แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Alec Love Me

หน้า: 1 ... 198 199 [200] 201 202 ... 216
3981
Magazine Interviews-China / Re: 2010 Fashion Weekly
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 04:43:19 AM »

โหย่วเผิงกับการแสดง

F: ภาพยนตร์ ละคร ละครเวที ในมุมนักแสดงของคุณนั้น คุณคิดว่าแต่ละอย่างมีความพิเศษอย่างไร?

S: ภาพยนตร์สนุกกว่า มันเป็นอะไรที่จะต้องใช้ความสามารถในการถ่ายและเวลาถ่ายก็มีอะไรให้เรียนรู้เยอะ งานละครเสมือนงานน้ำไหล ทุกวันก็ต้องเน้นปริมาณ มันออกแนวธุรกิจ ละครเวทีนั้นมีเอกลักษณ์การแสดงเฉพาะของมัน มีเงื่อนไขคือต้องให้คนที่นั่งอยู่แถวหลังสุดต้องได้ยินเสียงของคุณ เห็นท่าทางการแสดงของคุณ ฉะนั้นการแสดงนั้นก็ต้องแสดงแบบออกเว่อร์ๆหน่อย

F: แล้วนักแสดงที่คุณชื่นชอบล่ะ?

S: นักแสดงหลายคนนั้นเก่งมากๆ ผมเป็นคนที่ใช่ว่าจะไปชอบเลียนแบบใครเป็นพิเศษอะไรอย่างนั้น แต่ว่าอย่างไรก็ตามผมเองก็รักชอบ JULIA ROBETS จริงๆ ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่มีเสน่ห์สีสันมากๆ

F: แล้วนักแสดงชายล่ะ?

S: ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแบบหล่อๆ แต่ชอบแบบตรงข้ามที่แปลกๆ มันรู้สึกว่ามันเท่มากๆ

ขวัญใจของผมในตอนนี้คือ(คุณจางหันอี๋) ผมฝันว่าสักวันหนึ่งคงจะเหมือนเขา แต่ไม่ขอพึ่งวาสนา แต่จะขอพึ่งการตั้งใจในการทำงาน ทำงานของผมให้ดีที่สุด อีกอย่างมุมมองชีวิตของเขากับผมนั้นคล้ายๆกัน เขาได้ผ่านร้อนหนาวมามากมาย เรื่องชื่อเสียงเงินทองสำหรับเขานั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ผมเองก็เป็นอย่างนี้ ไม่ชอบทำอะไรที่เอิกเริก ผมเองจะเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ก็จะมีวินัยกับตัวเอง งานนั้นต้องทำให้ดีที่สุด แต่ว่าผมเองก็จะไม่เน้นว่าผลงานจะต้องออกมาดี จะไม่มีความรู้สึกที่เหมือนกับอยากได้ชื่อเสียง ถ้าอย่างนั้นแล้วมันก็คงจะไม่สบายใจ

F: มีนักแสดงที่เข้าขาหรือสนิทกันมากๆในจีนไหม?

S: ผมอยากจะแสดงร่วมกับ(หันอี๋)ในแนวเจ้าพ่อโดยที่เขาเป็นพี่ใหญ่ผมเป็นพี่รอง เป็นแนวเจ้าพ่ออย่างนั้นนะ

F: คุณปรารถนาที่อยากจะเล่นบทที่ออกแนวร้ายๆหน่อยอย่างนั้นหรือเปล่า?

S: มันก็ต้องมีอย่างนั้นหน่อย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นผมเล่นละครก็เล่นแต่บทดีๆ แต่สำหรับภาพยนตร์นั้นก็ต้องการออกแนวโหดๆหน่อย อยากจะให้เหมือนคล้ายกับชีวิตจริงบ้าง ละครนั้นเล่นแต่ภาพลักษณ์ที่ดีๆ เรื่องความรักก็เช่นกันมันหวานมากๆ ดีจนหาที่ติไม่ได้เลย ผมอยากจะให้มันสมกับชีวิตจริงบ้าง

F: ตัวคุณเองนั้นคิดอยากจะถอดหมวก หนุ่มขวัญใจ ออกจากชีวิตใช่หรือเปล่า?

S: แน่นอน หากว่าคุณจะเป็นนักแสดงที่ดีแล้ว สิ่งนั้นจำเป็นต้องถอดออก ตัวผมเองด้านหนึ่งก็จะต้องเรียนรู้ ผมเองก็ไม่อยากให้คนที่มองผมตีกรอบให้ผมว่าผมต้องเป็นอย่างนั้นไปตลอด

F: ตอนนี้ได้ถอดออกหมดแล้วหรือยัง?

S: ถอดไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลังจากราตรีตรุษจีนแล้วทุกคนก็สังเกตเห็น โหย่วเผิงเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ (ฮ่าๆ) เป็นสิ่งดีที่ได้รับโดยไม่คาดคิดเลยนะ



3982
Magazine Interviews-China / Re: 2010 Fashion Weekly
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 04:34:25 AM »

โหย่วเผิงกับไกวๆหู่

F: ขณะที่ซ้อมการแสดงในห้องนั้น เมื่อคุณเห็นฉีหลงกับจื้อเผิงแล้ว คุณรู้สึกอย่างไร?

S: แรกๆนั้นจะมีความรู้สึกแปลกหน้าหน่อยๆ เพราะนานมากๆแล้วที่ไม่ได้กินนอนอยู่ด้วยกัน แต่ก็มีการทักทายกันสองสามคำ จับๆมือ แต่เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น ความรู้สึกเก่าๆก็เกิดขึ้นมา

F: ขณะที่ซ้อมการแสดงของรายการจงยางนั้น คุณมีความรู้สึกพิเศษอะไรหรือเปล่า?

