Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > SCOOPS & SPECIALS

2002 ความทรงจำของผู้ชายสองคน โหย่วเผิงและหวังเหวินหัว

<< < (2/3) > >>

Chomnath:
เหวินหัว :  อยู่ในโรงเรียนนั้นผมเองก็คงไม่เคยใส่กางเกงที่เก๋ๆอย่างนั้น หรือว่าสวมหมวกที่พับจนไม่สารถจะแบนได้อีก เหมือนกันเด็กเกเร การดื้อของผมในตอนนั้นเป็นการดื้อที่ไม่แสดงออกมาให้เห็นจากภายนอกได้ น่าจะเป็นทางความคิด เป็นท่าทีที่เห็นได้จากชีวิตประจำวันของพวกเรา สามารถพูดว่าเป็นการดื้อแบบลึก เป็นการทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ


โหย่วเผิง :  แท้จริงแล้วตอนที่เรียนที่เจี้ยนจงนั้นมีช่วงหนึ่งที่ผมนั้นมีปมด้อย ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย

เหวินหัว :  ในช่วงวัยรุ่นนั้นแต่ละคนล้วนมีเรื่องที่เศร้าเสียใจไม่มากก็น้อย ตอนนี้มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ ลีอาน่าแสดง (เสินกุ่ยเจียวฟง) คุณจะเห็นว่าเขาพยายามที่จะปลอมตัวเป็นคนอื่น ไปขโมยของ ก็เพราะเขาเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวคนหนึ่ง แต่เด็กพ่อแม่แยกทางกัน งานของคุณพ่อก็ไม่ราบรื่น เขาก็ได้ทำสิ่งเหล่านี้มาระบายความโดดเดี่ยวอ้างว้างของตัวเอง พวกเราก็อาจจะเป็นในลักษณะอย่างนี้ สมัยวัยรุ่นนั้นไม่รู้ว่าทิศทางของเรานั้นไปทางไหน คุณรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่เหมือนเดิมแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าไม่เหมือนเดิมตรงไหน จากนั้นก็พยายามสอดส่องดู ในคุณก็อยู่ท่ามกลางเพื่อนนักเรียนที่ต่างก็มีวินัยระเบียบ ตามมาตรฐานแล้ว ก็จะรู้สึกว่าละอายใจ เพราะคุณรู้สึกได้ว่าพวกเขานั้นมีกลุ่มมีพวก แต่คุณไม่มีเลย


โหย่วเผิง : เมื่อก่อนผมเองก็รู้สึกว่าโดดเดี่ยวเหมือนกัน มาถึงวันนี้ก็จะรู้สึกว่าคนเรานั้นต้องเรียนรู้ในการที่จะพึงพอใจกับตัวเอง คนเราก็เหมือนวงกลมที่มีช่องโหว่ แม้จะสรรหาความรักหรืออะไรมาเติมเต็มมัน จะเติมมากเท่าไรก็ไม่เต็ม ก็จะรู้สึกเลยว่าช่องโหว่ในใจนั้นมันใหญ่มากๆ

ตอนนี้นั้นผมเหมือนกับว่าได้ฝึกฝน ถึงแม้จะร่างกายเข้มแข็งไปแล้วอย่างนั้น ตัวเองสามารถทำให้ตัวเองอิ่มใจ หลายๆเรื่องนั้นมองไม่ชัดเจนในตอนวัยรุ่น เพราะสิ่งที่ผมได้เผชิญไม่ว่าจะเป็นคนหรืองานนั้นมันเกินกำลังสำหรับคนในวัยนั้นจะแบกรับได้ ผมได้แต่กัดฟันสู้มัน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าผมก็ทนมัน ทนจนมันชินไปแล้ว

