แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Chomnath

หน้า: [1] 2 3 ... 38
1
 กำเนิด ไกวไกวหู่ 

     ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ด.ช.ซูโหย่วเผิง ในชั้นประถมปลาย เขาได้รู้ใจตัวเอง และมีความฝัน คงไม่ต้องบอก ว่าความดื้อรั้นของเค้า ไม่ได้เพิ่งบังเกิดตอนโต ดังนั้น ในใจของเด็กชายผู้นี้ ฝันใฝ่อย่างยิ่ง ที่จะเป็น “ศิลปินดาราที่มีชื่อเสียง”

     จะบอกว่ายังไงดีละ เพราะว่ามันสมองของเค้านั้น บรรจุไอคิวไว้เกินหน้าเกินตาเพื่อนวัยเดียวกัน ผลการเรียนโดดเด่น ตรงข้ามกับการมีเพื่อน กับน้อยลงทุกที เพราะการยึดความสมบูรณ์แบบ ที่ตัวเค้าเป็นได้ แต่เพื่อนเค้า น้อยคนนักที่ได้เป็น ทำให้คุณแม่ที่แสนภูมิใจกับลูกชายคนโต ที่หล่อเหลาขึ้นทุกวัน และเรียนเก่งขึ้นทุกที แต่กลับช่างพูดช่างคุยน้อยลง ลึกๆแล้วผู้เป็นแม่ก้อยังกังวล

     ณ สถานีหวาซื่อ กรุงไทเป ไต้หวัน ทางสถานีปรึกษา “บริษัทไคอี้ช่วงสี่จูเหอ”รับไปคัดสรร ผู้ช่วยรายการชายอีก 3 คน มาสลับกับกลุ่มที่มีแล้ว คือ “เสี่ยวเมาตุ้ย” หญิงสาว 3 คน (วงแมวน้อย) ให้รายการ“ชิงชุนต้าตุ้ยคั่น” มีความสมดุล มีการประกาศรับสมัครอย่างเป็นทางการ เป็นที่สนใจของชายหนุ่มทั่วไต้หวัน

     ข่าวนี้เป็นที่สนใจอย่างยิ่ง ของ ด.ช.ซูโหย่วเผิง ในวัย 15 ย่าง 16 เมื่อโอกาสมาถึง และความฝันก้อยังอยู่ ก้ออยากลองดู ลองทำดู โดยมีคุณแม่ให้การสนับสนุนและกำลังใจ ในใจคุณแม่นั้นเพียงอยากให้ลูกกลับมาร่าเริง และลดความเคร่งเครียดกับการเรียนลงบ้าง สำหรับคุณพ่อแล้ว นี่คือความลับสุดยอด

     ทั้งการส่งใบสมัคร ทั้งการได้รับการคัดเลือกรอบที่ 2 รอบที่ 3 ซูโหย่วเผิงไปกับเพี่อนสนิทคนหนึ่ง ทำเรื่องเอง ให้น้าๆอาๆ มาช่วยดูเค้าซ้อมเต้น และก้อไปแข่ง จนได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ของวง “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เสี่ยวหู่ = เสือน้อย ตุ้ย = วง หรือ กลุ่ม

     เป็นการประสบความสำเร็จที่ซูโหย่วเผิงเองก้อคาดไม่ถึง เพราะเค้าเป็นผู้สมัครที่อายุน้อยที่สุด แต่ก้อนะแหละ ไม่ว่าจะเป็นสายตาแหลมคมของคณะกรรมการ “บริษัทไคอี้ฯ” หรือโชควาสนา นับแต่ตอนนั้น

     นับแต่เดือนธันวาคม ปี 1988 (พ.ศ. 2531) ครั้งแรกที่ “ซูโหย่วเผิง” ได้ออกอากาศทางทีวี กับเพื่อนอีก 2 เสือ ในนาม “เสี่ยวหู่ตุ้ย” จนปัจจุบัน ที่ “ซูโหย่วเผิง” เป็น “ศิลปินนักแสดงนักร้อง” ซูโหย่วเผิง ก้อไม่เคยออกห่างจากสปอต์ไลท์ที่ส่องหน้าเค้า และชาวจีนทุกครัวเรือนก้อล้วนเห็นเค้าที่สื่อทุกสื่ออยู่ตลอดมา

     สิ่งที่เกินความคาดหวังไปกว่านั้นคือ เสียงตอบรับที่กึกก้องต่อเนื่องมาหลายปี และมีแต่จะดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้น คือเสียงจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่ จากวันนั้นถึงวันนี้ “ซูโหย่วเผิง” ได้เป็น “ศิลปินที่มีชือเสียง” ดั่งที่เขาได้ใฝ่ฝันไว้

ขอบคุณ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”
ขอบคุณ “ไกวไกวหู่”
ขอบคุณ “ซูโหย่วเผิง”


2
เป็นแบบนี้ ก็ยังเจิดจ้าต่อไป...

หนังที่ดีก็คือเป็นความหวังที่งดงามผันตัวเป็นผู้กำกับอีกครั้ง

ตัวเขายืนหยัดตั้งแต่ต้นจนจบที่จะทำความดี

เขากล่าวว่า “ความดีต้องลงมือทำไม่ใช่เอาแต่พูด”

เขาเชื่อมั่นว่า “การให้มีความสุขมากกว่าการรับ”

เขายังให้พวกเราจำไว้ว่า “มีจิตใจดี ทำเรื่องที่ดี พูดสิ่งที่ดี เป็นคนดี”

หนทางการทำความดี เขานำพาเพื่อนที่หลงทางเดินทางไปอย่างเรียบง่ายตลอดทาง

เขาอยากให้พวกเราจดจำแสงไฟบนเวทีของวงไกวไกวหู่ องค์ชายห้า จางอู๋จี้ ไป๋เส้าเหนียน มีชีวิตชีวา มีอิสระ เสมือนจริง เสมือนคนจริงๆ จากนั้นเขาก็ให้เราค่อยๆลืม เพราะว่าสุดท้ายก็เหลือไว้เพียงชื่อของเขา “ซูโหย่วเผิง”

เขาในปัจจุบัน หลุดพ้นจากภาพที่เป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและเด็ดเดี่ยว รอยยิ้มเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ วาจาก็เต็มไปด้วยความนุ่มนวลและมีประสบการณ์

เยาวชนที่กล้ามีความใฝ่ผันคนนี้ ผู้ใจบุญที่มีจิตใจดีงามมาแต่แรก ในเวลานี้เขาเป็นนักท่องเที่ยวที่ร่าเริง เป็นศิลปินที่มีความสมบูรณ์แบบ เมื่ออ่านเรื่องราวของเขา พวกเราก็จะรู้สึกหรืออาจมีคุณลักษณะนั้นเหมือนซูโหย่วเผิง เป็นซุปเปอร์สตาร์คนหนึ่งที่คุณสนใจติดตาม เป็นศิลปปินคนหนึ่งที่สามารถนำกระแส!

ตั้งแต่แสดงจบเรื่ององค์หญิงกำมะลอแล้ว โหย่วเผิงก็ได้เข้าสู่การเป็นพระเอกหนุ่มที่โด่งดัง กี่ปีที่ผ่านมา หนังใหม่ๆที่มาต่อเนื่องในเวลาเดียวกันค่าตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โหย่วเผิงถูกขนานนามว่า “การแสดงต้องแสดงได้ทุกบท, แสดงตัวละครอะไรก็ต้องเหมือนตัวละครนั้น; การร้องเพลง สามารถสะท้อนตัวตนที่แท้จริง สามารถนำความคิดเห็นและอารมณ์ของตนเอง ร้องเป็นเพลงให้ทุกคนได้ฟัง

ปีที่โหย่วเผิงเข้าสู่วงการและยืนหยัดได้นั้น จิตใจก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เขากล่าวว่าในชาตินี้ “ไร้ซึ่งความอยากคือความแข็งแกร่ง” ทุกสิ่งตามล้วนอาศัยวาสนา อาจจะกี่ปีนี้การงานของเขาล้วนราบรื่นไปหมด เพลงก็ดัง ละครก็ดัง เขาหัวเราะพูดว่า “ถ้าหากพรุ่งนี้ออกจากวงการก็ไม่เสียดาย”

พูดถึงการเป็นนักแสดง ซูโหย่วเผิงเคยพึ่งการแสดงจากเรื่องเฟิงเซิงคว้ารางวัลประเภทหนังทั่วไปครั้งที่ 30 นักแสดงตัวประกอบชายดีเด่นในงานไป๋ฮวา เขาพูดว่านักแสดงเป็นผู้ถูกกระทำ เพราะต้องทำตามบท ผู้กำกับ บทหนังอื่นๆมากมายตามเงือนไขผูกมัด เมื่อได้เจอกับบทที่ดีและผู้กำกับที่ดีก็เป็นเรื่องที่โชคดีที่หาไม่ได้แล้ว สามารถที่จะพบกับคณะที่ดียิ่งเป็นเรื่องที่สุขใจอย่างมาก

ไป๋เส้าเหนียนก็คือซูโหย่วเผิงเป็นบทที่ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียง เขาหวังว่าในสองปีนี้จะทุ่มเทอยู่ในภาพยนตร์ เพื่อการนี้ เขาคัดเลือกบทแสดงอย่างเข้มงวด เขาปฏิเสธคำเชิญอย่างเด็ดเดี่ยวที่เป็นตัวแสดงแทนแทนคนอื่น ไม่อยากรับบทแสดงที่คล้ายกัน เพราะสำหรับซูโหย่วเผิงที่น่าเบื่อที่สุดคือ บทที่ซ้ำซากจำเจ บทท้าทายพลิกผันถึงจะเป็นบทที่ต้องการ

เขาพูดว่า “คนไม่สามารถอายุ 18 ปีตลอดไป ทุกๆช่วงอายุก็ควรทำเรื่องที่เหมาะสมในแต่ละวัย”

ดังนั้นหลังจากที่จ้าวเหว่ยแสดงเป็นเสี่ยวเอี้ยนจื่อ ซูโหย่วเผิงที่รับบทองค์ชายห้าก็ต้องเป็นผู้กำกับหนัง เป็นผู้กำกับครั้งแรกในบทแบบใหม่ที่โด่งดัง เรื่องจั๋วเอ่อที่แก้บทประพันธ์ใหม่โดยเหยาเซวี่ยมั่น

วันที่ 30 เดือนกรกฎา 2014 นักประพันธ์ชื่อดังเหยาเซวี่ยมั่นประกาศในเว็บ Weibo ได้ยืนยันประกาศอย่างเป็นทางการเรียบเรียงเรื่องจั๋วเอ่อใหม่ ใกล้จะเปิดกล้อง เขาเชื่อมั่นซูโหย่วเผิงเป็นผู้กำกับ “ขอให้ดูแลเสี่ยวเอ่อตัวของฉันให้ดี” และหวังว่า “เมื่อฉันตัดสินใจให้เธอเป็นผู้กำกับในวันนั้น ฉันก็ได้เพิ่มบทเรียนในช่วงวัยรุ่นให้กับตนเอง ในช่วงเวลาสั้นๆ ฟังเพลงทั้งหมดของเธอ ชมภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เธอแสดงจนหมด ฉันพูดกับตัวเองทุกครั้งว่า ถูกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ฉันเชื่อว่าเธอจะไม่ทำให้ความหวังของแฟนหนังจั๋วเอ่อทุกคนผิดหวัง เชื่อว่าเธอจะทำเรื่องจั๋วเอ่อได้ดี เหมือนการดูแลที่ดีแต่เดิมพวกเราก็เสมือนสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน แต่ยังคงเหมือนดวงดาวที่ระยิบระยับในช่วงวัยรุ่น”

จากนั้นซูโหย่วเผิงก็ประกาศบนเว็บ Weibo ว่า “ขอบคุณทุกท่านและบริษัทกวางเสี้ยนที่ไว้วางใจ และขอให้ทุกท่านโปรดติดตามต่อไป”

จั๋วเอ่อ อธิบายตัวฉันซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ หูซ้ายรับฟังได้ไม่ดี หากพูดอยู่ข้างๆหูซ้ายก็จะไม่ได้ยิน ตัวฉันที่ชอบอยู่อย่างสันโดษไม่สะดุดตา มีวันหนึ่งได้พบรักกับหนุ่มคนหนึ่งนามซวี่อี้ แต่ในเวลาเดียวกันกลับถูกหญิงสาวผู้สวมกระโปรงสีเขียวนามปาลาชิงตัดหน้าไป ฉันที่อกหักก็บังเอิญกลายเป็นเพื่อนกับปาลา แล้วก็ได้รู้จักกับชายคนรักของปาลา จางหยาง หลังจากนั้นปาลาก็เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ฉันก็รักกับซวี่อี้ แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกรากัน...