S: จริงๆแล้วขณะที่ศิลปินยื่นอยู่บนเวทีก็คงจะไม่มีเวลาไปคิดอะไรมากมาย แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือตอนที่พวกเราทั้งสามคนได้ลอยขึ้นมาจากใต้เวที แล้วมีแสงโพกัสมา เพราะที่ผ่านมานั้นมีเพียงแสงไฟดวงเดียวเท่านั่นที่ส่องมา ก็จะรู้นิดๆว่าขณะที่ไม่มีเพื่อนนั้นมันเป็นอย่างไร ฉะนั้นช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ผมประทับใจมากๆ

จะขอพูดความจริงว่า ขณะที่พวกเราเผชิญกับชีวิตจริงนั้น พวกเราไม่เคยที่จะหยิบรูปเก่าๆออกมาดูเลย ว่าตอนเด็กนั้นเป็นอย่างไร แต่ช่วงนี้ข่าวของเสี่ยวหู้ตุ้ยกำลังฮอตมาก ผมเองก็ได้หวนความทรงจำอยู่บ้าง พวกเราเคยถ่ายนิตยาสารประวัตส่วนตัวจีนเล่มแรกด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าเราอยู่ห้องซ้อมการถ่ายในชั้นใต้ดินของบริษัทดูกระจก แกล้งทำเป็นถ่ายเสร็จแล้วก็เหนื่อยมาก ตอนถ่ายก็จะมีรูปที่ถ่ายแบบกระโดดบ้าง

F: ไม่ว่าจะตอนเสี่ยวหู่ตุ้ยหรือการแสดงในงานราตรีตรุษจีน ตำแหน่งของคุณนั้นยืนอยู่ข้างซ้ายตลอดไม่เปลี่ยนเลย?

S: จริงซิ? เพราะตลอดเวลาก็เป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนไม่เคยคิด ฉีหลงก็ยืนตรงกลางตลอด เหตุเพราะเขาเป็นพี่ใหญ่ ผมในตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่เลย(ฮ่าๆ)

F: หากว่าเวลานี้จะเลือกเพลงหนึ่งในเสี่ยวหู่ตุ้ยมาสื่อใจของคุณ คุณจะเลือกเพลงไหน?

S: จริงๆแล้ว(ฟ้างซินชี่เฟย) กับ (ลี่เกอ)ก็ไม่เลวนะ แต่ผมคิดว่าลี่เกอมาเปรียบแล้วคงจะไม่เศร้าอย่างนั้น น่าจะเป็นความรู้สึกที่สนุกสนาน ไม่ต้องไปเศร้าอะไรมากมาย เพราะว่าต้องมีสักวันที่พวกเราจะต้องได้มาเจอกันอีกนิ



3983
Magazine Interviews-China / 2010 Fashion Weekly
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 04:25:01 AM »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากนิตยสาร Fashion Weekly
ประจำเดือน 25 มี.ค. - 7 เม.ย. 2010 เล่มที่ 5



3984
Magazine Interviews-China / Re: 2010 Men's Health
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 04:18:15 AM »



3985
Magazine Interviews-China / Re: 2010 Men's Health
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 04:15:58 AM »


รูปโหย่วเผิงที่เป็นขวัญใจกว่ายี่สิบปี มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก

ในรูปนั้นเป็นรูปเมื่อยี่สิบปีก่อนของโหย่วเผิง เป็นไปไม่ได้ที่ผมเองจะไปน่ารักเหมือนเดิม ฉะนั้นจะพยายามเต็มที่

MH . เมื่อมาเปรียบเทียบคุณในตอนนั้นกับคุณในอดีต สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดคืออะไร?

โหย่วเผิง . คือไม่ได้มีที่ให้พึ่ง ตอนนั้นไม่มีจิตใจแห่งการทำงานเป็นอาชีพ เริ่มแรกนั้นก็เหมือนกับการไปรับจ้างทำงาน คิดว่างานหลักผมนั้นควรจะเป็นการเรียนมากกว่า อย่างน้อยหากไม่ร้องเพลงก็หันกลับไปเรียนต่อ ยังมีปริญญาเอกรอผมอยู่

MH . ตอนหลังไม่มีทางจะถอยแล้วต้องรับเล่นเรื่ององค์หญิงกำมะลอ?

โหย่วเผิง . ใช่ เพราะชีวิตในตอนนั้นคือมองแต่งานตรงหน้า ผมยังจะต้องเลี้ยงดูครอบครัว ผมเป็นลูกคนโตในบ้าน แม้ว่าในเสี่ยวหู่ตุ้ยจะมีพี่ใหญ่ดูแลผม แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อผมได้กลับไปในชีวิตจริงผม ผมเป็นพี่ใหญ่ ตอนนั้นได้ตกจากฟ้าลงมาสู่ดิน จำจะต้องใช้แรงกำลังของตัวเองไปต่อสู้กับเส้นทางชีวิต

MH . คุณในวันนี้มีด้านไหนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงที่สุด?

โหย่วเผิง . ต้องการแรงรักอย่างยิ่ง

MH . คุณคิดว่าคุ้มไหมกับการไปทุ่มเทอิสระของตนเองให้กับงาน?

โหย่วเผิง . บางอย่างนั้นไม่สามารถที่จะใช้สติปัญญาในการไปตัดสินว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม แม้จะบอกได้ว่า ผมก็ได้รับอะไรมากมายเหมือนกัน แต่ว่าความเป็นจริงแล้ว ผมก็ได้เสียอะไรไปที่มันจะไม่หวนกลับมาได้อีก หากว่าวันหนึ่งนั้น ผมแบกมันไม่ไหวจริงๆ บ้าไป มันก็หมดกันเลยจริงๆ ไม่สามารถที่จะใช้วาสนาไปวัดความมากน้อยได้ หากน้อยก็ให้มันน้อยไป

MH . แล้วสิ่งที่คุณให้ความสำคัญกับชีวิตนั้นคืออะไร?

โหย่วเผิง . ความสมดุลย์ คนคนหนึ่งไม่เพียงจะมีเงินในธนาคารเท่านั้น ยังต้องมีเพื่อนมิตรสหายและคนในครอบครัวด้วย

MH . คิดว่ามีบทอะไรที่กำลังรอคอยคุณอยู่ไหม?

โหย่วเผิง . ไม่รู้นะ ขอเพียงให้มีสีสันหน่อย หรือไม่ธรรมดาหน่อย หรือแปลกๆหน่อย ก็เป็นสิ่งที่น่าจะคล้ายกับผม

MH . ปัจจุบันมีดาราหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย แล้วสิ่งที่แตกต่างหรือดีกว่าพวกเขามากที่สุดคืออะไร?

โหย่วเผิง . ประสบการณ์ผมมากกว่าพวกเขา และท่าที่ในใจผมดีกว่า

MH . คุณสามารถที่จะวิจารณ์คุณอย่างตรงไปตรงมาได้ไหม?ว่าจะให้คะแนนในการถ่ายรูปของวันนี้เท่าไหร่กัน?