เป็นบุคคลสาธารณะนั้นมักจะถูกห้อมล้อมประจำ แต่ว่าคนรอบข้างที่ห้อมล้อมคุณนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจคุณได้ ไม่ว่าจะในรายการ หรืองานโฆษณาก็ต้องเจอกับผู้คน แต่เมื่อได้ปิดห้องอยู่คนเดียว คุณก็ยังจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงของตัวคุณเอง ผมรู้สึกว่าจะดังแค่ไหนหรือจะมีคนรุมล้อมแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะคลายความกดดันในการเรียนของผมได้ หรือว่าจะลดความโดดเดี่ยวในโรงเรียนผมลงได้ นี่มันเป็นคนละเรื่องเลยก็ว่าได้

Chomnath:
โหย่วเผิง :  ตอนที่เรียนที่เจี้ยนจงนั้นผมไม่มีความรู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังเป็นดารา ก็ยังคงใส่แว่นแล้วเดินตามถนนไปมาและไปเรียนพิเศษด้วย เล่นบาสด้วย เล่นเสร็จแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้าโผกไว้ที่ไหลแล้วเข้าห้องเรียน ก็เหมือนกับนักเรียนคนอื่น ตอนั้นยังไม่มีทีมโก่วจื่อ ไม่มีอะไรที่จะให้ต้องระมัดระวัง ความเจ็บปวดได้แตกเหมือนฝีนั้น ก็เป็นเรื่องของการสอบเข้ามหาลัยได้

สภาพจิตใจของตอนนั้นนั้นเหมือนกับทำตัวเองเป็นเทพไปแล้ว แล้วไปยืนอยู่บนยอดเจดีย์และลงมาไม่ได้ ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะไปทำอะไร แต่ว่าทันทีที่สอบเข้าได้ ทุกคนก็จะคิดว่า อื่ม แน่จริงๆ แล้วเพ่งจุดสนใจไปอยู่ที่คุณ คุณก็จะต้องทำได้ดียอดเยี่ยม ผมจำได้ดีมากในตอนนั้นได้ไปทำหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นรายการ(ฮวนเล่ออี้ไป๋เตี่ยน) การแนะนำตัวก่อนจะออกรายการทุกครั้งจะเป็น (ให้เรามาต้อนรับนักเรียนที่ยอดเยี่ยมและการประพฤติที่ดีซูโหย่วเผง)

ทุกครั้งผมก็จะบอกว่า ชมเกินไป แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ผมก็เลยได้รับตำแหน่งเทพนั้นไปโดยปริยาย จากนั้นขึ้นสูงแล้วก็ลงไม่ได้ ตอนนั้นความคิดที่ผมมีนั้นคิดเพียงว่าการสอบเข้ามหาลัยนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะเดินได้ ชีวิตนั้นคงไม่มีทางไหนให้เดินอีกแล้ว อยู่ที่มหาลัยก็คิอแบบนี้ บวกกับตัวเองก็เป็นคนที่แคร์ต่อความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างมาก ฉะนั้นผมเลยต้องวิ่งอย่างสุดชีวิต สุดชีวิต หลายคนต้องตกใจไม่กล้าเชื่อ ไม่กล้าเชื่อว่าโหย่วเผิงจะปล่อยวางการเรียนกับสถาบันที่น่าอิจฉา


แต่ว่าการเรียนช่างกลนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผมชอบรักจริงๆ ตอนนั้นผมเคยคิดจะย้ายคณะ ย้ายไปคณะบริหาร  ทั้งยังแอบไปลงเรียนวิชาบริหารด้วย แต่ก็ไม่สามารถจะย้ายได้ ทุกคนที่ย้ายคณะนั้นต่างก็มีผลการเรียนคะแนน แปดสิบกว่าเก้าสิบกว่า แต่ผมแค่เจ็ดสิบกว่า มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็คือหากย้ายคณะไม่ได้ ก็ยิ่งไม่มีทางจบ ดีที่สุดก็คือลาออก

