนั้นผมอาจมีตำแหน่งที่ต่ำสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ว่าตำแหน่งของผมนั้นก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญในการอยู่เบื้องหลังนะ

นักข่าว : เบื้องหลังที่สำคัญ

โหย่วเผิง :  ใช่ ผมมีภูมิหลังที่สำคัญ แต่สำหลับภูมิหลังของผมเป็นมาอย่างไรนั้น นั่นก็เป็นเรื่องที่พิเศษเรื่องหนึ่งเหมือนกัน สำหรับเรื่องนี้นั้น ก็คงอีกหน่อยค่อยเปิดเผย หรือว่าพวกเราไปดูที่โรงเองก็ดี

นักข่าว : โอเค ใช่ ที่โรงภาพยนตร์ แต่ว่าสิ่งที่ผมอยากจะรู้ก็คือ โหย่วเผิง สำหรับบทบาทนี้แล้วมันเป็นอะไรที่คุณต้องเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ก็เหมือนกันคุณหวังที่ได้พูดไปนั้นมันไม่เหมือนเป็นตัวคุณเลย แล้วผู้คิดว่าขณะที่คุณได้รับบทนี้บุ๊ปแล้วคุณก็คงไม่ใช่จะรับโดยไม่คิดปั๊บเลยใช่ไหม? ยังมีช่วงเวลาที่จะคิดไตรตรองไหม?

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วมันก็ก้ำกึ่งนะ มันก้ำกึ่งจริงๆ ผมคิดว่าตัวละครบทนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครเมื่ออ่านแล้ว รวมทั้มผมเองด้วย ครั้งแรกที่ได้อ่านตัวบทของฟงเซิงเรื่องนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องราวมันดึงดูดคนมาก รวมทั้งมันยังประทับใจด้วย ก็เหมือนกับที่ หันอี๋ ได้พูดไป เธอมีอารมณ์ร่วมมากๆ คุณทราบไหม? ทุกคนที่เป็นชาวจีน หากคุณอ่านเรื่องอย่างนี้จบแล้ว คือในสมัยที่เต็มไปด้วยสงคราม จากนั้น ในชนเผ่าของพวกเรานั้น ทุกคนก็รอคอยฮีโร่ คุณทราบไหม ต้องการมีคนที่มีจิตใจอย่างนี้เพื่อมารับหน้าที่ที่หนักใหญ่อย่างนี้ มาเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างนี้ อย่างแรกคือ ประทับใจกับเรื่องราว อย่างที่สอง ไป๋เสี่ยวเหนียนพิเศษอย่างไรล่ะ (หัวเราะ)

นักข่าว :  แล้วพิเศษอย่างไร?

โหย่วเผิง : ใช่ ก็รู้สึกว่า มันภาคภูมิใจมากๆ ที่วันนี้มีโอกาสดีๆอย่างนี้ มีบทอย่างนี้มาให้ มีเนื้อเรื่องอย่างนี้มาอยู่ต่อหน้าผม ผมสามารถเลือกว่าจะรับหรือไม่รับ สำหรับบทของเขานั้นเป็นที่ดึงดูดของนักแสดงเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นสิ่งแรกที่ใจคิดก็คือ ผมสามารถรับแสดงบทอย่างนี้ได้ไหม เพราะภูมิหลังของเขานั้นพิเศษมาก ลักษณะพิเศษของเขานั้นก็เลียนแบบยากมากเหมือนกัน ใช่ จากนั้น ...



จางหันอี๋ : เดิมที่คือให้ผมแสดง

โหย่วเผิง:  ทุกคน. หา?

โหย่วเผิง : อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ

นักข่าว : ผมเองก็พึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก จริงๆเหรอ?

หันอี๋ : นี่เป็นเรื่องใน จริงๆเป็นอย่างนั้น เดิมที่คือให้ผมแสดงบทนี้ ไป๋เสี่ยวเหนียน

โหย่วเผิง : ผมอยากดูจังเลย

หันอี๋ : คุณไม่รู้ล่ะสิ จริงๆแล้วผมเล่น แต่ผมคิดแล้วคิดอีก

โหย่วเผิง :  แล้วคุณมั่นใจหรือว่าสามารถจะเล่นเป็นกระเทยอย่างนั้นได

หันอี๋ : แน่นอน

โหย่วเผิง :  คุณสามารถตัดใจได้เลยหรอ เจ้าพระคุณ

หันอี๋ : อื่ม ผมดูแล้ว บทนี้นั้นโหย่วเผิงเล่นได้ถึงพริกถึงขิงมากๆ มันมีรสชาติจริงๆ ยอดเยี่ยมๆ

โหย่วเผิง : ชมเกินไปๆ

นักข่าว: การแสดงออกที่แปลกอย่างนี้ไม่กลัวแฟนๆจะรับไม่ได้หรอ

โหย่วเผิง : จะให้พูดตามตรง นี่ก็น่าจะเป็นการล้อเล่นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็พูดจริงๆ ในเรื่องนี้นั้น หลังจากที่ได้ทุ่มเทในการแสดงอย่างนี้ไปแล้ว หากว่าบทบาทนี้ไม่เหมือนผู้หญิงเลยแล้ว ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน ผมถูกรบกวนปานตาย จริงๆ หากมิใช่ที่มันแปลกอย่างนี้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นการตลกครึ่งต่อครึ่ง สำหรับตัวเองแล้ว ผมรับทุกบทผมเองก็ต้องเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ผมไม่อยากจะยืนอยู่กับที่ นักแสดงทุกคนเมื่อรับบทมาดูแล้วก็ต้องพิจารณาว่ามันท้าทายตัวเองหรือเปล่า สิ่งที่สองที่จะต้องพิจารณาคือ ผมทำได้หรือเปล่า และผมเองรู้สึกว่า สิ่งที่สามารถที่จะดึงดูดแฟนๆของตัวเองคือการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุด นี่ถึงจะเป็นวิธีการที่ยั่งยืน ไม่ใช่เป็นการยื่นอยู่กับที่และปิดกั้นตัวเอง






346
Online Interviews & Updates / [2007-12-17]โหย่วเผิงได้รับรางวัล QQ
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:18:44 PM »

สัมภาษณ์โหย่วเผิง ::  เปิดเว็ปไซเถิงซิ่นผู้เข้าเขียนฝากข้อความเกินสิบล้านคน ขอขอบคุณแฟนๆชาวเน็ตเป็นอย่างมาก แท้จริงแล้วการทำงานในด้านการกุศลนั้นก็ถือว่าเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก งานหลักของเป็นหน้านั้นก็ยังคงอยู่ที่จีน ถ่ายภาพยนตร์ ออกอัลบั้ม จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลย

ข่าวจากเถิงซิ่น  คืน 17 ธันวาคม 2007 ทางเถิงซิ่นเป็นเจ้าภาพในการจัดงานมอบรางวัล “ศิลปิน 2007 ”ขึ้นที่โรงละครเวทีปักกิ่งอย่างคึกคัก โหย่วเผิงก็ได้เข้าร่วมงานนี้ด้วย และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของเถิงซิ่น

สื่อ : ยินดีต้อนรับที่ได้กลับมา นี่เป็นห้องสัมภาษณ์ของเถิงซิ่นซึ่งอยู่ด้านหลังงาน “ศิลปิน 2007 ” ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั้นก็เป็นเพื่อนเก่าแก่ ซูโหย่วเผิง

โหย่วเผิง : สวัสดีทุกท่านครับ

สื่อ : ยินดีด้วยที่ได้รับรางวัลนี้

โหย่วเผิง : ไม่หรอกครับ วันนี้ที่ได้รับรางวัลนี้ยังรู้สึกละอายใจอยู่เหมือนกัน จริงๆแล้วมีศิลปินมากมายที่ได้ทำงานการกุศลอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน

สื่อ : คุณถ่อมตัวมากเลย ปีที่แล้วก็ได้รับหนึ่งรางวัลนี่ครับ ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วหลังจากที่สัมภาษณ์คุณเสร็จแล้วก็เป็นประโยชน์มากๆ วันนี้จะต้องขอพูดแน่ๆ คุณบอกว่าการแต่งตัวของผู้ชายนั้นต้องเรียบง่ายสะอาด

โหย่วเผิง : ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วจะใส่แบบสกปรกหรือ

สื่อ : ไม่หรอก ก็แบบสีดำ มันเข้ม ฉะนั้นวันนี้เลยใส่สีดำ เมื่อกี้ที่ขึ้นเวทีก็เป็นชุดดำ หลายคนได้แซวผม ผมตอบพวกเขาว่าโหย่วเผิงสอนผมเอง ผมรู้ดีว่าคุณยุ่งมากๆ เพิ่งมาถึงอย่างรีบร้อนเลย

โหย่วเผิง : ใช่ เพราะกับ QQ ก็ยังเป็นสหายเก่าด้วย ฉะนั้นต้องมาร่วมอย่างแน่นอน+

สื่อ : เว็ปของคุณนั้นมีคนเข้าดูเกินสิบล้านเลย

โหย่วเผิง : แฟนๆทางเว็ปนั้นส่วนมากจะมาจากเพื่อนๆทาง QQ  เพียงแค่ใส่ใจกับมันหน่อยก็จะมีการตอบสนองที่ดีมากๆ และยังขอขอบคุณ QQ ที่เอากระทู้ของผมวางไว้ในพื้นที่ที่สำคัญ ทำให้ความคิดของผมเป็นที่เห็นได้ง่ายต่อผู้เข้าชม

สื่อ : งานหลักนั้นได้ไปทำที่จีนมาแล้วกว่าปี ก็คือหลังจากที่ได้เซ็นสัญญากับคุณหัวอี้ พวกเรามาสรุปประเมินปี 07 ดู

โหย่วเผิง  : ปี 07 นี้ก็ไม่ถือว่าได้ทำงานอะไรมากมาย เพียงแค่ได้ทำงานการกุศลสองสามงานเท่านั้นเอง สำหรับผมแล้ว ละครโทรทันศ์ท์ที่ทำผ่านมานั้น สำหรับผู้กำกับที่มีเชื่อเสียงหรือเรื่องที่บิ๊กๆนั้นล้วนได้ร่วมงานมาหมดแล้ว อนาคตผมเองก็หวังว่าจะค้นหาทำอะไรที่รู้สึกทะลุทะลวงตัวเอง หรือว่าจะเป็นอะไรที่ทำให้ทุกคนทึ่งแปลกใจ

สื่อ : ปีนี้โหย่วเผิงได้ทำการกุศลมากมาย ร่วมทั้งได้บริจาคสิ่งของมากมายอีกด้วย

โหย่วเผิง  : ผมรู้สึกว่าปกติแล้วไปห่วงใยคนรอบข้างของเรา หรือว่าทุกคนต่างอภัยซึ่งกันและกัน อย่างนี้ก็ทำได้ หรือว่าจะบริจาคสิ่งของก็ยังเป็นการช่วยเหลือคนมากมายได้

สื่อ : ถ้าอย่างนั้น หากผมได้ชื้อ ก็เป็นการกระทำที่ดี

โหย่วเผิง : ก็เป็นการทำความดีด้วยหรือ?(หัวเราะ)

สื่อ : แล้วปีหน้าวางแผนไว้จะทำอะไร?

โหย่วเผิง : เดิมทีแล้วปีนี้ต้องออกอัลบั้มหนึ่ง

สื่อ : ก่อนหน้านี้มีอัลบั้น (ต้าปู้เหลี่ยว)

โหย่วเผิง : ก็ยังนับว่าโอเค ปีหน้าอาจจะมีโครงการคอนเสิร์ด ตอนนี้กำลังประสานกับภาพยนตร์บางส่วน หวังว่าจะคืบหน้าไปมากกว่านี้

สื่อ : ปีหน้าสิ่งที่อยากจะทำที่สุดคืออะไร

โหย่วเผิง : เพราะว่าปีนี้ได้ทำงานที่ไม่เกี่ยวกับการแสดงมากมาย หวังว่าปีนี้จะของกลับไปสู่งานอาชีพเดิม

สื่อ : รวมทั้งร้องเพลง เล่นละคร

โหย่วเผิง : ผมรู้ว่าเพื่อนๆหลายคนร้อนใจ วันนี้ขอฉวยโอกาสนี้ก่อน ก็กำลังพยายามอยู่จริงๆ ทุกคนอย่างเพิ่งใจร้อน

สื่อ : ขอบคุณครับ แล้วสำหรับปีหน้ามีอะไรชี้แนะหรือเปล่า

โหย่วเผิง : อย่าหล่อกว่าผมก็แล้วกัน(อารมณ์ขัน)

สื่อ : โอเค  ปีหน้าผมจะไม่ขอโผ่ลออกมา โหย่วเผิงก็เป็นคนอย่างนี้แหละ ต่อเพื่อนเก่าแล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งคุยตลก ของคุณครับ



347

2009-8-4 อายุสามสิบแห่งความสุข โหย่วเผิงได้พกการหวนคืนของภาพยนตร์ใหม่

“เสี่ยวหู่ตุ้ย”กับ (องค์หญิงกำมะลอ)เป็นงานจุดสูงสุดสองเรื่องของโหย่วเผิง หลังจากนั้นยังถ่ายเรื่อง(ฉิงติ้งอ้ายฉิงไห่ : รักข้ามขอบฟ้า) (อีเทียนสู่หลงจี้ : ดาบมังกรหยก) แม้ว่าการตอบรับจะไม่เหมือนองค์หญิงกำมะลอ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ ได้รับงานถ่ายละครทีวีที่แหวกแนวออกไปอย่าง(เย้ออ้าย) และภาพยนตร์(เฟิงเซิง) เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่โหย่วเผิงเป็นที่สนใจของสื่อ

นักข่าว : (เย้ออ้าย)กำลังออกอากาศในบางที่ เรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจ?

โหย่วเผิง : (เย้ออ้าย)เป็นละครแนวความรักในสมัยสงคราม เนื้อเรื่องนั้นได้มีความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพที่ย่ำแย่ของสังคม บทที่ผมแสดงนั้นเป็นโรคจิตคนหนึ่ง บทของหันเสวี่ยนั่นทั้งอกนั้นเต็มไปด้วยความอยากแก้แค้น ดูจากเนื้อเรื่องแล้ว น่าจะเป็นที่ตี่นเต้นและเป็นที่สนใจของผู้ชม

นักข่าว : ละคร(เย้ออ้าย) ภาพยนตร์(เฟิงเซิง)จะออกฉายในปีนี้ ได้ข่าวว่าในสองเรื่องนี้บทของคุณนั้นแนวจะแตกต่างจากเดิม ขอแนะนำบททั้งสองเรื่องของคุณให้ผู้อ่านได้รู้หน่อย

โหย่วเผิง : ในเรื่อง(เย้ออ้าย)นั้นเล่นเป็นซูหมิงเทา นี่เป็นบทที่ถ้าท่าทายผมมากที่สุดในรอบหลายปีนี้ เริ่มเรื่องนั้นหมิงเทาเป็นผู้ชายที่สง่าผ่าเผย จากปัญหาหลายๆอย่างนั้นทำให้เขากลายเป็นคนโรคจิต ในส่วนของความรักนั้น เขาเป็นคนที่จริงจังในเรื่องนี้ ในเรื่องของคู่สมรสนั้นเขาเป็นคนหนึ่งที่มีบุคลิกเงียบๆ ในเรี่องเฟิงเซิงนั้นก็มีความท้าทายมากๆเหมือนกัน ในเรื่องผมรับบทเป็นเสี่ยวไป๋เหนียน เขาเป็นคนที่เกิดที่ลี่เหยียน จะมีบุคลิกที่เหมือนคนลี่เหยียน สำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งใหม่ จากเรื่องนี้นั้นทำให้ผมต้องเตรียมตัวมาอย่างดี

นักข่าว : เรื่องพวกต่อสู้นั้นคุณถ่ายมาหลายปีแล้ว (การดักซุ่ม)นั้นคุณเป็นคนหนึ่งที่เป็นยอดฝีมือ กลัวไหมที่ผู้ชมจะมองว่าเรื่อง(เย้ออ้าย)กับ(เฟิงเซิง)ของคุณนั้นเป็นแค่มือสมัครเล่น

โหย่วเผิง :  ไม่น่าจะมองว่าสมัครเล่นมั้ง สำหรับเรื่อง(เย้ออ้าย)นั้นผมได้เตรียมตัวมานานแล้ว (เฟิงเซิง)นั้นได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องจากเรื่องเดิมเล็กน้อยโดยนักเขียนที่มีชื่อ แม้ว่าภาพยนตร์แนวต่อสู้นั้นจะนิยมมาก แต่ก็เชื่อว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องก็จะมีความแตกต่างกัน เช่น(เย้ออ้าย) กับ(การดักซุ่ม)นั้นมันแตกต่างกันสิ้นเชิง ผู้ชมจะรู้สึกถึงความแตกต่างจากการชม

นักข่าว :  การพัฒนาหลังจากเรื่อง(องค์หญิงกำมะลอ)นั้นรู้สึกเรียบๆ (เย้ออ้าย)และ(เฟิงเซิง)นั้นได้เป็นที่ดึงดูดของผู้ชมมากมาย เป็นการออกหมัดเดียวน็อกของคุณหรือเปล่า ?ต่อจากนี้แล้วจะมีการวางแผนอะไรไหม?

โหย่วเผิง :  เย้ออ้ายกับเฟิงเซิงนั้นเป็นผลงานถ่ายทำที่ต่างสมัยกัน เพียงแต่ได้ออกอากาศในปีนี้ด้วยกัน แท้จริงแล้วผมเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่มีเจตนาที่อยากจะหมัดเดียวดังเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมไม่ใส่ใจในงานนะ แท้จริงการเป็นนักแสดงนั้นจะถูกกระตุ้นมากกว่า คือรอดูตัวบทว่าจะเป็นอย่างไร ผมทำได้เพียงพยายามหาบทที่ท้าทายตัวเอง จริงจังกับทุกๆบท จากจุดนี้เป็นจุดเบิกทางการการแสดง พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง โหย่วเผิงท้ายท้ายเป็นผู้ป่วยทางจิต และเกาเหลากับทีมงานนั้นเป็นข่าวที่ไม่มีมูล

นักข่าว : ช่วงเวลาการถ่ายทำเรื่อง(เย้ออ้าย) เคยมีข่าวว่าคุณเกาเหลากับทางทีมงาน ใส่อารมณ์ เป็นเรื่องจริงไหม?

โหย่วเผิง :  เรื่องนี้จะขออธิบายหน่อย ตอนนั้นมีเว็ปไซน์บางเว็ปได้เขียนว่าผมรู้กฏเกณฑ์การทำงาน ไม่รู้จักให้ค่าน้ำชากับทางพนักงาน ถูกทีมงานจัดชุดและแต่งหน้า “เหน็บ” แต่ความจริงนั้นก็มีความสุขกับทีมงานอยู่ ตอนปิดกล้องพวกเราต่างก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์กัน สำหรับข่าวที่ออกมานั้นมันคนละเรื่องเลย

นักข่าว :  แล้วสามารถพูดถึงการทำงานกับผู้กำกับและทีมนักแสดงเรื่องเย้ออ้ายไหม?

โหย่วเผิง :  ก็สนิทสนมกลมกลืนกันกับนักแสดงและทีมงานทุกคน ขณะที่มีข่าวนี้ออกมา ทางผู้กำกับฝั่นยังออกมาแก้ข่าวให้ผม (แล้วรู้สึกอย่างไรต่อผู้กำกับฝั่น) ท่านเป็นคนหนึ่งที่จริงจังและละเอียดอ่อนกับงานมาก ขณะที่พวกเรากำลังถ่าย(เย้ออ้าย)นั้น พวกเราจะมาพูดคุยถึงเนื้อเรื่องด้วยกัน วางแผนกันว่าแต่ละฉากนั้นควรดำเนินการอย่างไร ร่วมแสดงกับหันเสวี่ยนั้นก็เห็นถึงประสบการณ์อันโชกโชนของเธอ ตัวละครหมิงเทาที่ผมเล่นนั้นบทมันพัวพันกันอุตลุด เขาหลกรักหันชิวเล่นโดยหันเสวี่ย แต่กลับไปแต่งงานกับคนอื่น บทของผมนั้นมีความรักเต็มอก แต่กลับเก็บกดไว้ สิ่งที่สำคัญในตัวหมิงเทาคือเป็นผู้ป่วยทางจิตที่สง่าผ่าเผย ฉะนั้นเล่นยากมาก ขณะที่หันเสวี่ยเล่นฉากเดียวกันกับผมนั้น เกิดประกายไฟมากมาย หวังว่าจะมีโอกาสร่วมงานกับเธออีก

นักข่าว :  เคยร่วมงานกับนักแสดงจีนมามากมาย ใครที่ให้ความประทับใจกับคุณมากที่สุด แล้วหวังที่จะร่วมงานกับนักแสดงคนไหนของจีนอีก?

โหย่วเผิง :  เจ้าเหว่ยประทับใจมากที่สุด เพราะจากสองเรื่อง(องค์หญิงกำมะลอ)(เหล่าฟางโหย่วซี่ : เราสองหัวใจเดียวกัน )จนถึง(ฉิงเซินเซินหยี่หมงหมง : มนต์รักในสายฝน) เราได้เติบโตมาด้วยกัน แม้ช่วงหลังจะไม่ได้ร่วมงานกันอีก แต่ก็หวังว่าอนาคตน่าจะมีโอกาส นอกจากนี้ยังมีหันเสวี่ย ได้ร่วมงานกันในเรื่องเย้ออ้าย ความรักเราสองนั้นรักได้ขมขื่นมากๆ ผู้เชี่ยวชาญเคยพูดว่าตัวละครสำคัญของเรื่องเย้ออ้ายนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ป่วยของพระล่อหยีเต๋อเลยทีเดียว เราทั้งสองก็มีความรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน เพราะเรื่องราวอารมณ์ของเรื่องนี้มันขึ้นๆลงๆ ขณะที่พวกเราได้แสดงนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันมีรสมากๆ ยังมีหลายคนที่ยังไม่เคยแสดงด้วยกัน แต่ก็ยังหวังอยากจะร่วมงานกับพวกเขา นี่จะต้องดูวาสนาว่ามีไหม E-mail./gzdsbxwzx@163.comC5 (เฟิงเซิง)ในเรื่องนั้นก็มีเทคนิก ได้มีประกายไฟกับหันเสวี่ย  ยังไม่ทิ้งการร้องเพลง

นักข่าว :  สองปีมานี้เน้นไปทางด้านละครภาพยนตร์ แล้วด้านการร้องเพลงเหมือนกับว่าชะงักไป อนาคตจะร้องเพลงอีกไหม มีแผนที่จะทำอัลบั้มเป็นจริงเป็นจังไหม?

โหย่วเผิง :  ใช่ สองปีนี้เวลาของผมนั้นจะใช้กับการถ่ายละครภาพยนตร์ ด้านการร้องเพลงนั้นเหมือนกับว่าละเลยไป แต่ว่าอย่างไรก็ตามตัวเองก็ยังรักในการร้องเพลง ทั้งยังเข้าใจว่าการร้องเพลงนั้นจะสื่อถึงตัวตนจริงๆของตัวเองออกมา เมื่อถึงโอกาสที่เหมาะแล้ว ก็จะมีเพลงใหม่ตามมา

นักข่าว :  แม้จะทุ่มเทไปในด้านละครภาพยนตร์ เหมือนกับว่ามันฮอตมาก เรื่อง(เย้ออ้าย)กับ(เฟิงเซิง)ได้โฆษณาออกไป คาดหวังอะไรไหม?

โหย่วเผิง : ผมไม่เห็นด้วยว่ามันฮอต เป็นไปไม่ได้ว่าทุกเรื่องนั้นจะดัง แต่ว่าการที่จะแสวงหาบทที่ดีนั้นก็ไม่เคยที่จะหยุด เช่น (เย้ออ้าย) ผมต้องขอบคุณถึงการยืนหยัดของผมเป็นอย่างมาก รอจนได้โอกาสที่ดีอย่างนี้ รอได้มีเพื่อนร่วมงานที่ดีขนาดนี้ ทุกคนต่างมาสร้างเสริมละครที่ดีละครหนึ่งนี้มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากๆ พูดถึงการคาดหวังแล้ว ผมคาดหวังสองเรื่องนี้จะมีการตอบรับที่ดีจากผู้ชม และหวังอยากให้ผู้ชมดูบทที่แตกต่างออกไปของผม

นักข่าว :  อนาคตจะมีแนวโน้มไปทางภาพยนตร์ไหม สามสิบปีผ่านไปแล้ว การจะเลือกบทนั้นจะเนียบกว่าก่อนไหม?