ภาพยนตร์ จั๋วเอ่อได้เริ่มถ่ายทำก็ได้ดึงดูดความสนใจผู้ชม สู้ๆผู้กำกับซู~

3
โหย่วเผิง ก็เดินมาอย่างนี้ตลอดทาง
http://nn.mop.com/thread-56905-1-1.html

โหย่วเผิง ก็เดินมาอย่างนี้ตลอดทาง

เขาเป็นวัยหนุ่มที่ได้เต้น Green Apple Paradise
เขาเป็นเพื่อนบ้านชายที่ได้ตะโกนทั่วฟ้าว่า “ผมรักคุณ”

เขาเป็นขวัญใจของประชาชนทั้งสองประเทศ
เขาเป็นไกว ๆ หู่ ของเสี่ยวหู่ตุ้ย

เขาและเพื่อนผู้ซึ่งนำความหนุ่มสาวและความกระชุ่มกระชวยมา
ได้นำสัญลักษณ์พิเศษ “ความคิดที่ร้องเก่ง เรียนเก่งมา”
จากนี้ไปขวัญใจนักร้องจะไม่เป็นที่ขัดขวางของผู้ปกครองที่มีต่อลูกอีกต่อไป

ปีนั้นเขาอายุ 16
แสงไฟบนหน้ายิ่งส่องยิ่งสว่าง
ความทุกข์ในใจยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ
สุดท้ายลาจากการเรียน เดินทางไปคนเดียวเพื่อคลายความกดดัน

พริบตา ปี 1998 เขาได้กลายเป็น (องค์ชายห้า) ที่อ่อนโยน
เขาได้สลัดคราบนักร้อง และได้เกิดใหม่อีกครั้ง

ทั้งละครต่าง ๆ มีสักกี่คนที่จะแสดงได้ดีอย่างเขา
เขาประสบความสำเร็จ รักที่อ่อนโยน (องค์ชายห้า) หลายรักใน (เตียบ่อกี้) รักเดียวใน (ฮวยบ่อข่วย)
ทุกเรื่องที่เขาแสดงล้วนเป็นหนังยอดเยี่ยม
จากนี้ไปไม่ว่าเรื่องไหน ๆ ก็มักจะเห็นตัวเขา
แฟน ๆ กล่าวขานกันว่าเป็นยุคหนังของโหย่วเผิง

Old House Has Joy
Xiang Yue Qing Chun
Love at the Aegean Sea ซีรีย์สมัยใหม่
Amazing Cases
Warriors of the Yang Clan
My Bratty Princess ซีรีย์สมัยโบราณ
กับผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนไม่น้อย
เขาที่ชอบเปลี่ยนแปลงไปมา เลือกที่จะเดินสู่ภาพยนตร์

Re ai เป็นซีรีย์เรื่องล่าสุดของเขา
ได้ท้าทายฝีมือการแสดงคนบ้าของเขา
เป็นการแสดงผลที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ปี 2009 ได้เซอร์ไพรส์เรื่อง The Massage
ไป๋เสี่ยวเหนียน กับความสำเร็จอีกครั้งของเขาในงานภาพยนต์
การร้องละครเพลงงิ้วมาตรฐานดีมาก.......เขาสำเร็จแล้ว

ด้วยเหตุนี้ทำให้เขายิ่งมั่นใจในการเข้าสู่วงการภาพยนตร์
Shoa nian xing hai รับบทเป็นครูของลี่ซิงไห่เป็นนักรักดนตรีของชาติ
A singing faira รับเล่นเป็นหนุ่มที่กลับมาบ้านเกิดแล้วได้ร้องเพลงอิตาลี่เพลงพื้นบ้าน

ตรุษจีนปี 2010 เขาได้ปรากฏตัวต่อผู้คนด้วยบุคลิกใหม่ร่วมกับเพื่อนในอดีต
ได้ร่วมร้องเพลงเพื่อนหวนถึงอดีตที่ดี ๆ
ด้วยการแสดงของเขาที่ยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราร้องไห้อีกครั้ง

มิถุนายน 2010 ดอกไม้บานไปทั่วภาพยนตร์จีน ได้เชิญเขาร่วมงาน
การที่ได้รับเลือกนั้น เพราะจากฝีมือการแสดงในเรื่อง The Massage
เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับคำชมเป็นอย่างมาก

ภาพยนตร์ที่ดีนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางของเขาอีกครั้ง
การร่วมงานกุศลนั้นเป็นชีวิตจิตใจของเขา
เขากล่าว “การกุศลคือการทำไม่ดีแต่พูด”
เขาเชื่อว่า “การให้ดีกว่าการรับ” เขาให้เราจำไม่ลืม
“มีจิตใจที่ดี ทำในสิ่งที่ดี พูดในสิ่งที่ดี เป็นคนที่ดี”
เส้นทางงานกุศล เขาได้นำเหล่าแฟน ๆ ทำกันอย่างไม่หยุดหย่อน
เขาคือ “ซูโหย่วเผิง” เป็นศิลปินที่ควรค่าแก่คุณและฉันสนใจ
เป็นศิลปินที่ภาพลักษณ์ดีคนหนึ่ง.

4
Magazine Interviews-China / Re: ม.ค.-2014 Ming Zhou Entertainment เล่มที่ 186
« เมื่อ: มกราคม 16, 2014, 12:33:43 pm »
<a href="http://www.youtube.com/v/?v=O1EbMr4wPKc" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/?v=O1EbMr4wPKc</a>

5
Magazine Interviews-China / 2014 Ming Zhou Entertainment เล่มที่ 186
« เมื่อ: มกราคม 16, 2014, 12:14:39 pm »


【นิตยสาร】Mingbao Weekly เดือน มกราคม 2014 --- หลินอี้เฉิน เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ซูโหย่วเผิง ยังคงเป็นหนุ่มโสดสายธรรมะต่อไป

หลินอี้เฉิน และ ซูโหย่วเผิง เป็นการประกบคู่ที่น่าทึ่งเหมือนกัน เคมีของทั้งสองเข้ากันได้อย่างน่าตกใจ สาวสวยที่มาพร้อมความเก่งอย่างเธอ กับหนุ่มวัยกลางคนอารมณ์ขันและมั่นคงอย่างเขา ทั้งสองต่างประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในเรื่องของความรักกลับอยู่กันคนละฝั่ง หลินอี้เฉิน เจอคู่แท้ที่พร้อมฝากชีวิตแล้ว ใบหน้าของเธอเอ่อล้นไปด้วยความสุข ต่างกับ ซูโหย่วเผิง ที่ไม่มีโชคในเรื่องความรัก ยังคงเป็นหนุ่มโสดอยู่เหมือนเดิม ได้แต่ประชดตัวเองว่า แต่งไม่แต่งก็ได้ อย่างมากก็ไปบวชช่วยมนุษยชาติ

ในภาพยนตร์เรื่อง 《Sweet Alibis》นั้น ซูโหย่วเผิง รับบทเป็นตำรวจขี้ขลาด มากด้วยประสบการณ์ ส่วน หลินอี้เฉิน รับบทเป็นตำรวจหญิงอารมณ์ร้อน ทั้งสองได้ทำคดีร่วมกัน ในชีวิตจริง เธอก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน แค่ไม่ค่อยแสดงออกมาเท่านั้น “ฉันเป็นคนชอบตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เธอบอกว่าแม้แต่เรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษ ก็ไม่ได้ใช้เวลาคิดนานมาก  “ฉันถามตนเองว่า ถ้าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเสียดายเรื่องที่ไม่ได้ไปอังกฤษมั้ย กลับมาแล้วยังจะมีงานเข้ามามั้ย คิดแค่นี้ ก็ตัดสินใจเลยค่ะ อีกอย่างการไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นความฝันตั้งแต่ก่อนเข้าวงการอีกค่ะ”

ได้เรียนรู้มากมายจากการเรียนต่อที่อังกฤษ

หลินอี้เฉิน ไปเป็นนักเรียนอีกครั้งที่ลอนดอน ตอนนี้ก็ประมาณ 3 เดือนกว่าแล้วและเพิ่งผ่านเทอมแรกไป หลินอี้เฉิน ที่เลือกเรียนการแสดงนั้นบอกว่า เธอบอกว่าได้ความรู้เพิ่มมากมาย ซึ่งวิชาที่จำลองการออดิชั่น ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอเลยทีเดียว “พูดตามตรงเลยว่า ฉันไม่ค่อยมีประสบการณ์เรื่องออดิชั่นมากนัก ไม่ถึง 5 ครั้งด้วยซ้ำ เพราะว่าฉันเข้าวงการในช่วงที่ 《F4》กำลังดังพอดี ผู้กำกับส่วนมากนิยมหานางแบบหน้าใหม่ที่ไม่มีชื่อเสียงมาแสดง ทำให้ฉันได้รับบทนางเอกตั้งแต่ละครเรื่องแรก จากนั้นมาก็ได้แสดงเป็นตัวเอกตลอด บางครั้งก็ต้องแสดงทั้งที่ยังเตรียมตัวไม่เต็มทีเลย ระหว่างนั้นก็ค่อยไปเสริมและปรับเอา พอตอนนี้ได้เรียนในสิ่งที่นักแสดงควรต้องเรียนแล้ว รู้สึกสนุกเหมือนกันค่ะ ”

หลินอี้เฉิน บอกว่า หนังส่วนมากในอังกฤษมักจะเลือกนักแสดงที่ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงมาออดิชั่น เพราะว่าวิชาการออดิชั่นนั้นสำคัญมาก ทางโรงเรียนมักจะหาผู้กำกับออดิชั่นมืออาชีพมาคอยสอน “เราจะได้รับบทก่อนสัมภาษณ์ 1 ถึง 2 วัน ประมาณ 2 ถึง 4 หน้า จากนั้นเราค่อยไปเตรียมชุดและแต่งหน้าตามลักษณะบทที่ได้รับ ตอนแรกก็แสดงไปตามความคิดของเราก่อน 1 รอบ แล้วให้ผู้กำกับออดิชั่นชี้แนะ ดูว่าคุณแสดงตามวิธีที่เขาบอกได้หรือไม่ จากนั้นก็จะถามคำถามเกี่ยวกับตัวละคร ทุกวินาทีถือว่าเป็นการแข่งขัน เพราะฉะนั้นต้องรักษาเวลาให้ดีที่สุด จนกระทั่งถึงเวลาลงจากเวทีก็จะประมาทไม่ได้เลยค่ะ ”