ตอนอยู่มัธยม 6 นั้นผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องเรียนมหาลัย เพื่อจะสอบให้คนอื่นเขารู้ว่าผมเจ๋งนะ ผมเป็นคนที่จะต้องชนะให้ได้ รู้สึกเหมือนกับว่าคนทั้งโลกกำลังมองดูผมอยู่ ผมจะต้องสอบเข้าคณะที่ดังๆให้ได้ มันจะยิ่งทำให้คนอื่นชม ฉะนั้นผมนั้นได้กรอกตามความสมัครใจ ตอนนั้นผมทำเพื่อจะให้ทุกคนเห็นว่า “ผมก็สามารถเข้ามหาลัยช่างกลได้” แต่สวรรค์รู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรฝีมือด้านนี้ของผมนั้นมันแย่มากๆ การจะเรียนพวกเครื่องยนต์นั้นทุกวันจะต้องทำงาน สุดท้ายกลับทำให้ตัวเองล้มเหลว แม้ผมจะพยายามทำไปอย่างไรก็ไม่ผ่าน หากไม่สามารถจบได้ ผมก็ต้องรอความตาย

หลังจากที่แถลงข่าวเรื่องการลาออกแล้วผมเองได้กลับมาร้องไห้ทั้งคืน ในใจคิดว่า จบแล้ว ผมตายแน่ การเรียนกับงานบันเทิงของผมนั้นมันพิเศษมาก นักร้องที่เป็นนักศึกษาทั่วไปแล้วจะไม่ได้พึ่งในการเรียนของเขา แต่ว่าการเรียนของผมกับงานบันเทิงของผมนั้นไปด้วยกัน พูดง่ายๆคือเรียนเก่งร้องเก่ง จริงๆแล้วผมไม่ตั้งใจจะเป็นอย่างนี้ แต่มันเป็นไปตามอัตโนมัติ งานบันเทิงของผมนั้นพึ่งในการเรียนของผม แต่ว่างานยิ่งดีการเรียนก็ยิ่งแย่ แน่นอนไม่สามารถที่จะทำให้ทั้งสองอย่างดีพร้อมๆกัน


หวนคิดถึงประสบการณ์ความสัมพันธ์ในเจี้ยนจง เหวินหัวกับโหย่วเผิงนั้นดีใจด้วยความเศร้า ขณะพูดคุยนั้นยากที่จะเห็นใบหน้าที่สวยงามของพวกเขา โหย่วเผิงบอกว่าเสียดายมากที่ตัวเองแทบจะไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมงานสัมพันธ์ไมตรีเลย เหวินหัวปลอบใจเขา หากว่าคุณมาร่วมนะก็จะบังรัศมีความหล่อของเราหมดล่ะซิ

โหย่วเผิง  :  ผมจำได้ว่าตอนทัศนะศึกษานั้นผมมักจะไปซื้อ แล้วก็จะส่งรูปถ่ายอะไรอย่างนั้น จำไม่ได้ว่าเป็นการเรียกร้องของอาจารย์หรือนักเรียน สุดท้ายได้กล่าวว่าโหย่วเผิงขายรูปถ่าย

โหย่วเผิง : ชีวิตนักเรียนของผมนั้นไม่มีทางเลือก หลังจากที่ลาออกจากมหาลัยแล้ว ทันใดนั้นผมก็สลบไปเลย ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป หันไปเล่นละครก็ฝีมือไม่ถึง ไม่เป็นนักเรียนประถม ทั้งยังเป็นนักร้องที่ตกรุ่นไป ตอนนั้นผมเพิ่งมาคิดถึงอนาคตของตัวเอง ก็เหมือนกับที่เหวินหัวพูด คนเรายิ่งมีความทุกข์ก็จะยิ่งคิด ตอนผมอยู่ปีสองปีสามก็คิดอยู่ตลอดว่าอนาคตจะทำอย่างไร คุณค่าของชีวิตมนุษย์นั้นอยู่ที่ไหน เลยทำให้ผมยืนหยัดที่จะเดินบนเส้นทางศิลปินนี้ไว้ เพราะไม่มีความสามารถอย่างอื่นเลย