โหย่วเผิง . พูดตรงๆ คุณก็ทราบว่าเมื่อก่อนนั้นผมเองก็ไม่ได้เดินในเส้นทางนี้ จริงๆแล้วการฟิตร่างกายผมนั้นก็ใช้เวลาช่วงหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าก็ใช่ว่าจะมีเวลามาฟิตอย่างนี้ตลอด ก่อนหน้านี้ก็ไม่ง่ายที่มีบทละครหนึ่งที่ผมจะต้องฟิตร่างกายตัวเอง ต่อจากนั้นก็เป็นบทของไป๋เสี่ยวเหนียนในเรื่องเฟิงเซิง เป็นกระเทยคนหนึ่ง ฉะนั้นเลยผอมลง


MH . คุณหวังว่าอีกสิบปีนั้นคุณจะวิจารณ์ตัวเองอย่างไร?


โหย่วเผิง . ไม่มีอะไรต้องมาวิจารณ์ตัวเอง ทุกอย่างล้วนไปตามขั้นตอน คุณอยู่วันนี้ก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ชีวิตและสิ่งแวดล้อมนั้นย่อมเปลี่ยนไปตามวันเวลา ไม่มีใครจะยืนอยู่กับที่


3986
Magazine Interviews-China / Re: 2010 Men's Health
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 04:12:14 AM »

เขาบอกว่าอะไรก็ถามได้ เขาได้ให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเอง และวันนี้ก็เป็นวันที่มีความสุขมากๆ เพราะในสตูนนั้นมีแต่เสียงหัวเราะของโหย่วเผิง ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าสบายๆ เมื่อมองไป ก็ยังเห็นถึงใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนของเขา นอกจากตัวเขาที่มีกล้ามออกมาให้เห็นและสีผิวที่ดำไปบ้าง การยิ้มของเขานั้นยังเข้ม มีหนวดนิดๆ

โหย่วเผิงพยายามที่จะให้ทุกคนรู้ว่าเป็นหนุ่มหล่อนั้นวันหนึ่งก็ต้องมีแก่เหมือนกัน ทุกคนก็ล้วนอยากจะอยู่ในวัยหนุ่มสาว เขาได้ให้เห็นถึงความแตกต่างของยี่สิบปี

เข้าวงการอายุ 15  โหย่วเผิงแยกแยะเรื่องความจริงกับความฝันไม่ออก ขณะที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกวง เขายังไม่รู้ว่าอะไรคือการลาจาก มาจนถึงคอนเสิร์ด ลาก่อน กับแฟนคลับ เขาถึงได้รู้ว่า เพลงเหล่านี้ต่อไปคงจะไม่มีโอกาสร้องอีก ถึงจะรู้ว่าการลาจากนั้นเป็นอย่างไร


เรียนมหาลัยอยู่ 3 ปี  จะเปลี่ยนคณะก็เปลี่ยนไม่สำเร็จ จนกระทั่งต้องลาออก “นั่นเป็นมรสุมที่ใหญ่ของชีวิต เพราะว่าภาพไกวๆหู่นั้นมันรู้สึกจอมปลอมจริงๆ ผมเริ่มมีรอยด่าง หลายๆคนรับไม่ได้” แน่นอนตัวเขาเองก็รับคำวิจารณ์คำด่ามากมายไม่ได้ กระทั่งแบกเป้ไปอังกฤษ ได้อยู่ที่นั่นหลายเดือน ก็ยังต้องกับมาเผชิญกับชีวิตจริง แต่ว่า เขาก็หาบ้านไม่เจอ

“พูดตรงๆว่า ผมไม่ค่อยมีความรู้สึกที่มีบ้าน เพราะบ้านผมนั้นไม่ค่อยสามัคคีกัน จริงๆแล้วตอนเรียนมหาลัยผมเองก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว ตอนหลังบ้านเรามีสี่คนต่างคนก็ต่างอยู่” หลังจากนั้น โหย่วเผิงก็ได้มาถ่ายทำละครที่จีน เริ่มจากเรื่ององค์หญิงกำมะลอ ช่วงเวลาของละครโทรทัศน์นั้นก็เกือบสิบปี คนอื่นนั้นก็ใช้ชีวิตของตนเอง แต่เขากลับสามารถเลี้ยงดูคุณแม่ได้ และให้น้องชายใช้ชีวิตที่ดีกว่า เป็นสิ่งที่ประทับใจมากๆ

ในใจของทุกคนก็ล้วนมีช่วงแห่งการต่อสู้ จริงๆโหย่วเผิงนั้นอยากจะแบ่งตัวเองออกเป็นสองตัวตน เป็นศิลปิน และเป็นคนธรรมดาของตนเอง แต่ว่าเขาได้ทุ่มเทให้กับงานจนสุดตัว เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าชีวิตแห่งการทำงานของเขาและชีวิตจริงของเขานั้น ด้านไหนจะมั่นคงกว่ากัน “ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่เก่ง แต่ไม่เคยกลัว” เขากล่าว

ฉะนั้น พวกเราก็เริ่มรู้ว่าโหย่วเผิงก็ดื้อเหมือนกัน “ผมคิดว่าผมป่วย เพราะผมไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่อยู่ที่เดิม ผมนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ในที่เดินนานๆได้ ผมชอบในการเปลี่ยนแปลงและปฏิวัติ และไม่ค่อยมีความอดทน” เวลาที่เขาพูดนั้นจริงจังมากเลย แต่จากเสียงหัวเราะของเขาทำให้บรรยากาศดีขึ้น “ตัวผมเองนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด แม้ว่าหลายอย่างจะไม่ประสบความสำเร็จ พวกคุณก็ไม่รู้ด้วย...ฮ่าๆ”

เขานั้นได้นิ่งอยู่ในจุดหนึ่งอย่างมีความสุข เขานิ่ง เปลี่ยนแปลง แล้วเกิดใหม่ เขาได้มีเป้าหมายหรืองานใหม่ “แม้ว่างานภาพยนตร์จะไม่ง่ายในการเริ่มต้น แต่ก็ชื่นชอบมากๆ”


MH . พอใจกับผลงานการแสดงในคืนตรุษจีนไหม?