โหย่วเผิง : นี่ก็จะต้องดูวาสนาอีกที ความพึงพอใจของผมความหมายก็คืออย่างนี้ มีบทที่ดีๆและเรื่องที่ดีๆนั้นผมจะไม่พลาดแน่นอน รวมไปถึงละครทีวีด้วย เหมือนกับเรื่องเย้ออ้ายที่ผู้ชมได้ดู หากมีบทที่คลายๆอย่างนั้น ผมก็จะรับ
 



348
Magazine Interviews-China / 2009 Men's Fitness
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:04:15 PM »
Thanks, http://blog.sina.com.cn/s/blog_4971588d0100do72.html

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากนิตรสาร Men's Fitness  ฉบับเดือน มิถุนายน 2009



หมายเหตุ  MF. เจี้ยนสร้าง
                 SU.โหย่วเผิง

ท้องฟ้าโปร่งใสทุกวัน

MF. อยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?

SU. จะพูดความรู้สึกนั้นมีมากมาย เริ่มแรกที่ย่างเข้าสู่วงการนั้นอายุยังน้อย สิบห้าขวบ(15) ก็เริ่มงานที่ยากลำบากแล้ว รับความกดดันที่เด็กในวัยนั้นไม่ควรรับมากมาย ช่วงนั้นที่จริงจังในการงานนั้นเป็นเพราะเซ็งๆ รู้เพียงว่าต้องทำให้สุดกำลังดีที่สุด ต้องจริงจังกับงานทุกงาน ตอนนี้นั้นก็นับว่ามีประสบการณ์ยาวนาน รวมทั้งบวกกับอายุที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ชีวิตที่ถึงจุดสุดยอดกับตกต่ำสุดนั้นผมได้เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้หลายปีผมเองก็เป็นคนบ้างาน ไม่หยุดในการต่อสู้ ทำงาน จนมาถึงระยะนี้ถึงได้ค่อยๆดีขึ้น เริ่มรู้เข้าใจว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกว่าการงานที่ผมจะต้องไปฉวยมันไว้

MF. เมื่อก่อนได้ยินว่าคุณทำงานจนแทบไม่เอาชีวิตเลย ตอนนี้ล่ะ?

SU. ผมในวันนี้ ไม่ได้ทำแต่งาน ก็ได้หันกลับมาใส่ใจความสัมพันธ์ของครอบครัวและเพื่อนมิตร หาเวลาว่างในการอยู่กับพวกเขาเยอะขึ้น ตอนนี้จะรู้สึกมีความสุขกับชีวิตมากกว่าในอคีต คงจะไม่เหมือนอย่างอดีตที่ทำงานหามเช้าหามค่ำอย่างวัวควาย จนสุดท้ายไม่สามารถที่จะรู้ว่าเวลาไหนเช้าเวลาไหนเย็นอย่างนั้น

MF. หรืออาจพูดได้ว่าโหย่วเผิงเป็นผู้ใหญ่แล้ว เริ่มรู้จักมีความสุขกับชีวิต มีความสุขกับเวลา?

SU. การงานในวงการบันเทิงสำหรับผมแล้ว อดีตคือทำงานรับจ้างคนอื่น ตอนหลังก็คือทำงาน ตอนนี้ก็เหมือนรู้สึกว่ามันเป็นการเล่นเกมส์ที่สนุก

MF. หมายความว่าคุณกำลังปฏิวัตตัวเอง ปฏิวัต โหย่วเผิงที่ เป็น “ไกวๆหู่” กับ “บ้าในการทำงาน”

SU. จริงๆแล้วนี่เป็นแค่ภาพพจน์ข้างภายนอก ผมนั้นดื้อมาตลอด การที่จะเรียกผมว่าไกวๆหู่นั้นน่าจะมองในแง่ของการเรียน เพราะตอนนั้นผมเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดังที่สุดของไต้หวัน เลยถูกยกให้เป็นต้นแบบไปเสียอย่างนั้น เป็นภาพลักษณ์ที่ดีไม่มีที่ติ ในช่วงที่ผมก่อทัศนะคุณค่าของตัวเองนั้น ก็เสมือนต้นกล้าต้นหนึ่ง ยังไม่ทันได้โตเต็มที่กับสิ่งที่มันจะโต แล้วก็ถูกความกดดันภายนอกมากดดัน มัดมือชกให้ผมต้องเจริญเติบโตในแบบอย่างที่ดี เติบโตให้เป็นเด็กที่ดีตามความคิดในดวงใจของทุกๆคน เพราะอายุและภาพลักษณ์ของคุณ ทางบริษัทก็จะไม่ยอมให้คุณไปทำอะไรที่นอกลู่นอกทางแน่นอน เกิดความขัดแย้งในตัวเองมากๆ แต่ว่าตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นผมเองก็ได้ปล่อยวางไปหมดแล้ว รู้ว่าไม่มีอะไรที่อยู่ยงคงกระพัน สิ่งของนอกกายที่มีนั้น สุดท้ายก็คือมันมาเดียวมันก็จะไป หลายปีนี้ ผมได้สัมผัสรู้สึกถึงอะไรหลายๆอย่าง พริบตาเดียวมีครบทุกสิ่งทุกอย่าง พริบตาเดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญสิ้นไปหมด ฉะนั้นจิตใจนั้นก็จะมั่นคงขึ้นเยอะ มีงานก็ตั้งใจทำมัน พยายามหาความสุขกับขั้นตอนเวลาทำงาน ผลลัพท์จะเป็นอย่างไรก็จะไม่ให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่

MF. ให้ความสำคัญกับขั้นตอนของงาน แต่ไม่สนว่าผลลัพท์จะเป็นอย่างไรใช่ไหม?

SU. แน่นอนก็จะต้องแสวงหาผลลัพท์ที่ดี อย่างไรก็ตามตัวเองก็ยังเป็นคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง เพียงบอกได้ว่าหลังจากที่ผ่านร้องผ่านหนาวมามากมายแล้ว ผมค่อนข้างจะใส่ใจในขั้นตอนการทำงานมากกว่า คงจะไม่เหมือนกับอดีต ให้ความสำคัญเพียงผลลัพท์เท่านั้น
 

MF. สองสามปีมานี้ ภาพพจน์ของคุณนั้นเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ใหญ่เยอะเลย ยังรู้สึกว่ามีใบหน้าเหี่ยวย่นไปหน่อย นี้มันเกี่ยวกับอายุหรือเปล่า?

SU. จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้นั้นมันคงไม่เกี่ยวกับตั้งใจที่จะเปลี่ยนมัน น่าจะเป็นเพราะเรื่องอายุมากกว่า แต่ก็คงไม่ใช่อายุล้วนๆ ตอนนี้ในท่ามกลางงานต่างๆนั้น ก็จะมีอะไรให้เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนสามสิบปีนั้น ผมเองมักจะปฏิวัติความคิดของคนอื่นและของตัวเอง มักจะชอบไม่เหมือนคนอื่นหรืออะไรใหม่ๆ ไม่ชอบทำอะไรที่ซ้ำๆซากๆ อยากจะเปลี่ยนแปลง อยากจะลองของใหม่ๆ แม้ตอนนี้พฤติกรรมอย่างเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่จิตใจมันได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมหมดแล้ว

MF. คุณก็เคยมีช่วงเวลาที่กระพือข่าวใช่ไหม?

SU. ใช่ เป็นช่วงอายุประมาณยี่สิบ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมล่มหลงในความมีหน้ามีตา ชอบที่จะกระพือข่าว ทุกวันจะขับรถแข่งของตัวเองไม่เรียน บึ้นขับผ่านหน้าเพื่อนๆไปอย่างไม่เห็นฝุ่น

MF. สำหรับซุปเปอร์สตาร์แล้ว การทำสิ่งเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเป็นพฤติกรรมที่เวอร์

SU. ใจจริงในตอนนั้นสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุดคืออยากจะมีชีวิตที่ปกติเหมือนกับคนทั่วไป เห็นคนอื่นกอดคอกันเดินกันไปอย่างพร้อมๆกัน อิจฉาเป็นอย่างมาก ช่วงที่อยู่มหาลัยนั้นผมไม่เคยได้เข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาลัยเลย มีเพื่อนน้อยมาก เด็กอายุยี่สิบปี(20) อย่างผมนั้นสิ่งที่ต้องการที่สุดคืออยากมีชีวิตที่ปกติเหมือนกับคนอื่นๆ อยากไปร้านอาหารเสริฟอาหารอยากทำอะไรที่คนปกติทำกัน สำหรับทุกคนชีวิตที่ปกติเป็นสิ่งที่มันมีโดยธรรมชาติ แต่สำหรับผมนั้นมันมีคุณค่ามากๆ

MF. แต่ว่าคุณได้ตัดสินใจเลือกทำในเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้.. ได้ปล่อยการเรียนที่ใกล้จะจบไป

SU. ใช่ นี่เป็นช่วงที่อายุยี่สิบเอ็ด(21)  ผมอยู่ปีสามแล้ว ได้ตัดสินใจปล่อยการเรียนไปแล้วมุ่งกับงานการแสดง การตัดสินใจครั้งนั้นจริงๆแล้วเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมากๆ มันขัดแย้งมากๆ ยิ่งดังผมเองก็ยิ่งไม่มีสมาธิในการเรียน ผมไม่ได้เป็นนักเรียนแล้วทุกคนคงจะไม่รักผมอย่างเคย ความคิดสองความคิดนั้นมันกำลังต่อสู้ขัดแย้งในตัวผม แต่ผมเองก็ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราต้องเสียสละถึงจะได้ เรื่องในโลกไม่มีได้ทั้งสองอย่างอย่างครบถ้วน หลักการง่ายๆที่จะตัดสินใจก็คือ คิดให้ดีว่าสิ่งที่คุณต้องการนั้นจริงๆคืออะไร

MF. ในช่วงนั้นเป็นเพราะขาดความรอบคอบไปหรือเปล่า

SU. แม้ว่าตอนนั้นตัวเองได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงานการแสดง แต่ความเป็นจริงแล้วการงานในตอนนั้นของผมนั้นก็นับว่าเป็นช่วงที่ตกต่ำของการงาน เพราะตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกวงกันไปได้พักหน่อยแล้ว ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง สามารถพูดได้ว่าตอนนั้นไม่มีละครอะไรที่จะให้เล่น และยิ่งกว่านั้นความตกต่ำนี้จะว่าไปแล้วก็สามปีทีเดียว จนถึงช่วงของ(องค์หญิงกำมะลอ) ถึงได้หลุดพ้นจากความตกต่ำของชีวิตการงาน

MF. แล้วในจิตใจของคุณมีความสมดุลย์ไหม?

SU. จะไม่สมดุลย์ได้ไง ตอนนั้นผมพึ่งออกจากการเรียน ตกอยู่ในสภาพการงานที่ต้องเริ่มด้วยศูนย์ หลายครั้งต้องเป็นอย่างนี้ คุณปรับสภาพจิตใจของคุณให้ดีแล้ว ก็จะไม่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

MF. ชีวิตที่สูงๆต่ำๆอย่างนี้มันทำให้คุณรู้สึกว่าไม่มั่นคงหรือเปล่า?

SU. ผมรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ชีวิตคนปกติแล้วก็ต้องมีขึ้นๆลงๆ ตอนขาขึ้นก็มีวิถีชีวิตของขาขึ้น ตอนขาลงก็มีวิถีชีวิตของขาลง จริงๆแล้วชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีแต่เรื่องงาน หากว่าช่วงเวลาการงานของคุณไม่ราบรื่น ก็ให้รีบมุ่งเรื่องความรัก หรือว่าทำงานอย่างอื่นก็ได้ หรือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่จะได้อยู่ร่วมกันกับครอบครัว หรือว่าถ้าเป็นผมก็จะไปท่องเที่ยว มันสามารถทำได้หลายอย่าง หากว่านาทีทองของงานมาแล้ว คุณก็ตั้งใจทำงานโดยดี และอย่างอื่นก็เอาได้ก่อน


MF. ได้ข่าวว่าคุณชอบเล่นบาส ทั้งยังเล่นได้ไม่เลวด้วย?

SU. ฝีมือเล่นบาสของผมนั้นไม่เลวจริงๆ ฮ่าๆ ล้อเล่น น่าจะพูดว่าผมรักในการเล่นบาสมากกว่า อีกอย่างคือเบสบอล อีกหลายๆอย่าง ผมชอบในการออกกำลังกาย ยังเคยคิดเล่นๆไปเล่นกล้ามเป็นนักกล้าม ฮ่าๆๆ สุดท้ายก็ล้มเหลวไป

MF. ทำไมถึงชอบเล่นบาส หรือว่าช่วงไปเรียนเล่นบ่อยๆ?

SU. ตอนเรียนก็เล่น อีกอย่างที่ผมชอบบาสก็เพราะผมชอบรูปภาพซุปเปอร์สตาร์ดารานักบาส เพราะเวลาในการถ่ายทำนั้นยุ่งมาก ผมก็ได้แต่ไปหาซื้อวีดีโอที่เขาอัดตอนแข่งไปดู ในกองถ่ายนั้น ผมก็จะเอาเครื่องวีซีดีเล็กๆของผมออกมาเปิดดู มันสุดยอดจริงๆ จำได้ว่าสองปีก่อน ผมรักในกีฬานี้มากจนไปหาซื้อชุดกีฬาบาสมาใส่สองสามชุด ทีมที่ผมชอบที่สุดคือ...(แปลไม่ได้ 55+) ชอบทีมเวิกค์และเทคนิกของพวกเขา โดยเฉพาะท่าทางที่ทื่อๆเซ่อร์ๆ แม้ว่าฝีมือผมนั้นจะไม่ดีนักซักเท่าไหร แต่ได้ดูขณะที่พวกเขาแข่งกันในสนามอย่างดุเดือดนั้นมันสุดยอดมาก

MF. ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าคุณไปสอนการเล่นบาสให้กับนักเรียนโรงเรียนซีว่าง

SU. ฮ่าๆ ใช่ครับ นั่นน่าจะปีที่แล้ว (2008) ปีที่แล้วผมได้ไปสอนวิชาพละให้กับนักเรียนโรงเรียนซีว่างหนึ่งคาบเรียน จะบอกว่าคาบสอนบาสก็คงไม่เชิง ก็คือได้นำพวกเขาเล่นช่วงเวลาหนึ่ง สำคัญคือกิจกรรมการกุศลอย่างนี้นั้นจำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะไปยืนสอนอยู่ในร่มอะไรอย่างนั้น

MF. สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการโปรโหมดที่ดีหรือเปล่า

SU. แน่นอนคงไม่ใช่ การทำงานด้านการกุศลของผมนั้นล้วนทำด้วยใจ ขณะที่เห็นเด็กๆที่คุณอุปการะยิ้มแย้มนั้นคุณก็จะรู้สึกถึงความอิ่มอกอิ่มใจที่ไม่เคยมีมาก่อน มันสำคัญกว่าชื่อเสียงเงินทองด้วยซ้ำ ปีนั้นโรงเรียนได้สร้างเสร็จและมีพิธีเปิดภายใต้ในนามของผมนั้น มีตาแก่ท่านหนึ่งได้หอบหิ้วไข่ไก่หนึ่งตระกร้ามามอบให้กับผมเพื่อเป็นการขอบคุณผม ตอนนั้นผมซาบซึ้งใจมากๆ เราดูเหมือนว่าเป็นการช่วงเหลือที่ไม่มากนัก แต่สำหรับที่ที่ต้องการช่วยเหลืออย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับพวกเขา การกระทำของเราที่น้อยนิดเหล่านั้นมันเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กๆทั้งชีวิตของพวกเขา ตั้งแต่นั้นมา ผมเองยิ่งรู้สึกมีใจในด้านนี้เป็นอย่างมาก ปรารถนาที่จะใช้กำลังของตัวเองทำอะไรๆเพื่อพวกเขาเยอะหน่อย บางครั้งผมเองก็สับสนมาก ตั้งใจอยากจะทำอะไรให้กับเด็กๆเหล่านั้นอย่างจริงใจหน่อย แต่ก็กลัวสื่อจะว่าผมทำเพื่อจะเอาหน้าเอาตา

MF. อย่างน้อยพวกเราก็รู้ว่าคุณไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าเอาตา และได้ผ่านสิ่งเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่าคุณก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยเลย

SU. ใช่ ผมรู้สึกว่าการเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนั้นเป็นการขุดสร้างภายใน นอกจากจะเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว ยังเป็นการตัดสินต่อสถาพที่คนอื่นดูตัวเราด้วย ในโลกใบนี้ที่คุณอยู่นั้น สามารถใช้สายตาและความอารีย์มามองเรื่องราวในโลก เมื่อก่อนผมเล่นภาพยนตร์ เล่นละครทีวี ตอนหลังผมก็ไปเล่นละครเวที แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่สร้างหลอกผู้ชมไปบ้าง แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่ง สำหรับผมแล้ว ในช่วงอายุนี้ของผมนั้น ผมคงจะไม่ทำงานเพื่อปากท้องเพื่อเงินทองอีกต่อไป


349
Magazine Interviews-China / 2004 Ast Present Future
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:51:52 PM »
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=547406315

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงจากนิตรสาร Ast Present Future ปี 2004


ช่วงการเติบโตของโหย่วเผิง

เขาดูแมลงปอแดงที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าที่สดใส ดูใบโลกกับเปลือกหอยบนหาดทราย ได้บินไปโลกใหม่พร้อมกับผีเสื้อ วันเวลาของแมงปอสีแดงนั้นไม่มีแล้ว เพราะเขาได้เติบโตไปแล้ว ได้บินไปสู่พรุ่งนี้กับความฝัน ไกวๆหู่ในอดีต ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง อาชีพการร้องเพลงและการศึกษานั้นทำให้เขาภาคภูมิใจ วันเวลาของสิบหกปี พริบตาเดียวความบริสุทธิ์เดียงสาได้เปลี่ยนกลายเป็นความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนคือความจริงใจของนิสัย ราศีกันย์อย่างโหย่วเผิงนั้นแสวงหาความสวยงามสมบูรณ์ รักในดนตรี เริ่มจากเสี่ยวหู่ตุ้ยมาจนถึงวันนี้ ได้ทำอัลบั้มไม่ต่ำกว่าสามสิบอัลบั้ม เล่นละครโทรทัศน์แล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบเรื่อง ภาพยนตร์สิบเรื่อง

ความกดดันทำให้ผมเติบโต

หลายปีที่ไม่ได้เจอโหย่วเผิง เขาที่พึ่งผ่านอายุสามสิบเอ็ด (31) ไปหมาดๆ ให้ความรู้สึกที่เป็นผู้ใหญ่กับเรา เริ่มเข้าสู่วงการเมื่ออายุสิบห้า (15) อย่างไกวๆหู่ ในสายตาคนอื่นแล้วการเป็นดารานั้นอนาคตรุ่งโรจน์ ชีวืตเขาที่เต็มไปด้วยความถูกรักนั้นกลับเติบโตท่ามกลางความกดดัน

ช่วงนั้นผมจะสอบเข้ามหาลัย มีความกดดันจากภายนอกมากมาย คนทั้งโลกกำลังจ้องมองไปที่คุณความรู้สึกนั้นมันไม่เป็นสุขเลย เหมือนกับว่ากำลังรอคุณส่งการบ้านผลงาน รอดูว่าคุณสามารถส่งทำไหม ตอนหลังผมออกจากมหาลัยไต้หวันไปที่อังกฤษ อย่าคิดว่าการออกไปต่างประเทศจะสุขสบาย แท้จริงแล้วมันย่ำแย่ยิ่งกว่าเตรียมสอบเข้ามหาลัย และต้องเผชิญกับความกดดันที่แรงกว่า

ตอนเด็กนั้นผมเพียงแค่ชอบร้องเพลง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นแล้วจะเป็นศิลปิน ความรู้สึกก็เหมือนกับทำงาน ในตอนนั้นทางบริษัทก็คิดว่าฐานะจริงของผมนั้นเป็นนักเรียน หากว่าผมไม่ร้องเพลงอีก ก็สามารถไปเรียนหนังสือต่อได้ ฉะนั้นผมถึงได้เข้าใจถึงการทำงานเป็นอาชีพจริงๆว่าเป็นอย่างไร ต้องรอให้ผมจบมหาลัยแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนหนึ่ง (ผู้ใหญ่ทำงานแล้ว) ความกดดันอย่างนั้นมาจากครอบครัว มาจากเศรษฐกิจ ร่วมทั้งตัวเองด้วย ผมกำชับกับตัวเองว่าจะต้องทำให้สำเร็จ ตอนนั้นอายุผมนั้นยังเก้อเขินอยู่ จะไปแสดงบทอะไรถึงจะดี ตอนนี้หวนคิดไปแล้ว หากว่าตอนนั้นไม่ฝึกฝนผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้แล้ว คุณก็คงจะไม่เห็นผมในวันนี้ พวกเราก็คงไม่ได้มาคุยกันตรงนี้ด้วย หวนคิดถึงหนทางอันขมเปรี้ยวที่เดินผ่านมานั้น สายตาของเขานั้นได้มีความรู้สึกที่ซาบซึ้งออกมา


350

20  เม ย 09 โหย่วเผิงเป็นแขกรับเชิญในงานราตรี อยากเป็นคนแบบระห่ำ

ผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนได้สร้างละครเรื่องใหม่ เย้ออ้าย (ชื่อเดิม ต้าเจิ่นฝาน)จะออกอากาศทั่วประเทศในเร็วๆนี้ นักแสดงตัวเอกอย่างโหย่วเผิงกับหันเสวี่ยก็ได้มาถึงที่ซูโจว มาร่วมพิธีฉายปฐมฤกษ์ หันเสวี่ยได้ตอบรับการสัมภาษณ์ของสื่อ โหย่วเผิงก็ได้ไปที่งานราตรีและได้พูดคุยกับผู้อ่านด้วย

รายงาน บ่ายวาน ศิลปินชื่อดังทั้งเป็นนักร้อง นักแสดงละคร หนังอย่างโหย่วเผิง ได้ไปเป็นแขกให้กับทางงานในการพูดคุย


ถาม >> เริ่มแรกคิดอย่างไรที่ไปรับบทเป็นคนโรคจิตในละครเรื่องเย้ออ้าย

ตอบ <<  การที่จะรับบทอย่างนี้นั้นเป็นความใฝ่ฝันของผมมาโดยตลอด จากการแสดงหนังและละครมาจนถึงวันนี้ บทบาทของผมนั้นเป็นกระแสหลักมาโดยตลอด เป็นประเภทใหญ่ จะเป็นบทที่คนปกติเสียส่วนใหญ่ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ความคิดความสามารถแล้ว เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองแล้ว ฉะนั้นก็จะเลือกเอาบทที่ทุกคนมองว่าแปลกคน เป็นบทที่ไม่ใช่แต่เพียงราบๆเรียบๆ จากบทในเรื่องเย้ออ้ายนั้น เป็นคนโรคจิตที่สับสนมากๆ แม้ว่าเรื่องในละครนั้นมันสนุกมาก แต่ว่าบทนั้นมันไม่ดีเลย

ถาม >> เพื่อจะเปลี่ยนรับบทอย่างนี้นั้นได้มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ตอบ  << ปกติแล้วจะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้นๆ และได้ทำการบ้านพื้นฐานมาบ้าง แต่ว่าบทโรคจิตของเย้ออ้ายในเรื่องเก่านั้นไม่มีบทนี้เลย ฉะนั้นก็คงไม่มีแบบให้ดู แต่จะคิดขึ้นมาใหม่ๆล้วนๆ เพื่อจะแสดงบทนี้ให้ดีที่สุด เพียงทางเดียวคือต้องเข้าถึงความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง คิดใคร่ครวญตัวบทและบทของตัวละคร มีเพียงทางเดียวคือเอาตัวเองเข้าสู่สภาพอย่างนั้น ถึงจะมีจิตวิญญาณอย่างนั้นจริงๆ ในช่วงเวลานั้น ผมเองเป็นมิตรที่ดีต่อคนที่เป็นโรคจิต ในขณะถ่ายทำนั้น เหตุเพราะอารมณ์อิงกับเรื่องเกินไป เพื่ออยากจะให้เห็นถึงอารมณ์อย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งเหมือนกับจิตใจแตกซ่าน ต้องเสียเวลาไปมากมาย แต่ทุกคนก็ไม่บ่น ก็จะให้เวลาผม ผมขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง



ถาม >>  จะเข้าใจถึงบทอารมณ์ของซูหมิงเทาได้อย่างไร อนาคตจะรับบทที่แปลกๆอย่างนี้อีกไหม?