คว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก Golden bell awards ไป 2 สมัย ฝีมือการแสดงของ หลินอี้เฉิน นั้นเป็นที่ยอมรับของทุกคน เธอชอบที่จะท่องบทให้คล่องก่อนแสดง จำได้แม้กระทั่งบทของคู่สนทนา และชอบโน๊ตจุดสำคัญไว้เต็มกระดาษ เธอกล่าวว่า “หลังจากที่ได้ไปเรียน ค้นพบว่าสามารถเขียนบทได้ละเอียดกว่านี้ พระเจ้า มีเรื่องให้เรียนรู้ไม่มีวันหมดเลยค่ะ” เธอพูดตามตรงว่า ปวดหัวกับเรื่องการบ้านเหมือนกัน ทั้งยังต้องใช้ภาษาอังกฤษในการพูดอ่านเขียน ยิ่งทำให้ยากเข้าไปอีก “แต่พอคิดถึงสิ่งที่ได้รับหลังจากความลำบาก หลังจากส่งการบ้านแล้ว ก็รู้สึกอิ่มเอมเหมือนกันค่ะ อีกอย่าง ความรู้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาง่ายๆอยู่แล้ว” แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นราชินีนักแสดงได้นะคะ เพราะนอกจากพรสวรรคแล้ว ยังต้องรู้จักทำให้มันดีและดีกว่าด้วยค่ะ

หวังเป็นนักแสดงไร้จุดบกพร่อง

“จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้ชมอาจจะรู้สึกว่าหนังที่ฉันแสดงน่าสนใจดี ก็เลยดูกัน แต่หลังจากที่ได้มาเรียน ฉันหวังว่าการแสดงของฉันไม่เพียงน่าสนใจเท่านั้น แต่ว่าไม่มีจุดบกพร่องเลยด้วย” หลินอี้เฉินบอกว่าอาจารย์ได้สอนเรื่องเจ๋งๆให้เธอเรื่องหนึ่ง “ทุกบทพูดจะมีความหมายแฝงอยู่เสมอ” เหมือนอย่างหนังดีๆของอังกฤษในสมัยนี้ สิ่งที่ตัวละครต้องการจะสื่อไม่ใช่เพียงคำพูดที่พูดออกมาเท่านั้น “ต้องมีคำพูดแฝงใต้คำพูด ถึงจะมันส์“ ไม่ได้เรียนรู้แค่ความรู้ในห้องเรียนเท่านั้น การเรียนต่อในต่างเมืองครั้งนี้ เธออยากลองใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาด้วย ต้องต่อคิวเวลาไปทานแมคโดนัล ไม่ถูกปกป้อง ไม่มีสิทธิพิเศษ และลองทำทุกอย่างด้วยตนเอง

 “ที่ฉันเป็นห่วงคือมีคนไปนอนบนรางรถไฟฟ้า ฉันเคยเจอมา 2 ครั้ง ฉันเข้าเรียนสายตั้งแต่คาบแรกเพราะมีคนไปนอนบนรางรถไฟ อาจารย์เคยพูดตอนปฐมนิเทศแล้วว่า การมาสายเพราะรถไฟฟ้าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลย ฉันก็เลยรีบโดดขึ้นแท็กซี่ไปแทน แต่ก็ยังสายไป 9 นาที ตอนแรกอาจารย์จะไม่ให้เข้าเรียนด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่ว่าวันนั้นแยกเรียนเป็นทีม  A และทีม B ทีมB เริ่มเรียนช้ากว่า ฉันก็เลยขออาจารย์ไปเรียนกับทีม B” หลินอี้เฉิน เผยว่า ตอนนี้การงานมีอัตราส่วนใน 1 ส่วน 6 ในชีวิตเธอเท่านั้น 10 ปีที่ผ่าน เธอเอาการทำงานเป็นหลัก จนมีอยู่ช่วงนึงเริ่มไม่สนิทกับน้องชาย ปัจจุบันเธอเลือกงานไม่มากแต่มีคุณภาพ การงานอยู่ใน 1 ส่วน 6 ของชีวิตเท่านั้น “การทำงานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่ว่ามันสามารถนำความสำเร็จมาให้คุณได้ ฉันคิดว่าเราต้องห้ามลืมความรู้สึกสำเร็จในตอนนั้น แต่ว่าความรู้สึกแบบนี้ต้องมาจากเรื่องอื่นๆนอกจากการทำงานได้ด้วย”

ปัจจุบัน หลินอี้เฉิน โฟกัสไปที่การเรียนเป็นหลัก สำหรับเรื่องความรักนั้น? เธอคบกับแฟนหนุ่มนักธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ดำน้ำมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว เธอมีความรักที่มั่นคง เพราะแฟนหนุ่มทำงานที่อเมริกา ส่วนเธอก็เรียนที่อังกฤษ ปีนี้เป็นปีที่ลำบากสำหรับเขาทั้งสองเลย “เพราะว่าเวลาที่ต่างกันทำให้ค่อนข้างลำบาก ตอนที่ฉันอยู่ไต้หวัน จะหาเวลาที่ตรงกันได้ 2 – 3 ชั่วโมง แต่ตอนนี้พอฉันไปเรียนเขาก็ต้องนอนแล้ว พอฉันเลิกเรียน เขาก็ต้องทำงาน ถ้าจะติดต่อกันก็ต้องมีคนหนึ่งที่นอนดึก หรือตื่นเช้า” เธอคิดว่าการรักษาความสัมพันธ์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอยู่ด้วยกันตลอด แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการทดสอบไม่เจอกันเป็นปีนะคะ “ที่สำคัญคือเราต้องมีเป้าหมายร่วมกัน ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ“
คาดว่าจะแต่งงานหลังเรียนจบ

มีข่าวว่า หลินยวี่เชา บินไปฉลองวันเกิดพร้อมขอแต่งงาน หลินอี้เฉิน ถึงอังกฤษเมื่อปลายปีที่ผ่าน หรือว่า “เป้าหมายร่วมกัน”ที่ หลินอี้เฉิน พูดนั้นหมายถึง การแต่งงาน? หลินอี้เฉิน ยิ้มตอบว่า “แน่นอนว่าเมื่อได้คบกับใครแล้ว ก็หวังว่าเขาจะเป็นคนที่ใช่ซิคะ“ สเปคการเลือกคู่ชีวิตของเธอนั้น อันดับแรกคือจิตใจ รวมถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์และศีลธรรม แฟนหนุ่มตรงตามสเปคที่เธอตั้งไว้ทุกอย่าง แต่ก่อนอื่นต้องทำหน้าที่นักศึกษาให้ดีก่อนค่ะ เร็วที่สุดก็น่าจะปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า เรื่องแต่งงานต้องรอหน่อยนะคะ

หลินอี้เฉิน วางแผนแต่งงานหลังเรียนจบ ตอนนี้ อู๋ฉีหลง เองก็กำลังคบหากับ หลิวซือซือ อยู่ ถือโอกาสที่ ซูโหย่วเผิง ออกรายการโปรโมทหนังใหม่ จางเสี่ยวเยี่ยน ก็ได้ถามถึงเรื่องความรักของเขาด้วย เขาหัวเราะกล่าวว่า ก่อนหน้าที่ อู๋ฉีหลง จะเปิดตัวแฟนนั้น ก็ได้ส่งข้อความบอก โหย่วเผิง ก่อน พร้อมทั้งบอกให้เขารีบทำตามเลย ซูโหย่วเผิง สารภาพว่า “ผมเป็นคนค่อนข้างแปลก ก็เลยไม่ค่อยมีโชคเรื่องความรักซักเท่าไหร่ เรื่องแต่งงานมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ทุกอย่างแล้วแต่โชคชาตะและพรหมลิขิตครับ ผมมีจังหวะของตัวเอง ไม่อยากรีบเร่งเพราะจะตามคนรอบข้างครับ“ สำหรับเรื่องหลักในชีวิต เขาที่มีความสนใจด้านพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก เขาพูดติดตลกว่า ”จะบวชช่วยมนุษยชาติ“
ถึงจะเป็นดารามากประสบการณ์ แต่ ซูโหย่วเผิง ก็ไม่ได้วางมาดในงานโปรโมทเลย ก่อนหน้างานแจกลายเซ็นต์ 1 วัน เขาโทรหา อู๋จงเทียน ด้วยตนเอง พร้อมบอกให้ถามคำถามเขาได้เต็มทีเลย เพราะเขาเองก็จะไม่เบามือเหมือนกัน อู๋จงเทียน บอกว่าเจอพระเอกที่ตั้งใจขนาดนี้ครั้งแรกเลย นอกจากคำนึงถึงความรู้สึกของทีมงานแล้วยังอุตส่าห์โทรศัพท์หาด้วยตนเอง ซูโหย่วเผิง หัวเราะแล้วพูดว่า “ผมไม่ชอบการแสดงเป็นพี่เป็นน้อง สำหรับผมแล้ว มีแค่เพื่อนที่ชอบกับไม่ชอบเท่านั้น ไม่มีเพื่อนที่ควรคบไม่ควรคบ ผมจะไม่เลือกปฏิบัติเพียงเพราะว่าตำแหน่งหน้าที่ในสังคมของเขาเท่านั้น“

เคยถูกเยาะเย้ย และหวังจะได้รับการยอมรับ

ซูโหย่วเผิง มีนิสัยรักความสมบูรณ์ตามนิสัยของชาวราศีกันย์ แต่ก็มีนิสัยไม่ชอบความขัดแย้งตามราศีกุมภ์ เมื่อเผชิญกับเรื่องที่ไม่แฮปปี้มักจะเก็บไว้ในใจก่อน แต่ก็มีวินัยในตัวเองมาก ที่ผ่านทุกคนเรียกเขาว่า “ราชาแห่งความเข้มงวด“ แต่ปัจจุบันเขาค่อนข้างปล่อยวาง เขาพูดตามตรงว่า  “ตอนเด็กไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้สิ่งที่คนอื่นแคร์ สิ่งที่คนอื่นให้ความสำคัญ และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องสนใจด้วยซ้ำ สรุปว่าแสดงหนังไปตั้งนานผมก็ยังไม่รู้อยู่ดี หลังจากนั้นผมก็เริ่มเรียนรู้ เริ่มดีกับคนอื่น และแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ”

เมื่อ จ้าวโยวถิง หยวนจินเทียน เริ่มเข้ามาต่อยอดและพัฒนาในวงการของประเทศจีน ซูโหย่วเผิง กลับเลือกกลับไปสนับสนุนวงการไต้หวันแทน เขาเผยว่า มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเขาตอนเมาว่า “หมดอายุแล้ว” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็เสียใจมากเหมือนกัน  “ตอนนั้นผมเหมือนมีปมที่ไม่ได้คลี่คลายจากไต้หวัน หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนในบ้านเกิด“ 3ปีที่แล้ว ซูโหย่วเผิง ได้เข้าร่วมงานนิทรรศกาลภาพยนตร์ที่โตเกียว พร้อมผลงาน 《คังติ่งฉินเกอ》 เข้ารับรางวัล ภาพยนตร์จีนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ในฐานะนักแสดงจากไต้หวัน ตอนแรกเขาหวังว่าผู้ชมไต้หวันจะภูมิใจในตัวเขา และกลับบ้านเกิดอย่างมีความสุข  แต่ตัวแทนกลับเกิดข้อขัดแย้งกันเรื่องใช้ห้องรับรองห้องเดียวกัน และถูกลามไปถึงเรื่องของการเมือง สุดท้ายแล้ว เขาไม่กล้าไปเดินพรมแดงด้วยซ้ำ การขึ้นเวทีร้องเพลง 《คังติ่งฉินเกอ》 ในงาน China Night  ก็ถูกหาว่า ”ได้ดีแล้วลืมบ้านเกิด“