โหย่วเผิง . ก็ไม่เลวนะ พยายามเต็มที่แล้ว ผมคิดว่าผมเต็มที่กับมันแล้ว

MH . เต็มที่ ความหมายคืออะไร?

โหย่วเผิง . เรื่องนี้นั้นก็เหมือนกับการที่ผมได้เจอกับพวกเขาสองคน นานแล้วที่ไม่เจอกัน ทั้งคุ้นทั้งไม่คุ้น การเข้าขากันอย่างนั้นก็เพิ่งจะเจอ ก็ต้องจบไปแล้ว นานแล้วที่ผมไม่ได้แสดงปรากฏเป็นขวัญใจเหมือนสมัยอดีต รวมทั้งตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงดนตรีก็จะไม่เหมือนเมื่อก่อน ฉะนั้นผมเองก็ได้แต่พยายามที่จะทำให้ทุกคนหวนอดีตให้มากที่สุด

3987
Magazine Interviews-China / 2010 Men's Health
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 04:07:00 AM »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จาก นิตยสาร Men's Health 4 เมษายน 2010 ฉบับที่ 206




3988
ซูโหย่วเผิงระลึกถึงไม่ดีกว่าพบกันใหม่หรือ


สมัยนั้น ขณะที่แฟนๆ เสี่ยวหู่ตุ้ย ล้นหลาม  ซูโหย่วเผิงก็ยังเป็นคนที่เด่นที่สุด และมาในตอนนี้  อู่ฉีหลงที่ได้หย่ากับภรรยากลายเป็นพ่อม่าย    เฉินจื้อเผิงเองที่อยากจะเอาอย่างพี่ใหญ่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  มีแต่ซูโหย่วเผิง ที่เริ่มจากใบหน้าใสๆ อย่างเด็ก  จนมาถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีภาพที่ดี  มีเพียงเขาเท่านั้น  ที่เหมาะสมรับตำแหน่งตัวตั้งตัวตีของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้


การรวมตัวอีกนั้นได้ระเบิดอารมณ์อย่างไม่หยุด

                 ก่อนอื่น พวกเขาได้ร่วมย้อนอดีตเมื่อ10กว่าปีที่แล้วกับซูโหย่วเผิง ตอนนั้นจื้อเผิงได้เข้าไปเกณฑ์ทหาร  เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้มีการแสดงสุดท้ายที่จะแยกจากัน “ตอนนั้นจื้อเผิงจะไปเกณฑ์ทหารพวกเราได้จัดคอนเสิร์ด “แล้วพบกันใหม่”กับแฟนๆ  จากนั้นตอนอยู่บนเวที จริงๆแล้วคือ  ก่อนขึ้นเวที ตัวผมเองก็เป็นคนที่เล็กที่สุด ไม่รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของการลาจาก ไม่รู้เลยว่าทุกคนจะจากกันในทันใด”  “ต้องโทษที่ตอนนั้นอายุน้อย การลาจากอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่รู้เลย”  วันนี้ให้ซูโหย่วเผิงหวนความทรงจำตอนนั้น มันน่าขำเหมือนกัน  คอนเสิร์ด แล้วพบกันใหม่ ครั้งนั้น  ซูโหย่วเผิงคิดว่าเป็นงานคอนเสิร์ดทั่วๆ ไปที่เคยจัด “ทันใดที่ได้ร้องเพลง “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” บนเวที  ก็รู้สึกว่าสมองมึนไปหมด  คิดขึ้นทันทีว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ขึ้นมาร้องหรือเปล่า?  ชั่วชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสได้ร้องหรือเปล่า?  ผมไม่สบายใจในทันใด แล้วก็ร้องไห้ออกมา”

                 เมื่อมาเปรียบการการแสดงในงานราตรีตรุษจีนปีนี้นั้น   ถือว่าซูโหย่วเผิงนั้นเป็นคนที่ลำบากมากในการที่จะมาร่วมแสดง  และเวลาซ้อมนั้น ก็ตื่นเต้นมากๆ  ก่อนที่จะมีการแสดงหนึ่งเดือนนั้น  ซูโหย่วเผิงจะไม่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องของ เสี่ยวหู่ตุ้ย เลย  และทางผู้จัดการส่วนตัวของเขาก็จะปิดกั้นด้วย  และเธอจะตอบว่า “ถามเรื่องอื่นได้ แต่ไม่ให้ถามเรื่องเสี่ยวหู่ตุ้ย”  มันเหมือนว่าเป็นการปิดกั้นสื่ออย่างนั้น  ทำให้ตอนหลังก็มีข่าวเกิดขึ้นมากมาย   เสี่ยวหู่ตุ้ยไม่สามารถจะรวมตัวกันได้นั้น  ปัญหานั้นอยู่ที่ตัวของซูโหย่วเผิง   จากนั้น และมีบางคนต่อว่าซูโหย่วเผิงว่า  เขาดังแล้วไม่ยอมไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนอีก 2 คน  จริงๆแล้ว  หากเป็นความจริงก็ไม่เห็นจะเป็นไร  เพราะการทำอย่างนี้นั้นก็ใช่ว่าจะผิด  มีใครบ้างจะอยากทำลายอาชีพที่ตัวเองสร้างมาอย่างลำบาก  ให้กลับไปเป็นอย่างเดิมล่ะ  และยิ่งกว่านั้น  ตอนนั้นซูโหย่วเผิงพักการเรียนแล้วไปขยายงานที่จีน      2 คนที่เป็นพี่ชายนั้นก็ไม่เห็นมีใครมาช่วยหนุนเขา

         เสือน้อยทั้ง 3 คนก็กำลังเติบโต   อย่างไรก็ตาม  ซูโหย่วเผิงก็ยังเป็นน้องเล็กของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทันทีที่ขึ้นซ้อมบนเวที  ก็ทำให้สีสันพุ่งขึ้น “ครั้งแรกที่ได้ซ้อมต่อหน้าผู้ชม พวกเราได้ลอยขึ้นมาจากใต้เวที  ดนตรีดังขึ้นมา จากนั้นคนที่อยู่ข้างล่างต่างก็ปรบมือ  ผมองก็รู้สึกว่ามีความสุขมากๆ อารมณ์ผมร้อนแรงขึ้นมา  ผมไม่รู้จะทำอย่างไร คุณรู้ไหม?  จากนั้นอารมณ์ก็พุ่งขึ้น จากนั้นก็มายืนอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง  จากนั้นเสียงดนตรีก็ได้ดังขึ้น  ผมก็รู้สึกเหมือนกับกลับเข้าสู่เสี่ยวหุ่ตุ้ย แล้วความรู้สึกอย่างนั้นก็อั้นไม่อยู่ จากนั้นมาถึงเพลงที่ 2 อารมณ์ถึงจะนิ่ง และมาถึงเพลงที่ 3 “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน”   เพราะว่านานแล้ว  ความรู้สึกของการเป็นขวัญใจนั้นมันหายไป และรู้ไหมว่านานแล้วที่ผมไม่ได้ขึ้นเวทีไปร้องเพลง”