ตอบ <<  เขาเป็นผู้ป่วยทางจิตที่อยู่ในโลกแห่งความสับสนของสภาพจิต ในสมองของเขานั้นมีความทรงจำหลายอย่างได้พลุๆโผล่ๆอยู่ตลอด มันประสาทกินมาก ขณะถ่ายทำนั้น จิตใจตัเองจะแตกซ่านบ่อยๆ จริงๆแล้วการถ่ายทำละครทีวีนั้นมันทรมานคนมาก แค่ในฉากเดียวเท่านั้น คางของผมก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว เวลาพักก็น้อยมาก เวลาการถ่ายทำนั้นกระชับมาก ผมเองก็ยังงงอยู่ว่าช่วงเวลานั้นมันผ่านมาได้ไง บทบาทนี้ระห่ำมาก มีความท้าทายมากมาย สำหรับบทอย่างนี้นั้นมันเป็นที่ดึงดูดใจผมเป็นอย่างมาก ก็ยังจะไปแสดงบทอย่างนี้อีก

ถาม >>  รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจากละครทีวีมาเป็นภาพยนตร์นั้น ขอลองกล่าวถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ถ่ายทำไปในปีนี้ให้ฟังหน่อย(สี่กามเทพ กับ ตามหาพี่หลิวซัน)

ตอบ <<  ความแตกต่างระหว่างละครกับภาพยนตร์นั้นก็เยอะเหมือนกัน ทั้งด้านการสร้างกับการถ่ายก็มีมารตฐานที่ไม่เหมือนกัน และภาพยนตร์สองเรื่องนี้เป็นสองเรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนการแสดงจากละครมาสู่ภาพยนตร์ พูดได้ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องที่สองของผม

ถาม >>  ภาพยนตร์เฟิงเซิงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น นี่เป็นภาพยนตร์สไตล์ไหน ลองเล่าถึงบทที่คุณรับเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เล่นละครเพลงให้ฟังหน่อย

ตอบ >>  ความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่องกับภาพยนตร์นั้นผมเองก็บอกไม่ได้ แต่ว่า (เฟิงเซิง)บทของไป๋เสียวเหนียนนั้นมันสนุกมากๆ บทนั้นพิเศษและประหลาดมาก เป็นเรื่องหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของมัน และมีบทที่ตื่นตาตื่นใจด้วย เริ่มแรกนั้นผมเองก็ไม่ได้สัมผัสกับละครเพลงเท่าไหร่(เป็นละครเพลงจีนทางใต้) แต่เหตุเพราะความจำเป็นของการภาพยนตร์กับบทที่ตัวเองได้รับนั้นจึงไปศึกษาละครเพลง สมัยเด็กๆนั้น ที่ไต้หวันก็ได้เห็นละครเพลงบ่อยๆในทีวี ยังเด็กก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าละครเพลงนั้นมันมีศิลปะที่สวยงามมาก เป็นอะไรที่มีประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางศิลปะเป็นอย่างยิ่ง

ในระหว่างการถ่ายทำนั้น ผมรู้สึกว่าศิลปะโบราณของจีนนั้นสวยงามมาก คุณค่าของศิลปะนั้นสูงมาก ขณะที่รับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เป็นอาจารย์ศิลปะนั้น ตัวผมเองก็รู้สึกถึงตัวเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะไปแล้ว บทบาทนั้นมีอิทธิพลต่อผมอย่างเงียบๆ



ถาม >> คุยถึงการร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนในเรื่องเย้ออ้ายนั้น ในระหว่างการถ่ายทำนั้นมีเรื่องอะไรที่ยากจะลืมไหม?

ตอบ << ผู้กำกับฝ่านนั้นคนที่กวดขัน(เข้มงวด)  แน่นอน เวลาถ่ายทำนั้นจำต้องมีผู้กำกับอย่างนี้ถึงสามารถทำให้ละครนั้นเสร็จสิ้นไปด้วยดี มีความหนักแน่น มีประสบการณ์ ผู้กำกับที่เคร่งครัดนั้นมีอิทธิพลต่อผลงานละครเป็นอย่างมาก ร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านนั้นมีแรงกดดันแน่นอน แต่ว่าตอนถ่ายทำนั้นก็ยังโอเค ผู้กำกับฝ่านนั้นเป็นคนที่คบง่าย ความคิดของท่านนั้นมีการประยุคอยู่ตลอดเวลา ขณะถ่ายทำนั้นคุณก็จะสังเกตได้ว่าผู้กำกับหายไปในทันใดเลย ท่านก็จะไปตามหาความคิดของเขา จำได้ว่า ครั้งหนึ่งผมได้ทะเลาะกับผู้กำกับฝ่าน ลืมไปแล้วว่าสาเหตุอะไร แต่ว่าจุดฉนวนนั้นไม่ใช่ผม หลักๆคือการไม่เข้าใจกันในเรื่องบทบาทของตัวละคร เพราะว่าผมเองไม่ได้เป็นคนที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง ฉะนั้นความคิดของผมกับคนอื่นอาจไม่เหมือนกัน ผมเองก็มีทิฐิของตัวเองด้วย ก็เลยมีการแตกแยก

ถาม >>  อนาคตยังคิดที่จะถ่ายทำละครทีวีอีกไหม หากว่าจะถ่ายแล้วจะถ่ายแบบแนวอย่างนี้หรือเปล่า

ตอบ <<  ปีนี้หลักๆก็ยังคงเป็นการถ่ายภาพยนตร์ แต่ว่าก็มีละครทีวีบ้าง แน่นอนก็ยังคิดที่จะรับบทสไตล์อย่างนี้อยู่ มีบทที่แตกต่างที่เป็นลักษณะพิเศษอย่างนี้

ถาม  >>  เป็นศิลปินนั้น มีอะไรที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย คุณอยากจะเป็นศิลปินประเภทไหน?

ตอบ << ผมรู้สึกว่าผมไม่มีเป้าหมายสุดท้ายอะไร ผมมีท่าที่ในใจที่ดีอย่างหนึ่งคือผมเองจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ผมนั้นไม่คิดว่าตัวเองนั้นสุดยอดแล้ว ผมคิดว่าตัวเองยังจะตัองพัฒนาอยู่เสมอ ผมอยากเป็นศิลปินที่สนุกที่ตื่นเต้นที่ระห่ำคนหนึ่ง



351
Translated By  Chomnath



2009/04/01

ซูโหย่วเผิง .จำเป็นต้อนเรียนรู้ในการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”

คนเราทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ว่า “สวรรค์ไม่เป็นใจเสมอ” น้อยคนมากที่สามารถมีชีวิตดั่งปรารถนา การงานที่ราบรื่น การเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าของสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นทำให้ยากจะควบคุมได้ ฉะนั้นแต่ละคนก็ยากจะปรับนิสัยและจุดอ่อนของตัวเองให้ออกไปได้ สิ่งเหล่านี้นั้นมันล้วนได้เข้ามามีส่วนในชีวิตของพวกเราโดยปริยายแล้ว เราจำต้องเผชิญกับอุปสรรค์วิกฤตที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย บางคนชีวิตถึงกับต้องจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้โดยลุกไม่ขึ้น ไม่สามารถที่จะก้าวออกไปได้ บางคนสามารถอยู่ในช่วงเวลาอย่างนี้หาช่องทางที่จะปลดปล่อยและหลุดพ้นจะวิกฤต เดินออกจากวิกฤตได้



จากศิลปินโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้นเคย จนถึงเถียนจิงซวงที่มีชื่อเสียงมากในจีนนั้น และนักธุรกิจที่ดังที่พึ่งเซ็นสัญญาหมาดๆอย่างเจ้าเหว่ย วิกฤตที่พวกเขาเหล่านั้นเผชิญกันนั้นก็คงไม่ต่างไปจากที่พูด แต่ว่า จะหาช่องทางออกในการเผชิญกับวิกฤตนั้น จากประสบการณ์และเรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นอาจให้ข้อคิดกับคุณได้

“หากว่าการงานอาชีพของคุณอยู่ในสภาพของจุดสูงสุดนั้น คุณก็ตั้งใจในการทำการทำงาน พยายามที่จะหาเงินให้ได้มากหน่อย หากว่าการงานอาชีพคุณตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คุณสามารถที่จะวางงานต่างๆของคุณ ใช้เวลาที่จะอยู่กับเพื่อนๆและคนในครอบครัวให้เยอะหน่อย ให้เวลากับการดูแลสุขภาพของตัวเองให้เยอะหน่อย สิ่งที่จะทำงานก็ไม่ได้น้อยไปกว่าช่วงที่คุณยุ่งเลย จากการมองระยะไกล บางทีสิ่งเหล่านี้มันสำคัญกว่าหน้าที่การงานของคุณอีกด้วย

ซูโหย่วเผิงคิดว่า ชีวิตคนเรานั้นจำต้องผ่านวิกฤตและมรสุม ขณะที่วิกฤตเข้ามาในชีวิต ท่าที่ของคนเรานั้นบางทีก็สำคัญกว่าวิธีการรับมือวิกฤต

วัย 36 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นมองมีเขาแล้วก็ยังมีร่องรอย ไกวๆหู่ ให้เห็นอยู่ และภาพลักษณ์ของขวัญใจนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ปัจจุบันเขาได้เป็นศิลปินระดับต้นๆของวงการที่ได้เซ็นสัญญากับคุณหัวอี้ เขามีที่พักพิงที่มั่นคง การงานของเขาก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงและก้าวไกล อย่าไปดูว่าเขาอายุยังหนุ่ม แต่ว่าอายุประสบการณ์การงานของเขานั้นย่างเข้า 20 ปีแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นั้นเขาได้ผ่านจุดสุดยอดและจุดตกต่ำสุดของชีวิตมาหมดแล้ว นับๆแล้วละครยาวที่เขาแสดงก็ไม่ต่ำกว่า  20 เรื่องเลยแหล่ะ



ความรุ่งโรจน์ของวัยหนุ่มนั้นนำจุดสูงสุดของชีวิตมา

ขณะที่โหย่วเผิงกำลังเรียนมัธยมต้นนั้น วันหนึ่งถูกแมวมองของทางค่ายเพลงหมายตา จนมาปั้นเป็นหนึ่งในสามของนักร้องไต้หวันในวงเสี่ยวหู่ตุ้ย สิ่งที่โหย่วเผิงคาดไม่ถึงคือ แค่เพียงชั่วค่ำคืนเดียวก็ทำให้เขาดังไปทั่วไต้หวัน ต่อจากนั้นก็ดังไปที่จีน รวมไปถึงในเอเชียที่มีชาวจีนอยู่ด้วย  “ไกวๆหู่”  ชื่ออันนี้นั้นได้กลายเป็นชื่อที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเลย

ใครจะไปรู้ว่าในค่ำคืนเดียววันนั้นก็นำความมั่งคั่งมาสู่เขาด้วย ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อหุ้น เป็นคนมือเติบไปแล้ว ใจกล้า ในสายตาของคนช่วงวัยของเขานั้นดูเขาว่าเป็นคนรวยมาก “ในช่วงเวลานั้น” เป็นเวลาประมาณ 3 ปี วัย18 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นก็ต้องเผชิญกับการต้องสอบเข้ามหาลัย

ในสังคมไต้หวันสมัยนั้น ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นก็คือลูกสามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงดังๆได้ เพื่อจะมีการงานที่ดีในอนาคต จบแล้วสามารถมีงานที่มั่งคงทำ รวมทั้งตัวโหย่วเผิงเองด้วย แม้ว่าจะเป็นศิลปินขวัญใจแล้วหลายปี ลึกๆในใจของเขาแล้วเขาคิดว่าตัวเองก็เป็นแค่ศิลปินประดับวงการคนหนึ่งเอง สุดท้ายตัวเองจะต้องกลับเข้าสู่เส้นทางอาชีพที่พ่อแม่เป็นอยู่อย่างนั้น

อยู่ที่ไต้หวัน นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งหากสอบเข้ามหาลัยไม่ได้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างโหย่วเผิงหากสอบไม่ติดแล้วเนี่ย ผลจะเป็นอย่างไรนั้นก็คงรู้กัน โหย่วเผิงได้หวนคิดอดีตแล้วกล่าวว่า

"ในเวลานั้นตัวเองนั้นไม่มั่นใจมากๆ ความรู้นั้นเสมือนเยื่อบางๆยิ่งกว่ากระดาษ เพราะตลอดสามปีการบ้านของเขาที่ไม่ได้ทำส่งนั้นมีมากมาย เพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัย โหย่วเผิงได้เจรจากับทางค่ายเพลงหยุดต่อสัญญากับทางค่าย ในขณะเดียวกันมีบางสาเหตุทำให้ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” แยกย้ายกันไป ทำให้เขานั้นได้มีเวลาเต็มที่ในการเตรียมตัวที่จะสอบเข้ามหาลัย ทั้งวันและคืนในการอ่านทำให้เขาฝ่าฝันเข้าไปได้ ความพยายามนั้นไม่เคยละคนที่มีความมานะ โหย่วเผิงก็สอบเข้ามหาลัยดังแห่งหนึ่งของไต้หวันได้ และยังเป็นมหาลัยที่ดีและมีอนาคตอีกด้วย สุดท้ายก็โล่งใจอย่างโหย่วเผิงเมื่อเข้ามาเรียนในมหาลัยแล้วถึงจะรู้ว่า การท้าทายที่ใหญ่กว่าเดิมนั้นกำลังรอเขาอยู่"



พักการเรียนกลางคันเผชิญกับช่วงชีวิตที่ตกต่ำ

ในช่วงปีที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยนั้น ในใจโหย่วเผิงคิดอยู่อย่างเดียวคือจะขายหน้าไม่ได้ การสอบได้นั้นถือว่าได้รับชัยชนะ และแล้วเมื่อเขาได้นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนถึงจะรู้ว่า จริงๆแล้วตัวเองไม่ชอบคณะที่ตัวเองกว่าจะสอบได้มาอย่างยากลำบากแสนเข็นเลย จนต้องปากกัดตีนถีบในการที่จะเรียนไปจนผ่านไปสองเทอม สุดท้ายโหย่วเผิงเองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว และยังมีสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาทนเรียนต่อไปไม่ได้คือ ศิลปินที่มีชื่ออย่างเขานั้นหากว่าเมื่อมีผลการสอบออกมาแล้วเขาไม่ผ่านนั้น ก็จะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

จากความกดดันนานาประการ โหย่วเผิงได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่คนในตอนนั้นอาจเรียกว่า “การตัดสินใจที่บ้า” ลาออก หลังจากที่หนีออกมาจากรั่วมหาลัยแล้ว เขาได้ตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ลอนดอน นัยหนึ่งนั้นอยากจะเปลี่ยนคณะที่เรียนไปเรียนอย่างอื่น อีกด้านหนึ่งนั้นก็คือปลีกตัวออกจากสังคมที่รู้จักตัวเองไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักแล้วปรับตัวเองใหม่ และแล้ว การท้าทายของแท้ถึงจะเริ่มขึ้น

หลังจากครึ่งปี โหย่วเผิงก็ได้กลับจากลอนดอน “ตอนนั้นตัวเองก็เป็นคนทำงานเต็มตัวแล้ว ไม่มีใบปริญญา การที่จะไปเป็นนักแสดงตัวเองก็ไม่ได้เรียนมาโดยตรง ได้แต่เคยแสดงละครเวทีมาเรื่องหนึ่งเอง แต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่”  โหย่วเผิงหวนคิดแล้วกล่าวว่า หลังจากที่สัญญาของ“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้สิ้นสุดแล้ว รายได้จากการแสดงที่เคยได้สูงมากนั้นกลับหมดลง มันปรับตัวไม่ทันจริงๆ ตอนนั้นเขาเองไม่เพียงแต่จะดูแลค่าใช้จ่ายของครอบครัว ในแต่ละเดือนยังจะต้องจ่ายให้เป็นค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ไม่น้อยเลยที่เดียว บางครั้งดูเหมือนกับว่าชีวิตเราไปไม่รอดแล้วจริงๆ

ที่แย่กว่านั้นคือ โหย่วเผิงที่คิดว่าอยากจะมีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งจากหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้ แล้วตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไม่นิ่ง เดิมที่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นอยู่แล้ว แล้วมอบอำนาจการทั้งหมดให้กับญาติคนหนึ่งมาบริหาร สุดท้ายหุ้นที่ลงทุนได้นั้นขาดทุนไป ชีวิตคนเรานั้นจะหาโชคดีสองหนนั้นยากมาก แต่พวกหนีเสือปะไอ้เข้นั้นมีบ่อยจังเลย สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของโหย่วเผิงในตอนนั้นคือ หลังจากที่ได้ขายรถไปแล้วหลายคัน เหลือเพียงคันเดียวที่ตัวเองจะใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหนได้ เอามันไปจอดไว้ข้างถนนอย่างดี อยู่ดีๆก็ดันมีรถมาชนชีวิตคนเรามันชั่งเหมาะเจาะบังเอิญอะไรขนาดนี้ ชีวิตที่ตกต่ำที่สุดของซูโหย่วเผิงนั้นก็ประมาณสามปีกว่าๆ]



โดย (องค์หญิงกำมะลอ)ทำให้เขาดังขึ้นเป็นรอบที่สอง

ปี 1997 เป็นปีเดียวที่เขาอายุ  24  เขาถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นนักแสดงละครหนังเรื่ององค์หญิงกำมะลอ ในเวลานั้นโหย่วเผิงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าละครหนังที่ตัวเองแสดงไปนั้นตอนหลังมันดังเป็นที่นิยมกันขนาดนั้น เขาคิดแต่เพียงว่าฉวยโอกาสเอาไว้เรียนรู้ในการแสดงเฉยๆ กลางวันก็ทั้งเรียนไปด้วยฝึกไปด้วย กลางคืนก็เปิดไฟอ่านอย่างจริงๆจังๆ ทำไปแบบถูกๆผิดๆบ้างจนทำให้เขาแสดงละครหนังเรื่องนี้จนจบ และแล้วก็เหมือนดั่งความฝันที่ดังไปทั่วอณาจักร

ต่อจากนั้น อีกครั้งวันเวลาที่ราบรื่นเฮงๆนั้นได้มาดั่งนัดกันไว้ “นักร้องขวัญใจ”ในตอนนั้นได้กลายเป็น “นักแสดงขวัญใจ” ไปแล้ว ละคร หนัง และอัลบั้มที่เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่มีออกมาให้เห็น จนทำให้อาชีพการงานของโหย่วเผิงนั้นไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

หลังจากนั้น เขาก็เหมือนกับศิลปินคนอื่นๆของไต้หวัน โหย่วเผิงได้เข้าสู่การตลาดที่จะมุ่งไปทางประเทศจีน ก็เหมือนดั่งปลาได้น้ำ ว่ายไปแบบไร้พรมแดน โหย่วเผิงได้เริ่มทำธุระกิจซื้อบ้านที่ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งอีกครั้ง ทรัพย์สินที่ตัวเองได้สะสมของแต่ละปีนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อระยะเวลาผ่านไป โหย่วเผิงก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงของชีวิต กับการที่จะไปแสดงละครเป็นนักแสดงขวัญใจนั้นก็ค่อยๆถึงจุดที่สุด เขารู้ว่า การท้าทายครั้งที่สามกับการงานและชีวิตของเขานั้นมาถึงแล้ว และตอนนี้เขาเองก็ไม่ดื้อดึงรู้จักปล่อยวางเยอะแล้ว เขาได้กล่าวกับพวกเราว่า วิธีการที่สำคัญในการเผชิญกับสิ่งต่างๆนั้นต้องเรียนรู้ในการที่จะให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและมายังไงก็ไปอย่างนั้น


“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ  แต่ผมเองก็ไม่ได้หมายความว่าการออกแรงไปทำนั้นก็จะไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่ใช่ แต่มีผลลัพธ์บางอย่างนั้นไม่สามารถได้มาโดยการออกแรงทำ ฉะนั้นผมเองก็ไม่เน้นเรื่องของผลลัพธ์ซักเท่าไหร่ สิ่งที่คุณทำได้คือแค่ทำอย่างสุดกำลัง แต่ว่าผลลัพท์นั้นก็ไม่ใช่ว่าเมื่อผมพยายามทำแล้วจะสามารถกำหนดผลลัพท์ได้” ที่เขามีท่าทีความคิดอย่างนี้ ทำให้เขาได้ผ่านมรสุมชิวิตที่หนักหน่วงของช่วงนั้นมาได้

การไปตามธรรมชาติที่โหย่วเผิงว่านั้นเป็นการมองในโลกแง่ดี อย่างไรก็ตามหากมันไม่ได้อย่างที่คิดไว้ก็ไม่ฝืน เขาเข้าใจถึงความฝืนและความสมดูลย์ เขาได้เข้าใจถึงเหตุและผมของเรื่องราวต่างๆ แน่นอนเขาก็จะไม่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไม่ควรเปลี่ยน สุดท้ายก็คือเป็นไปตามธรรมชาติ

“ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไร ชิวิตคนเราก็ขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว ขณะที่ขึ้นนั้นก็มีวิธีการทำของมัน ขณะที่ขาลงก็มีวิธีการของขาลง จริงๆแล้วชีวิตคนเราไม่ใช่ว่ามีแต่งานๆๆ หากว่าการงานไม่ราบรื่น ธุรกิจไปไม่ได้แล้ว ก็รีบฉวยโอกาสในการมีความรัก คุณก็ยังสามารถทำสิ่งอื่นๆได้ หรือว่ามันอาจเป็นเวลาโอกาสที่ดีที่คุณจะอยู่กับครอบครัว และถ้าหากเป็นผมก็จะฉวยโอกาสไปท่องเที่ยว ผมสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ว่าถ้าหากจังหวะเวลาของการทำงานมาถึง คุณก็ไปตั้งใจที่จะทำมัน และงานบางอย่างก็จำต้องเสียสละมันไป” สุดท้ายโหย่วเผิงสรุปไว้ว่า “ที่จริงเพียงง่ายๆคำเดียว หากจะให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแล้ว จำเป็นจะต้องเรียนรู้ในการเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างถูกวิธี

“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ และผมเองก็ไม่ฝืนกับผลลัพท์ เพียงแค่ตัวเองทำอย่างดีทีสุด และผลลัพท์นั้นมันไม่ได้กำหนดมาโดยกำลังที่เราทำไป


### The End ###

352
โหย่วเผิงท้าทายบทบาทโรคจิต ภาพพจน์ที่เป็นผู้ใหญ่

จากองค์ชายห้าใน(องค์หญิงกำมะลอ) ถึง ตู้เฟยใน(มนต์รักในสายฝน) จางอู่จี้ใน(อีเทียนสูหลงจี้/มังกรหยก) ตลอดเส้นทางแสดงของนักแสดงโหย่วนั้นภาพพระเอกได้ประทับอยู่ในดวงใจของทุกคนเรื่อยมา แต่ว่าหลังจากปี 2005 แล้ว โหย่วเผิงก็ไม่เล่นละครหนังอีกเลย ห่างจากจอเกือบสองปีเต็ม โหย่วเผิงได้ตัดสินใจเลือกที่จะร่วมงานกับค่ายโรงเรียนซูโจวหูน่า รับเล่นละครเย้ออ้ายทั้งหมดยี่สิบเจ็ด(27)ตอน ในเรื่องนั้นเล่นเป็นหมิงเทาที่เป็นโรคจิต ได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนบทของตัวเอง

กระหายสัมผัสการเปลี่ยนแปลง บทบาท “คงไม่ใช่กระแสหลัก”

บทบาทในเรื่องเย้ออ้ายที่โหย่วเผิงเล่นนั้นได้แตกต่างจากที่ผ่านมา จากเรื่องนี้ โหย่วเผิงกล่าวว่า  คิดอยากจะเล่นบทอย่างนี้ตลอดมา นับตั้งแต่ได้เริ่มแสดงในละครทีวีมาจนถึง ณ วันนี้ บทที่ตัวเองเล่นนั้นล้วนเป็นกระแสหลัก(บทหลัก)มาตลอด เป็นบทที่ปกติสามัญทั่วไป ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ อายุการทำงาน ความสามารถที่ได้เพิ่มขึ้น เพื่อฝีมือการแสดงที่ดีขึ้น ก็เลยต้องเลือกบทที่ในสายตาของทุกคนดูแล้วมันแหวกแนว บทของในเรื่องเย้ออ้าย เป็นผู้ป่วยโรคจิตที่สับสนคนหนึ่ง แม้ว่าเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นสนุก แต่ว่าบทนั้นเล่นไม่ง่ายเลย ก็จะยิ่งรู้สึกว่าการรับบทอย่างนั้นเป็นการพัฒนาทักษะการแสดงของตัวเองให้ดีขึ้น