ใช่ครับ ผมได้ทุ่มเทกำลัง เวลาของช่วงวัยรุ่นให้กับเวทีเรียนการแสดง ชนะความกลัว นี่เป็นงานถนัดของผม อย่างอื่นนั้นไม่เป็นอะไรเลย จนถึงตอนที่แสดงองค์หญิงกำมะลอ สวรรค์ก็ทรงประทานเส้นทางใหม่ให้กับผม


Chomnath:
เหวินหัว  :  เส้นทางชีวิตของมนุษย์เรานั้นพริกผันร้อยแปดพันเก้า เพราะว่าคนเรามันต่างกัน หลังจากที่ผมจบมหาลัยแล้วก็มีความฝันว่าอยากจะมองโลกให้กว้างไกลกว่านี้ เพราะเรื่องวรรณคดีนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก และตัวผมเองก็เข้าใจว่าคนเรานั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งจะต้องเห็นอะไรที่กว้างไกล หากว่าสภาพวรรณคดีไม่สามารถให้จุดนี้แก่ผมได้ ผมก็จะออกต่างประเทศ ไปเรียนอะไรหรือ? ผมอยากจะไปเลือกเรียนวิชาที่มันท้าทาย ไปศึกษาวิชาการบริหาร


โหย่วเผิง :  นี่ก็เป็นหนึ่งความใฝ่ฝันของผม ผมยังจะต้องไปเรียนต่ออีกแน่นอน ไปต่อต่างประเทศ ช่วงนี้ผมได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าๆที่ขาดการติดต่อไปนานมาก ได้ยินว่าคนนั้นคนนี้ได้แต่งงานแล้วมีลูกแล้ว บางคนทำงานแล้ว บางคนก็เป็นหมอ เป็นนักอีเล็กโทนิค ในใจผมนั้นชื่มชมพวกเขาว่า พวกคุณเก่งจริงๆ เพราะนี่ก็เคยเป็นสภาพของผมมาก่อน น่าจะเป็นอนาคตของผมถึงจะถูก เป็นเพราะผมเดินทั่วแล้ว ก็เลยไม่เหมือนกับคนอื่น ลึกๆในใจของผมนั้นก็ยังมีความตั้งใจที่จะเรียนต่อ คิดว่าเรียนถึงดอกเตอร์ เป็นหมอคงไม่เลว ผมดีใจมากที่พวกเขายังไม่ลืมผม ปกติแล้วทุกคนก็ไม่รู้จะติดต่อกับผมทางไหน ก็ได้มาหาผมในงานเซ็นสัญญากับค่ายเพลง ประทับใจมาก ไม่งั้นผมก็คงจะคิดว่าชีวิตที่อยู่ในเจี้ยนจงนั้นไม่ดีเลย

เหวินหัว :  ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่มีประสบการณ์มากมาย คนเรามากน้อยก็ย่อมมีการอิจฉาบ้าง ทุกคนก็จะคิดเหมือนกันว่าเราต่างก็สอบเข้าเจี้ยนจงด้วยกัน ทำไมคุณขาดบ่อยๆได้ หรือว่าลากิจได้เยอะกว่าคนอื่น มีผู้หญิงชอบมากมายเป็นต้น นี่เป็นสิ่งที่ปกติอยู่แล้ว

โหย่วเผิง :  คุณก็น่าจะเป็นพวกที่เด่นดังแล้วมีคนมาอิจฉาอย่างนั้นใช่ไหม

เหวินหัว :  แน่นอนเสน่ห์ของผมคงจะสู้ของคุณไม่ได้ ผมนั้นเขียนเรียงความหลายๆเรื่องถึงจะได้รับรางวัลอย่างนั้นเอง แต่ว่ามากน้อยผมก็เข้าใจความรู้สึกของคุณอยู่เหมือนกัน ก็คือไม่ค่อยเข้ากับกลุ่ม ด้านหนึ่งคุณได้รับการยอมรับจากคนนอก แต่ในกลุ่มนักเรียนแล้วเป็นตัวที่คนอื่นอิจฉา