             หากว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย สามารถที่จะอิทธิพลคนรุ่นนั้น  ถ้าอย่างนั้น สามารถที่จะบอกได้ว่า ซูโหย่วเผิง นั้นสามารถมีอิทธิพลกับคนตั้ง 2 รุ่น   รุ่นแรกคือแฟนๆในสมัยเสี่ยวหู่ตุ้ย   และอีกรุ่นหนึ่งคือ  เป็นแฟนคลับสมัยองค์หญิงกำมะลอ  นอกจากแฟนๆ 2 ยุคสมัยนี้แล้ว  ยังมีแฟนคลับรุ่นป้าน้าอามากมายที่ชื่นชอบเขา  สามารถที่จะทำให้คนมากมายชื่นชมเขา  สามารถที่จะเดินบนเส้นทางบันเทิงกว่า 10 ปี  สิ่งเหล่านี้นั้น  เป็นที่ภูมิใจของซูโหย่วเผิง  และยังเป็นที่ประทับใจสำหรับเขาด้วย   เขายังหวังว่าอีก 10 ปีข้างหน้านั้น   เขายังมีผลงานอีกมากมายให้ทุกคนชม สามารถที่จะให้ทุกคนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา   ถ้าเช่นนี้ เชื่อว่าเขายังคงมีอิทธิพลต่อคนยุคหลังปี 90 อีกด้วย

การหวนอดีตไม่ใช่เป็นทุกอย่างของชีวต

                ราตรีปีเสือที่ เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้รวมตัวกัน คนนับล้านรอคอยด้วยความตื่นเต้น หลายๆคนยังคิดว่า เสี่ยวหุ่ตุ้ย  น่าจะจะมาปรากฏที่ตงซัน   อย่างน้อยควรจะมีการจัดงานคอนเสิร์ดทัวร์ทั่วประเทศ   ซูโหย่วเผิงกลับปฏิเสธว่าเรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ยาก ทำให้ทุกคนที่รอคอยนั้นต้องใจห่อใจเหี่ยว  ในเน็ตนั้นก็ได้มีข้อความต่อว่าซูโหย่วเผิงมากมาย  บ้างก็บอกว่าเขาเล่นตัว  สร้างความแตกแยก  แม้ข่าวจะออกมามากมาย  แต่ซูโหย่วเผิงก็ได้มีการตอบเหมือนกัน
เพราะว่าซูโหย่วเผิงนั้นเป็นคนที่ไม่อยากร่วมวง!
“คอนเสิร์ดแล้วพบการใหม่”ในครั้งที่แล้ว  ต้องรอเวลากว่า 10 ปี ถึงจะมาพบกันใหม่ แต่ซูโหย่วเผิงก็ยังคิดว่า เก็บไว้เป็นความทรงจำก็ยังจะดีกว่า “ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ความคลาสสิกของเสี่ยวหู่ตุ้ย นั้น  มันไม่เพียงแต่จะหมายถึงพวกเรา 3 คน   มันได้เปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งไปแล้ว  ได้กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายของวงการบันเทิงของชาวจีนไปแล้ว  ผมกล้าที่ให้พวกเรามารวมกันตลอดเวลา   มันคงจะไม่เหมือนกับความคิดของทุกคน  เพราะเราทุกคนล้วนมีสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน   ผมจะขอยกตัวอย่าง หากว่าไมเคิลยังอยู่   แล้วเขาจัดงานคอนเสิร์ด หากว่าเขาเต้นแล้วหกล้ม  ทุกคนก็คงคิดว่าหากว่าไม่จัดก็คงจะดีกว่า   ภาพลักษณ์ที่ดีๆ ที่มีในใจนั้น    กลับต้องมาถูกทำลายลงไปเพราะเหตุการเต้นแล้วหกล้มครั้งนี้  เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็เหมือนกัน ผมไม่อยากจะทำลายมัน   เพราะว่าพวกเราไม่ได้เตรียมตัวมาดี   ก็จะทำให้ความคลาสสิกเสื่อมลงไป”

                      นี่เป็นจุดเด่นมีปัญญาของซูโหย่วเผิง  แต่ว่า ในความฉลาดนั้นก็มีความเลือดเย็นอยู่  และก็มีคนว่า ซูโหย่วเผิงไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์  เขากลับคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขำ  เพราะชีวิตคนเราไม่ได้อยู่กับอดีต “จริงๆ แล้วคืนแสดงนั้น  ผมเองก็ตื้นตันใจมาก ได้คิดถึงอดีตมากมาย แต่ว่าอารมณ์อย่างอยู่  คุณก็จะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคน  อีกอย่าง ผมเองก็รู้ว่าผมเป็นคนที่ชอบหวนอดีต  แต่ว่าชีวิตผมใช่ว่าจะอยู่แต่ในอดีต  ผมไม่อยากจะให้ชีวิตนั้นจมอยู่แต่อดีตทุกๆ วัน   ทุกคนจะเห็นได้จากเรื่อง เฟิงเซิง   แท้จริงแล้วผมเป็นคนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง  ผมนั้นมองไปข้างหน้า ไม่ชอบที่จะเดินถอยหลัง  ผมคิดว่านี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทุกคนยังชื่นชอบผมอยู่”

                        ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว แต่เป็นยุคของ เฟิงเซิง แล้ว และครั้งนี้ที่ได้ยินเพลง “หูเตี๋ยเฟยยา”   ก็เพื่อจะย้อนหวนอดีต อดีตนั้นสามารถจะหวนคิดได้ แต่ไม่สามารถที่จะก๊อปปี้ได้  หากจะยืนกรานที่จะจัดคอนเสิร์ดเพื่อเรียกเรดติ้งของ เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว  คงจะเป็นสิ่งที่เศร้า