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานนิทรรศกาลภาพยนตร์ที่โตเกียวครั้งนั้น สิ่งที่เขายังปล่อยว่างไม่ลงคือ “เข้าร่วมงาน China Night เพราะว่าต้องไปแสดงผลงาน ที่ผมไม่ได้ไป Taiwan Night เพราะว่าไม่มีผลงานไปแสดง ถ้าไปก็เหมือนไปโดยไม่ได้รับเชิญ พูดตามตรงว่าตอนนั้นที่ทุกคนใช้คำพูดแรงขนาดนี้ ผมเสียใจมากจริงๆ ความฝันที่อยากกลับบ้านเกิดของผมแหลกละลาย ไม่มีโอกาสได้อธิบายด้วยซ้ำ บวกกับเรื่องเสี่ยวหู่ตุ้ย (จะรวมตัวกันอีกครั้งหรือไม่) กระจายไปทั่ว ตอนนั้นผมคิดว่าตนเองกลับไปไม่ได้แล้ว ในขณะที่เขาค่อยๆจะปลงกับเรื่องเหล่านี้แล้ว อยู่ๆก็มีหนังไต้หวันเข้ามาพอดี” ปัจจุบันนี้ เขาไม่สนใจความคิดเห็นของคนภายนอกแล้ว “ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว ที่จริงเป็นคนธรรมดาที่ไต้หวันดีมากเลยนะครับ พอออกจากงานปุ๊ป ผมชอบที่ตนเองเป็นเหมือนคนธรรมดา ไม่ค่อยมีใครสนใจครับ“

6
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค.-2013 men's fashion mag Leon
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2013, 11:51:38 am »





7
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค.-2013 men's fashion mag Leon
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2013, 11:49:15 am »






8
Magazine Interviews-China / Re: ธ.ค.-2013 men's fashion mag Leon
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2013, 11:45:23 am »





9
Magazine Interviews-China / ธ.ค.-2013 men's fashion mag Leon
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2013, 11:41:34 am »
December-2013- men's fashion mag Leon

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จาก นิตยสาร men's fashion mag Leon เดือน ธันวาคม 2013


10
Magazine Interviews-China / Re: ก.ย.-2013 Top Travel (South Africa)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2013, 11:28:30 am »





11
Magazine Interviews-China / Re: ก.ย.-2013 Top Travel (South Africa)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2013, 11:28:24 am »




12
Magazine Interviews-China / Re: ก.ย.-2013 Top Travel (South Africa)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2013, 11:28:17 am »


13
Magazine Interviews-China / 2013 Top Travel (South Africa)
« เมื่อ: กันยายน 25, 2013, 11:27:53 am »




ก.ย.-2013 Top Travel (South Africa)

นิตยสาร “ซื่อเจี้ย” มีการนำเสนอแฟชั่นเสื้อผ้าสำหรับท่องเที่ยว ทำให้คนที่อยู่ในระหว่างการเดินทางมีสีสันโดษเด่นมากขึ้น จากตอนแรกแสวงหาเพียงรูปแบบพื้นฐานในการท่องเที่ยว จนถึงปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย การท่องเที่ยวในปัจจุบันกลายเป็นการแสดงทัศนคติส่วนบุคคล ภายใต้ภาพของช่างภาพในแอฟริกาใต้ แฟชั่นกับผลกระทบจากสภาพเดิมนี้ก็คือไอเดียใหม่ๆกับการตีความในอิสระของแต่ละบุคคล

“ก้อนหินหนึ่งก้อนกับเพชรเม็ดหนึ่งมีความแตกต่างยังไง? เขาเขียนไว้ในเว็บไซด์ Weibo การรับรู้เรื่องราวในรูปแบบเดิม หากไม่ใช่รูปลักษณ์ในการคิด ก็คือการรับรู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาในการเดินทางในแอฟริกา”

ภาพถ่าย ณ สวนสาธาณะแห่งชาติแหลมกู๊ดโฮปในแอฟริกาใต้ ภายใต้ขอบฟ้าจะรับรู้ได้ถึงกรงล้อที่หมุนไปของประวัติศาสตร์ แต่พวกเราคิดว่าจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งตลอดไป

ผู้คนในสนามบินแค่มองทีเดียวก็รู้ว่าเขามา เสื้อคลุมทีเขียวสดโดดเด่นสะดุดตา เหมือนซุปเปอร์สตาร์ทั่วไป แว่นตาดำคู่หนึ่งทำให้เขาแตกต่างจากผู้คนรอบๆ เดินเข้าไปใกล้ ก็คือใบหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่มีความรีบร้อนและไม่หงุดหงิด เหมือนตั้งใจจะควบคุมบรรยากาศความโดดเด่น แต่ว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนที่สามารถทำให้บุคคลที่สัมภาษณ์ที่เป็นนักเขียนเกิดความตื่นเต้น มันสมอง ท่วงท่า รูปลักษณ์ ล้วนไม่มีที่ติ การสัมภาษณ์เป้าหมายแบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้นเขามีการคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงมานานทำให้การการตอบสัมภาษณ์ครั้งแรกน่ากลัว ตัวฉันที่เปลี่ยนเป็นดอนกิโฆเต้ค่อยๆหันหน้าไปเผชิญหน้าทางกังหันลมอย่างไร้เรี่ยวแรง เพราะรูปแบบคำตอบของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

“คุณว่านี่เป็นยังไง?”

“ดีมากเลย”

“ดียังไงเอ่ย?”

“ก็ดีมากๆไง”

“เออ...”

คำพูดที่โดดเด่นติดปากของเขา “ก็ดีนะ” “ก็โอเค” “น่าจะอย่างนั้น” ทำให้ฉันงงตึบ แอบนึกในใจว่าสู้ไปค้นหาตามรอยชีวิตของเขาบนอินเตอร์เน็ตคงจะเร็วกว่า แต่ว่าต่อหน้าผู้ชายคนนี้ใบหน้าที่จริงใจไร้เดียงสา การมองคนต้องมองที่แววตา ฉันอ่านออกได้จากแววตาสีดำคู่นี้ ทะลุไปถึงความสงบที่ไร้กังวล และความไม่กลัวแน่วแน่ในเรื่องยากที่จะพูดถึง  ก็ได้แต่แอบถอนใจอย่างเงียบ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบกลายเป็นความน่ากลัว ผู้ชายที่ความสมบูรณ์และหันหน้าสู่ธรรมะเป็นการเปรียบเทียบที่น่ากลัว

โชคดี ยังมีแอฟริกาใต้

ภาพถ่าย ณ แอฟริกาใต้เขตสงวน Shamwari กล้อง EOS 5D Mark Ⅲ ถ่ายภาพที่ระเอียดอย่างต่อเนื่องทำให้เห็นถึงความโดดเด่น

การท่องเที่ยวผ่านไปได้ไม่กี่วัน หรือจะถูกสภาพสิ่งแวดล้อมที่กว้างใหญ่หน้าชมของแอฟริกาใต้ดึงดูด พวกเรามองเห็นซูโหย่วเผิงคนนั้นค่อยๆดูอบอุ่นขึ้น หลินซินหยูซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเคยเปิดเผยว่า “การพูดของเขามักติดตลก แต่ก่อนทุกคนรู้สึกว่าเขาพูดง่าย เป็นคุณชายที่ดูสมาท จริงๆก็คือตัวเขาที่อยู่บนจอหนัง ซึ่งโดยส่วนตัวของเขาก็เป็นคนชอบพูดตลก เป็นคนที่มีไอเดียมากๆ บางครั้งมักจะดื้อรั้น เป็นคนที่มีจิตใจเต็มเปี่ยม”

“ซูโหย่วเผิงค่อยๆเปิดเผยตัวเองไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง ขอเพียงมีเวลา เขาจะเข้าร่วมวงสนทนากับพวกเรา แล้วก็มักจะเป็นประเด็นยกมาพูดกัน จุดที่โดดเด่นของเขาคือเป็นผู้ฟัง แบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยวของคณะ กี่วันต่อมา เขาจากผู้ถูกสัมภาษณ์ค่อยๆกลายเป็นผู้สัมภาษณ์ มักจะถูกเขาถามคำถามกะทันหันทำให้พวกเราไม่สามารถรับมือได้ ซุปเปอร์สตาร์รุ่นใหญ่ที่โดดเด่น ก็เสมือนได้ถูกสภาพแวดล้อมทิวเขาที่โดดเด่นของแอฟริกาดึงดูด ให้เดินลงมาจากบัลลังซุปเปอร์สตาร์ กลายเป็นเพื่อนที่ร่วมเดินทางข้างกายที่สนิทสนม”

โดยสารไปเมืองจิ้นตูโดยเฮลิคอปเตอร์ของบริษัท Sport Helicopters เตรียมชมทิวทัศน์โดยรอบของเมือง

ใกล้จุดสมดุล

มีแต่อยู่ข้างกายช้างป่าแอฟริกาจึงจะรู้สึกถึงพวกมันใหญ่โตและสง่างาม

เพื่อจะร่วมมือกับช่างภาพ ซูโหย่วเผิงถูกจัดให้นั่งรถเฉพาะที่ใกล้กับช้างสามารถสัมผัสใกล้ชิดได้ เรื่องที่ไม่เหมาะเจาะก็คือ พวกเราอยู่ในฝูงช้างฝั่งนี้ แต่เขาอยู่ฝั่งนู้น มองไปก็ถูกกั้นไว้ด้วยช้างมหึมา เหมือนคนตัวเล็กๆอยู่บนรถเล็กๆ มีเพียงอุปกรณ์ข้างกาย มือถือ? เมื่อเรารู้สึกถึงอันตรายก็สายไปแล้ว ฝูงช้างแตกฝูง ช้างตัวเล็กเพศผู้ทำให้จ่าฝูงโมโห จึงถูกไล่ให้ไป ช้างตัวเล็กเพศผู้หงุดหงิด ไม่สามารถจำแนกทางได้ จึงจะพุ่งชนรถ SUV ที่ซูโหย่วเผิงนั่ง เพียงแค่วินาทีเดียวพวกเราทุกคนที่ก็ตกใจชงักไปเลย คนขับกลับรถอย่างรวดเร็ว เปิดทางให้ช้างตัวเล็กเพศผู้ เป็นการเปิดช่องทำให้พวกเรามองเห็น เสียงร้องของฝูงช้างและเสียงตกใจของพวกเราทำให้มีเสียงดังท่ามกลางความสงบ พวกเราสงบจิตสงบใจได้ ก็เร่งคนขับรถชื่อเบนใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารกับผู้นำทางอีกฟากชื่อจูเลี่ยน หลังจากเบนใช้ภาษาแอฟริกาพูดคุยกับผู้นำทางอีกฝั่ง ก็หันกลับมายิ้มอย่างโล่งอกว่า “เขาปลอดภัยแล้ว ก็สนุกดีนะ” กี่นาทีผ่านไปเขาก็ได้ปรากฏในสายตาของพวกเราอีกครั้ง  EOS 5D MarkⅢ ที่ถืออยู่ถ่ายภาพช้างทั้งหมดอย่างใกล้สุดๆ สนุกสนานอย่างมาก

ภาพถ่าย ณ เขตสวงน Shamwari แอฟริกาใต้ เป็นครั้งแรกที่ซูโหย่วเผิงมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับช้างมากที่สุด

จนถึงช่วงค่ำนั่งล้อมรอบกองไฟ พวกเรายังกลัวเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดล่วงหน้า เลยถามเขาว่า “ตอนนั้นคุณกลัวไหม?” ใบหน้าไม่แสดงอาการใดๆ “ไม่กลัวครับ ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ? จูเลี่ยนมีประสบการณ์มาก อีกทั้งพวกเรายังสนทนากันยาวมาก”