เล่นบทนี้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก

มาเล่นในบทที่ไม่มีเนื้อบท และยังเป็นบทที่ไม่เคยลองมาก่อน โหย่วเผิงก็ได้มีซึ่งความลำบาก อย่างแรกคือต้องเข้าใจในตัวบทอย่างทะละปุโปร่ง ทำการบ้านทื่พื้นฐานมา ไม่เพียงแต่ไปสังเกตุทุกกิริยาบทของผู้ป่วยทางจิตที่โรงพยาบาลแล้ว ทั้งยังคลุ่นคิดภาวะจิตใจของมนุษย์ตลอดเวลา แต่ว่าบทของผู้ป่วยทางจิตในเรื่องก่อนของภาพยนตร์เย้ออ้ายนั้นไม่มีตัวละครนี้ บทนี้นั้นไม่มีที่ให้เลียนแบบ เป็นบทที่ใหม่ๆสดๆกันเลย เพื่อจะให้บทออกมาดี โหย่วเผิงก็ได้แต่เพียงเข้าใจ ลึกซึ้ง คลุ่นคิดกับตัวบทของมัน มีเพียงให้ตัวเองละลายให้อยู่ในอารมณ์ของบทเท่านั้น ถึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวบทมัน ในช่วงเวลานั้น โหย่วเผิงได้เป็นเพื่อนที่ดีกับผู้ป่วยทางจิต ขณะที่เขาถ่ายทำ เหตุที่อิงกับบทเกินไป ด้วยความอยากจะให้ได้ถึงอารมณ์ของบทอย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งอารมณ์ก็แตกซ่านออกมา ต้องใช้เวลาเยอะหน่อยในการถ่ายทำ

รับการท้าทายเดินสู่ภาพยนตร์

สำหรับการรับเล่นบทที่แตกต่างอย่างนี้ โหย่วเผิงก็ยังมีใจในการเล่นต่อไป “ แท้จริงแล้วสองปีก่อนจะรับเล่นบทนี้ ผมแทบจะไม่รับละครการแสดงอะไรเลย หลักๆก็คือความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผมนั้นทำให้ผมไม่อยากจะรับบทเดิมๆเก่าๆอย่างนั้นอีกแล้ว พวกเขาไม่มีอะไรที่ให้ผมสนใจ” เมื่อพูดถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ของเขา หน้าตาของเขาหน้ายังครึ๋ม “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีหน้าหน้าตา ต่อหน้าผู้ชมต่อหน้ากล้องเป็นเพียงหน้าหนึ่งของผม ผมได้รอโอกาสตลอดเวลา ให้ผู้ชมได้เห็นถึงอีกหลายๆหน้าของผม ขณะที่ผมได้อ่านเนื้อบทของเย้ออ้าย ผมรู้ว่าโอกาสมาแล้ว บทนี้โหดเหี้ยมมาก มีความท้าทายมาก สำหรับบทอย่างนี้นั้น ก็ยังเป็นที่ดึงดูดผมมากเหมือนกัน ก็ยังจะไปเล่นอีก” เมื่อเย้ออ้ายออกอากาศแล้วโหย่วเผิงก็ได้เตรียมตัวสำหรับที่จะรับการตอบรับของผู้ชมที่ไม่เหมือนเดิม เขาหวังว่าอนาคตของเขานั้นจะท้าทายการดูของผู้ชมอย่างไม่หยุด

ขณะที่ได้เอ่ยถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ได้ฉาย (สี่กามเทพ)และ(ตามหาหลิวซันแจ่) โหย่วเผิงก็ยังแถลงว่า ภาพยนตร์กับละครทีวีนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันเยอะ การสร้าง การถ่ายทำสิ่งที่อยากได้มานั้นล้วนต่างกัน ทั้งสองเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนไปเล่นภาพยนตร์จากละครทีวี ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ชิ้นแรกและชิ้นที่สองของผม ต่อจากนี้ไปก็ยังจะมีบทภาพยนตร์ที่แตกต่างกันไปที่จะเล่นอีก



353


ซูโหย่วเผิง ไม่สามารถเป็นวัยรุ่นตลอดไปได้

ไม่รู้ว่ายังจะเรียกเขาว่าเสี่ยวไกวได้อีกหรือเปล่า ใบหน้าอันมีริ้วรอยนั้นมันกำลังสะท้อนบ่งบอกกับเราว่าเขากำลังพยายามจะมีภาพลักษณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ว่า การที่จะเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งนั้นไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ ดูซิ มีเรื่องเข้ามาอีกแล้ว เขาได้กลายเป็นหลิวเต่อหัวคนที่สองไปแล้ว มีแฟนคลับผู้หญิงที่บ้าคลั้งเขานั้นร้องเรียกเขาว่าที่รักๆ(ผัว)  อย่างกะจะเป็นจะตายอะไรอย่างนั้น มันวุ่นวายไปทั้งเมืองเลยแหล่ะ เดิมทีนั้น การงานของเขานั้นไปได้อย่างราบรื่น แต่ทันใดนั้นก็ได้เกิดการสะดุด มันทำให้คนอื่นเสียอารมณ์จริงๆเลย ขณะที่ตอบรับที่จะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวนี้นั้น เขาอยู่อย่างนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นักข่าวถาม ซูโหย่วเผิงตอบ

ถาม . ทำไมคุณพยายามที่จะหลีกเลี่ยงคำถามเรื่องของเสี่ยวหู่ตุ้ยหรือ?

ตอบ . ผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว เมื่อก่อนสื่อถามผม ผมก็ตอบแบบตรงไปตรงมา ว่าตัวเองนั้นยินดีที่จะให้เสี่ยวหู่ตุ้ยออกอัลบั้มอีกชุด แต่ว่าข่าวที่เขียนออกมาจากสื่อนั้นสื่อทำนองว่าผมมันพวกขี้คุย บอกว่าผมไม่มีเวลาที่จะไปซ้อมกับพวกเขา ตอนนี้ทุกคนเข้าใจว่าผมเป็นเหตุที่ทำให้ไม่สำเร็จ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดอีก ผมจะไม่พูดอีกแล้วก็น่าจะดี

ถาม . ในภาพพจน์นั้น เสี่ยวไกวเริ่มจากการร้องเพลงก่อน จากนั้นก็เข้าสู่การแสดงละคร แล้วเข้าไปแล้วก็ทำกันมานานหลายปีเลยทีเดียว ทำไมตอนนี้ได้กระโดดเปลี่ยนมาสู่สนามภาพยนตร์ในทันใดเลยล่ะ รวมทั้งยังแสดงภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง(เฟิงเซิง)เลยนะ ?

ตอบ . คนเราล้วนต้องการที่จะก้าวหน้า อีกทั้ง ผมก็ยังเป็นวัยรุ่นประเภทกระหายความก้าวหน้าอีกด้วย ฮ่าๆ ทุกคนก็สามารถที่จะเห็นว่าผมเดินมาทีละก้าว และกำลังเติบโตอย่างไม่หยุด ถ้าจะพูดนั้น อายุของผมก็ไม่ใช่ว่าเด็กๆแล้ว จะเป็นวัยรุ่นตลอดไปคงไม่ได้ บางที่เมื่อเป็นโอกาสก็อยากให้ผู้ชมได้เปิดหูเปิดตาบ้าง

ถาม . สิ่งที่คุณบอกว่าเปิดหูเปิดตาคือสนามภาพยนตร์ของคุณใช่เปล่า?

ตอบ . พูดอย่างนี้ก็ยังได้ ผมนั้นรอคอยเรื่องเฟิงเซิงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก รู้ไหมว่าในเรื่องนั้นผมได้แสดงเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงด้านละครเพลงด้วย เมื่อก่อนไม่เคยรู้เรื่องละครเพลงอย่างนี้มาก่อนเลย สำหรับผมแล้วมันเป็นอะไรที่ยากมากๆเหมือนกัน

ถาม . คุณเองเป็นคนเอ่ยว่าเมื่อก่อนไม่เคยรับบทที่เกี่ยวกับพวกละครเพลงอย่างนี้มาก่อนเลย งั้นคุณสามารถรับประกันไหมว่าการแสดงครั้งนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวังแน่

ตอบ . อันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผมเองพูดได้ ผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าผมแสดงได้ดีมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อผู้กำกับเลือกผมแล้ว มันบ่งบอกว่าตัวผมเองก็มีความสามารถพอที่จะรับบทนี้ ผมเองก็เชื่อมั่นในตัวเองเหมือนกัน หากว่าไม่มีความมั่นใจแล้วจะไปแสดงได้อย่างไง

ถาม . ก่อนหน้านี้คุณเคยได้ดูต้นฉบับของเรื่อง (เฟิงเซิง) นี้ไหม ? คุณรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน?

ตอบ . เคยดูนะ นี่น่าจะพูดได้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจน่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา ตัวละครที่ผมรับแสดงคือเสี่ยวไป๋เหนียนที่มันจะแตกต่างไปจากเดิมหน่อย จะเน้นและเป็นตัวสำคัญกว่าบทเดิมของมัน ตัวละครนั้นก็มีหลากหลายและมีสีสันมาก

ถาม . นั่นหมายความว่า ในภาพยนตร์นั้นได้เพิ่มบทคุณเข้าไปอีก อย่างนี้แสดงว่าทางบริษัทเขาดีต่อคุณมากๆเลย

ตอบ .นั่นแหล่ะ...ดังนั้นผมต้องแสดงให้ดีที่สุด เช่นตอนนี้ผมเองก็รู้ว่าตัวเองได้รับบทเป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านละครเพลงคนหนึ่ง ผมก็รีบที่จะไปเรียนด้านนี้เพิ่มเติม เริ่มเรียนจากการร้องแบบพื้นๆไปก่อน ทุกอย่างนั้นเป็นการเริ่มต้น

ถาม . งั้นการแสดงละครเพลงครั้งนี้คุณคงลำบากมากๆเลยซินะ มันอาจจะเรียกได้ว่าทรมานเลยมั้ง สิ่งที่ยากที่สุดคืออะไร?

ตอบ . สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำท่าทางของร่างกาย เรื่องนี้มันฝึกยากมาก ไม่ว่าจะเป็นมือไม้แม้กระทั่งตัวก็ต้องอ่อนช้อยไปหมด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือก่อนหน้านี้ผมเองได้ฟิตร่างกายให้มีกล้าม มันไม่ง่ายเลยที่ร่างกายผมจะมีกล้ามขึ้นมาแต่ตอนนี้กล้ามกลับกลายเป็นความยากในการทำให้อ่อนช้อย เช่นครูสอนนั้นสอนผมทำท่าทางของมือไม้ ให้ผมเอามือไปข้างหลังไหล่ ผมรู้สึกตัวเองได้เลยว่ามันแข็งกระด้างมากๆ กล้ามเนื้อนั้นมันแน่นตึงมาก จะงอยังไงก็งอไปไม่ถึง

ถาม . ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ร่างกายก็ต้องเจ็บปวดล่ะซิ?

ตอบ. ตอนเริ่มใหม่ๆก็ใช่ ครูพูดว่า “คุณต้องปล่อยตัวสบายๆ อย่าเกร็ง ๆ” ผมได้แต่พูดกับครูอย่างตรงๆว่า “ครู ผมไม่เกร็งเลยนะ ผมไม่เกร็งจริงๆ และเมื่อได้ผ่านการฝึกฝนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้นั้นก็นับว่าก้าวหน้าไปมากแล้ว ธรรมดามากๆเลย หากว่าผมว่างๆก็จะฝึกซ้อมทำท่าทางไม้มือด้วยตัวเอง

ถาม . เข้าใจว่าคนที่จะเล่นละครเพลงนั้นมือไม้นั้นต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษเลย เป็นอย่างนี้จริงๆเปล่า ?แล้วคุณได้ดูแลอย่างพิเศษบ้างเปล่า?

ตอบ . ใช่ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่จะต้องให้นิ้วมืออ่อนโยน ฉะนั้นการที่จะดูแลรักษามันนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่แล้ว แต่ว่าผมเองก็ไม่ได้ไปสรรหาครืมอะไรมาดูแลรักษาเป็นพิเศษหรอก

ถาม . ดูจากตารางเวลาของคุณในปีนี้แล้ว เวลาส่วนใหญ่นั้นจะทุ่มเทให้กับการแสดงภาพยนตร์เป็นหลัก จริงๆแล้วช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับอะไรอยู่เปล่า?

ตอบ . ตลอดปี 2009 นี้นั้น ผมได้ให้การแสดงภาพยนตร์เป็นเรื่องหลักจริงๆ ช่วงนี้พึ่งถ่ายเรื่อง (ตามหาพี่หลิวซัน, Xun Zhao Liu San JIe) เสร็จไปหยกๆ แล้วก็ต้องรีบไปที่ถ่ายทำของ(เฟิงเซิง)ต่ออีก

ถาม . ได้ข่าวว่าคุณจะเข้าไปเป็นนักรบที่ฮอลลีวูด?

ตอบ . หลังจากเรื่องเฟิงเซิงเสร็จแล้วผมก็จะต่อเรื่อง(อณาจักรปลาคน - Ren Yu Di Guo)ของฮอลลีวูดต่อ สำหรับฮอลลีวูดแล้วผมไม่มีใจกล้าอย่างนั้นที่จะไปบากบั่น

ถาม . คุณตั้งใจว่าจะเข้าฮอลลีวูดโดยผ่านทางเรื่องนี้หรือ?

ตอบ . ฮ่าๆ จริงๆแล้วเรื่องการเข้าสู่ฮอลลีวูดนั้นผมเองก็ไม่มีความกล้าอย่างนั้นหรอก (อณาจักรปลาคน - Ren Yu Di Guo)นั้นสำหรับผมมันเป็นอะไรที่ใหม่ๆเอง ตอนนี้ผมเพียงแต่อยากจะทำงานที่อยู่ข้างหน้าของผมให้มันแล้วเสร็จ

ถาม . ได้ข่าวว่า จะทำแต่ภาพยนตร์ คุณไม่คิดที่จะหันมาแสดงละครเพลงอีกแล้วหรอ?

ตอบ . น่าจะไม่มีอีกแล้วนะ ความพัฒนาของภาพยนตร์นั้นมันเร็ว รวมทั้งช่วงนี้ผมยังรู้สึกที่อยากจะทำเรื่องนี้เป็นอาชีพเลย แน่นอนหากว่าอนาคตมีบทละครที่ดีๆที่น่าสนใจให้เล่นก็ยังอยากจะคิดดูก่อนเหมือนกัน

ถาม . ตอนนี้คุณรู้สึกเกี่ยวกับการรับบทในตอนนี้กับอดีตนั้นมันต่างกันหรือไม่เหมือนกันตรงไหมบ้างไหม?ความหมายของผมคือตอนนี้มีการต่อรองหรืออำนาจในการพูดมากน้อยแค่ไหน?

ตอบ. เป็นนักแสดงนะ การรับบทในสมัยก่อนนั้น ตามความเห็นและมุมมองของผมเองแล้วนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากมายหรอก ก่อนอื่นคือทางบริษัทเขารู้สึกว่าโอเค จากนั้นค่อยให้ผมมาตัดสินใจเอง ตอนนี้ผมเองก็จะพยายามไปรับดูบทด้วยตัวเอง ดูบทที่ไม่เหมือนกัน เพื่อจะเพิ่มศักยาภาพในการแสดงของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญขาดไม่ได้เลยคือต้องมีความท้าทายด้วย

ไม่แต่งงานกับแฟนเพลงหรอ

ถาม. ช่วงนี้ข่าวคุณดังแพร่กระจายไปทั่ว แล้วเจ้าตัวรู้ตัวหรือเปล่า?

ตอบ . ผมก็ได้ยินเหมือนกัน รวมทั้งยังมีนักข่าวโทรศัพท์มาถามผมไม่น้อยเลยที่เดียว จริงๆแล้วเป็นแค่ข่าวเฉยๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าแฟนเพลงคนนั้นเขาประโครมข่าวออกมาเพื่อต้องการอะไรกัน

ถาม . แล้วคุณกลัวไหม ? อดีตเคยมีแฟนเพลงทำอย่างนี้ไหม?

ตอบ. ผมอยากจะบอกกับแฟนเพลงอย่าไปหลงรักคนจนหัวปรับหัวปรำ อย่างนี้มันอันตรายมาก เชื่อว่าศิลปินส่วนใหญ่นั้นชื่นชอบแฟนเพลงที่มีสติ รู้จักคิด ผมเองก็ไม่ต่าง

ถาม . ในเมื่อข่าวในเน็ตที่ว่าคุณแต่งงานกับแฟนเพลงนั้นไม่เป็นความจริง งั้นตัวคุณเองเคยวางแผนเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานไหม?หากจะว่าไปแล้วอายุคุณก็ไม่น้อยแล้วนะ

ตอบ . เรื่องความรักนั้นจำเป็นต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ ตอนนี้ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

ถาม. คุณอย่าเอาข้ออ้างอะไรแบบว่ายุ่งมากมาเป็นโล่เลยนะ

ตอบ . การงานในปีนี้ของผมนั้นยุ่งจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเวลา ผมเองก็กำลังรอกามเทพของผมอยู่เหมือนกัน คุณดูซิ แว่นที่ผมสวม รวมทั้งหนังที่ผมแสดงล้วนแล้วแต่มีกามเทพอยู่ด้วย มัน สวิท(หวาน)มากๆ ผมยังได้แสดงเรื่องผมรักกามเทพอีกด้วย เดือนมิถุนายนนี้จะออกอากาศ

ไม่บังคับว่าต้องเป็นเขยจีนแผ่นดินใหญ่

ถาม . หล่อเจียเหลียง,วุ่ยจิ้นเจ๋, ยังมีอู่ฉีหลง ล้วนเป็นเขยจีนแผ่นดินใหญ่ คุณจะเป็นเหมือนพวกเขาหรือเปล่า?

ตอบ. จริงๆแล้วผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหนก็ตาม เพียงแค่มีการพูดที่เข้าใจกัน มีความสนใจที่เหมือนกันก็เพียงพอแล้วแหล่ะ จุดนี้นั้นผมเองก็ไม่เน้นมากมายหรอก

ถาม . ตอนนี้แม้แต่แว่นตายี่ห้อดังก็ยังหาคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นเพราะคุณดังในเรื่องนี้หรือเปล่า?

ตอบ. มันอาจเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นผมเคยเป็นคนสายตาสั้น 600 มั้ง รวมทั้งผมใส่แว่นก็ไม่ใช่ว่าจะทุเรศเสียเมื่อไหร่ มันดูแล้วเหมือนกับเด็กเรียนเลยแหล่ะ สำหรับเรื่องที่ว่าผมเองดังไม่ดังนั้น ผมว่าก็ยังพอไหวนะ

ถาม . ตอนนี้ศิลปินล้วนแต่ระมัดระวังในเรื่องการเป็นพรีเซ็นเตอร์ คุณเคยคิดหรือใคร่ครวญเรื่องนี้เปล่า?

ตอบ . การเป็นพรีเซ็นเตอร์ครั้งนี้นั้นหลักๆคือผมเองเป็นคนที่ชอบสะสมแว่น ในบ้านยังมีตู้เก็บแว่นที่สร้างมาโดยพิเศษเลย รวมทั้งสองสามปีมานี้สังคมนั้นนิยมแว่นดำเป็นอย่างมาก การเอาแว่นมาประดับให้เข้ากับชุดที่ใส่นั้นเป็นกระแสนิยมของสังคมไปแล้ว แว่นที่ต่างกันออกไปนั้นก็ได้เห็นถึงความเท่ที่ต่างกันออกไป รวมทั้งยังสามารถทำให้เรามีอารมณ์ที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ละวันอีกด้วย อดีตของผมนั้นมักจะชอบสะสมแว่นที่แปลกประหลาดและสีที่ไม่เหมือนชาวบ้าน แต่ตอนนี้นั้นผมจะไม่เลือกอย่างนั้นเด็ดขาด



### จบสัมภาษณ์ ###

Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=553220811
http://xqs.sh333.com/wy/200903/t20090318_2241611.htm

354
Magazine Interviews-China / 2009 Metropolis Gentleman
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:48:42 PM »
http://blog.sina.com.cn/s/blog_48c30ee30100br9x.html?tj=1

Metropolis Gentleman February 2009 issue




ซูโหย่วเผิง ชาแก้วหนึ่งที่ได้กรองมานับยี่สิบปี

ภาพ/เฉินเหยียนถ่าย แต่งหน้า/ฮ่าวจื่อ เสื้อผ้า/เนื้อข่าว/เสี่ยวลู่

ในเรื่องราววัยรุ่นอดีตของคนหนึ่งๆนั้น นิสัยเขาก็สม่ำเสมอที่ดีเรื่อยมา มีชื่อเสียงแต่เยาว์วัย ดังไปทั่วใต้ล่า และกับความเครียดที่ตามมานั้นทำให้หลงทิศไป ปล่อยตัวปล่อยใจตัวเอง หลังจากช่วงตกต่ำของชีวิต ได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและทรนงขึ้นมา ชายหนุ่มแห่งชุดขาวก็ค่อยๆก้าวสู่ความก้าวหน้า ความจำเริ่มขึ้น การหวนคิดนั้นจบลง สำหรับเขา ก็มักจะหยุดอยู่กับอดีตซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมเลย พวกเรารักเขา ก็เลยยอมที่จะติดตามเขาไปด้วย

เส้นทางการไปสัมภาษณ์เขา หลายคนได้คุยถึงซูโหย่วเผิงที่เราจะเจอในวันนี้ ที่จริงก็เป็นนักข่าวมามากมายแล้วนั้น ก็จะไม่มีการวิ่งไปไล่สัมภาษณ์ดาราอย่างนี้อีก แต่เมื่อเอ่ยถึงเขาแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งจะทำให้เราอยากอยากสัมภาษณ์

ในเวลาว่างที่รอเขาในห้องถ่ายรูปนั้น ได้ไปเปิดดูรูปถ่ายของเขาได้หวนคิดถึงเขาในภาพจากไกวๆหู่สู่ตัวของเขาที่สว่างไสวและเป็นผู้ใหญ่เป็นเวลายี่สิบปี เขาก็ได้เดินเข้ามาอย่างนี้แหล่ะ เข้ามาโดยไม่มีใครมาโอบอุ้มหน้าหลัง ไม่มีใครมาทักทายแบบเวอร์ๆ แต่กลับทำให้จิตใจแห่งการรอคอยนั้นว่าจะอยู่รอดหรือเปล่า

เดินเข้าใกล้เขา ถามไถ่เขาว่าสบายดีไหม เขาได้เงยหน้าขึ้น ยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ นัยตาที่เหมือนกับเหนื่อยนั้นไม่สามารถซ่อนความใสบริสุทธิ์ได้ เขาได้ขอโทษกับทุกคนที่เขาได้เสียเวลาคนอื่น แต่กลับไม่บอกถึงตลอดคืนที่เขาต้องเดินทางนั้น ซ้ำยังรีบชวนให้ทุกคนไปกินข้าว แต่กลับไม่สนว่าตัวเองจะต้องเดินทางไปที่เครื่องบินของทีมงาน สีหน้าอ่อนเพลียไปหมด แต่มีจิตใจที่ร่าเริงเต็มที่กับงานที่จะทำ

ห่วงใยดูแลทีมงานที่อยู่รอบข้าง เป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูแลเข้าใจคนอื่นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยามยิ้ม ก็ยากจะเก็บรอยยิ้มที่ซ่อนความสดชื่นข้างในอยู่ คนอื่นเปรียบว่าผู้ชายเสมือนเหล้า แต่ซูโหย่วเผิงกลับเหมือนน้ำชาเลิศรสในยามฤดูใบไม้ร่วง ยี่สิบปีก่อน แม้เขาเป็นชาใหม่ก่อนหน้าฝน ความหอมนั้นล่องลอยไปมา ทำให้คนตื่นเต้น ยี่สิบปีให้หลัง ชายผู้นี้ก็ได้กลายเป็นชาผู่เอ๋อที่มีอายุนานปี (ชานี้ไว้ยิ่งนานยิ่งหอม) กลิ่นหอมกรุ่น ตัวเองก็มีสิ่งที่จะให้คนอื่นหวนคิดถึง