                         อย่างไรก็ตาม  ซูโหย่วเผิงก็ยังบอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับพี่ชายอีก 2 คนยังเหมือนกับว่าเพื่อนร่วมสงคราม  เป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นแต่สมัยวัยเด็ก “ผมอยากจะยกตัวอย่างหนึ่ง   2 ปีก่อนผมไปอัดรายการหนึ่ง แขกผู้มีเกียรติที่ยืนอยู่ด้านหน้าผม คือจื้อเผิง และวันนั้นยังเป็นวันเกิดของเขาด้วย  ทางรายการได้ให้ผมเป็นคนส่งของขวัญวันเกิดให้กับเขา ตอนนั้นผมเองก็ได้ฟังเพลงใหม่ของเขาที่ร้องบนเวที ผมเห็นถึงประสบการณ์มากมายบนใบหน้าของเขา   ผมนั้นรู้สึกตื้นตันใจมาก   ตอนขึ้นเวทีผมเองก็อั้นอารมณ์ไม่อยู่แล้ว   และไม่รู้ว่าไปกอดเขาแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ความสัมพันธ์ของพวกเราทั้ง 3 คนนั้นเป็นเหมือนเพื่อนทหารร่วมรบด้วยกัน  จะไม่มีวันจางหายตลอดไป....


3989

ชิงเหนียนโจวม่อ : คุณเคยพูดว่า ไม่ชอบเดินซ้ำอดีต  ชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆและการเปลี่ยนแปลง  ปีนี้หลักๆ คิดอยากทำอะไรบ้าง?

โหย่วเผิง : ครึ่งปีแรกนั้นคงจะมีภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดงเป็นตัวหลัก 2 เรื่องจะฉาย จะมีการไปโปรโมท  นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่จะเปิดกล้อง เป็นเรื่องที่ในประเทศไม่มีใครเคยสร้างเลย มีบางอย่างคล้ายกับเรื่องเฟิงเซิง มันมีความลี้ลับแฝงอยู่ ดึงผู้ชมอยากชมถึงจบ ตอนจบนั้นจะทำให้คุณตื่นเต้นมากๆ

ชิงเหนียนโจวม่อ : การรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น จะเปลี่ยนแผนงานของคุณไหม? แล้วพวกคุณ 3 คนจะมีโอกาสร่วมงานในด้านการแสดงบ้างหรือเปล่า?

โหย่วเผิง : เหตุเพราะเรื่องตารางเวลา   เรื่องทัวร์คอนเสิร์ดนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่ผมหวังว่าอนาคตเสี่ยวหู่ตุ้ยจะได้รวมกันในงานการกุศล  เช่นการระดมเงินการกุศล เป็นต้น อยากจะนำพวกเราที่อยู่ในยุคของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น  ทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศล เรื่องร่วมงานด้านการแสดงนั้นตอนนี้ยังไม่มีโครงการ

ชิงเหนียนโจวม่อ : ได้ยินว่าจากนี้ไปงานหลักของคุณจะเป็นภาพยนตร์  คุณมีเป้าหมายอะไรกับงานการแสดงของคุณไหม?  นักแสดงหรือนักร้องนั้น คุณประทับใจใครบ้าง?

โหย่วเผิง : นักแสดงในดวงใจผมนั้นเป็น จางหันอี๋  ผมฝันว่าวันหนึ่งผมจะเป็นได้อย่างเขา เป็นนักแสดงที่ดีมากๆ  เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ไม่สวยงามมาทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง หากสามารถเลือกได้  ผมไม่อยากจะให้เป็นข่าว  ผมชอบอะไรที่มันเงียบๆ ขอให้แสดงให้ดีก็พอแล้ว แต่ผมเองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

ชิงเหนียนโจวม่อ : ในใจคุณนั้น งานสำคัญหรือชีวิต(ความรัก)สำคัญ?

โหย่วเผิง : ผมบอกกับตัวเองตลอดว่า ชีวิต สำคัญ  แต่ว่ามันดูเหมือนว่า การงานนั้นมันกินเวลาชีวิตผมไปมากพอสมควร



3990

ชิงเหนียนโจวม่อ : คุณจำได้ไหมว่า การรวมตัวครั้งนั้นกับครั้งก่อนหน้านี้นั้นมันเว้นห่างกี่ปี?

โหย่วเผิง : การรวมตัวกันในครั้งที่แล้ว เป็นคอนเสิร์ดที่เซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2002 พวกเขา 2 คนเป็นแขกวีไอพีที่มาให้กำลังใจผม  ตอนนั้นเวลากระชั้นชิดมาก ไม่มีเวลาซ้อม หากเปรียบแล้ว การแสดงครั้งนี้  น่าจะสื่อถึงการแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ยมากกว่า

ชิงเหนียนโจวม่อ : ครั้งนี้ได้คงรูปแบบทุกอย่างของเสี่ยวหู่ตุ้ยไว้นั้นเป็นความคิดของใคร?

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วเริ่มแรก  ที่สถานียางซื่อมาเชิญผมนั้น  พวกเขาได้เสนอให้ผมยืนตรงกลาง แต่ผมกับผู้จัดการส่วนตัวได้ปฏิเสธไป รูปแบบเป็นความคลาสสิกของเสี่ยวหู่ตุ้ย พวกเรา 3 คนไม่จำเป็นต้องมาตกลงกัน  แน่นอนต้องคงความเดิมไว้

ชิงเหนียนโจวม่อ : ตอนซ้อมการแสดงนั้นทุกคนฟังใครพูด?

โหย่วเผิง : ตอนซ้อมนั้น หลักๆคือ หวนระลึกท่าเต้นในอดีต จื้อเผิง เป็นคนที่จำได้ดี ฉะนั้นท่าที่ผมกับฉีหลงจำไม่ได้ก็ถามเขา เราต่างช่วยกันและกัน และส่วนที่เติมเสริมเข้ามานั้น เป็นอาจารย์สอนเต้นมาสอนเรา และบวกความคิดของพวกเขาไปด้วย

ชิงเหนียนโจวม่อ : หลังจากที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ขึ้นแสดงแล้ว  กระแสสุดฮอตอีกครั้ง ก่อนหน้านี้คุณเคยคาดคิดไว้ไหม?