จูเลี่ยนบอกเขาว่า ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้ 15 ปีแล้ว การใช้ชีวิต 15 ปีโดยห่างไกลจากเมือง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่นอนดึก อยู่ร่วมกันกับสัตว์ทั้งหลาย เห็นคนบนโลกนี้ไปๆมาๆ นำความสุขมาให้กับพวกเขา ผมชื่นชมเขา ชื่นชมในความสุขที่เรียบง่าย  ซูโหย่วเผิงสรุป “งั้นคุณจะเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ไหม”  เขายิ้มแล้วก็หัวเราะ “แน่นอนไม่ ผมรับไม่ได้หรอก ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบการเปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็มีชีวิตที่มีความสุข ผมเข้าใกล้จุดสมดุลมากแล้ว” ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเขาในกี่ปีก่อน คงจะมีคำตอบอีกแบบหนึ่ง

ภาพถ่าย ณ อ่าวเจฟฟรีส์ แอฟริกาใต้ สัมผัสเทคนิคการขี่ม้าสำหรับองค์ชายห้าอย่างไร้ความกดดัน

“เพียงแค่สิบปี ผมในสายตาคนอื่นนั้นคือความสำเร็จ แต่จริงๆแล้วในสิบปีนี้ผมห่างไกลกับครอบครัวมาก ในเวลานั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ห่างไกลจากกลุ่มเพื่อน เพื่อนเก่าก็ค่อยๆหายไป ผมอยู่ในวงการบันเทิงไม่สามารถใช้ชีวิตกับเพื่อนๆไปด้วยได้ นั่นเป็นช่วงชีวิตไม่สมดุล แต่การมีชีวิตที่แท้จริงต้องมีความสมดุล ในมุมของผม มันกลับยังไม่ใช่ความสำเร็จผ่านเรื่องราวเหล่านั้น ผมถึงรู้ว่าไม่ควรที่จะแสวงหาแต่ส่วนนั้น”  เขาที่ค่อยๆเดินทีละก้าวไปกับนิยามบนโลกใบนี้มากน้อยยังไม่มีหลักประกันอะไร ชีวิตมีสีสันมากมาย โลกก็มีสีสันสดใสม ชีวิตคนไม่มีตัวกำหนดที่แน่นอน ทำไมถึงเอาตัวชี้นำผิดๆที่ว่าความสำเร็จคือการหาได้เงินเยอะๆด้วยล่ะ? เป็นเพียงแค่คนขับรถแท็กซี่ธรรมดาคนหนึ่ง ผมก็มีความสุขแล้ว การทำงานธรรมดาทั่วไป รับผิดชอบลูกๆกับภรรยา ทำให้คนรอบข้างปรองดองรักใคร่ นี่ก็คือความสำเร็จอย่างนึง”

พูดถึงช่วงที่ตื่นเต้น เวลาพูดจะพูดเร็ว และยังเริ่มแสดงออกทางมือ เมื่อรู้สึกว่าฉันตามเขาไม่ทัน เขาก็จะช้าลงหน่อย ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลถาม “คุณเข้าใจความหมายของผมไหม?” ฉันบอกว่าเข้าใจ เห็นเขาดื่มกาแฟไปอีกรอบ กาแฟของเขาไม่เคยใส่น้ำตาล เพราะชีวิตคนเดิมก็คือทุกข์ สามารถมองทะลุได้ แต่ก็ไม่สามารถมองแตกฉาน เขาสามารถจัดการความสุขท่ามกลางความทุกข์ได้ดี

คำว่าตัวฉัน

“พูดอย่างเปิดเผย เว็บไซด์ Weibo ของคุณค่อนข้างเป็นทางการ ไม่สามารถมองตัวตนที่แท้จริงของคุณออก” ที่ฉันหมายถึงคือเว็บไซด์ Weibo ของเขาในช่วงนี้มีการโฆษณาละครใหม่ๆตลอด พูดถึงตอนนี้ พวกเราก็อยู่บนรถบัสที่จะไปยังจุดหมายถัดไป แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาว ดวงอาทิตย์ร้อนแรงในแอฟริกาที่ยังไม่ลับขอบฟ้าก็ยังส่องผ่านหน้าต่างมาถึงเรา  เขากลับดึงผ้าม่าน ทำให้แสงอาทิตย์ก็ส่องเข้ามามาก “ถ้าอย่างั้น คุณว่า คำว่า“ตัวฉัน” มีความสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ?” เขาหลับตาภายใต้แสงอาทิตย์ ถามกลับฉันว่า “ทำไมต้องเน้นที่  “ตัวฉัน” ตลอด Weibo ของฉัน ทัศนคติของฉัน บุคลิคของฉัน ชีวิตของฉัน ฉันนั้น ฉันนี้” ช้าก่อน เขาบอกต่อไปว่า “ผมมักจะบอกกับเพื่อนๆให้ ลองลืม คำว่า“ตัวฉัน” ดู คุณอาจจะมีอิสระมากกว่านี้”

มิน่าตอนที่ถามถึงอารมณ์ส่วนลึกๆของเขาก็จะพยายามบ่ายเบี่ยง “ลูกภรรยาของผม ก็คือทีมงานของผม” ในกองถ่าย“เฟยหยวนอู้เหย่า”ก็เคยร่วมงานกันมาแล้ว พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียง เพียงแค่ได้ฟังตัวเขาบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับคำว่า“ตัวฉัน” ฉันถึงเข้าใจอย่างชัดเจนในความหมายของเขา

จริงๆแล้ว ที่ผ่านมาแล้ว จากแปลกหน้ากลายเป็นคุ้นเคย จากดารากลายเป็นเพื่อนสนิท ก๊วนเพื่อนที่ดี สถานะของเขาเปลี่ยนกลายเป็นเหมาะเจาะ แม้ว่าจะมีการเที่ยวตลอด เขากลับเป็นตัวกระตุ้นในทีมและเป็นสิ่งวิเศษคุ้มครอง งานราตรีมีการละเล่นที่วิเศษและการหลอกล้อของเขาจึงไม่ทำให้งานกล่อย การถ่ายนอกสถานที่เพราะว่าเขาจัดการและประสานงานได้ดีไร้ที่ติ ต่อผู้ป่วยในทีมเขาก็ดูแลเอาใจใส่ ต่อเพื่อนที่ผิดพลาดเล็กน้อยก็ช่วยเหลือตักเตือน ในเกมส์ฆ่าคน เขาก็สามารถสนุกสนานกับเพื่อนในทีมได้ดี อยู่ในสนามบินเขาสามารถละทิ้งความเป็นดาราดังช่วยเพื่อนในทีมขนสัมภาระ ในทีม ในสายตาเขา ไม่มีคำว่า “ตัวฉัน” อยู่ในสายตา เขาจะช่วยเหลือคนในทีมอยู่ตลอด ใจกลับสงบ ความสงบแบบนั้นเป็นอารมณ์ที่เคยผ่านเทือกเขาสายน้ำเหมือนธรรมชาติ

ภาพถ่าย ณ เขตสงวน Shamwari แอฟริกาใต้ อยู่กับคนผิวดำ”พี่น้อง”ช่วยกันวิเคราะห์หนังใหม่อย่างระเอียด

หากว่าชอบการท่องเที่ยว ไม่เพียงเพราะสามารถมองเห็นตัวตนที่แท้จริง และก็เพราะแบบนี้ทำให้ตัวเองกลายเป็น “Nobody” การใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป สามารถไปเดินตลาด สามารถที่จะดูแผนที่เหมือนนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินไปเรื่อยๆเข้าตอกซอกซอยในยุโรป สามารถอยู่ในเกาะเขตร้อนไม่ต้องทำอะไร ตากแดดอย่างเดียว และก็สามารถจัดการเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อได้เห็นหลายๆมุมของเมือง เขาชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่หลากหลาย แน่นอนก็ชอบรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีสีสันซู โหย่วเผิงซึ่งไม่ชอบการท่องเที่ยวคนดียวมักจะเลือกเพื่อนร่วมเดินทางสักสองสามคนเป็นกลุ่มร่วมดินทางไปด้วย เขาในปลายปีก่อน ปรารถนาและหลงใหลในทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยมีผู้คน ดังนั้นหลายปีก่อนในการทัศนศึกษา เผชิญหน้ากับการเลือกนิวยอร์กและลอนดอน แต่ตัวเขาเลือกลอนดอน “ผมพักอยู่ในโฮมสเตย์แบบเก่า ลักษณะวินเทจมากๆ แต่เมื่อออกเดินทาง ก็สามารถมองเห็นเพื่อนๆที่เดินเฉียดกันไปมาอย่างมีสีสัน รูปแบบนั้นดันกลับดูน่าสนุกมาก! ”

 

การสะสมอัลบั้มหลากหลายในการเดินทาง เป็นสิ่งที่เขาชอบทำ เขาได้สัมผัสกับคนผิวดำในแอฟริกาใต้มากมาย พนักงานบริการในโรงแรม คนขับรถ นักเต้นรำ เจ้าของร้านเล็กๆ......รูปภาพที่แตกต่างกันนี้ยิ่งดึงดูดเขา “ผมชอบศึกษาใบหน้าและแววตาของพวกเขา แววตาเหล่านั้นล้วนอธิบายถึงเรื่องราวของแต่ละคน  ทุกเรื่องล้วนแตกต่างกัน จุดนี้ทำให้คนหลงใหล”

“ถ้าหากว่าในระหว่างการท่องเที่ยวถูกคนจำได้จะทำยังไง?” เขาลองคิด “ไกวไกวหู่” มีลักษณะท่าทางยักคิ้ว ทำปาก “ใบหน้าของฉันดูเขินๆ ไม่ได้แกล้งนะ”

ชีวิตก็คือการรับรู้

ในมุมหนึ่ง เคปทาวน์ เขตมาเลย์ มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นฟุตบอลดึงดูดเขาให้มอง ซูโหย่วเผิงก็เดินไป เขาที่พูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วก็ไม่สามารถทำให้เด็กเหล่านั้นหยุดเล่น  ได้แค่เพียงถือกล้อง EOS 5D MarkⅢ ยืนชมเงียบๆอยู่ข้างๆ เมื่อดูว่ามีจุดสนุกๆ ก็จะช่วยเตะบ้าง เด็กๆเห็นกล้องถ่ายภาพในมือเขาก็ยังเล่นต่อไป และก็ยังเล่นกันในกลุ่มอย่างครึกครื้น ในฐานะซุปเปอร์สตาร์จากที่บัลลังก์สูงส่งลดตัวลงไปไต่ถามกับพวกเขาดูเหมือนจะไม่เหมาะ ณ เวลานี้สถานที่นี้ เขาก็เป็นเพียงผู้ชมที่ยืนอยู่ในเส้นทางชีวิต แล้วก็พอใจในตัวเองที่เป็นผู้แสดงจัดไว้

ภาพถ่าย ณ อ่าวเจฟฟรีส์ แอฟริกาใต้ ซูโหย่วกล่าวว่า “ผมไม่ใช่คนที่ใช้เพียงการแสดงมาเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ นอกเหนือจากนักแสดง ก็ใช้การท่องเที่ยวไปเติมเต็ม”

ชีวิตของเขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่คนส่วนมากที่มักมีความเคยชินสนใจใช้สายตาจดจ้องกับความสำเร็จเจิดจ้ามักจะละเลยมุมนี้ จากเด็กผู้ชายกลายเป็นไอดอล หนทางนี้เขาค่อยๆเดินมา 25 ปีแล้ว  ปัจจุบัน คุณมองเห็นแค่ริมปีปากที่แต่งแต้มสีสัน กลับมองไม่เห็นความผูกพันของเขาที่อยู่ภายนอกกล้อง คุณมองเห็นสีสันภายนอกของเขา แต่มองไม่เห็นสิ่งภายในที่ผ่านมาในอดีตของเขา บุคคลที่ร้องไห้กอดกันอยู่ในผับกับเฉินจื้อหมิงก็คือเขา เป็นไข้สามวันไม่มีคนดูแลก็คือเขา คนที่อยู่ในความโดดเดี่ยวซึมเศร้าฟังเพลง《Bring him home》ก็คือเขา คนมากมายชอบและเคยหลบหนีผู้คนทั่วโลกก็คือเขา