อดีตให้มันผ่านพ้นไป

ในวันที่สัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง พอดีเป็นวันเกิดของเขา แม้จะไม่เป็นอย่างดาราหญิงนั้น ก็ยังไม่กล้าที่จะอวยพรวันเกิดให้แก่เขา แต่ว่า พวกเราเป็นเพื่อนที่ร่วมเติบโตกับเขานั้น ก็รู้ถึงหน้าเด็กอย่างเขาก็รู้เรื่องนี้แล้ว หรือว่ามองออกถึงการสองจิตสองใจของเรา ขณะที่พูดคุยกัน เขาได้เอ่ยถึงเรื่องอายุขึ้นมาก่อน มาเช็กข่าวสารที่เขียนไว้ในเว็ปไซต์ทั้งหมดของโหย่วเผิง ล้วนจะเห็นได้ วัน เดือน ปีเกิด ของเขานั้นเขียนไว้อย่างชัดเจน เหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะไม่แคร์กับอายุ(ไม่กลัวคนอื่นรู้) หรือว่ามั่นใจว่าเสนห์นั้นจะไม่จางไปกับอายุ  ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า เพี่ยงแต่เดินผ่านมาแล้วยิ่สิบปี เขาก็ยอมรับโดยปริยาย สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป

ยังอยู่ในเยาว์วัยเยาว์นั้น เขาได้เป็นขวัญใจทั้งวัยรุ่นชายหญิง เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นได้นำมาซึ่งความนิยมชมชอบกับเราในสมัยนั้น และทั้งยังเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กสิบกว่าขวบอย่างซูโหย่วเผิงด้วย ชายที่เต้นอยู่บนเวทีอย่างสุดยอดที่พวกเราได้เห็นนั้น ขณะที่เขายิ้มนั้นก็ได้เห็นถึงรอยยิ้มที่แสนจะลืมยาก จนเกือบจะกลายเป็นใบหน้าที่ติดอยู่ในใจของทุกคนไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นไกวๆหู่ที่ทุกคนรักจริงๆ แต่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเราก็รอคอยสิ่งที่ผลงานทียอดเยี่ยมของเขาในจอ

พวกเราล้วนอยากตีความหมายของซูโหย่วเผิงชื่อนี้เป็น “วัยใสน่ารัก”ตลอดกาล แต่ว่าไม่มีใครใสใจ หากว่าไม่เป็นนักร้องแล้ว ความตั้งใจของเขาคือนักประพันธ์เพลงเท่านั้น หากว่าไม่ถูกเรียกว่า “ไกวๆหู่” เขาก็จะเป็นวัยรุ่นที่ดื่อคนหนึ่ง หากว่าไม่เพียงถูกให้เรียกร้องที่จะร้อง (ชิงผิงก่อเล่อเหยียว)แล้ว นักร้องที่เขารักมากที่สุดนั้นคือ มาดอนน่ากับจาเนท ซูโหย่วเผิงไม่ได้เป็นปีเตอร์ฟานที่ไม่เติบโตหรือไม่โต ดังช่วงข้ามคืนเดียวอย่างชายคนนี้นั้นไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีกฏมีเกณฑ์ ปรารถนาที่จะมีความอิสระและบินสู่ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่

“แต่จริงๆแล้วรักเสี่ยวหู่ตุ้ยมากๆ แน่นอนนี่เป็นงานที่ผมได้ทุ่มเทสุดหัวใจ รวมทั้งรักในเพื่อนมิตรและดนตรี” ได้ทำงานที่ตัวเองชอบเป็นอย่างแรก รวมทั้งยังมีแฟนเพลงมากมายที่ทำให้เขาประทับใจทำให้เขาสู้ ความมีใจรักและความกดดันนั้นมันขัดแย้งอยู่ในใจเป็นเวลานาน มีรุ่งก็ต้องมีหล่ม สุดท้ายสมาชิกเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ไม่อาจเหลียกเลี่ยงได้ที่จะต่างคนต่างเดิน ยังไม่ได้สัมผัสถึงสุขทุกข์นั้น สิ่งที่ซูโหย่วเผิงต้องการเพียงแค่ลมหายใจเดียว นับถือศีล และได้ลุกขึ้นสู้อีกครั้งที่จะบินไปที่อังกฤษเรียนต่อด้วยตัวคนเดียว



ร่วมมือประสานกับวันเวลา

ได้เห็นศิลปินที่รักษาตัวเองให้ไม่แก่วัยเยอะแล้ว ไม่ประทับใจไม่ได้เลยกับการที่ซูโหย่วเผิงนั้นได้ร่วมมือประสานกับวันเวลา “9 ปีของขวัญใจนักร้องนั้นได้ค่อยๆจากตัวผมได้นั้น หลังจากความสนใจค่อยๆได้หดหายไป ผมรู้สึกว่าวันเวลาได้ทิ้งบาดแผลไว้ นี่เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่พวกเราต้องยอมรับ และแล้วพอดีมีงานขององค์หญิงกำมะลอ ผมก็ได้รับไว้และลองทางนี้ดูว่าแสดงหนังจะเป็นอย่างไร หากว่าไม่ได้ลองงานนี้ ต่อจากนี้วงการบันเทิงก็คงไม่มีชื่อโหย่วเผิงคนนี้ต่อไป

ดำรงชีวิตตามกระแส เป็นการดำรงชีวิตของโหย่วเผิง จากการถูกถามจากหัวจรดเท้านั้น เขานั้นไม่เคยเอ่ยถึงอนาคตของ "หงถูต้าจื้อ"  รวมทั้งยังไม่ได้พูดถึง "จั่นติงไจ๋เถีย" เลย  “สำหรับการถ่ายหนังขวัญใจนั้น ถูกถามถึงหลายครั้งจริงๆ นี่เป็นการดำเนินการอย่างหนึ่งของตอนนั้น เป็นช่วงหนึ่งที่ผมได้เข้าสู่วงการบันเทิง ตอนนั้น ผมจะทำอย่างสุดความสามารถของผม เรียนรู้ให้ดีกับงานในนั้น”

“สุดท้ายก็ได้ฉลองความสำเร็จจนเหนื่อยแล้วสิ” ถามคำถามนี้อย่างระมัดระวัง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างรีบเร่ง “การดำเนินการนั้นซ้ำซ้อนจริงๆ รับบทแสดงนั้นก็แทบจะเหมือนๆกัน อารมณ์ความรู้สึกก็เหมือนๆกัน จนทีหลังก็รู้ได้เลยว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แบบสไตส์เดียวกันเลยแหล่ะ และแล้วก็จะไม่ค่อยชอบหรือมีความสุขกับบทอย่างนี้สักเท่าไร อยากจะมีบทที่ต่างออกไปมากๆ และแล้วก็เริ่มรับบททั้งภาพยนต์และละครเวที ภาพยนต์เมื่อเปรียบกับละครทีวีแล้ว ก็จะเป็นศิลป์อีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยแตกต่างไปจากความเป็นจริง ในรายละเอียดของเรื่องนั้นก็ยังทำให้ผมหลงไหลกับมันอีกด้วย


ปี 2006  ละครเวที(หอมดอกเบญจมาศ)ทำให้ซูโหย่วเผิงต้องขึ้นเวที ปี 2008 เขาได้ร่วมงานกับมอสดิคาสและเบลูซี่ ร่วมกันแสดงภาพยนต์ฮอลลีวูด(อาณาจักรคนปลา) ภาพยนต์ที่เขาได้ร่วมแสดง(อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ก็ได้เปิดฉายในปลายปี 2008  ในการงานของซูโหย่วเผิงนั้นยังรวมถึงการแสดงเป็นพระเอกในภาพยนตร์(เสียนจ่าวหลิวซันแจ่) ภาพยนตร์ที่เขาได้ถ่ายทำจนเสร็จสิ้นแล้วนั้น(สี่กามเทพ) จะเปิดฉายในวันวาเลนไทน์ในปี 2009 นี้ เรื่องใหม่(รักร้อน)จะเริ่มฉายในปลายปีนี้หรืออาจต้นปีหน้า ในเส้นทางการแสดงนั้นซูโหย่วเผิงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เขาได้ท้าทายตัวเองกับบทที่แตกต่างออกไปจากเดิม จากบทไกวๆหู่จนถึงอู่อาเกอ(องค์หญิงกำมาลอ) จนถึงภาพพจน์ในภาพยนตร์ที่มีมากมาย  “อนาคตล่ะ?”  “อนาคตหากมีโอกาสที่ดีผมก็จะลองไปลองทำเหมือนกัน บ่อยครั้งต้องปล่อยไปตามชะตาชีวิต ผมคิดว่านี่ก็คือช่วงชีวิตที่ต่างกันของมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับวัยอายุด้วย เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ด้วย”  สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว ทุกช่วงของวัยนั้นก็จะมีสิ่งสำคัญของชีวิต จะมอบหมายให้ชีวิตหรือการงานนั้นมีโอกาสหรือจังหวะที่ต่างกัน เคยผ่านจุดสูงสุดและตกต่ำสุดของงานมาแล้ว ตัวเขาที่ขึ้นๆลงๆมาเกือบยี่สิบปี เขาก็ได้เรียนรู้กับการเป็นมิตรกับเวลาและโอกาส สามารถมีความสุขกับทุกสถานการณ์  “ปัจจุบันก็อยากจะแสดงภาพยนตร์ให้มากหน่อย เพราะในช่วงระยะกับงานนี้นั้น ผมเพิ่มจะเป็นจุดเริ่มต้นเอง”

“ยังจะร้องเพลงอีกไหม?” นักข่าวได้ถามคำถามนี้ขึ้นที่มาจากในเน็ตก็เพราะว่าตลอดเวลานั้นก็มีข่าวว่า “คอนเสิร์ทฉลองครบรอบปีที่ยี่สิบของเสี่ยวหู่ตุ้ย” เหตุเป็นเพราะซูโหย่วเผิงเลยเป็นคำถามในตัวของคุณมาตลอด ได้พูดถึงเรื่องวันเวลาเก่าๆในอดีตกับเขาอย่างสบายๆ ถึงจะเข้าใจจริงๆว่า มิตรภาพจริงๆนั้นอายุไม่นาน มีวันทำร้าย ที่จริงในใจของเราทุกคนนั้นล้วนมีความบอบบางลึกๆอยู่ ในนั้นมันเก็บสิ่งที่ไม่อยากให้ใครเอ่ยถึงและเป็นสิ่งที่มีคุณค่า สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว อดีตของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นแหล่ะเป็นความทรงจำที่อยู่ในลึกๆในใจของเขา เพราะมีใจรักสุดๆกับเสี่ยวหู่ตุ้ย และเชื่อมั่นว่า เพียงแต่มีเงื่ยนไของค์ประกอบที่เหมาะสมแล้วก็สามารถที่จะมีเสี่ยวหู่ตุ้ยอีกครั้ง แต่เขา หรือพวกเขา ณ.วันนี้ แต่กลับไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตเลย

“ผมคิดว่าผมก็จะมีวิธีการระลึกถึงอดีตของผมที่พิเศษเหมือนกัน ก็เหมือนกันรักแรกในอดีต มันจะเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด และยังจะเป็นความหมายที่ไม่สามารถจะลบเลื่อนไปจากชีวิตได้ การระลึกเสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นเหมือนตรานาบในตัวเรา ไม่มีอะไรที่พิเศษ และก็ไม่จำเป็น เพราะอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะลบลืมมันได้อยู่แล้ว ในช่องทีวีก็ยังเปิดเพลงอดีตที่พวกเราร้องอยู่ แฟนๆได้บอกความประทับใจในอดีตกับเรา ทีมงานก็ได้สนุกสนานกันในการฝึกเต้นกับเราจนโตมาด้วยกัน มันก็เป็นสิ่งที่สวยงามแล้ว” วันเวลาเหลือไว้แต่รอยแผล ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าสิ่งที่เขาจะทำก็คือการยอมรับ นี่เป็นความจริงอย่างหนึ่ง เพราะรักสุดหัวใจจริงๆ และแล้วได้เอาความหวนคิดถึงนั้นเก็บซ่อนไว้ เก็บไว้อย่างไม่รบกวน


รักคนอื่น ให้มีความสุขกว่ารับ

ซูโหย่วเผิงหลังแสงไฟ ที่จริงยังมีสิ่งที่คนอื่นได้รู้อีกตำแหน่งหนึ่งของเขา –นักการกุศล เขาซึ่งได้รับหลักคำสอนจากหลักพุทธศาสนา ได้ยืนหยัดทำงานด้านการกุศลมาตลอด และก็ไม่เหมือนกันศิลปินคนอื่น เขาได้เลือกที่จะให้แบบเงียบๆ

น้อยคนที่รู้จักโรงเรียนซีว่างซูโหย่วเผิงที่ประเทศจีน เขาเป็นนักการทูตแห่งรัก ซึ่งโรงเรียนซีว่างเป็นแห่งแรกของจีน หลังจากมีแผ่นดินไหวที่เหวินชวนนี้ เขาไม่เพียงแต่ควักเงินบริจาคไปแถมยังจัดซื้อปัจจัยจำเป็นให้กับผู้ประสบภัยเหล่านั้นอีกด้วย เขาก็แค่คุยให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้มาโอ้อวดความดีของตัวเองเลย

“ผมเพียงแต่รู้สึกว่าความสุขแห่งการช่วยเหลือคนนั้นเราล้วนมีกัน สำหรับการให้นั้น อิ่มบุญก็เป็นตัวเอง รู้สึกสบายใจก็เป็นตัวเอง ทุกคนหากมีชีวิตที่ดีหน่อยนั้น ก็จะมีเสียงหนึ่งว่า รักคนอื่น นี่เป็นธรรมชาติของคนเรา ผมเข้าใจว่าคุณก็มีนะ เขาก็มี และถ้าคุณดีต่อคนอื่นแล้ว ลองทำดู คุณก็จะรู้สึกถึงการมีความสุขมากๆกับสิ่งที่ทำไป”  ในงานพิธีเปิดโรงเรียนซีว่างซึ่งสร้างภายใต้ในนามของเขานั้น เขาได้รับการต้อนรับที่แสนจะอบอุ่นจากคนในพื้นที่ ยิ่งกว่านั้นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนยังกล่าวกับเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า  “ขอบคุณคุณจริงๆ พวกเราจะจดจำคุณไปตลอดนิรันดร์กาลเลย”  ในวินาทีนั้น เขาได้กล่าวว่าเป็นความสุขที่ตนไม่เคยมีมาก่อนเลย ให้มีความสุขยิ่งกว่ารับ หลังจากชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน “ฉวยโอกาสที่ตัวเองยังมีอิทธิพลต่อสังคมอยู่นั้นก็รีบทำอะไรหน่อย สำหรับชายผู้นี้แล้ว เขาอาจจะยอดเยี่ยมดีกว่าคนดีด้วยซ้ำ การทำบุญบริจาคนั้นไม่ใช่ต้องทุ่มจนหมดเนื้อประดาตัว และยิ่งไม่จำเป็นต้องทำแบบเพื่อให้คนอื่นรู้เห็น รักคนอื่น เริ่มจากคนรอบตัวเรา ก็เพียงพอแล้ว


การดำเนินชีวิตคือ

ก่อนจะสัมภาษณ์นั้น ซูโหย่วเผิงที่กำลังอ่อนเพลียนั้นได้หาวไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกเห็นใจเขาเหมือนกัน  เขาได้บอกกับเราอย่างเซ็งๆว่าอยากจะบินไปที่เกาะแถวทะเลแบซิฟิกในทันทีทันใดเลย หาที่ที่ไม่มีใครรู้จักเราไปอาบแดด “ความคิดของพวกเราผู้ที่อนุรักษ์นิยมแล้วคิดว่าการทำงานถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นก็เลยให้ชีวิตของเรานั้นให้งานมาครอบครอง จนความเครียดอิ่มตัวหรือสุกแล้วค่อยรู้สึกตัวว่าทนไม่ไหวแล้ว” เขาได้เปลี่ยนทีท่าที่สบายว่า ทำต่อไป “ที่จริง ผมอยากจะเอาเวลาส่วนหนึ่งมาทำงาน อีกส่วนหนึ่งไปท่องเที่ยว”

ซูโหย่วเผิงในอายุก่อนสามสิบ เป็นคนหนึ่งที่จริงจังกับการงานเป็นอย่างมาก เมื่อเวลามาถึงปัจจุบัน ดูที่เขาได้เปลี่ยนทรงผมบอยแค่ทรงเดียวนั้นใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงเองอย่างนั้นแล้ว ก็จะรู้ว่าเมื่อก่อนนั้นจะขนาดไหน “ก็เป็นคนราศีกันย์นิ จะเป็นคนประเภทเจ้าสำอางค์ มักจะทำให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้ความกดดัน ภายใต้ความกดดันที่หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกกันแล้ว ผมก็ไปที่อังกฤษ ก็คือจะไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผมเพื่ออยากจะหาสิ่งที่หายไปให้กลับคืนมา

วันคืนที่ปล่อยชะตาชีวิตของตัวเองนั้น การเดินทางท่องเที่ยวกับหลักธรรมพุธทนั้นได้เปิดนิมิตใหม่ให้กับชีวิตผม “ท่องไปทุกที่ อ่านศึกษาหลักพระธรรม สิ่งที่ได้รับนั้นไม่ใช่อะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตในช่วงพริบตาอย่างที่ทุกคนคิดไว้ หรือเหมือนกับว่าถูกโยนในทันใดอย่างนั้น แต่เป็นการเข้าใจถึงหลักสัจธรรมอันล้ำลึกของพระพุธ หลักพระพุธจะชี้ให้คุณเห็นถึงธาตุแท้ของชีวิตคุณ จะสอนแนะนำคุณว่าจากจุดนี้ให้ไปจุดนั้นอย่างไร บวกกับเดินเที่ยวไปทั่ว ก็ได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไปของถิ่นนั้นๆ หลักการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป มันก็จะทำให้จิตใจเรานั้นได้เปิดกว้างขึ้น ก็จะค่อยๆเข้าใจและรู้สึกได้ว่า ทุกอย่างนั้นล้วนไปตามชะตาชีวิต

และซูโหย่วเผิงในวันนี้นั้น ก็จะไม่มองเรื่องการทำงานเป็นการหาเงินอีก ก็จะไม่ลดความคาดหวังในผลของงานที่เคยคาดหวังว่าต้องออกมาดี “คุณถามผมว่าจะหยุดพักงานเมื่อไร ที่จริงตอนนี้ผมก็กำลังหยุดพักอยู่ หากว่างานที่จะเข้ามานั้นมันชนกับตารางการท่องเที่ยวพักผ่อนของผมแล้ว หรือความฝันเกาะเล็กของผม นอกเสียจากงานนั้นสำคัญจริงๆ ไม่งั้นผมก็จะเลือกที่จะบินไปเที่ยวพักผ่อนอาบแดดที่เกาะนั้น” สำหรับเรื่องการเกษียณ(ลาจากวงการบันเทิง)นั้น จริงๆในใจเขานั้นก็เปิดกว้างเรื่องนี้เลยที่เดียวเชียว เป็นไปได้สูง ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเมื่อไร หากมันถึงก็คงใช่แล้วแหล่ะ

“ผมรู้สึกว่าอายุสามสิบของตัวเองก็ผ่านไปแล้ว ก็ได้เรียนรู้จากอดีตที่มีนิสัยอย่างคนราศีกันย์ที่มีท่าทีต่อการงานอย่างเอาจริงเอาจังนั้นได้มีมุมมองใหม่ที่แบบสบายๆไม่เครียดและตลกนิดๆกับงาน ผมจะรู้สึกว่าก็ต้องไปตามชะตาชีวิต ก็จะไม่ไปเคร่งเครียดกับมันนัก ทุกอย่างที่มีนั้นล้วนมีคุณค่าของมันในตัว มุมมองคุณค่าที่ต่างกันก็ได้รับผลที่ต่างกัน คุณอาจรู้สึกว่าการปล่อยไปตามชะตาชีวิตนั้นอาจเป็นแง่ลบไปหน่อย ที่จริงมันก็ไม่เชิง ความหมายในสิ่งที่ผมพูดเป็นการไม่เครียดแบบสบายๆ แต่ก็จะทำสุดความสามารถเหมือนกัน แต่จะไม่คิดว่าจะต้องได้อย่างที่หวังไม่งั้นไม่ยอม ชีวิตก็เป็น balance(สมดุลย์)  มิใช่หรือ” จากจุดสูงสุดของชีวิตตอนเสี่ยวหู่ตุ้ย ถึงจุดตกต่ำสุดที่ลอนดอน ล้วนเป็นการกระโดดจากขอบนี้ไปขอบโน้น เขาในวันนี้ สิ่งที่ปรารถนาที่สุดคือความสมดูลย์ เป็นความสมดุลย์ของชีวิตกับการงาน มีทั้งความสุขและสิ่งดีดีร่วมกัน ไม่ต้องการที่จะได้เยอะมากมายแต่เพื่อเพียงพอก็พอแล้ว เป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนอาบแดดในเกาะเล็กๆก็มีความสุขดีกว่าอยู่หน้ากล้อง ยี่สิบปีแห่งการเข้าวงการของชีวิตที่สูงต่ำนั้น สรุปแล้วการสมดุลย์พอเพียงเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติที่ดีที่สุด


355
Magazine Interviews-China / 2009 Top in life
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:29:38 PM »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากนิตรสาร  Top in life ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2009














356
http://tieba.baidu.com/f?kz=514735115


อายุทำงานในวงการบันเทิง มีมากถึงยี่สิบปีอย่างโหย่วเผิง ตอนนี้นั้นได้หันหน้าทำงานด้านหนังภาพยนตร์เป็นงานหลัก ได้เห็นเขาโลดเล่นในแผ่นฟิลม์ที่ทำให้คนอื่นหัวเราะได้โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ เหมือนกับว่าเขาได้เข้าใจถึงประโยคที่ตัวเองชอบเอ่ย  “ทำตามใจตัวเอง”  แม้ว่าบ่อยครั้งจะมีความรู้สึกอ่อนล้าบ้าง แต่ว่าเขาในวันนี้ ก็เข้าใจตั้งนานแล้วว่าจะยึดและมั่นคงในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร

ซูโหย่วเผิง ความรู้สึกที่สมดูลย์อย่าง ทำตามใจตัวเอง

ช่วงนี้ในงานด้านหนังภาพยนตร์ ก็มักจะเห็นตัวของโหย่วเผิง เริ่มต้นครึ่งปีหลังของ 2008  เขาเริ่มต้นถ่ายหนังกับสี่แฝดอย่างเผ็ดมัน (หนังเรื่อง สี่กามเทศ) ต่อจากนั้นก็ได้เปลี่ยนร่าง กลายเป็นผู้ได้มีความรักกับหลินเจียซินอย่าง ( อ้ายฉิงฮูเจี้ย 2 อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ไม่เพียงเท่านี้ ไม่นานนี้เขายังหาเวลากลับไปที่จีนและไต้หวัน ได้มีส่วนร่วมเป็นศิลปินแขกรับเชิญในเรื่อง (อ้ายเต้าตี่) รับบทเป็นนักศิลปินที่มีบุคลิกเป็นเหมือนเต่า เขากล่าว “ เริ่มแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ผมมีความสนใจกับงานการแสดงหนังภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง”

จากเวทีเล็กๆสู่หนังภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ที่จริงมันไม่แปลกเลยสักนิด ดูเหมือนว่าทุกๆสิบปีชีวิตของโหย่วเผิงนั้นก็จะเจอการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากสิบปีแรก เขาได้เข้าวงเสี่ยวหู่ตุ้ย กับเพื่อนอู่ฉีหลง เฉินจื้อเผิงได้ร่วมสร้างเวทีเพลงที่นับไม่ถ้วนมากมาย การเริ่มต้นของสิบปีที่สอง หนังเรื่องที่ดังกระหึ่มอย่าง( องค์หญิงกำมะลอ) ทำให้เขาดังไปทั่วหล้า และจากจุดนี้ได้เจอความสุขของการแสดง

ตอนนี้ สิบปีที่สามกำลังเริ่มขึ้น ปี 2009  เขาได้เข้าร่วมกับทางฮอลลีวูด(เจ้าชายปลาคน) ได้ไว้หนวดเครา เปลี่ยนแปลงตัวเอง