โหย่วเผิง : ไม่เคยคิดว่ามันจะฮอตขนาดนี้ บรรยายกาศอย่างนี้  ใช่ว่าจะมีให้เห็นบ่อยๆ คำว่าเสี่ยวหุ่ตุ้ย นั้น เป็นคำที่สร้างปฏิหารย์จริงๆ

3991

ชิงเหนียนโจวม่อ : เสี่ยวหู่ตุ้ยในตอนนั้น พวกคุณ 3 คนมีจุดเด่นด้อยอะไรบ้าง?

โหย่วเผิง : อู่ฉีหลงอายุแก่สุด ในช่วงนั้น เขาเป็นคนที่อารมณ์หนักแน่น นอกจากนี้ บุคลิกบนเวทีของเขานั้นดีมาก  มีแววเป็นซุเปอร์สตาร์มากๆ  และเป็นคนที่มีเสน่ห์ ส่วนจื้อเผิงเก่งเรื่องเต้น เรียนรู้เร็ว  ร้องเพลงก็มีอารมณ์ท่าทางมากๆ จนเห็นชัดว่าบนเวทีนั้นเขาเป็นคนที่เต้นได้เก่งมากทีเดียว

ส่วนผมนั้นคงจะให้เวลากับการเรียนมากกว่า ฉะนั้นตอนนั้นในเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น  ให้คนรู้สึกว่าเก่งเรียนเก่งแสดง


ชิงเหนียนโจวม่อ : บรรดาเพลงทั้งหมดของเสี่ยวหุ่ตุ้ยนั้ คุณชอบเพลงไหนมากที่สุด เพราะอะไร?

โหย่วเผิง : คนที่ผลักดันอยู่ด้านหลังของเสี่ยวหู่ตุ้ยถึงจะเป็นคนที่น่ายกย่อง  ในทุกช่วงและทุกเรื่องของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น  ล้วนได้สร้างเสียงเพลงที่ไพเราะออกมา หากเปรียบกับวันนี้ มันเป็นสิ่งที่เหมาะกับเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้วแฟนๆของเสี่ยวหุ่ตุ้ยด้วย  อยากจะขอขอบคุณผู้สร้างเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้วผู้ผลักดันด้วย

เพลงคลาสสิกของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นเยอะมากๆ ผมไม่สามารถจะบอกว่าชอบเพลงไหนมากที่สุด หากว่าวันนี้คุณจะบีบให้ผมเลือก  เพลงที่ผมคิดได้ทันทีนั้น เป็นเพลง “ฟ่างซินชี่เฟย” อยากจะพูดกับแฟนคลับและเพื่อนๆที่ร่วมโตมาด้วยกันว่า พวกเราไม่สามารถจะย้อนกลับไปเป็นอย่างสมัยอดีตที่หน้าใสๆอย่างนั้นได้ แต่ก็อย่าเสียใจ พวกเราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าเก่า ไม่ใช่หรือ?



ชิงเหนียนโจวม่อ : เสี่ยวหู่ตุ้ยได้อยู่ในใจของแฟนคลับมันนานมากๆเลย มันเกินกว่าที่พวกคุณได้คิดไว้ไหม?

โหย่วเผิง : ผมได้ฟังสิ่งเรื่องราวมากมายจากคนที่ได้ร่วมโตมาด้วยกัน ทั้งประทับใจและภูมิใจ ราตรีตรุษจีนปีนี้มีการตอบรับที่ใหญ่มากอย่างนี้ มันเกินความนึกคิดของพวกเราจริงๆ ผมอยากจะบอกกับแฟนคลับเสี่ยวหู่ตุ้ยว่า พวกเราล้วนเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน พวกเรายังจะเคียงข้างช่วยเหลือกันต่อไป ขอบคุณทุกคน

ชิงเหนียนโจวม่อ : ช่วงเวลาที่เสี่ยวหุ่ตุ้ยแยกกันต่างคนต่างบินนั้น ทุกย่างก้าวของคุณนั้นเดินไปอย่างไม่บ่น ไม่เสียใจเลยหรือเปล่า?  สิ่งที่คุณรู้สึกเสียดายที่สุดคืออะไร?

โหย่วเผิง : ทุกย่างก้าวที่เดินนั้น  ตอนนั้นคิดว่าเป็นการเลือกที่ดีที่สุด และตัวเองก็ได้ทำอย่างสุดกำลัง  ชะตาจะพาคุณไปในทางที่ชีวิตคุณจะไป  หลายอย่างนั้นเรื่องร้ายกลับกลายเป็นดี เรื่องดีกลับกลายเป็นร้าย ไม่มีใครรู้หรอกว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

ชิงเหนียนโจวม่อ : การรวมตัวกันอีกในงานราตรีตรุษจีนปีนี้นั้น  สิ่งที่ประทับใจและยังอยู่ในใจคืออะไร?

โหย่วเผิง : ได้สร้างความอัศจรรย์อีกรอบให้กับเสี่ยวหุ่ตุ้ย พวกเราทั้ง 3 คนล้วนได้พิทักษ์ปกป้องสปิริต  และความเป็นเกียรติของเสี่ยวหู่ตุ้ยไว้  นอกจากจะขอบคุณฝ่ายจัดงานและแฟนๆที่โหวตให้แล้ว ส่วนตัวก็ยังรู้สึกภูมิใจมากๆเหมือนกัน

3992
Thanks, http://ent.qq.com/a/20100304/000536.htm

โหย่วเผิงให้สัมภาษณ์กับสถานีหยางซื่อ 4 มีนาคม 2010


โหย่วเผิงบอกว่า “ผมได้ปฏิเสธ “ตำแหน่งยืนตรงกลาง”กับทางสถานียางซื่อ”

คืนที่ซ้อมการแสดงนั้น ขณะที่นักข่าวเจอโหย่วเผิง เขาได้รออยู่ด้านหลังสุดของห้องรับรอง นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้  นิ่งเงียบไม่พูดกับผู้จัดการส่วนตัว

นักข่าวเข้าไปทักเขา  โหย่วเผิงได้ตอบรับอย่างใจเหม่อลอย ว่า “สวัสดี” มองจากสายตาของเขาเห็นถึงความเหนื่อยหล้าของเขา  อาจเป็นเพราะที่เขาไว้หนวดคราว ในคืนนั้นบรรดา 3 คนดูเหมือนเขาหน้าซีดที่สุด

วันนั้นเขาได้ตอบรับนัดให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเร็วเกินไป ตี 4 ของวันที่ 2 มีนาคม ทางนักข่าวได้รับจดหมายจากทางโหย่วเผิงอย่างตรงเวลา


ชิงเหนียนโจวม่อ : ตอนนั้นที่เสี่ยวหู่ตุ้ยต่างคนต่างบินนั้น วงในพวกคุณ 3 คนนั้น ได้มีการนัดหมายกันไหมว่า อนาคตจะมารวมตัวกันร้องเพลงอีก?