เขาเคยตามใจตนเองจนถูกโลกทอดทิ้ง และเพิ่มความกล้ากลับคืนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เขาใส่ใจกับการแต่งตัว รักษาภาพลักษณ์ไอดอลที่โดดเด่น ไม่เคยท้าทายชะตาอย่างเปิดเผยแรงกล้า กลับใช้ท่าทางที่สูงส่งอ่อนโยนข้ามผ่านชีวิต ชมเชยเพียงแค่ความสวยงามภายนอกและอิจฉาชะตาที่ดีของเขา ไม่ต้องสงสัยว่าลืมการทุ่มเทอดทนและความตั้งใจในหลายปีที่ผ่านมาของเขา หากไม่มีโชคชะตาที่ประสบความสำเร็จในวัยรุ่น  กับการตัดสินใจครั้งใหม่ที่จะฟื้นขึ้นมา ไม่ใช่พูดลอยๆแล้วจะเข้าใจ

ภาพถ่าย ณ โรงงานผลิตไวน์ Croot Constantia ในแอฟริกาใต้ คนหนึ่งคนที่ต้องเดินทางไกลๆ จึงจะสามารถพบเห็นแหล่งไวน์ร้อยปีที่ดึงดูดคนได้

“ถ้าหากเลือกได้อีกครั้ง คุณยังจะเลือกชีวิตแบบเดิมไหม?”  เขาเกาหัวคิด พยักหน้าตอบ “แน่นอน เพราะนี่คือชีวิตที่ผมต้องการ” ชีวิตคนถูกเขานิยามไว้เป็นความรู้สึกเหมือนฝ้ายที่ติดผัน แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าบุคลิกของตนเองที่ไม่ยอมตัดสินชะตาที่ประสบความสำเร็จและความล้มเหลว สิ่งที่เขาต้องการมาตลอด ก็ได้แล้ว เรียบง่ายแบบนี้ มีเพียงสิ่งเหล่านั้นที่มีเพียงหนึ่งเดียว เวลาที่พลิกผันสูญเสียไป เขาก็จะหยุดเดินเดินแบบเงียบๆ  ทำให้อารมณ์ในใจเงียบสงบและผูกพันธ์สลับซับซ้อนที่เคยเกี่ยวพันกัน มองไปยังตนเองเมื่อหลายปีก่อนที่หงุดหงิดไม่สงบ ดวงตาที่มีความเมตตา

เขาพูดว่า “เธอสังเกตช้างที่มองมายังแววตาของเราไหม?”

“ธรรมชาติแบบนั้นกับการเปิดเผยแสดงถึงใจที่ไม่มีการแบ่งแยก สำหรับช้างแล้ว คุณก็คือคุณ ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำรวยจน แต่พวกเรามี พวกเราหวังว่าในตนเองสายตาคนอื่นก็ไม่แตกต่างกัน ดังนั้นพวกเราสามารถปรับเปลี่ยนตนเอง ตามที่คิดเสริมสิ่งต่างๆให้กับตนเอง”

ภาพถ่าย ณ โรงงานผลิตไวน์ Croot Constantia ในแอฟริกาใต้ ในร้านผลิตไวน์โบราณในแอฟริกาใต้ ดื่มได้ไม่มีวันหมด มีการบ่มไวน์ที่ดีและลึกลับมาสามร้อยกว่าปี

พิจารณาโดยระเอียด เวลาที่หมุนเวียนของตัวเขา เหลือไว้เพียงริ้วรอยที่เจือจาง ต่อหน้าผู้ชายที่อบอุ่น สะอาด นอบน้อมคนนี้ แบกรับโลกที่มีเกียรติทั้งใบ แต่เหมือนเขาจะไม่ใส่ใจ ภายใต้ความเล็กน้อย สิ่งที่เคยกระทบกระเทือนภายในจิตใจก็ผ่านพ้นไปแล้ว

เมื่อจบการเดินทาง เขาก็ได้เขียนบน Weibo ของตน “ก้อนหินหนึ่งก้อนกับเพชรหนึ่งเม็ดมีความแตกต่างยังไง? เขาเขียนไว้ในเว็บไซด์ Weibo การรับรู้เรื่องราวในรูปแบบเดิม หากไม่ใช่รูปลักษณ์ในการคิด ก็คือการรับรู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาในการเดินทางในแอฟริกา”

ความอิสระของโหย่วเผิง ก็เหมือนทัศนะที่มีอิสระ

ภาพถ่าย ณ แอฟริกาใต้เขตสงวน Shamwari บางครั้งช่างภาพดีกว่าดวงตาที่สามารถจับความรู้สึกและจิตใจในตอนนั้นที่นั้น

Q&A การท่องเที่ยวก็คือการเปลี่ยนชีวิตแบบหนึ่ง

T = นิตยสาร “ซื้อเจี้ย”  S =ซูโหย่วเผิง

T: สำหรับคุณแล้วการเดินทางที่ยิ่งใหญ่คืออะไร?

S: ให้ตัวเองเปลี่ยนวิถีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากเส้นทางการแสดงที่มีความสำเร็จและล้มเหลวนั้นแล้ว สามารถรับรู้การใชชีวิตของคนทั่วไป รับรู้รสชาติการเป็นคนทั่วไป

T: สัมภาระที่ต้องเตรียมไปในการท่องเที่ยว?

S: ต้องเตรียมมือถือธรรมดา กล้อง มือถือไอโฟน เครื่องเสียงพกพาและแผนที่ ผมเป็นคนที่ชอบดนตรี และชอบนำดนตรีให้กับเพื่อนร่วมเดินทางรอบกาย ครั้งนี้มาแอฟริกาใต้ เพราะว่าต้องเตรียมจะตีพิมพ์บันทึกจริงในแอฟริกาใต้ ผมและผู้ช่วยพกกล้องถ่ายไปหลายตัว หลังนำมาใช้และเปรียบเทียบ พบว่ากล้อง  EOS 5D Mark III ถ่ายภาพได้อย่างต่อเนื่อง คุณภาพของภาพระเอียด ข้อดีโดดเด่น รูปภาพสะท้อนถึงแอฟริกาใต้ที่แท้จริงในใจของผม

T: เป้าหมายต่อไปคือที่ไหน?

S:มัลดีฟส์ เพราะครั้งนี้จัดรางวัลการท่องเที่ยว “เฟยหยวนอู้เหย่า” ผมเชิญคณะทำงานของผมไปเข้าร่วม และก็เป็นรางวัลขอบคุณสำหรับความลำบากหนึ่งปีกว่าๆที่ผ่านมาของทุกคน

15
   ปี 1995 เดือน 8 โหย่วเผิงออกหนังสือลักษณะประวัติส่วนตัวเล่มหนึ่ง ชื่อว่า (วันเวลาของผมที่เจี้ยนจง)  บันทึกในสมัยที่เขาอยู่มัธยม ประสบการณ์ ความรู้สึกตอนที่สอบติดต่อกัน  ปลายปากกาที่ละเอียดและเกลี้ยงเกลา ได้นำปัญหาและความยากลำบากในการเรียน เขียนออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ให้พวกเรารู้ว่าแท้จริงแล้วบางครั้งเบื้องหลังศิลปินไม่ได้สดใสสวยงามอย่างที่เราคิด

   ซูโหย่วเผิง อายุสิบห้าปี ก็เป็นนักร้องวงเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว และเขาก็ได้โด่งดังในวงการเพลง ไกวไกวหู่ อย่างฉลาด แต่ก็หลีกเลี่ยงความกดดันในการสอบเข้าไม่ได้ การสอบเข้าเจี้ยนจงเป็นการพลิกผันเปลี่ยนในชีวิตของเรา มัธยมปลายเทอมสองเขาละเวทีการแสดงอย่างสิ้นเชิง กลับสู่การเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจและได้สอบเข้าคณะช่างกลดั่งใจปรารถนา ถึงแม้ผ่านไปแล้วหลายปีแต่ย้อนกลับไปคิด ในวันเวลาเหล่านี้ ส่งเสริมการเติบโตในภายหลัง  ซูโหย่วเผิงพูดเช่นนี้

   ไกวไกวหู่  ได้เขียนหนังสือด้วย แต่นั่นก็เป็นเรื่องเก่าแล้ว ที่ไต้หวันมีการพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้เป็นสำนักพิมพ์ที่จีน ก่อนหน้านี้โหย่วเผิงมาแจกลายเซ็นต์ในหนังสือและขบวนมักระที่ยาวนั้นเป็นที่สนุกสนานก็จะเป็นชาวบ้านมากกว่าแฟนคลับ

   เมื่อได้เปิดอ่านหนังสือของโหย่วเผิง นอกจากจะเห็นรูปเกือบร้อยใบแล้ว ยังมีเนื้อหาส่วนมากจะพูดถึงชีวิตวัยหนุ่มของเขา ความเครียดก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย และความซ้ำซากของการเรียน เริ่มสนใจเพศตรงข้าม และความสุขในช่วงมหาวิทยาลัย.......ได้ข่าวว่า ที่ไต้หวันนั้นมีนักเรียนมากมายได้ซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่าน เพราะข้างในมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขจัดความเครียดในเวลาเรียนได้อย่างไรด้วย และรวมถึงนักเรียนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องเตรียมตัวอย่างไร

   จากนักร้องนักเรียนคนหนึ่ง กลายเป็นนักแสดงที่ทุกแห่งเป็นบ้านของตน สิ่งที่โหย่วเผิงจะเขียนนั้นน่าจะมีมากมาย เขาได้มีประสบการณ์ร้อนหนาวในช่วงวัยรุ่นมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่กลายเป็นความทรงจำในชีวิต เขาอยากจะบอกสิ่งเหล่านี้กับนักเรียน นักศึกษาที่ตกอยู่ในสภาพการณ์อย่างเขา ขอเพียงยืนหยัด หาญกล้า ซื่อสัตย์ ขยัน รับผิดชอบ ฉวยทุกโอกาส ไม่มีอะไรที่ผ่านไม่ได้

   ในช่วงที่แจกลายเซ็นต์กับหนังสือเล่มนี้นั้น ทางผู้ปกครองที่มาเข้าแถวรับลายเซ็นต์ยังให้สัมภาษณ์ว่า หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่เป็นของเด็ก ๆ แต่ยังสอนให้ผู้ปกครองแนะนำลูก ๆ เรียนอย่างไรด้วย “จะร่วมเดินทางแห่งวัยเรียน วัยสอบของลูกด้วยกันอย่างไร โหย่วเผิงนั้นได้เขียนสิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์จริงของเขา คุ้มค่าแก่การที่ผู้ปกครองอย่างเราซื้อไปอ่าน หนังสือเล่มนี้มีคุณค่ามากกว่าหนังสือเขียนของดาราท่านอื่น.........”