โหย่วเผิง :  มีช่วงหนึ่งนั้นใจผมมันมีช่องโหว่มากมาย หลังจากที่ออกจากมหาลัยแล้ว ทุกครั้งที่ผ่านห้องเรียนที่เขาเลิกเรียนไปแล้ว เห็นพวกเขาเดินเป็นกลุ่มๆ ผมก็จะรู้สึกเศร้าใจ ผมอยากจะได้สิ่งนี้กลับคืนมา เติมช่องโหว่นี้ให้มันเต็ม


Chomnath:
เหวินหัว : ในจุดนี้นั้นพวกเรานับว่าเป็นผู้โชคดี เพราะว่าการดำเนินชีวิตของพวกเรานั้นถือได้ว่าเป็นการดำเนินชีวิตที่ปกติ เหมือนกับตัวผมเองนั้นก็มีเพื่อนๆด้วย เป็นเพื่อนที่คิดในแนวเดียวกัน ชอบอ่านหนังสือสไตล์เดียวกัน ก็เชื่อว่าตัวเองนั้นก็จะไม่ค่อยเหมือนกับผู้อื่น แต่เรามีกลุ่มเล็กๆอย่างนี้ก็ถือว่าโอเค ต่างก็จะช่วยเหลือกันและกัน

โหย่วเผิง : ผมได้ดู(61x57)ของคุณหวังเหวินหัวแล้ว ตอนดูแรกๆนั้นรู้สึกว่าคุณฉูก๋อนั้นเก่งกาจมาก ทั้งนิสัยดีทั้งบุคลิกดี แต่ว่าอ่านไปเรื่อยๆแล้วทำให้เครียดจนอยากจะทิ้งหนังสือเลย คุณรู้ไหมว่าเพราะอะไร เพราะว่าผมอาจจะแสดงบทพระเอกในเรื่องได้ ผมมีความคิดอย่างนั้นอยู่ ฉะนั้นผมเองยอมรับไม่ได้กับผู้ชายเจ้าชู ผมเองเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว

เหวินหัว : จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้นั้นผมเขียนออกมาในแนวความสับสนของการเกียจคล้าน ผมอยากจะสื่อว่า ขณะที่คุณกำลังรักคนคนหนึ่งนั้น ก็ยังเป็นไปได้ที่คุณอาจจะหลายใจด้วย


โหย่วเผิง : ที่คนชอบดูละครก็เพราะว่าชีวิตจริงนั้นมันไม่มีอย่างนั้น ถึงจะรู้สึกว่า โอ้ ยังมีคนรักเดียวใจเดียวอย่างนี้อยู่ด้วยหรือ จากนั้นถึงจะรักพระเอกนางเอกคู่นี้ หากจะเอาเรื่องชีวิตจริงหรือความเป็นจริงมาแสดงแล้ว ผู้ชมก็จะต่อว่าด่าทอชายคนนี้...

เหวินหัว :  ผู้ชมนั้นล้วนจะชอบดูอวสานที่หวานชื่นสมบูรณ์

โหย่วเผิง : ทำไมพระเอกที่คุณเขียนขึ้นนั้นมันร้ายขนาดนั้น ตอนแรกๆนั้นเก่งมาก มีวิธีมากมายในการเอาใจคนอื่น แล้วตอนหลังกลับรักพี่เสียดายน้องอย่างนั้น แม้ว่าช่วงท้ายจะสำนึกผิด แต่ท่าทีที่น่าสังเวทอย่างนั้นมันขาดศักดิ์ศรีความเป็นชายหมดเลย