โหย่วเผิง : อื่ม ไม่มีนะ งานของพวกเรานั้นเป็นช่วงที่ไม่มีเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว  ตลาดหรืองานมาเป็นตัวกำหนดเส้นทางของพวกเรา จะก้าวไปที่ไหนนั้นพวกเราแทบจะกำหนดอะไรไม่ได้เลย ได้เพียงไปตามโชคชะตา

ชิงเหนียนโจวม่อ : จะเล่าเรื่องราวอดีต “บินไปอย่างสบายใจเลย” ได้ไหม?

โหย่วเผิง : ตอนนั้นจื้อเผิงไปเกณฑ์ทหาร จริงๆแล้วตัวเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากมาย เพราะคุณก็ทราบว่าตอนนั้นผมอายุยังน้อย เรื่องการจากกันนั้น  ตอนแรกๆก็ไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไร รอจนถึงช่วงคอนเสิร์ด ไจ้เจี้ยน  ถึงจะรู้สึกว่าคงจะไม่มีโอกาสได้ร้อง “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” อีก จนตอนนั้นบนเวทีไม่สามารถที่จะกลั้นอารมณ์ตัวเอง

3993
Magazine Interviews-China / Re: ก.พ. 2009 Metropolis Gentleman, February 2009 issue
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 03:37:48 AM »



3994
Magazine Interviews-China / Re: ก.พ. 2009 Metropolis Gentleman, February 2009 issue
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 03:37:24 AM »





3995
Magazine Interviews-China / Re: ก.พ. 2009 Metropolis Gentleman, February 2009 issue
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 03:36:49 AM »





3996
Magazine Interviews-China / Re: ก.พ. 2009 Metropolis Gentleman, February 2009 issue
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 03:35:59 AM »
http://man.metropolis-mag.com/
รูป http://tieba.baidu.com/f?z=529665226&ct=33...3%D0%C5%F3&pn=0
บทความ http://blog.sina.com.cn/s/blog_48c30ee30100br9x.html?tj=1

===================================

Metropolis Gentleman February 2009 issue






3997
Movies / Re: 2001 Devoted To You
« เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 04:53:25 PM »






3998
Movies / Re: 2001 Devoted To You
« เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 04:36:11 PM »
เรื่องย่อ


ชื่อเรื่อง : Devoted To You : รักครั้งนี้ไม่มีวันจาง 
ผู้กำกับ : หลินชิงเจีย
นักแสดง : อี้เหลย,โหย่วเผิง, อู่ฉีหลง
ประเภท : ความรัก  สถานที่ .ไต้หวัน ภาษา จีนกลาง ออกฉาย 2001


ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการพูดถึงเรื่องราวรักแรกของสาวสวยคนหนึ่ง สถานีแห่งหนึ่งในปักกิ่ง สาวสวยคนนี้ได้เจอเจ้าชายในฝัน แต่ความรักที่มีต่อเขานั้นก็ได้แต่เอามาคิดอยู่ฝ่ายเดียว และภายหลังรู้ว่าผู้ชายคนนี้ได้ไปทำงานร้านคอมแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ สาวสวยคนนี้ก็ได้ตามไปถึงที่เซี่ยงไฮ้ ที่นั่นกลับไปเจอหนุ่มหล่ออีกคนหนึ่ง และสาวสวยหลายรักคนนี้กลับมีความรักที่ได้แต่จิตนาการ เป็นเรื่องราวที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง..

ถนนในเมืองที่วุ่นวายนั้น ซินแย่ถูกหนุ่มอี๋ปอเบียดขึ้นรถ ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นซินแย่กับหลงรักอี๋ปอแล้ว และทางอี๋ปอหลังจากจบมหาลัยแล้วก็ได้ไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ และทางแย่ซินก็ได้ไปตามหาเขา เซี่ยงไฮ้ที่เต็มไปด้วยผู้คน หาแทบทุกซอกซอยก็ไม่เจอ และทางอี้ไห่ที่เป็นคนซื่อๆก็ได้หลงรักซินแย่แบบดื้อๆ...

จนถึงวันหนึ่ง ซินแย่ได้เจออี๋ปอ ในขณะนั้นทางอี๋ปอก็ได้รักกับสาวสวยน่ารักคนหนึ่งแล้ว ทำให้เรื่องราวความรักของพวกเขาต้องวุ่นๆ และเวลาผ่านไป ทางซินแย่ก็บอกกับอี้ไห่ว่าเธอกับเขานั้นเป็นแค่การชอบกันไม่ใช่ความรัก และทางเสี่ยวชิงยิ่งนานวันก็ยิ่งรักอี๋ปอ แต่ความรักก็ยิ่งนานวันยิ่งห่างเหิน..






3999
Movies / 2000 Devoted to You [อวี้ไห่]
« เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 04:24:30 PM »


more https://www.facebook.com/baansuyoupeng/media_set?set=a.898731776904334.1073741899.100003025613301&type=3&uploaded=13

Movies : พฤษภาคม 2001 :ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “รักครั้งนี้ไม่มีวันจาง” ร่วมกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้ร่วมงานเป็นเวลานานกับอู่ฉีหลง ได้รับบทเป็นลูกชายของอี้โหลย ชื่อ อี้ไห่

แนะนำตัวละคร



อู๋ฉีหลง รับบท อี๋ปอ



อี้เหลย รับบท ซินแย่



ซูโหย่วเผิง รับบท อี้ไห่

4000
Movies / Re: 2001 Reunion
« เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 03:37:55 PM »







หน้า: 1 ... 198 199 [200] 201 202 ... 216