   ไถต้า หรือ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน

   มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (อักษรจีนตัวย่อ : 国六薹湾大学 อ่านว่า    กั๋วลี่ไถวานต้าเสวีย  นิยมเรียกย่อว่า ไถต้า ; อังกฤษ : National Taiwan University – NTU) เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในไต้หวัน และจัดว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในไต้หวันด้วย  ตั้งอยู่ในนครไทเป

16
ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว 
http://www.baansuyoupeng.com/webboard/index.php?topic=390.0



ซูโหย่วเผิง “กบฎ”เสี่ยวไกว เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นขวัญใจที่ดี ตั้งใจว่าจะเกษียณตอนอายุสี่สิบ

(หวนจู)ปีที่สิบ เข้าสู่วงการยี่สิบปี สำหรับอายุเกินสามสิบอย่างซูโหย่วเผิง ปีนี้สั่งจอวันต่างๆล่วงหน้ามากมาย ถ้าจะพูดเรื่องการมีชื่อเสียงนั้นจะถือว่าเร็ว สิบห้าปีก็ดังทั่วเอเซียก็นับว่าเป็นชีวิตที่เร็ว เขาที่พึ่งอัดเพลงโอลิมปิกเสร็จไปหมาดๆ เห็นได้ชัดว่ายังครุ่นคิดอยู่ในบรรยากาศของทำนองเพลงอยู่ เสียงดนตรียังให้เขาเร่าร้อนเดือดพล่านเหมือนเดิม ตื่นเต้นจะหาที่เปรียบไม่ได้ ภาษาทั้งรวดเร็วจนขีดสุด ได้ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาอย่างนับไม่ถ้วน เขาคุ้นเคยและชินกับชีวิตที่ “แบบลูกศรธนู” และยังบอกถึงอารมณ์ที่หนักแน่นของตัวเอง ได้หวนคิดถึงสมัยเด็กที่ได้แต่ใช้อารมณ์อย่างเด็ก เขาก็ยังสามารถหัวเราะเบิกบานได้ ไม่ว่าคุณจะยอมเชื่อหรือไม่เชื่อ ในตอนนั้นได้แอบย้อมผมของตัวเองเป็นสี่เขียวอย่างเสี่ยวไกว “ผู้กบฏ” ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นที่ไว้คราวอย่างขวัญใจที่มีคุณสมบัติ


พูดถึงสภาพขณะเข้าวงการนั้น  โหย่วเผิงนั้นอดที่จะขำไม่ได้ที่ขำออกมาสองสามครั้ง หลังจากนั้นค่อยพูดต่อ “ตอนเข้าวงการนั้นก็สนุก เพราะก่อนหน้านั้นผมได้แต่รู้จักเพียงเรียนหนังสือเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจบ ม.ต้น แล้วได้เป็นดาราเลย”

   หลายคนอาจไม่รู้จัก คุณพ่อของโหย่วเผิงนั้นหล่อมาก หล่อจนขณะที่เดินบนถนนยังมีแมวมองมาขุดค้นเขา แต่ความคิดพ่อของโหย่วเผิงนั้นแบบหัวโบราณ คิดว่าผู้ชายไม่ควรเอาโฉมหน้ามาทำมาหากิน แน่นอนก็ไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองไปเกี่ยวข้องกับงานอาชีพอย่างนี้ ฉะนั้น ตอนนั้นที่จริงซูโหย่วเผิงกับคุณแม่นั้นได้ปิดบังเรื่องนี้กับพ่อ เข้าร่วม “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ตอนคัดเลือก

   “ผมในตอนนั้นการเรียนก็ไม่เลวนะ ความคิดแบบหัวโบราณอย่างพ่อแม่ก็อยากให้ลูกได้ดี คุณจะต้องตั้งใจเรียน ตอนหลังเป็นคุณแม่ที่เห็นด้วย ท่านก็รู้สึกว่าลูกก็โตแล้ว ก็น่าจะไปเพิ่มเติมความรู้ ฝึกฝนตัวเอง เพียงแต่ในตอนนั้นท่านได้ทำสัญญากับผมไว้ คือ อย่าให้มันมากระทบต่อการเรียน ฉันก็จะอณุญาตให้เธอไปร่วมกิจกรรมนี้ จะช่วยคุณปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อรู้ จนมาถึงวันหนึ่ง รายการนั้นได้ออกบนทีวี สุดท้ายเห็นกันทั้งบ้าน ถูกเปิดโปงหมด ฮาๆๆๆ

   ในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงเพียงแต่คิดว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย”เป็นเพียงทำเพื่อเป็นการงานอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีความคิดแบบเป็นงานทำการค้า บริหาร เพื่อจะไม่ให้มันกระทบต่อการเรียน ยังได้ตกลงกับทางบริษัทว่าขณะเรียนจะไม่ขอลาหยุดการเรียน  “ฉะนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ล้วนเป็นหนึ่งปีออกอัลบั้มสองชุด คือปิดเทอมหนึ่งและเทอมสองเทอมละอัลบั้ม” แต่การทำงานจะไม่ให้กระทบต่อการเรียนได้อย่างไร เหมือนตอนนั้นที่ถ่าย (หยิวเสี่ยวอ๋อ) แต่มันกลับถ่ายทำตลอดช่วงปิดเทอมหนึ่งก็ยังถ่ายทำไม่เสร็จ ทำอย่างไรดี ก็จำต้องสละเวลาช่วงเปิดเทอมใหม่ๆไปถ่ายทำต่ออย่างจริงจัง

   สมัยนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้ตระเวนออกคอนเสิร์ตไปทั่วไต้หวัน และยิ่งทำเอาหนุ่มน้อยที่ยังเรียนหนังสืออยู่นั้นเหนื่อยสุดๆ ทุกวันเสาร์คาบที่สี่ช่วงเที่ยงยังไม่ทันเรียนเสร็จ พนักงานของทางบริษัทก็ได้มารอโหย่วเผิงที่หน้าโรงเรียนเพื่อเตรียมส่งขึ้นเครื่อง ตอนบ่ายวันนั้นยังมีคอนเสิร์ตอีกรอบ ต่อจากนั้นรีบขับรถวนไต้หวันแล้วไปอีกสถานที่หนึ่ง เช้าวันอาทิตย์ต้องเริ่มงานคอนเสิร์ทที่สอง ตอนบ่ายรอบที่สาม จนถึงเที่ยงคือถึงจะได้กลับบ้าน ฉะนั้น หลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์ อดหลับอดนอนอย่างเสี่ยวไกว (ไกวแปลว่าเชื่อฟัง) ไม่ไกวเลยที่ขณะเรียนนั่งหลับอยู่บ่อยๆ

   “ตอนนั้นอยู่ในโรงเรียนก็ยังรู้สึกว่าโดดเดี่ยวจริงๆ งานกิจกรรมกลุ่มของเพื่อนนักเรียนนั้นผมไม่ได้เข้าร่วมเลย อยู่ในโรงเรียนก็ได้แต่ง่วงนอนตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ หลังจากนั้นวันเสาร์ก็ถูกรับไปออกคอนเสิร์ต ฮ่าๆๆ” เมื่อถึงปีที่สาม เขาสุดจะทนแล้วได้บอกกับทางบริษัทว่า “ไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะสอบไม่ผ่านแน่ๆ รูปแบบอย่างนี้จะถูกทำลายเร็วๆนี้” มีการพูดและขอสิทธิของเขา จึงจะมีการหยุดหนึ่งปีของเสี่ยวหู่ตุ้ยและ(วันเวลาในความเห็นของผม)เล่มนั้นของหลังจากนั้น

   เกี่ยวกับการเรียน  ม.สี่ ม.ห้า หลังผ่านไป

   ตอนสอบเข้ามหาลัย ได้รับกำลังใจจากทางบริษัทและเพื่อนอีกสองคน และยิ่งถูกเพ่งมองจากสังคม ทุกคนล้วนเข้าใจความรู้สึกผม ผมก็ไม่มีอะไรจะอ้างอี จำเป็นต้องเอาผลสอบออกเปิดเผย ฉะนั้นมีความกดดันมาก  ความกดดันที่หนักขนาดนี้ขณะที่ได้ปล่อยให้เด็กคนนี้แบก นิสัยอย่างเด็ก ก็ออกมาพร้อมกับความกดดัน

   ช่วงม.สี่ ม.ห้า ผลการเรียนของซูโหย่วเผิงนั้นไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน  ยังถูกทางบริษัทยกเอาชื่อมาบอกว่า เป็นขวัญใจที่ยอดเยี่ยม ทั้งเรียนดีทั้งทำงานเก่ง

   ปิดซัมเมอร์ตอนม.ห้า เสี่ยวหู่ตุ้ยปีก่อนได้ชะงักอัลบั้มชุดสุดท้าย(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) ที่จริงปิดเทอมของปีนั้น โหย่วเผิงได้เข้าเรียนพิเศษที่เฮ่าอยู่อินไห่  “รวมทั้งติวพิเศษของ ม.สี่ ม.ห้า ยังมีรายวิชาเรียนใหม่ ยังมีฟิสิกส์ เคมี ...วิชามากมายที่ก่อนหน้านี้ผมเรียนไม่ทัน “เพื่อนนักเรียนข้างๆก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ในการขึ้นชั้นของผม นอกจากการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว อีกด้านหนึ่งทางบริษัทก็จ่องหวังให้ผมทำอัลบั้มให้เสร็จโดยดี “ ตอนนั้นผมก็คิดว่า ตายจริง ทุกคนช่วงชิงเวลาทุกวินาที แต่การสอบม.ปลาย แม่จ๋า ท่านว่าตกวิชาเดียวจะตกขนาดไหน ยิ่งกว่านั้น ม.สี่ ม.ห้าผมตามไม่ทันหมดเลย ฉะนั้นอารมณ์ของผมหนักหน่วงมาก

   ตอนนั้น ทุกคืนกว่าจะเลิกเรียนพิเศษก็ สามทุ่มแล้ว ซูโหย่วเผิงที่ได้อยู่ท่ามกลางของผู้คนได้สวมแว่นที่หนาอย่างในละครที่คุณหมอที่ได้สวมแว่นอย่างนั้น ทรงผมที่ตั้งอย่างรุงรัง ก็ไม่ต่างอะไรกับนักเรียนคนอื่น แต่เมื่อเหนื่อยจากการเรียนทั้งวันแล้ว ออกจากห้องเรียนปุ๊บ อู่ฉีหลงกับพนักงานของทางบริษัทก็ได้รอเขาที่ถนนไปเรียนพิเศษเพื่อไปซ้อมคอนเสิร์ต “ในตอนนั้นผมใจผมไม่ยินยอม ผมก็คิดว่าพวกคุณมาเป็นศัตรูกับผมชัดๆเลย ไม่ใช่บังคับผมหรือ สอบไม่ผ่านแล้วทุกคนก็จะเสียหน้าไม่ใช่หรือ ...ตอนนั้นใจหนึ่งผมอยากเรียน แต่ก็ถูกพวกเขาลากไปอย่างไม่เต็มใจ” หม่าเหลยเหมิงอาจารย์ไต้หวันที่มีชื่อเสียงการจัดเรียง มีนามว่าเสี่ยหม่า ตอนนั้นพอดีท่านได้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดเรียงของอัลบั้ม(ซิงซิงเตอแยฮุ้ย) มีสีหน้าที่ไม่ดีขณะซ้อมอย่างซูโหย่วเผิง ก็เคยโดนเสี่ยหม่าด่าว่ายังจัง

   “สองสามวันก่อนผมได้เจออี้เนิงจิงในงานหนึ่ง เธอบอกว่ายังจำได้เมื่อก่อนได้เจอผมในงานหนึ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา น่าสงสารจริงๆ ทุกคนก็วิ่งมาถามผมว่าเป็นอะไร ผมก็ตอบว่าทางบริษัทไม่ให้ผมได้นอนเลย ฮาๆๆๆ เรื่องนี้ผมลืมไปหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ....