เหตุไรถึงได้เปลี่ยนไปแสดงหนังภาพยนตร์อย่างกระทันหัน เผชิญกับคำถามนี้ คำตอบของซูโหย่วเผิงนั้นง่ายมาก เมื่อก่อนเป็นนักร้องเป็นขวัญใจ ไม่ว่าจะทำอะไร คนอื่นก็จะมองว่าคุณกำลังเล่นหุ่น ตอนนี้ต่างกันแล้ว เรื่องขวัญใจเรื่องความรักนั้นได้แสดงไปเยอะแล้ว จากการเปรียบเทียบ หนังภาพยนตร์นั้นท้าทายกว่าเยอะ อย่างไรก็ตาม ในปีใหม่นี้ก็อยากจะไปทำงานที่ใจตัวเองอยากทำและอยากมีชีวิตอย่างที่ใจตัวเองอยากมี

หนังภาพยนตร์ จุดเริ่มต้นใหม่

มุมมองจากคนข้างๆ ซูโหย่วเผิงพอที่จะมีความฉลาดและความรับผิดชอบพอ ได้เข้าสู่วงการตั่งแต่วัยรุ่น  ปีตอน ม.6  นั้นได้ละทิ้งงานการแสดงคอนเสิร์ตต่างๆไปและไม่ไปเสริมการเรียนหนึ่งปีเต็มๆ สามารถสอบได้เป็นอันดับหกของไต้หวันในการสอบเข้ามหาลัยทั่วประเทศ ในสมัยนั้นก็ยังมีการต่อต้านจากทางครอบครัวอยู่เหมือนกันกับขวัญใจ ผู้ปกครองหลายคนที่เห็นลูกหลายตัวเองชื่นชอบในตัวโหย่วเผิงนั้นก็รู้สึกดีใจ ในตอนนั้น เขาเป็นนักเรียนแบบอย่างที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม เขาเป็นขวัญใจหนึ่งไม่มีสองของดวงใจทุกคน

แต่ว่าในปีมหาลัยปีสี่นั้น เมื่อเริ่มรู้สึกกับการเลือกเรียนคณะที่ตัวเองเลือกนั้นกลับไม่ชอบ เขาก็ได้ตัดสินใจในการที่จะหยุดเรียน และได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยตัวคนเดียว จากสายตาเหมือนกับว่าใบปริญญานั้นอยู่แค่เอื้อมนั้น ว่าไม่เอาแล้ว ก็ไม่เอาจริงๆ

หลังจากที่กลับจากอังกฤษ ในวงการบันเทิงนั้นไม่เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นแล้ว ทางบ้านทั้งพ่อและแม่นั้นล้วนเจอวิกฤตการเงิน เป็นเวลาที่ตกอับมาก โหย่วเผิงกล่าวว่าในบ้านมีสมาชิกครอบครัวสี่คนแต่ทั้งสี่คนก็ต่างอยู่กันคนละที่คนละทาง วันเวลาอย่างนี้ มีมานานจนถึงเวลาที่เขาได้เจอกับจิงจู่เหอ(องค์หญิงกำมะลอ)

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียว เสี่ยวเยี่ยนจื่อ(นากเอกองค์หญิงกำมะลอ)ไปเรียนต่อ อู่อาเกอ(เขาเอง)ก็สามารถที่จะตั้งตัวได้

วันนี้ ในเรื่อง(อ้ายฉิงฮูเจี้ยว 2) เขานั้นได้สวมบทที่คลั่ง ทั้งยังเคยมีนามที่เคยใช้อย่าง (ชายดี) (สุภาพบุรุษ) (ชายยอดเยี่ยม) (ชายร่ำ)ได้เข้าร่วมการคัดประกวดทุกรายการ แม้กระทั่งในรถก็ไม่ลืมที่จะโบกมือกับทางและท้องฟ้า “เพื่อนสหายบนยอดดอย สวัสดี”

สำหรับผู้ชมแล้วได้กล่าวชื่นชมว่าซูโหย่วเผิงเล่นได้ไม่เบา เผชิญกับคำวิจารณ์อย่างนี้แล้ว โหย่วเผิงสุขใจเป็นพิเศษ แท้จริงแล้วนี่เป็นบทบาทที่ต้องการค้นหาอย่างยิ่ง  จู้จี้จุกจิกทุกวันอย่างคนเป็นประสาทอย่างนั้น หากว่าทุกคนดูบทที่ผมแสดงแล้วก็จะรู้ว่าถูกผมผ่า(ฟ้าผ่า)เสียแล้ว นั่นก็แสดงว่าผมสำเร็จแล้ว

รับรู้ว่าได้เป็นดารารับเชิญในหนังของ หวงจื่อเจียว เขาเป็นคนแรกที่ได้แบกกระเป๋ากลับไปที่ไต้หวัน สำหรับใจที่ร้อนรนอย่างนี้ หวงจื่อเจียว  กล่าวว่าตัวเองได้ติดหนี้น้ำใจเขาอีกแล้ว


สำหรับได้ร่วมแสดงหนังของเพื่อนที่ดีนั้น ซูโหย่วเผิงนั้นรู้สึกผ่อนคลายสบายๆมาก ในเนื้อเรื่องนั้นยังได้แสดงออกถึงการเป็นผู้กำกับอีกด้วย ในด้านนี้ เขาได้มีคำสั่งต่อนักแสดงที่ร่วมแสดงด้วย “ สภาพอารมณ์ร้อน สภาพสูญเสีย สภาพสามเส้า สภาพไม้ป่าเดียวกัน” ทีมงานได้ใช้วาจาแสดงสื่อออกมา หวงจื่อเจียวที่ได้นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะออกมาว่า “ นี่น่าจะเป็นผู้กำกับที่ไม่มีความเป็นผู้กำกับที่สุดที่ผมเคยเห็น”

เมื่อยุ่งกับงานเหล่านี้จะเสร็จแล้ว ก็ไม่ไกลจากการไปแสดงหนังออลลีวูด(เจ้าชายปลาคน)ที่เริ่มจะเปิดกล้อง เพื่อต้องการที่จะแสดงบทที่ได้รับเป็นนักรบนั้น ซูโหย่วเผิงได้บอกกับเราว่า ได้ฝึกฝนดำน้ำ เสียงและสำเนียงอย่างลำบาก หากมีเวลาก็จะไปเข้าฟิตเนส เขากล่าว “ จะต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดก่อนจะเปิดกล้อง จะไม่ให้คนอื่นว่าได้ว่า “อ้ายหยา ทำไม่นักรบปลาคนคนนี้ท้องพุงใหญ่จริงๆ”อะไรอย่างนั้น

โหย่วเผิงกล่าวว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดคือการปล่อยวางไม่ยึดติดตัวเอง ราศีกันย์อย่างเขานั้นเคยเคร่งกับตัวเองอย่างมาก สอบต้องได้ร้อยคะแนนทุกครั้ง งานจะต้องทำให้ได้ดีที่สุด ช่วงหนึ่งเขากลัวที่จะออกนอกบ้าน รู้สึกว่าเมื่อเดินอยู่ที่ท้องถนน ผู้คนที่เดินในถนนนั้นจะเพ่งสายตามาจ้องที่ตัวเขา แต่วันนี้ เขาก็สามารถจะสนองสายตาอย่างนั้นแล้ว

ปัจจุบัน ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าเขาได้เรียนรู้ในการที่จะปล่อยวางตัวเองแต่ต้นแล้ว ได้เอางานหนังต่างๆอย่างย่อๆไปลงบนเว็บไซด์ของตัวเองเพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่น ทั้งคืนก็ได้ศึกษาว่าจะเอาหนังในเว็บแปลงเป็น Pod ได้อย่างไร

ระยะนี้ เขายังได้ไปดูคอนเสิร์ดซึ่งเป็นขวัญใจของเขา(มอนดอนน่า)  แม้จะมีตั๋วฟรีแล้ว แต่โดยการชื่นชอบเธอแล้วเขาได้ซื้อตั๋วใบหนึ่งเพื่อสนับสนุนเธอ ครั้งนั้นไม่เพียงแต่เขาได้เปลี่ยนฐานะเป็นผู้ชมแต่เขาก็ยังเข้าไปในเว็บจองตั๋วที่อยู่แถวหน้าอีกด้วย รวมทั้งยังตะโกนเสียงร้องกับแฟนๆคนอื่นอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เสร็จจากคอนเสิร์ดแล้วเขายังไปซื้อของที่ระลึกจากงานอีกด้วย หลังจากที่กลับมาแล้ว เขาได้บอกว่าเมื่อก่อนมักจะมีคนไล่ตามตัวเองมาตลอด แต่ตอนนี้นั้นเป็นผู้ไล่ตามคนอื่นบ้างแล้วครั้งหนึ่ง

ชีวิตอย่างนี้นั้นก็ได้เหมือนกับความตัองการทำตามใจตัวเองที่ในอดีตอยากทำนั้นจนใกล้เป็นจริง ซูโหย่วเผิงได้รวบรวมชีวิตของเขาเป็นแบบสุภาพ แม้ว่าระยะนี้ยังไม่เป็นจริง แต่เขาก็พยายามสำหรับสิ่งนี้อยู่ เขากล่าว ตอนนี้จะไม่เพื่อคนอื่นเห็นว่าตนเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับไปไว้ผมยาว ไว้หนวดเครา ใส่เสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับตัวเองแต่จะให้เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ ตอนสัมภาษณ์เมื่อเจอเรื่องที่สนุก เขาก็จะหัวเราะแล้วกลิ้งนอนบนโซฟา เวลาถ่ายรูปหากอากาศอุ่นๆ เพื่อจะเข้ากับรูปทรงก็จะสวมเสื้อขนผ้าพันคอ เขายังมีมุขขำๆๆ มากมายออกมาอีกด้วย  “อาทิตย์ที่ผ่านมานั้นผมได้ใส่เสื้อหนังด้วย พวกคุณคิดว่าผ้าพันคอผืนนี้สามารถทำให้ผมแพ้ได้หรอ เป็นไปไม่ได้”

เพราะหลายปีนี้ได้เข้าสัมผัสกับหลักธรรมพุธท เรียนรู้ถึงการพึ่งพอใจแล้วจะมีสุข ตอนนี้ผมจะไม่เรียกร้องให้ตัวเองจะเอาในสิ่งที่ตัวเองอยากได้นั้นให้ได้ เรียนรู้ในการสงบ มีมุมมองที่เป็นกลางในการมองเรื่องต่างๆ ความสุขก็จะเป็นสิ่งที่ง่ายๆ



ข้อความในรูป

ชื่อ – สกุล . ซูโหย่วเผิง
วันเกิด .   11 กันยา
ราศี .  กันย์

ก่อนนี้ . เขาเป็น ไกวๆหู่ ของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทุกครั้งที่เจอการเต้นก็จะปวดหัว ตอนหลัง ได้กลายเป็นอู่อาเกอ(องค์หญิงกำมะลอ)  ตู้เฟย ในเรื่อง( ฉิงเซินเซิน หยี่หมงหมง)  ได้กลายเป็นพระเอกในสมัยใหม่ หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าสู่วงการหนังจีนโบราณ ฮ่วยบ่อข่วย  จางอู่จี้ ... ตอนนี้ได้หันไปในด้านหนังภาพยนตร์ เพื่อเปิดโลกกว้างให้กับงานของตัวเอง

ปี 2008  รายการหนังภาพยนตร์ในเซี่ยงไฮ้ ซูโหย่วเผิงกับหลินซินหยูคู่สหายเก่าที่ได้โด่งดังไปทั่ว

(อ้ายฉิงฮูเจี้ยว2 อ้ายฉิงจ่ออิ้ว) ซูโหย่วเผิงได้เล่นกับหลินเจียซิน

357
Magazine Interviews-China / 2008 นิตยสารสื่อเจี้ย (โลก)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:13:07 PM »
http://dzb.sg.com.cn/toptravel/wy/409885.shtml

ซูโหย่วเผิงนักเดินทางที่ยอดเยี่ม

ฉบับที่ 12  ที่มา นิตยสารสื่อเจี้ย (โลก)    

เวลาออกจำหน่าย 4 ธันวาคม 2008

========================================

ตอนพวกเราอยู่ที่ปารีสนั้น มักมีคนพื้นเมืองที่นั่นรวมเป็นกลุ่มถามถึงชื่อภาษาอังกฤษของโหย่วเผิง เวลานี้ เขาถูกโฟกัสด้วยกล้องและร้องตะโกนมาอย่างเสียงดังว่า “ALEC”

ALEC  ดั่งวัว  ราศีกันย์

รูปร่างผิวบาง เหมือนกับตัวอะไรที่สามารถที่จะสวมใส่ชุดต่างๆของ Dior Homme ได้

ชุดสูท . Dior

เสื้อเชิ้ต. Dior

รองเท้า . เป็นของส่วนตัว

เสื้อเชิ้ต . Dior

ผ้าพันคอ ฺ LV






358

ซูโหย่วเผิง ::  รับพอใจกับบทแสดงที่มีบทพูดเยอะ อาชีพอนาคตนั้นหัวใจของงานจะอยู่ที่การแสดงหนัง

26/11/2008

สำนักข่าวซิงลั้น ละคร(อ้ายฉิ่งจ่อโหย้ว) จะฉายทั่วประเทศใน 26 พ .ย. นี้ บ่ายวันนั้น หนังเรื่องนี้จะไปจัดงานแถลงข่าวที่สถานีซิงกวงปักกิ่งอย่างคึกคัก ผู้กำกับหนัง. จางเจี้ยหยา ตัวละครเอก. หลินเจียซิน. เติ้งเชา .ซูโหย่วผิง, ตงต้าเหว่ย , เนี่ยเหยียน , หวงปอ , หลินเซิง , จางจิ้นหนิง  มาร่วมการแสดงเป็นต้น กับฝ่ายการผลิต ฝ่ายการจัดจำหน่าย แถลงว่าจะจับมือกันกับการเริ่มงานพิธีการเปิดฉายครั้งแรกในประเทศ หลังงานแถลงการเสร็จสิ้นแล้ว ซูโหย่วเผิง ได้มาให้สัมภาษณ์กับสื่อของ ซินลั้น ด้วยตัวเอง

พิธีกร : คุณโหย่วเผิง ทักทายกับพวกเราชาวซินลั้นหน่อยสิ

ซูโหย่วเผิง : สวัสดีชาวซินลั้นทุกคนครับ ผมโหย่วเผิงเองครับ

พิธีกร :ได้ยินว่าในเรื่องนี้โหย่วเผิงรับบทเป็นผู้เข้าแข่งขันการคัดเลือกเดอะสตาส์คนหนึ่งใช่เปล่า?

ซูโหย่วเผิง : ใช่ครับ

พิธีกร : ได้ข่าวว่าตัวคุณเองก็รู้สึกไม่ชอบประเภทอย่างนี้?

ซูโหย่วเผิง : อา?

พิธีกร : จะอธิบายอย่างไร......

ซูโหย่วเผิง : เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบ มันมองให้เห็นถึงประเด็นสำคัญที่ฮิตกันในสังคมปัจจุบันทั้งในอินเตอร์เน็ตด้วย ส่วนของผมนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้มีรายการคัดเลือกสตาร์(ดารา) มากมาย บางอย่างก็ใช่ที่เป็นเวทีให้กับวัยรุ่นมาแสดงความสามารถของตัวเอง แต่ผมรู้สึกว่าหากเหมือนกับบทผมในเนื้อเรื่องแล้วนั้น กลายเป็นเข้าร่วมการแข่งขันทุกอย่างเลย ใช้กลยุทธทุกอย่าง ท่าทางรูปแบบที่แปลกประหลาดมากมาย นั่นก็เกินไปแล้ว ไม่เหมาะสม

พิธีกร : หลายปีแห่งเส้นทางศิลปินนั้น จะช่วยแนะนำให้วัยรุ่นที่เข้าร่วมการคัดเลือกแบบนี้อย่างไรหรือมีข้อเสนอดีๆอย่างไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง : ผมจะรู้สึกว่าทุกอย่างให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ(ตามชะตา) มันอาจเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตคุณ มีคนชื่นชอบคุณ คุณก็ไม่ควรหยุดที่จะแสดงถึงความสามารถของคุณออกมา นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีงาม หลายเรื่องนั้นต้องตามชะตา ดำเนินชีวิตตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จะดีกว่า เหมือนกับตัวบทในเรื่องของผม ล้วนไม่มีชะตาวาสนาอย่างนั้น สุดท้ายต้องกลายเป็นบ้าไปแล้ว มันคลายกับไม่มีวาสนาอย่างนั้น

พิธีกร : จากบทที่คุณรับแสดงนั้นมีความยากไหม? หรือว่ามันเวอร์ไปหรือเปล่า?รู้สึกว่ามัน....?

ซูโหย่วเผิง : ความยากนั้นก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะบทบาทนี้เขาชอบพูดมากๆ ปกติ ในเรื่องแล้ว ตัวตนในบทละคร "อู๋หยี"  นั้นเขาจะเป็นคนออกแนวสไตล์บ้าระห่ำ ฉะนั้นปกติแล้วเขาจะเป็นคนสมบูรณ์ในเรื่องนี้ ผมนั้นไม่ค่อยต่างกัน พวกเราจำพวกเดียวกัน หากว่าคุณจะว่า "หลินเจียซิน"  เป็นหญิงส่วนเกินแล้ว พวกเราก็เป็นชายเศษเกินเหมือนกัน เพียงแค่คิดว่าจะรักตัวเองเท่านั้น บทร่วมผมกับ "หลินเจียซิน"  นั้นเป็นเพียงแต่ผมฝ่ายเดียวที่เป็นคนพูดไม่หยุด จนถึงสุดท้ายผมก็รู้สึกเกรงใจ ผมเลยบอกว่าตรงนี้ผมไม่พูดแล้วนะ ตรงนั้นผมก็จะตัดออก

พิธีกร : ครั้งแรกที่ได้รับบทละครในเวลานั้น เหมือนกับที่คุณพูดว่าบทอย่างนี้นั้นคุณจะไม่มีวันที่จะปฏิเสธ?

ซูโหย่วเผิง : บทนี้ผมเป็นคนเลือกเอง ฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดๆที่จะปฏิเสธ ผมพอใจกับบทนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งผมยังรู้สึกว่าหากว่ามีการเพิ่มเต็มส่วนใดส่วนหนึ่งเข้ามา ผมก็จะรู้สึกว่าศักยภาพการแต่งบทของผมนั้นจะขาดไม่ได้เลย เพราะว่าในตัวของบทสนทนานี้เรียบเรียงได้ดีมาก จุดสำคัญของความยากก็คือผมจะต้องยัดบททั้งหมดเข้าไปในสมอง และภาษาของผู้ประพันธ์นั้นผมจะต้องออกแรงใช้สมองไปจดจำมัน

พิธีกร : สำหรับของจีน....

ซูโหย่วเผิง : ผมรู้ตัวว่าผมถูกเรียกพูดมากแล้ว (หัวเราะ)

พิธีกร : ครั้งนี้ต่างคนก็ได้รูปแบบที่ต่างกันไป ราศี คุณรู้สึกว่าในชีวิตประจำวันนั้นคุณเป็นผู้ชายประเภทไหน?

ซูโหย่วเผิง : ผม? ผมเป็นคนทำนองไม่สูง

พิธีกร : หากว่าทำสองต่ำ อาจจะอยู่ในวงการบันเทิงนั้น ทุกคนก็ล้วนอยากจะโชว์ตัวเอง สิ่งนี้จะขัดแย้งกันไหม?

ซูโหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าวงการบันเทิงนั้นตามปกติแล้วจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของทุกคนมีความสุขความบันเทิง แต่ว่าการบังเทิงตามที่ผมเข้าใจนั้น เพราะว่าเป็นการต้องการของสังคม ฉะนั้นการบันเทิงก็มีทั้งระดับสูง การบันเทิงระดับกลาง การบันเทิงระดับต่ำ ชีวิตของคนเราทุกคนก็ต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ผมรู้สึกว่าสำหรับผมที่เป็นนักแสดงคนหนึ่งนั้น คุณสามารถที่จะเลือกว่าทางที่คุณจะเดินนั้นเป็นชั้นไหน คุณจะให้การบันเทิงกับคนอื่นรูปแบบใด ฉะนั้นผมรู้สึกว่ามีเส้นทางที่ต่างกันไปหลายทางด้วยกัน ไม่ใช่ว่าจะใช้รูปแบบที่ฝืนตัวเองหรือรูปแบบที่คนอื่นเขาทำกันถึงจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้

พิธีกร : เหมือนกันหนังเรื่องนี้นั้นมีตัวละครพระเอกอยู่มากมายและทุกคนล้วนเท่าเทียมเสมอกัน คุณเคยไหมที่ตอนแรกที่ได้รับบทนั้นกลัวที่จะมีการไปเปรียบเทียบกับคนอื่น?

ซูโหย่วเผิง : คิดไม่ถึง ตัวบทนั้นก็มีตัวพระเอกอยู่ 12 คนต่างก็มีจุดเด่นของแต่ละคนแน่นอนก็ยากจะพ้นจากการเปรียบเทียน แต่ว่าผมรู้สึกว่าจากประสบการณ์ทำงานมาหลายปีนั้น ผมคิดว่าการไปเปรียบเทียบนั้นเป็นเรื่องที่คิดมากไป เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็ดีแล้ว ตัวเองทำให้ดีก็โอเคแล้วล่ะ

พิธีกร : ก่อนหน้านี้ เรื่อง( อ้ายฉิงฮุเจี้ยวจ่วงหยี) ที่มีผู้หญิงถึง 12 คนติดตามชายคนเดียวได้ดูยัง?

ซูโหย่วเผิง : ต้องขอโทษด้วย เก้อเขินมาก

พิธีกร : หนังเรื่องนี้คุณเคยดูแล้วหรือยัง?

ซูโหย่วเผิง : ผมยังไม่เคยดูเลย เวลาส่วนมากของผมนั้นจะให้กับสื่อมากกว่า รวมทั้งผมก็ไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่ง

พิธีกร : หลังจากที่ตัวเองแสดงเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ ลองให้คะแนนกับตัวเองได้ไหม ว่าจะให้สักเท่าไร?

ซูโหย่วเผิง : ยังโอเคมั้ง คนรอบข้างยังส่งของขวัญให้ สำหรับผมแล้วตลอดเวลาผมหวังตัวเองว่าจะเป็นคนหนึ่ง  ตัวเองกำหนดตัวเอง หวังว่าจะเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาที่รับบทกับการแสดงนั้น โดยแท้จริงแล้วจิตใจของตัวเองนั้นไม่มีภาระอะไรเลย เพียงแค่อยากจะแสดงบทของเราให้ดี มีเพียงสิ่งเดียวที่กังวลใจคือ ในใจของตัวผมเองนั้นไม่มีปัญหาใดๆอยู่เลย สำคัญคือผู้ชม ไม่รู้ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกันกับเรื่องนี้ของผม แน่นอนผมรู้สึกว่าอาจจะจำเป็น ก็เหมือนครั้งนี้มีคนมากมาย สื่อมากมายได้โฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงหรือว่าการทะลุทะลวงอะไรบ้างอย่างของซูโหย่วเผิง ที่จริงสิ่งเหล่านี้นั้นตรงกันข้าม แสดงว่าในใจของพวกเราทุกคนได้มีภาพที่ตัดสินใจแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปคิดมากกับเรื่องนี้ ในเมื่อมีภาพที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็แสดงว่าอนาคตผมก็จะมีเวลาที่จะไปพัฒนาต่อไป

พิธีกร : เมื่อกี้คุณบอกว่าบทนี้คุณเป็นคนเลือกเอง ในบทมีการสนทนาที่เยอะมาก มีบทพวกโรคประสาทอะไรอย่างนี้ ก็คือว่า ผมอาจจะคิดไม่ถึงคำว่าเปลี่ยนแปลงไปนี้ แต่ผมคิดเพียงว่าคุณกำลังนำความกดดันกับการท้าทายมาสู่ตัวเองอย่างตั้งใจ?