เหวินหัว :  ผมคิดว่านี่ถึงจะเป็นผู้ชายที่แท้จริง จากผลสำรวจแล้ว ชายที่มีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดีเด่น นิสัยดี ปกติแล้วจะมีพฤติกรรมอย่างนี้ทั้งนั้น ผมชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ใกล้ความจริงที่สุด

โหย่วเผิง : เถียงเขายากมาก หากว่าเป็นผมเขียนแล้วล่ะก็ จะออกมาในแนวที่รักเดียวไม่มีวันเปลี่ยนอย่างนั้นมากกว่า  ช่วงนี้ที่ผมกำลังถ่ายเรื่อง(อีเทียนสู่หลงจี้/ดาบมังกรหยก) บทของเตียบ่อกี้นั้นแตกต่างไปจากต้นฉบับของเรื่องไปแล้ว

ในเรื่องนั้นเตียบ่อกี้เห็นคนรักก็รักแล้ว และผู้หญิงทุกคนก็ล้วนเห็นเตียบ่อกี้แล้วรักเลย ครั้งนี้ผมจะหลีกเลี่ยงภาพลักษณ์ที่หลายใจอย่างนั้น แท้จริงแล้วผมจะมีอารมณ์อิงกับการแสดงทุกครั้งเลย ผมคิดว่า ผมรักหมินหมินได้ไง ทั้งๆที่เธอร้ายต่อผมมากๆ ทั้งยังคิดแผนชั่วทำร้ายผมอีก ผมคิดว่าผู้เขียนน่าจะสื่อความหมายออกมาที่ไร้รักไม่ได้อย่างนั้น

บวกกับมีความแค้นในด้านสายเลือดอีกด้วย ความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งเกลียดอย่างนั้น แต่ว่าในความคิดของผมแล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัว ผมเลยคิดไปอย่างนี้ว่า หมินหมิน นั้นเพื่อผมแล้วยอมสละตำแหน่งองค์หญิงมองโก ในใจมีแต่ผมเพียงคนเดียว และทำให้ผมประทับใจ เลยรักเธอ อย่างนี้ถึงเรียกว่ามีเหตุผลที่ผมจะยอมรับได้ ผมไม่สามารถเดี่ยวก็ง้อหมินหมิน เดียวก็ไปจิวจี้เยี๊ยก เดียวก็ไปดูแลเสี่ยวเจียว  สำหรับผมแล้วนั่นเป็นรักที่บ้าไปแล้ว


Chomnath:
เหวินหัว  : บทของฉูก๋อนั้นมีในในชีวิตจริงอย่างแน่นอน ตัวผมเองก็จะไม่ปฏิเสธว่าในเรื่องนั้นมันได้สะท้องความเป็นจริงของชีวิตออกมา ผมคิดว่าการจะรักเดียวนั้นใช่ว่าทั้งสองคนเสมือนติดอยู่ในคุก รักเดียวนั้นสามารถที่ที่จะพัฒนาไปได้ ความสัมพันธ์ความรักนั้นก็จะเหมือนเส้นยางไม่ใช่เส้นเหล็ก ทุกครั้งที่สองคนได้อยู่ด้วยกันก็สามารถทำในสิ่งที่ต่างกันได้ พูดคุยสิ่งใหม่ๆ รักเดียวนั้นแน่นอนจะมีการผูกมัด แต่การเงื่อนไขการผูกมัดนั้นก็ต้องดูความลึกตื้นของคนสองคน คุณสามารถทำให้มันเหมือนกับเหล็กเส้นหนึ่ง หรือทำให้มันเป็นเหมือนยางเส้นหนึ่ง