  เรื่องความรัก พวกเราได้อยู่อย่างแสนลำบาก
   
วงการบันเทิงนั้นเป็นวงการหนึ่งที่ทำให้คนอารมณ์หุนหันพลันแล่น บ้างคนดังในช่วงพริบตา ก็มีบางคนชั่วคืนเดียวตกต่ำเหมือนอย่างดาวตก อิทธิพลของสื่อนั้นใหญ่มาก ถูกจ่องมองเกินไปก็ทำให้เกิดความกดดันมากเหมือนกัน

   ผมได้มีความสัมพันธ์กับสื่อนั้น ตัวเองก็มีเบื้องหลังเหมือนกัน พื้นนักข่าวของสื่อ ในตอนนั้นก็นับว่าอยู่ในระดับคุณแม่อย่างนั้น ก็ถามผมว่าความสัมพันธ์ของครั้งที่แล้วเมื่อใด? ถามอย่างนี้กันเลย แล้วผมก็รู้สึกว่า อื่ม? คุณถามเกินไปหรือเปล่า? สื่อมากมายในสมัยนี้ยิ่งของทางใต้หวันทุกคนล้วนแต่พูดเรื่องพวกนี้ สำหรับวัยรุ่นแล้วมันกระทบกระเทือนกันนะ ผมรู้สึกว่าศิลปินก็น่าจะมีคุณสมบัติดีบ้าง ผมไม่ได้หมายความว่าถามอย่างนี้ไม่ถูกหรืออย่างไร แต่ศิลปินบางคนก็ไม่แฟร์ ขณะที่ “หลิวย่ออิง” พูดเรื่องเหล่านี้กับคุณทุกวัน คุณก็รู้สึกว่า “หลิวย่ออิง” ดับสูญไปแล้ว(ความหวังหรือความฝัน) ผมได้คิดแทบล้มประดาตายกับตัวเองอย่างนั้น แต่เอาเบื้องหลังคุณมาเชื่อมพันกันก็จะกลายเป็นเชือกเส้นหนึ่ง นั่นก็คือภาพพจน์ของคุณ

   ตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าสู่วงการความตื่นเต้นที่เผชิญกับสื่อ ถึงตอนนี้ก็อยากกล่าวตรงๆว่าตัวเองก็มีอารมณ์ที่หนักแน่นขึ้น นอกจากความกล้า คิดว่าจำยิ่งต้องมีจิตใจที่เข็มเข็งเป็นผู้ใหญ่ “ผมรู้สึกว่าเรื่องความรักบางครั้งไม่ใช่จะคิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เราอาจชินกับการมีชีวิตอยู่ภายใต้ความกดดัน แต่ว่าสำหรับอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมันไม่ยุติธรรม เรื่องอย่างนี้มีทั้งคนอวยพรและคนติเตียนว่ากล่าว แต่นั้นได้ใช่ว่าผู้ที่ถูกว่าแล้วนั้นจะทำเหมือนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ทุกคน มันมีความกดดันมากมายเหมือนกัน

   มีแฟนเป็นดารา การจับมือจูงแขนอย่างชาวบ้านเดินในตลาดก็ถูกคนรอบข้างมองว่าเกินไป ซูโหย่วเผิงยิ้มแล้วพูดเล่นว่า “ ใช่ พวกเราต้องอยู่อย่างลำบากมาก ฮ่าๆๆๆ..”

   บัดนี้ สำหรับซูโหย่วผิงแล้ว อาชีพนักแสดงดูเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นเหมือนภารกิจ “ตอนนี้สำหรับตำแหน่งที่สูงกว่าและความสำเร็จที่สูงกว่าผมรู้สึกเฉยๆ จะไม่เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นหนึ่งเดียวในเป้าหมายของชีวิต มีได้ใส่ใจกับการดำรงชีวิต ทั้งของตัวเองและคนที่ผมสามารถมีอิทธิพลชีวิตของเขา ในระดับหนึ่งๆ สำหรับผู้ที่สนับสนุนผมนั้น ผมได้ยืนหยัดมายี่สิบปีก็อาจเป็นแรงผลัดดันเป้าหมายของเขา  ท่าทีและทัศนคติของผม ที่จริงทุกคนอาจได้รับผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อทุกคนบ้าง

   เขากล่าวว่า ส่วนตัวจะเกษียณงาน(ลา)อย่างช้าก็อายุประมาณสี่สิบ “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทำไปก็พอสมควร หลังเวลานั้นแล้วจะไปทำงานเกี่ยวกับการกุศล สิ่งนี้น่าจะมีชีวิตที่สบายๆกว่า (ไม่เครียด) ไม่อยากวันๆอยู่แต่ใต้แสงสีเสียง อยู่ใต้สภาพชีวิตที่มีความเครียดและหาแต่ลาบยศมากเกินไป เพราะว่าผมไม่ได้จะคิดอะไรมากมายอย่างนั้น

17


13 พฤษภาคม 2555 วันแม่ดาราทำอะไรกันบ้าง = วันแม่ / Mother's Day / 母親節
 


วันนี้เป็นวันแม่ เป็นวันที่สมควรแก่การไปกราบคุณะแม่ อย่าลืมพูดกับแม่ว่า สุขสันต์วันแม่ บางทีอาจจะคิดการซื้ออะไรเป็นของขวัญให้คุณแม่

ซูโหย่วเผิงไม่เพียงแต่ลงรูปเขากับแม่ในอดีตลงในเวยโป่ว(wb)  ยังเขียนด้วยว่า รูปเก่าๆไม่ระบุวันเวลา 555+ ตอนเด็กเขาเป็นสิ่งล้ำค่าของคุณแม่ โตขึ้นคุณแม่เป็นของล้ำค่าของเขา ขอให้คุณแม่สุขภาพแข็งแรง สุขสันต์วันแม่  ลงรูปเก่าๆที่ถ่ายกับคุณแม่ และอวยพรคุณแม่ด้วยน้ำเ
สียงที่อ่อนโยน
 

18
[12.05.07] 苏有朋发起公益活动呼唤关爱空巢老人(图
http://tieba.baidu.com/p/1575592883


7 พฤษภาคม 2555  ซูโหย่วเผิงเรื่มเรียกร้องกิจกรรมสาธารณะให้กับผู้สูงอายุ

ตามที่ซุโหย่งเผิงเปดเผยห้องทำงานใหม่ของเขา  เนื่องจากซูโหย่วเผิงเริ่มที่จะจัดโครงการเพื่อผู้สูงอายุ  เป็นคนที่ริเริ่มกิจกรรมสาธารณะ ซูโหย่วเผิงเพื่อที่จะถ่ายโฆษณาโครงการนี้  หวังว่า กำลังของตนเองและการร่วมมืออย่างดีของทีม จะทำให้ทุกคนสนใจโครงการนี้    ทำให้ทุกคนรักและห่วงใยพ่อแม่มากขึ้น 

ปีล่าสุดนี้   ตามที่ปัญหาภาวะผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น แรงยิ่งขึ้น และ การเพิ่มขึ้นของประชากร ทำให้ผู้สูงอายุขาดคนดูแล ผุ้สูงอายุเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้การใส่ใจ การวางแผนของโครงการสาธารณะนี้เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกส่วนตัวของซูโหย่วเผิง  เป็นศิลปิน เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน เวลาดูแลพ่อแม่ก็มีจำกัด ในเวลาเดียวกัน ซูโหย่วเผิงก็หวังว่า จะเป้นตัวอย่างเรียกร้องคนที่จากบ้านมานานให้หันมาเอาใจใส่พ่อแม่

19
http://tieba.baidu.com/p/1568863399
http://www.faxing6.com/nanshengfaxing/2012/0503/9848.html

มาดู สไตล์ทรงผมของซูโหย่วเผิง

ซูโหย่วเผิงไม่เพียงแต่เป็นนักร้อง นักแสดง แต่ในภาพยนตร์ยังได้เป็นผู้ชายที่เพอร์เฟค มาดู สไตล์ทรงผมของซูโหย่วเผิงในช่วงหลายปีนี้กัน

ทรงผมสั้น
ทรงผมสั้นแบบง่ายๆ ซูโหย่วเผิงให้ความรู้สึกเป็นสุภาพบุรุษ  ตัดโดยใช้กรรไกรเล็ม ให้ปุยๆขึ้นเล็กน้อย ผมหน้าม้าตรงหน้าผากปัดข้าง แล้วจัดผมตรงขมับ ทรงนี้จะทำให้ผู้ชายมีเสน่ห์และดูดีมากขึ้น


ทรงปัดผมไว้ข้างหลัง
ทรงปัดไปข้างหลังของผู้ชาย จะนำผมส่วนกลางหวีกลับไปด้านหลัง ผมตรงขมับตัวจนเท่ากัน เป็นการออกแบบทรงผมที่ทำให้คุณผู้ชายดูแมนขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ


ผมหน้าม้ายาวเท่

ผู้ชายไว้ผมหน้าม้ายาว ให้ความรู้สึกร็อค  ผมหน้าม้ายาวถึงหูให้ความรู้สึกมีมิติ เป็นโมฮอกเล็กๆ ผมด้านหลังตัดออกหมด เพื่อเน้นผมหน้าม้าที่ยาวเป๋


ผมตั้ง
ผมตั้งของซูโหย่วเผิง เป็นหนึ่งในทรงผมที่ฮิตของผู้ชาย ผมตรงกลางถูกตั้งขึ้นมา ได้ทรงผมที่ไม่เหมือนใคร ออกแบบดัดผม ทำให้ผมออกมามีลักษณะคล้ายดอกไม้ เพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ชาย


หน้าม้าเฉียง
ซูโหย่วเผิงตัดผมสั้นให้ความรู้สึกที่ลึกลับ ผมสั้นแบบนี้ ทำให้ผมหน้าม้ายิ่งเด่นขึ้น ทำให้ดูแมนขึ้น



ผมยาว
ซูโหย่วเผิงไว้ผมยาว ต้องใช้เทคนิคการเล้มผม  ผมปลายยาวทำให้ดูฟูขึ้นเล็กน้อย ด้านหน้าปล่อยผมหน้าม้าไว้ครึ่งหน้าผาก ปรับรูปหน้าของซูโหย่วเผิงทำให้หน้าดูเพอร์เฟคมากขึ้น

20

28 เมษายน 2555 ซูโหย่วเผิงจะสร้างห้องทำงานในการบินเดี่ยวไม่มีผู้จัดการ(ไร้ต้นสังกัด..นักแสดงอิสระ)

ซูโหย่วเผิงจะสร้างห้องทำงานในการบินเดี่ยวไม่มีผู้จัดการ  ถามประสบการณ์จากฟ่านปิงปิง
ซูโหย่วเผิงยุ่งอยู่กับการโปรโมทละคร(ชาเชิง)  เมื่อวานนี้เขาเปิดเผยว่ากำลังเตรียมห้องทำงานของตัวเอง
ยิ่งเป็นการเพิ่มกระแสที่ดาราบินเดี่ยวไร้ผู้จัดการ

ปีที่แล้วซูโหย่วเผิงเป็นพระเอกหนังห้าเรื่อง ปีนี้ก้อมีงาน(ชาเชิง) (ถงเชว่ถาย) สองเรื่อง
หนึ่งในนั้นกำลังออนแอร์อยู่(ชาเชิง) ซูโหย่วเผิงเล่นเป็นคนร้าย
ซูโหย่วเผิงฝีมือพัฒนาขึ้นทำให้มีความมั่นใจอย่างเต็มที่

เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมาบนแคทวอลค์ของเสื้อผ้าแบรนด์ดัง
นอกจากจะถามประสบการณ์ของฟ่านปิงปิง ซูโหย่วเผิงก็กำลังเตรียมตัวเปิดบริษัทบินเดี่ยวเอง

ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า กำลังเตรียมตัวทำห้องทำงานของตัวเองอยู่ กำลังหาสคริปต์
อาจจะเล่นละครสองสามเรื่อง ถ้าเหมาะสมก็จะเล่นเอง การเป็นเจ้านายเอง

เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นเจ้านายต้องควบคุมคนได้
เป็นนักแสดงมันเฉื่อยชา ต้องไข่วขว้าด้วยตัวเอง
ของที่ต้องการหามาได้อย่างง่ายดาย
และเมื่อพูดถึงละครของเขาจะหาใครไปร่วมแสดง
ซูโหย่วเผิงหัวเราะแล้วพูดว่า ถ้าบทดี เขาจะเล่นเอง

หน้า: [1] 2 3 ... 38