ซูโหย่วเผิง : ทำเรื่องบางอย่างที่ต่างจากเดิม อย่าหยุดอยู่ที่เดิม รวมทั้งศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบอยู่ด้วย

พิธีกร : ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น รวมทั้งเริ่มแรกที่คุณร้องเพลง เต้นและค่อยๆมาแสดง แล้วเวลาแห่งอนาคตนั้นคุณคิดว่าจะไปท้าทายเรื่องอะไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง : อนาคตนั้นจะใช้เวลากับการแสดงให้มากกว่านี้ สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สนุกน่าสนใจ

พิธีกร : เริ่มแรกที่คุณเข้าสู่วงการนั้นภาพที่ให้กับคนอื่นคือนักเรียนมัธยมคนหนึ่งเป็นเด็กที่แสนดี ตอนนี้คุณดูสิภายนอกคุณก็เปลี่ยนไปแล้ว อารมณ์ในการพูดก็เปลี่ยนไปแล้ว

ซูโหย่วเผิง : หากว่าผมไม่เปลี่ยนนะ ผมก็สามารถเป็นหัวหน้าคนหล่อสวยได้สิ (หัวเราะ)

พิธีกร : ในเรื่องนั้นคุณมักจะเล่นมุกให้คนอื่นขำตลอดหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง : ไม่นะ มีความเครียดเยอะเหมือนกัน บทสนทนามากเกินไป พูดจนไม่ให้หยุด อีกอย่างบทพูดเกือบครึ่งหนึ่งของผมนั้นได้พูดขณะที่ยื่นอยู่บนรถและเปิดหน้าต่างอยู่ อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ก็อยู่แต่รถนั้น ไม่ว่าจะข้ามน้ำข้ามป่าดงพงษ์ไพร ตากลมกินลมตลอดเวลา ผมนึกในใจว่าทำไมผู้กำกับยังไม่ให้หยุดสักที มารู้ทีหลังว่าผู้กำกับไม่ได้วิ่งไปกับรถกล้อง ตอนหลังเมื่อกลับไปก็รู้สึกเจ็บคอแล้ว ไม่มีเวลาที่จะไปเล่นมุกขำอะไรเลย ผู้รู้สึกว่าผู้กำกับก็ไม่ง่ายเลย ชาย 12 คนต่างคนก็ต่างมีสไตล์บุคลิกที่ต่างกันไป มารวมอยู่ด้วยกัน ในส่วนของผมนั้นกะว่าจะถ่ายทำประมาณสองวัน ตอนหลังกลับบีบให้เป็นวันเดียวเอง ฉะนั้นก็ยุ่งกับงานแต่เช้าจนค่ำ

พิธีกร : เป้าหมายตอนนี้ของคุณคือจะเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง รวมกับการที่เริ่มแรกที่ทุกคนได้ฟังคุณร้องเพลงได้สัมผัสกับคุณ จากนี้ไปจะทิ้งการร้องเพลงไหม?

ซูโหย่วเผิง : น่าจะมีโอกาสฟังผมร้องเพลงอีกนะ

พิธีกร : โอเค ขอบคุณคุณมากๆโหย่วเผิง

ซูโหย่วเผิง:ขอบคุณ


359

ซูโหย่วเผิงกล่าวถึงหนทางของการลงทุนบ้านและที่ดิน

ต้นฉบับ ( เฉียนจิง) เนื้อหา / นักข่าว หันเจีย

   ซูโหย่วเผิง

กล่าว ตลาดการค้าตกนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการลงทุนที่ขาดไม่ได้ เหมือนกับชีวิตคนเรา มีขาขึ้นแน่นอนก็ต้องมีขาลง ท่ามกลางการตลาดที่แข่งขันพวกเราแข็งขันในการหาเงิน ในยามการตลาดตกก็สามารถพักผ่อนหย่อนใจเพื่อคอยโอกาส ในชีวิตของเราแต่ละคนนั้นล้วนอาจจะต้องเจอวิกฤตการตลาด ให้ลืมกิจการไปสักพัก ใช้เวลากับครอบครัวเยอะหน่อย สิ่งที่จะให้เราทำยังมีอีกเยอะแยะ

ก่อนหน้านี้สองสามวันซูโหย่วเผิงพึ่งกลับมาจากฮอลลีวูด ลือว่าเขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังชาวอเมริกา จะถ่ายหนังแนวภูตผีปีศาจเรื่องหนึ่ง จากการสอบถามโหย่วเผิงยืนยันเรื่องนี้ว่าใช่ แต่ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดต่างๆ แต่ได้พูดแบบกว้างๆสบายๆ “นี่เป็นโอกาสอีกครั้งสำหรับตัวเอง ผมจะฉวยโอกาสอย่างไม่ปล่อยให้หลุด”

ซูโหย่วเผิงที่นั่งต่อหน้านักข่าวนั้น เงียบ สุภาพ ใบหน้าไม่เคยเปลี่ยน รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ ดูจากภายนอกแล้ว เขาเป็นคนดีที่สม่ำเสมอมารยาทยอดเยี่ยม วาจานอบน้อม แต่ก็ไม่สามารถที่จะปิดบังความสูงศักดิ์ของเขาได้ ขณะสัมภาษณ์นั้น สายตาของเขานั้นจะจดจ้องมองคุณ ทำให้คุณรู้สึกว่าเขาสนใจในคุณอยู่ สิ่งที่ยิ่งทำให้คนอื่นประทับใจก็คือ เขาเป็นคนคล่องมากๆ พูดคล่อง ท่าทางคล่อง เหมือนกับว่าสิ่งที่เหมือนเกินในตัวเขานั้นกลายเป็นสิ่งที่สำคัญ (ประโยคนี้เห็นบ่อยมากๆค่ะ...)

เข้าวงการมายี่สิบปี จากนักร้องขวัญใจที่ย่างเข้าวัยรุ่น ถึงสิบปีที่แล้วในหนังเรื่องนั้นที่ทำให้ผู้คนหลงไหลกันมากอย่าง (องค์หญิงกำมะลอ) และจนวันนี้ที่กำลังจะเปิดกล้องถ่ายทำอย่าง ห่าวไหลอู ซูโหย่วเผิงไม่เคยที่จะจืดจางไปจากสายตาของผู้คน พูดถึงเคล็บลับเรื่องนี้ ซูโหย่วเผิงพูดอย่างธรรมดาๆว่า “ มันอาจจะถือได้ว่าผมเป็นคนขยัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงมาจากสิ่งที่ทุ่มเทไป”


การลงทุนอสังหาที่มีฝีมือ

สามปีที่แล้ว ได้ถือโอกาสที่ไปถ่ายหนังที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่ยุ่งอยู่นั้นซูโหย่วเผิงได้ฉวยหาเวลาว่างหลบไปซื้อบ้านหลังหนึ่งของตนในจีน  บ้านพักเขานั้นอยู่ใกล้ๆ “ซินเทียนตี้”  ยิ่งกว่านั้นคือมีมากกว่าสองหลัง เมื่อบ้านเขาตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว และแล้วก็มีนักลงทุนที่ไม่รู้จักได้มาซื้อบ้านไปโดยให้ราคาสูงถึงสองเท่าที่ซื้อมา แต่ซูโหย่วเผิงกลับปฎิเสธ เหตุผลง่ายๆ ย่านนี้เป็นย่านสำคัญของเซี่ยงไฮ้แล้ว คนมากมายเข้าแถวกันเพื่อจะเข้ามาอาศัยอยู่ย่านนี้ เริ่มแรกตัวเองซื้อมาได้ก็เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดี มันไม่ได้ซื้อได้ง่ายๆ การลงทุนงวดนี้ ตอนนี้ซูโหย่วเผิงได้กำไรเกินคาดจริงๆ

พูดถึงการลงทุนซื้อขายบ้าน ซูโหย่วเผิงพูดอย่างฉะฉาน เทียบกับโครงการ “หนันต้าปิง”ที่ปักกิ่งที่ขยายอย่างต่อเนื่องนั้น พื้นที่ที่เซี่ยงไฮ้นั้นน้อยกว่ามาก ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนล่วงหน้าและการควบคุมของการลงทุนซื้อบ้านในเซี่ยงไฮ้นั้นดีกว่าตั้งเยอะ บวกกับความคุ้นเคยที่เซี่ยงไฮ้  จนวันนี้ซูโหย่วเผิงยังไม่ซื้อบ้านในปักกิ่งเลย แต่ในเซี่ยงไฮ้ ตั้งแต่เมืองจนถึงซินเทียนตี้ล้วนมีบ้านของเขา บ้านที่ผ่านมือไม่น้อยกว่าสิบหลัง รวมถึงที่ไต้หวันกำลังอยู่ในภาวะที่ราคาบ้านตก เขาก็รีบฉวยซื้อบ้านใหญ่มากประมาณสามร้อยตารางเมตรหลังหนึ่ง ตอนนี้ราคาบ้านของที่นั่นเริ่มดีขึ้นเรื่อยมาหลายปีแล้ว

เริ่มแรกนั้นซูโหย่วเผิงก็เคยซื้อขายหุ้น แต่ถ้าไม่ใช่ได้ชดใช้ก็คือขาดทุนสองอย่าง ระยะหลังเขาได้ตัดสินใจลงทุนการซื้อขายบ้านก็พอ ตอนนี้ในจีน ไต้หวันและสิงคโปร์ อเมริกาเป็นต้น ล้วนมีบ้านที่เขาได้ซื้อไว้ ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ บ้านที่เยอะเหล่านั้นล้วนซื้อไว้ก็เพื่อพ่อแม่น้องชายนั่นเอง ผมขยันในการหาเงินมาตลอด จะฉวยไว้ทุกโอกาส”

ซูโหย่วเผิงยังเปิดเผยกับเราอีกว่า ตัวเองได้ขยายกิจการในจีนเป็นเวลายาวนาน เงินที่ได้รับนั้นเขาแทบจะเข้าธนาคารในจีนหมด ตอนนี้เงินหยวนของจีนก็แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับญาตมิตรที่ไต้หวันแล้ว ในช่วงค่ำคืนเดียวเงินไต้หวันสิงคโปร์ของซูโหย่วเผิงก็ขึ้นนับล้านหยวน


ความตกต่ำหลังจากวัยรุ่นที่ดัง

ยี่สิบปีก่อน โหย่งเผิงที่ยังเรียนอยู่ในมัธยมตน ชั่วคืนเดียวก็ดังพร้อมกับ เสี่ยวหู่ตุ้ย สิ่งที่ตามมาก็คือในคืนเดียวเขาก็ได้เป็นเศษฐีแล้ว ทั้งซื้อรถ ซื้อคอนโด ซื้อหุ้น ต่างๆขยายใหญ่โต หลังจากสามปีแห่งช่วงเวลาที่ฮึกเหิม ซูโหย่วเผิงสอบเข้ามหาลัยได้ สาขาช่างกลและอิเล็กทรอนิค จากนั้น วันดีๆเหมือนกับเดินมาถึงจุดสุดแล้ว ก่อนสอบเข้ามหาลัยนั้น ซูโหย่งเผิงได้คิดอย่างหนักว่าแท้จริงตัวเองชอบวิชาสาขาอะไร เพียงแค่อยากจะเชื่อฟังความเห็นที่ผู้ใหญ่บอกจึงได้สมัครสาขาที่ทางมหาลัยก็ถือว่ายอดเยี่ยม คิดไม่ถึงเมื่อเอาเข้าจริงๆแล้ว ความเซ็ง ความยากของหลักสูตรวิชานี้ทำให้ซูโหย่วเผิงต้านทานไม่ไหว และทุกเทอมเขามีวิชาที่สอบไม่ผ่าน สุดท้าย ขณะที่ซูโหย่วเผิงอายุยี่สิบเอ็ดนั้น เขาได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ทุกคนทึ่ง ลาออกจากการเรียน ทำงานด้านศิลปินเต็มตัว

หลังจากที่ซูโหย่วเผิงลาออกจากมหาลัยแล้ว ไปเรียนต่อที่อังกฤษอีกครึ่งปีแล้วกลับมาไต้หวัน “ในตอนนั้นเขาเป็นคนทำงานที่ยังวัยรุ่นอย่างเต็มตัว ไม่มีใบปริญญา งานด้านการแสดงก็ไม่ได้เล่าเรียนมาโดยตรง เคยแสดงละครพูดช่วงหนึ่ง แต่รายได้ก็ไม่ดีนัก” ซูโหย่วเผิงพูดถึงอดีตว่า หลังจากที่หมดสัญญาของ วงเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว รายได้สูงที่เคยได้นั้นได้หยุดลง ทำให้ยังปรับตัวไม่ได้ ในตอนนั้นเขานอกจากจะรับภาระเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายของครอบครัว และยังมีค่าผ่อนคอนโด ผ่อนรถที่ไม่น้อยอีกด้วย  “ จริงๆก็มีความรู้สึกว่ายังมีวันที่เราดูเหมือนว่าจะไปไม่รอดแล้ว”

สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือ ตัวเองคิดว่าจะมีเงินก้อนโตจากการลงทุนซื้อขายหุ้น และมันก็ไปเจอช่วงที่ตลาดหุ้นตกของไต้หวันอีก เดิมทีก็ไม่ค่อยรู้เรื่องตลาดหุ้นอยู่แล้ว แล้วยังมอบอำนาจให้ญาตไปดูแลเองอีก สุดท้ายตลาดหุ้นของเขานั้นขาดทุนยับเยิน ในชีวิตคนเรานั้นจะโชคดีดวงดีสองหนนั้นหายาก แต่เรื่องหนีเสือแล้วปะเจระเข้ซวยแล้วซวยอีกนั้นมีบ่อยมาก ในเวลานั้นสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดของซูโหย่วเผิงก็คือ ได้ขายรถไปหมดเหลือคนเดียวไว้เพื่อใช้สำหรับตัวเอง ขนาดไปจอดดีๆอยู่ข้างถนนก็ยังมีคนขับรถมาชนใส่จนเสีย


หนทางสู่สังคมที่ “เผชิญสภาพที่เลวร้าย”(อย่างไม่สะทกสะท้าน)

ปัจจุบันวันปีที่ผ่านไปอย่างซูโหย่วเผิง ข้างหลังตัวได้มีกระดาษที่เขียนถึงประสบการณ์มากมายติดอยู่ นึกว่าชีวิตที่ขึ้นๆลงๆของเขานั้น จะเล่าเรื่องราวชีวิตเป็นตอนๆกับความรักที่อลเวงให้กับเราฟังอย่างน่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่เขาได้กล่าวนั้นส่วนมากเป็นเรื่อง วาสนา ธุรกิจ ความรัก วิถีชีวิต .....ไม่มีอะไรนอกเหนือนี้

“ผมเชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ผมไม่รู้สึกอย่างที่ว่าพึ่งในกำลังของคนเราสามารถทำอะไรก็ได้ นี่เป็นทัศนะของผม ผมเป็นคนที่เชื่อเรื่องวาสนา แต่ผมก็ไม่ได้ปฎิเสธว่าถ้าขยันพยายามแล้วมันจะไม่เกิดผลอะไรเลย ผมรู้สึกว่าผลลัพธ์บางอย่างนั้นกำลังมนุษย์ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงมันได้ ผมจะไม่ซีเรียสกับผลที่จะเกิด เพียงคุณทำให้เต็มที่ แต่ผลนั้นไม่ใช่ว่าใช้ความพยายามของตัวเองแล้วสามารถเลือกผลลัพธ์ได้” เนื่องด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ซูโหย่วเผิงสามารถที่จะผ่านวิกฤตมรสุมของชีวิตไปได้

ปล่อยตามเวรกรรมของซูโหย่วเผิงนั้นเป็นการเผชิญในแง่ดี แต่ถ้ามันไม่ดีอย่างที่หวังก็ไม่คิดว่าจะต้องเอาให้ได้ เขาได้พบถึงการไร้ความหมายของการต่อสู้และการฝืนทำ เขาได้เข้าใจถึงหลักการเรื่องเหตุและผล แน่นอนก็จะไม่ไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่จำเป็น สุดท้ายคือปล่อยวาง

“ผมรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ ชีวิตคนก็มีขึ้นๆลงตามธรรมชาติ ช่วงที่ดีก็มีวิถีของช่วงที่ดี ช่วงที่ตกต่ำก็มีวิถีของช่วงที่ตกต่ำ ที่จริงชีวิตคนเราไม่ใช่ว่ามีเพียงแต่งานๆๆๆๆ ถ้าหากยามที่งานไม่ดี งานไม่ราบรื่น นั่นก็รีบฉวยโอกาสในเรื่องความรัก คุณสามารถที่จะทำอย่างอื่นได้ หรือว่าอาจเป็นเวลาที่ดีที่เราจะใช้เวลากับครอบครัว หรือว่าถ้าเป็นผม ผมก็จะใช้เวลานั้นไปเที่ยว ผมสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ถ้าโชคของงานเข้ามาคุณก็ต้องตั้งใจในการทำงาน และอย่างอื่นก็จะต้องสละไป” สุดท้ายซูโหย่วเผิงสรุปว่า ที่จริงเป็นประโยคง่ายๆ คิดอยากจะรักษาชีวิตที่มีความสุขนั้น จะต้องเรียนรู้ในการ “เผชิญกับสภาพเลวร้าย”อย่างสะทกสะท้าน


เรื่องราว “เสี่ยวหูตุ้ย”

เอ่ยถึงสภาพตอนเข้าวงการ ซูโหย่วเผิงอดที่จะหัวเราะฮ่าๆๆๆออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มเอ่ยถึงมัน “ ตอนเข้าวงการนั้นสนุกมากๆ เพราะก่อนนั้นผมรู้แค่เรียนหนังสือเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจบมัธยมต้นแล้วกลับเป็นศิลปิน”

หลายคนอาจได้รู้ว่า คุณพ่อของซูโหย่วเผิงนั้นหน้าตาหล่อเหลามาก หล่อจนเวลาเดินบนถนนก็ยังมีแมวมองมาจ้องจับ แต่ทัศนคติของพ่อซูนั้นโบราณมาก คิดว่าผู้ชายไม่ควรใบหน้ามาหากิน แต่นอนเขาก็ไม่ต้องการให้ลูกของตัวเองเกี่ยวข้องกับอาชีพนี้ ฉะนั้น ในตอนนั้นซูโหย่วเผิงได้ร่วมมือกับคุณแม่ที่ปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อรู้ เรื่องการเข้าร่วมคัดสรร เสี่ยวหู้ตุ้ย

ในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงเพียงแค่คิดว่าเข้าเสี่ยวหูตุ้ยเป็นงานที่ทำไปวันๆ ไม่ได้คิดที่จะยึดทำเป็นจริงเป็นจัง เพื่อไม่ให้เสียการเรียน ยังทำสัญญาว่าขณะเรียนนั้นจะไม่ลาไปทำโน้นทำนี่ ฉะนั้น เสี่ยวหูตุ้ยในตอนนั้น หนึ่งปีออกอัลบั้มเพียงสองชุด คือช่วงปิดเทอมหนึ่งกับเทอมสอง



ช่วงสัมภาษณ์ดารา(ซูโหย่วเผิง)

(เฉียนจิง)   มารตฐานแรกที่คุณจะเลือกบ้านนั้นคืออะไร?

ซูโหย่วเผิง :จะต้องอยู่ในย่านเมืองที่คึกคัก

(เฉียนจิง) จุดประสงค์ในการลงทุนจริงๆคืออะไร?   

ซูโหย่วเผิง :ในวงการศิลปินนั้นมีการยั่วยวนมากมาย สำหรับตัวเองแล้ว เพราะเคยผ่านชีวิตที่ตกต่ำ ฉะนั้นเรามีอาชีพนี้นั้น ไม่ใช่ว่าจะมีความปลอดภัยมั่นคง  ยามที่มีแรงสามารถทำก็ขยันทำหน่อย อย่างนี้รู้สึกว่ามีความปลอดภัย ของชีวิต นี่ก็ยังเป็นเป้าหมายในช่วงวัยนี้ของชีวิตผม ตอนนี้ ก็มีเงินฝาก บ้าง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานเพื่อยากได้เงินมาเลี้ยงชีพ ชีวิตก็สามารถที่จะยืดหยุ่นได้

(เฉียนจิง) ไต้หวัน ฮ่องกง จีน ศิลปินประเทศไหนที่บริหารเงินเก่ง? มีอะไรที่
                        พิเศษโดดเด่นบ้าง?


ซูโหย่วเผิง :ความคิดการบริหารเงินของศิลปินไต้หวันนั้นแคบมาก ถ้าไม่ใช่ลงทุนซื้อขายบ้านที่ดินก็เปิดร้าน และเวลาลงทุนก็คือ “ชอบถอนเงินออก”  “ยามแก่ไม่มีเงิน”ง่าย ถ้าเทียบกับดาราฮ่องกงแล้ว ศิลปินฮ่องกงนั้นเป็น ระดับอินเตอร์เยอะมาก

(เฉียนจิง) “เผชิญสภาพที่เลวร้าย”(อย่างไม่สะทกสะท้าน) นั้นหมายถึงการไปแสวงหาอย่างไม่คิดหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง :ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะพูดอย่างไร ที่จริงผมจริงจังการขั้นตอนของการทำงาน แต่ว่า คุณจะให้ผมไปแย่งชิงกับคนอื่น ผมรู้สึกว่ามันไม่สุภาพ การกระทำอย่าง นี้ผมไม่สามารถที่จะรับได้ ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นผมก็สบายๆ  ผมยอมที่จะเลือกเอาชีวิตที่สุขภาพดีกว่า

(เฉียนจิง) “ไกวๆหู่”เป็นขนานนามของคุณหรือ? (ไกวๆ แปลว่า เด็กดี เชื่อฟัง)

ซูโหย่วเผิง :ที่จริงมันเป็นเพียงแค่ภายนอก ผมเป็นคนที่ดื่อมาตลอด ไอ้เรื่อง “ไกวๆหู่”  นั้นเป็นสิ่งที่เขาเรียกเพราะเรื่องการเรียน เพราะในตอนนั้นผมเรียนใน โรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน และได้เป็นนักเรียนดีเด่นแบบอย่าง  เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่มีที่ติ ขณะที่ผมกำลังมีทัศนะทางคุณค่านั้น ก็เหมือน กับต้นกล้า การเป็นตัวตนของตัวเองยังไม่ได้เติบโตเต็มที่นั้น ก็ถูกแรงกด ดันจากภายนอก บีบให้ผมจะต้องโตแบบสมบูรณ์ไร้ที่ติ เติบโตเป็นเด็กดี ที่เป็นมารตฐานของชาวจีนอย่างนี้

(เฉียนจิง)  ถึงตอนนี้ท่าทีต่อการงานของตัวเองนั้นมีการเปลี่ยนไปไหม?

ซูโหย่วเผิง :การแสดง ร้องเพลง งานหลักสองอย่างนี้ยังเหมือนเดิม ที่แตกต่างอยู่ตรงที่ ว่า  จะพยายามทำตามใจตัวเอง จะเลือกเฉพาะบทที่เราชอบและร้องเพลง ที่เราอยากร้องเท่านั้น

(เฉียนจิง) ภาระอันเร่งด่วนของคุณจะเปลี่ยนภาพพจน์ของคุณไหม?

ซูโหย่วเผิง : “ผมอยากแสดงหนังร่วมสมัย แสดงหนังที่มันเข้ากับบุคลิคของตัวเอง” โหย่วเผิงอยากจะทำก็คือเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เป็นสุภาพบุรุษที่อยู่ด้วยแล้วให้ความปลอดภัย

ในวงการศิลปินนั้นสภาพทรัพย์สินไปด้าน ลงทุนไปด้าน มีความมั่นใจในการลงทุนสูง แต่ขาดการบริหารทรัพย์สินที่เป็นระยะยาว เช่นซูโหย่วเผิง ปัจจุบันมีการลงทุนซื้อบ้านอย่างเดียว แต่เมื่อภาวะการลงทุนสะดุดเจออุปสรรค์ ไม่เพียงเงินทองหด คุณสมบัติของชีวิตก็ถูกกระทบด้วย ทรัพย์สินสุดท้ายก็ว่างเปล่า

การลงทุนในภาวะที่ไม่แน่นอนนั้น นักศิลปินจะต้องดำเนินการจัดทรัพย์สินอย่างดี เพื่อจะให้เงินทองเรานั้นใช้ได้คล่องมือ และยังได้รับความเชื่อมั่นตลอดไป และยังคุ้มครองไม่ให้ค่าเงินตก การรักษาคุณสมบัติที่ดีของชีวิตนั้น จะแสดงให้เห็นถึงส่งต่อของทรัพย์สิน

เห็นได้ชัดว่า ชีวิตที่ตกต่ำเมื่อสิบปีที่แล้ว จนวันนี้ยังทำให้ซูโหย่วเผิงผวาใจอยู่ ภาวนาว่าต่อแต่นี้ไปการงานชีวิตของซูโหย่วเผิงนั้นจะไม่ตกต่ำอีกต่อไป แต่ชีวิตที่ค่อยๆยิ่งกว่านั้นคือมรสุมชีวิตที่หนักของศิลปิน การเตรียมการก่อนล่วงหน้ายิ่งดีเท่าไรก็จะทำให้เรายิ่งปลอดภัยเท่านั้น

ถ้าหากคิดถึงเพียงแค่ด้านการรักษา พักผ่อนยามชรา ดารากับนักธุรกิจนั้นมีรายได้สูงเหมือนกัน ธรรมดาแล้วไม่จำเป็นต้องซื้อประกัน พวกเขาไม่เคยขัดสนเรื่องเงิน แต่ว่า พวกเราต้องการการวิธีการวางแผนและบริหารทรัพย์สมบัติ

มีนักธุรกิจที่ก่อร่างสร้างตัวจากมือเปล่า มีปัญญาที่สามารถจะทำให้ธุรกิจของตัวเองดี แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงในการเขาไปพัวพันเงินกู้หมุนของธนาคารที่ต้องตกในสภาพลำบากยากแค้น ในสภานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชั่วพริบตาหากมีอะไรเปลี่ยนแปลงนั้น ยากจะรับประกันถึงความเป็นอยู่ของครอบครัวทั้งเด็กเล็กผู้ใหญ่ที่ชรา

เหตุนี้เอง เอาเงินก้อนหนึ่งมาทำประกันเพื่อความปลอดภัย ให้แยกทรัพย์สินของทางบ้านทางบริษัทให้ชัดเจน สามารถรับประกันถึงความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเองและครอบครัว เพราะหารบริษัทไหนที่ล้มละลายหรือธนาคารไหนที่ถูดอายัดบัญชีแล้ว ทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้เหล่านั้นก็จะไม่ปลอดภัย ในอนาคตที่วิตที่ยากแก่การคาดนั้น มีเพียงแต่ประกันที่สามารถให้ความปลอดภัยกับพวกเขาและครอบครัว

สำหรับโหย่วเผิงแล้ว การวางแผนทรัพย์สินอย่างนี้นั้นมันจำเป็นเหมือนกับนักธุรกิจทั่วไป ซื้อประกันสะสมเงินยามชรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เขาสามารถควักเงินที่ไม่ด่วนใช้สักก้อนหนึ่ง ซื้อชำระประกันระยะสั้น จุดประสงค์หลักไม่ใช่ว่าต้องการได้เงินประกันที่สูง แต่เผื่อไว้สำหรับอนาคตยามที่ธุรกิจเผชิญกับมรสุมที่หนักและช่วงตกต่ำของชีวิต หรือว่าในเวลาที่ชรา ก็อาจต้องเจอกับมรสุมชีวิตอย่างวัยหนุ่นนั้น เงินสดที่มีหมด เวลานี้ ประโยชน์ของเงินประกันยามชราก็จะเห็นว่าเป็นประโยชน์ ใบประกันนี้สามารถให้ผู้จ่ายประกันเบิกค่าใช้จ่ายได้ปีละก้อน รับประกันได้ว่าชีวิตตอนนี้ยังไม่เจอมรสุมเรื่องเงินง่ายๆ


360
Magazine Interviews-China / 2008 ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:03:11 PM »
http://ent.xinmin.cn/star/2008/07/31/1270281.html



ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นขวัญใจที่ดี ตั้งใจว่าจะเกษียณตอนอายุสี่สิบ

(หวนจู)ปีที่สิบ เข้าสู่วงการยี่สิบปี สำหรับอายุเกินสามสิบอย่างซูโหย่วเผิง ปีนี้สั่งจอวันต่างๆล่วงหน้ามากมาย ถ้าจะพูดเรื่องการมีชื่อเสียงนั้นจะถือว่าเร็ว สิบห้าปีก็ดังทั่วเอเซียก็นับว่าเป็นชีวิตที่เร็ว เขาที่พึ่งอัดเพลงโอลิมปิกเสร็จไปหมาดๆ เห็นได้ชัดว่ายังครุ่นคิดอยู่ในบรรยากาศของทำนองเพลงอยู่ เสียงดนตรียังให้เขาเร่าร้อนเดือดพล่านเหมือนเดิม ตื่นเต้นจะหาที่เปรียบไม่ได้ ภาษาทั้งรวดเร็วจนขีดสุด ได้ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาอย่างนับไม่ถ้วน เขาคุ้นเคยและชินกับชีวิตที่ “แบบลูกศรธนู” และยังบอกถึงอารมณ์ที่หนักแน่นของตัวเอง ได้หวนคิดถึงสมัยเด็กที่ได้แต่ใช้อารมณ์อย่างเด็ก เขาก็ยังสามารถหัวเราะเบิกบานได้ ไม่ว่าคุณจะยอมเชื่อหรือไม่เชื่อ ในตอนนั้นได้แอบย้อมผมของตัวเองเป็นสี่เขียวอย่างเสี่ยวไกว “ผู้กบฏ” ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นที่ไว้คราวอย่างขวัญใจที่มีคุณสมบัติ

เกี่ยวกับ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ในห้องเรียนกับงานคอนเสิร์ตนั้น “คีกัน”บ่อยๆ

พูดถึงสภาพขณะเข้าวงการนั้น  โหย่วเผิงนั้นอดที่จะขำไม่ได้ที่ขำออกมาสองสามครั้ง หลังจากนั้นค่อยพูดต่อ “ตอนเข้าวงการนั้นก็สนุก เพราะก่อนหน้านั้นผมได้แต่รู้จักเพียงเรียนหนังสือเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจบ ม.ต้น แล้วได้เป็นดาราเลย”

   หลายคนอาจไม่รู้จัก คุณพ่อของโหย่วเผิงนั้นหล่อมาก หล่อจนขณะที่เดินบนถนนยังมีแมวมองมาขุดค้นเขา แต่ความคิดพ่อของโหย่วเผิงนั้นแบบหัวโบราณ คิดว่าผู้ชายไม่ควรเอาโฉมหน้ามาทำมาหากิน แน่นอนก็ไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองไปเกี่ยวข้องกับงานอาชีพอย่างนี้ ฉะนั้น ตอนนั้นที่จริงซูโหย่วเผิงกับคุณแม่นั้นได้ปิดบังเรื่องนี้กับพ่อ เข้าร่วม “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ตอนคัดเลือก


   “ผมในตอนนั้นการเรียนก็ไม่เลวนะ ความคิดแบบหัวโบราณอย่างพ่อแม่ก็อยากให้ลูกได้ดี คุณจะต้องตั้งใจเรียน ตอนหลังเป็นคุณแม่ที่เห็นด้วย ท่านก็รู้สึกว่าลูกก็โตแล้ว ก็น่าจะไปเพิ่มเติมความรู้ ฝึกฝนตัวเอง เพียงแต่ในตอนนั้นท่านได้ทำสัญญากับผมไว้ คือ อย่าให้มันมากระทบต่อการเรียน ฉันก็จะอณุญาตให้เธอไปร่วมกิจกรรมนี้ จะช่วยคุณปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อรู้ จนมาถึงวันหนึ่ง รายการนั้นได้ออกบนทีวี สุดท้ายเห็นกันทั้งบ้าน ถูกเปิดโปงหมด ฮาๆๆๆ

   ในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงเพียงแต่คิดว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย”เป็นเพียงทำเพื่อเป็นการงานอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีความคิดแบบเป็นงานทำการค้า บริหาร เพื่อจะไม่ให้มันกระทบต่อการเรียน ยังได้ตกลงกับทางบริษัทว่าขณะเรียนจะไม่ขอลาหยุดการเรียน  “ฉะนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ล้วนเป็นหนึ่งปีออกอัลบั้มสองชุด คือปิดเทอมหนึ่งและเทอมสองเทอมละอัลบั้ม” แต่การทำงานจะไม่ให้กระทบต่อการเรียนได้อย่างไร เหมือนตอนนั้นที่ถ่าย (หยิวเสี่ยวอ๋อ) แต่มันกลับถ่ายทำตลอดช่วงปิดเทอมหนึ่งก็ยังถ่ายทำไม่เสร็จ ทำอย่างไรดี ก็จำต้องสละเวลาช่วงเปิดเทอมใหม่ๆไปถ่ายทำต่ออย่างจริงจัง

   สมัยนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้ตระเวนออกคอนเสิร์ตไปทั่วไต้หวัน และยิ่งทำเอาหนุ่มน้อยที่ยังเรียนหนังสืออยู่นั้นเหนื่อยสุดๆ ทุกวันเสาร์คาบที่สี่ช่วงเที่ยงยังไม่ทันเรียนเสร็จ พนักงานของทางบริษัทก็ได้มารอโหย่วเผิงที่หน้าโรงเรียนเพื่อเตรียมส่งขึ้นเครื่อง ตอนบ่ายวันนั้นยังมีคอนเสิร์ตอีกรอบ ต่อจากนั้นรีบขับรถวนไต้หวันแล้วไปอีกสถานที่หนึ่ง เช้าวันอาทิตย์ต้องเริ่มงานคอนเสิร์ทที่สอง ตอนบ่ายรอบที่สาม จนถึงเที่ยงคือถึงจะได้กลับบ้าน ฉะนั้น หลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์ อดหลับอดนอนอย่างเสี่ยวไกว (ไกวแปลว่าเชื่อฟัง) ไม่ไกวเลยที่ขณะเรียนนั่งหลับอยู่บ่อยๆ


   “ตอนนั้นอยู่ในโรงเรียนก็ยังรู้สึกว่าโดดเดี่ยวจริงๆ งานกิจกรรมกลุ่มของเพื่อนนักเรียนนั้นผมไม่ได้เข้าร่วมเลย อยู่ในโรงเรียนก็ได้แต่ง่วงนอนตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ หลังจากนั้นวันเสาร์ก็ถูกรับไปออกคอนเสิร์ต ฮ่าๆๆ” เมื่อถึงปีที่สาม เขาสุดจะทนแล้วได้บอกกับทางบริษัทว่า “ไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะสอบไม่ผ่านแน่ๆ รูปแบบอย่างนี้จะถูกทำลายเร็วๆนี้” มีการพูดและขอสิทธิของเขา จึงจะมีการหยุดหนึ่งปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยและ(วันเวลาในความเห็นของผม)เล่มนั้นของหลังจากนั้น

   เกี่ยวกับการเรียน  ม.สี่ ม.ห้า หลังผ่านไป
   ตอนสอบเข้ามหาลัย ได้รับกำลังใจจากทางบริษัทและเพื่อนอีกสองคน และยิ่งถูกเพ่งมองจากสังคม ทุกคนล้วนเข้าใจความรู้สึกผม ผมก็ไม่มีอะไรจะอ้างอี จำเป็นต้องเอาผลสอบออกเปิดเผย ฉะนั้นมีความกดดันมาก  ความกดดันที่หนักขนาดนี้ขณะที่ได้ปล่อยให้เด็กคนนี้แบก นิสัยอย่างเด็ก ก็ออกมาพร้อมกับความกดดัน

   ช่วงม.สี่ ม.ห้า ผลการเรียนของซูโหย่วเผิงนั้นไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน  ยังถูกทางบริษัทยกเอาชื่อมาบอกว่า เป็นขวัญใจที่ยอดเยี่ยม ทั้งเรียนดีทั้งทำงานเก่ง

   ปิดซัมเมอร์ตอนม.ห้า เสี่ยวหู่ตุ้ยปีก่อนได้ชะงักอัลบั้มชุดสุดท้าย(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) ที่จริงปิดเทอมของปีนั้น โหย่วเผิงได้เข้าเรียนพิเศษที่เฮ่าอยู่อินไห่  “รวมทั้งติวพิเศษของ ม.สี่ ม.ห้า ยังมีรายวิชาเรียนใหม่ ยังมีฟิสิกส์ เคมี ...วิชามากมายที่ก่อนหน้านี้ผมเรียนไม่ทัน “เพื่อนนักเรียนข้างๆก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ในการขึ้นชั้นของผม นอกจากการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว อีกด้านหนึ่งทางบริษัทก็จ่องหวังให้ผมทำอัลบั้มให้เสร็จโดยดี “ ตอนนั้นผมก็คิดว่า ตายจริง ทุกคนช่วงชิงเวลาทุกวินาที แต่การสอบม.ปลาย แม่จ๋า ท่านว่าตกวิชาเดียวจะตกขนาดไหน ยิ่งกว่านั้น ม.สี่ ม.ห้าผมตามไม่ทันหมดเลย ฉะนั้นอารมณ์ของผมหนักหน่วงมาก

   ตอนนั้น ทุกคืนกว่าจะเลิกเรียนพิเศษก็ สามทุ่มแล้ว ซูโหย่วเผิงที่ได้อยู่ท่ามกลางของผู้คนได้สวมแว่นที่หนาอย่างในละครที่คุณหมอที่ได้สวมแว่นอย่างนั้น ทรงผมที่ตั้งอย่างรุงรัง ก็ไม่ต่างอะไรกับนักเรียนคนอื่น แต่เมื่อเหนื่อยจากการเรียนทั้งวันแล้ว ออกจากห้องเรียนปุ๊บ อู่ฉีหลงกับพนักงานของทางบริษัทก็ได้รอเขาที่ถนนไปเรียนพิเศษเพื่อไปซ้อมคอนเสิร์ต “ในตอนนั้นผมใจผมไม่ยินยอม ผมก็คิดว่าพวกคุณมาเป็นศัตรูกับผมชัดๆเลย ไม่ใช่บังคับผมหรือ สอบไม่ผ่านแล้วทุกคนก็จะเสียหน้าไม่ใช่หรือ ...ตอนนั้นใจหนึ่งผมอยากเรียน แต่ก็ถูกพวกเขาลากไปอย่างไม่เต็มใจ” หม่าเหลยเหมิงอาจารย์ไต้หวันที่มีชื่อเสียงการจัดเรียง มีนามว่าเสี่ยหม่า ตอนนั้นพอดีท่านได้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดเรียงของอัลบั้ม(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) มีสีหน้าที่ไม่ดีขณะซ้อมอย่างซูโหย่วเผิง ก็เคยโดนเสี่ยหม่าด่าว่ายังจัง


   “สองสามวันก่อนผมได้เจออี้เนิงจิงในงานหนึ่ง เธอบอกว่ายังจำได้เมื่อก่อนได้เจอผมในงานหนึ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา น่าสงสารจริงๆ ทุกคนก็วิ่งมาถามผมว่าเป็นอะไร ผมก็ตอบว่าทางบริษัทไม่ให้ผมได้นอนเลย ฮาๆๆๆ เรื่องนี้ผมลืมไปหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ....

   เรื่องความรัก พวกเราได้อยู่อย่างแสนลำบาก

   วงการบันเทิงนั้นเป็นวงการหนึ่งที่ทำให้คนอารมณ์หุนหันพลันแล่น บ้างคนดังในช่วงพริบตา ก็มีบางคนชั่วคืนเดียวตกต่ำเหมือนอย่างดาวตก อิทธิพลของสื่อนั้นใหญ่มาก ถูกจ่องมองเกินไปก็ทำให้เกิดความกดดันมากเหมือนกัน

   ผมได้มีความสัมพันธ์กับสื่อนั้น ตัวเองก็มีเบื้องหลังเหมือนกัน พื้นนักข่าวของสื่อ ในตอนนั้นก็นับว่าอยู่ในระดับคุณแม่อย่างนั้น ก็ถามผมว่าความสัมพันธ์ของครั้งที่แล้วเมื่อใด? ถามอย่างนี้กันเลย แล้วผมก็รู้สึกว่า อื่ม? คุณถามเกินไปหรือเปล่า? สื่อมากมายในสมัยนี้ยิ่งของทางใต้หวันทุกคนล้วนแต่พูดเรื่องพวกนี้ สำหรับวัยรุ่นแล้วมันกระทบกระเทือนกันนะ ผมรู้สึกว่าศิลปินก็น่าจะมีคุณสมบัติดีบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าถามอย่างนี้ไม่ถูกหรืออย่างไร แต่ศิลปินบางคนก็ไม่แฟร์ ขณะที่ “หลิวย่ออิง” พูดเรื่องเหล่านี้กับคุณทุกวัน คุณก็รู้สึกว่า “หลิวย่ออิง” ดับสูญไปแล้ว(ความหวังหรือความฝัน) ผมได้คิดแทบล้มประดาตายกับตัวเองอย่างนั้น แต่เอาเบื้องหลังคุณมาเชื่อมพันกันก็จะกลายเป็นเชือกเส้นหนึ่ง นั่นก็คือภาพพจน์ของคุณ

   ตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าสู่วงการความตื่นเต้นที่เผชิญกับสื่อ ถึงตอนนี้ก็อยากกล่าวตรงๆว่าตัวเองก็มีอารมณ์ที่หนักแน่นขึ้น นอกจากความกล้า คิดว่าจำยิ่งต้องมีจิตใจที่เข็มเข็งเป็นผู้ใหญ่ “ผมรู้สึกว่าเรื่องความรักบางครั้งไม่ใช่จะคิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เราอาจชินกับการมีชีวิตอยู่ภายใต้ความกดดัน แต่ว่าสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมันไม่ยุติธรรม เรื่องอย่างนี้มีทั้งคนอวยพรและคนติเตียนว่ากล่าว แต่นั้นได้ใช่ว่าผู้ที่ถูกว่าแล้วนั้นจะทำเหมือนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ทุกคน มันมีความกดดันมากมายเหมือนกัน

   มีแฟนเป็นดารา การจับมือจูงแขนอย่างชาวบ้านเดินในตลาดก็ถูกคนรอบข้างมองว่าเกินไป ซูโหย่วเผิงยิ้มแล้วพูดเล่นว่า “ ใช่ พวกเราต้องอยู่อย่างลำบากมาก ฮ่าๆๆๆ..”

   บัดนี้ สำหรับซูโหย่วผิงแล้ว อาชีพนักแสดงดูเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นเหมือนภารกิจ “ตอนนี้สำหรับตำแหน่งที่สูงกว่าและความสำเร็จที่สูงกว่าผมรู้สึกเฉยๆ จะไม่เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นหนึ่งเดียวในเป้าหมายของชีวิต มีได้ใส่ใจกับการดำรงชีวิต ทั้งของตัวเองและคนที่ผมสามารถมีอิทธิพลชีวิตของเขา ในระดับหนึ่งๆ สำหรับผู้ที่สนับสนุนผมนั้น ผมได้ยืนหยัดมายี่สิบปีก็อาจเป็นแรงผลัดดันเป้าหมายของเขา  ท่าทีและทัศนคติของผม ที่จริงทุกคนอาจได้รับผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อทุกคนบ้าง

   เขากล่าวว่า ส่วนตัวจะเกษียณงาน(ลา)อย่างช้าก็อายุประมาณสี่สิบ “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทำไปก็พอสมควร หลังเวลานั้นแล้วจะไปทำงานเกี่ยวกับการกุศล สิ่งนี้น่าจะมีชีวิตที่สบายๆกว่า (ไม่เครียด) ไม่อยากวันๆอยู่แต่ใต้แสงสีเสียง อยู่ใต้สภาพชีวิตที่มีความเครียดและหาแต่ลาบยศมากเกินไป เพราะว่าผมไม่ได้จะคิดอะไรมากมายอย่างนั้น


   “แฟนหนังของโหย่วเผิง”  ฝูลี่

(ไคว้เล่อ8) :บรรดาแฟนๆกำลังจัดฉลองกิจกรรมปีที่ยี่สิบแห่งการเข้าวงการ คุณรู้หรือเปล่า

โหย่วเผิง :เข้าวงการปีที่ยี่สิบ พวกเราน่าจะจัดกิจกรรมนี้ในครึ่งปีหลัง แต่ก็คงไม่ได้จัดให้ตรงกับวันที่เข้ามาของปีที่ยี่สิบ วันที่ 27 เดือน 7 ผมยังยุ่งอยู่กับงานอยู่เลย วันนั้นไม่มีเวลาไปจัดฉลองจริงๆ

(ไคว้เล่อ8):ถ้าหากมีโอกาสเป็นไปได้ คุณมีเรื่องอะไรไหมที่อยากปฎิบัติให้เป็นจริงในวันนั้น?

โหย่วเผิง:ในหกเดือนหลังของปีนี้มีกิจกรรมที่ร่วมกับสื่อและเส้นหมี่(ไม่รู้หมายถึงอะไรอีก..555+) เพราะจะต้องรีบถ่ายหนังอีกเรื่องหนึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ต้องรอให้ถ่ายหนังเรื่องนั้นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปทำกิจกรรมอย่างอื่น

 (ไคว้เล่อ8) :ปีนี้เป็นปีที่สิบของ “หวนจู”  คุณรู้สึกละครไหหลำ มีอิทธิพลต่อคุณมากน้อยขนาดไหน?

โหย่วเผิง :เธอได้ให้โอกาสใหม่แก่ผม ได้เปิดประตูที่ใหม่ ที่จริงเริ่มแรกที่ถ่ายทำ พูดตรงๆ ผมเพียงแต่อยากจะฉวยผลงานของการแสดงเพื่อคืนสู่การร้องเพลง แต่มาจนถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่าความคิดบ้างอย่างผมเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบดนตรีแล้ว แต่สำหรับอนาคตของผมแล้ว การแสดงหนังน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นงานหลักของผม

(ไคว้เล่อ8) :ต่อไปยังจะถ่ายหนังไหหลำ(ไม่แน่ใจคำนี้ค่ะ) อีกไหม?

โหย่วเผิง :ไม่รู้สิ เธอยังเล่นอีกหรือเปล่า? ฮาๆๆๆๆ (หวนจู)

(ไคว้เล่อ8) :เคยคิดไหมว่าสิบปีที่แล้วที่เคยแสดงเป็นเสี่ยวเซิงในหนังไหหลำ (เซี่ยวเซิงเป็นพระเอก) หลังจากนั้นยี่สิบปีสามสิบปีจะมาแสดงเป็นพ่อในหนังไหหลำ

โหย่วเผิง :ไม่หรอก ผมคิดว่าผมไม่หรอก อย่างเอาผมไปคิดจนแก่อย่างนั้น

(ไคว้เล่อ8) :โหย่วเผิง ภาษาอังกฤษคุณไม่เพียงแต่คล่องจนผู้กำกับ “ห่าวไฉ้อู้” ชมคุณ ภาษาออสเตเรีย ก็ยังเก่งอีกด้วย เรียนมายังไงจากไหนหรือ?

โหย่วเผิง :ก็ยังโอเค สำหรับภาษาอังกฤษเพราะแต่เด็กผมก็ชอบฟังเพลงอังกฤษอยู่แล้ว จากนั้นก็ได้ไปเรียนที่อังกฤษหนึ่งปี แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพของภาษาอย่างนั้นแล้ว บางอย่างก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน ภาษาออสเตเรียนั้นเมื่อก่อนนั้นที่ถ่ายหนังบ่อยครั้งมีช่างภาพ ผู้กำกับ และรวมทั้งผู้จัดการคนก่อนของผมพวกเขาเป็นคนฮ่องกง ได้อยู่กันคุยกันบ่อยๆฉะนั้นก็เลยรู้ดี

(ไคว้เล่อ8) :สามารถเอาหนังพากษ์จีนที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้นมาเรียกน้ำย่อยหน่อยได้ไหม?

โหย่วเผิง :เดือนสิงหาคม ก็จะไปถ่ายหนังเป็นเวลายาวเลย จะเป็นเกี่ยวกับหนังประเภทความรักแบบสั้นๆ ศิลปินดาราที่จะร่วมแสดงตอนนี้ยังไม่แน่นอน ถ้าได้ข่าวมาจะบอกให้กับพวกคุณเป็นคนแรกเลย

(ไคว้เล่อ8) :ช่วงนี้ได้เตรียมตัวอย่างไรบ้าง (เหยินหยีตี้กว๋อ) อณาจักรเงื่อก , คนปลา

โหย่วเผิง :ด้านหนึ่งอยากให้คล่องภาษาอังกฤษกว่านี้หน่อย เพราะว่าหนังเรื่องนี้ทำแบบอินเตอร์ ผมคิดว่าผมยังจะต้องรับผิดชอบต่อคนจีนทั้งโลก ฮ่าๆๆๆ (ภาษาไม่ดีเสียหน้าชาวจีน) ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นแบบผู้กล้า แต่เกิดมาเป็นนักรบเงือกคนหนึ่ง แน่นอนจะใส่เสื้อผ้าลงน้ำไม่ได้ ฉะนั้นด้านร่างกายก็จะต้องมีการฟิตให้ดูดีบ้าง (คุณยังไม่พอใจกับรูปร่างอย่างนี้ของคุณอีกหรือ?) ผอมไปหน่อย ผมยังคิดว่า มันน่าจะดูดีกว่านี้ได้ 


หน้า: 1 ... 16 17 [18] 19 20 21