โหย่วเผิง :   จริงๆแล้วผมชอบพระเอกที่มีความคิดในลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักหรือเรื่องชีวิตส่วนตัว จะต้องมีอารมณ์ที่ฮึกเหิม มีไอเดียอะไรหลายๆอย่าง แน่นอนหากทั้งยังเป็นผู้ที่ซื่อตรงต่อความรักก็จะยิ่งเพอร์เฟรกไปใหญ่เลย ผมไม่คิดว่าคนคนหนึ่งที่ซื่อตรงต่อความรักแล้วจะเป็นคนที่ไม่รู้ชีวิตรัก ผมคิดว่าการรักเดียวกับการให้ความสำคัญกับรสนิยมชีวิตนั้นมันน่าจะไม่ใช่เข้ากันไม่ได้


โหย่วเผิง :  หวนคิดถึงความรักของตัวเอง ก็ยังไม่ได้พูดส่วนทึ่ลึกๆให้ฟัง แน่นอนก็ยังพูดไม่ถึงเรื่องแต่งงาน ที่จะจูงมือไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต แม่นางจูที่เขียนไว้ในหนังสือนั้นก็ไม่ใช่




เหวินหัว :  ตอนเรียนจบมหาลัยแล้วก็ไปต่างประเทศ ผมได้เห็นสังคมโลกที่แตกต่างกันโดนสิ้นเชิง ไม่ว่าไปที่อเมริกา หรือไปเป็นนักศึกษาวิยาลัย สิ่งที่ผมได้เจอไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม มุมมองชีวิต หรือความคิดต่างๆนั้นล้วนรู้ว่าโลกเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก ใช่ว่าทุกคนจะคิดอย่างเดียวกัน ใช่ว่ามุมมองชีวิตจะเหมือนกันหมด หรือว่าทุกคนก็บากบั่นมุ่งทำการงาน จนลืมว่าวันเวลาแห่งความสุขมันผ่านไปแล้วอย่างนั้น ผมรอได้รอคอยอยู่ที่ต่างประเทศล่วงเจ็ดปี เรียนสองปีทำงานห้าปี ห้าปีหลังนั้นได้รอที่นิวยอคและโตเกียว ภาษาญี่ปุ่นของผมนั้นลืมจนเกือบจะหมดแล้ว อย่างไรก็ตามช่วงที่ผมอยู่ที่นิวยอคนั้นเป็นเวลาที่มีความสุขมาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่บริษัทางอเมริกาได้ส่งผมไปทำโครงการอย่างหนึ่งที่โตเกียว ตอนนั้นผมกลัวมากทั้งยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ทางบริษัทบอกว่าจะจัดผมให้เหมาะสมกับหน้าที่สุด หลังจากที่ลงเครื่องแล้วมีรถบัสมารับพวกเราไปที่โรงแรมA&Aเป็นที่แห่งทองคำของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ผมได้หนึ่งห้องนอนกับหนึ่งห้องรับแขก เปิดตู้เย็นมีทั้งขนมนมเนย เห็นถึงการต้อนรับแขกที่ดีของคนญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นนั้นผมยังได้เปิดหุเปิดตาเพิ่มความรู้มากมายอีกด้วย อาทิการซื้อขายแตงโมที่ญี่ปุ่นนั้นราคาไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหนักเท่าไร แต่ขึ้นกับว่าหวานมากน้อยแค่ไหน การทดสอบของพวกเขานั้นไฮเทคมาก ใช้เข็มปักเข้าไปในแตงโมแล้วดูดน้ำออกมานิดหน่อย แล้วดูความหวานแล้วติดราคา แตงโมบางลูกเล็กมากแต่ก็แพงมาก เพราะความหวานมันหวานจริงๆ ผมทึ่งกับการที่คนญี่ปุ่นต้อนรับแขกคนไม่มีที่ขาดตกบกพร่องเลย มันคิดไม่ถึงจริงๆ ทำให้ผมได้เปิดโลกทันศ์กว้างขึ้น ยังมีอีกตอนที่ผมได้ร้านฮากาต้าแห่งหนึ่งของโตเกียว แค่ซื้อไอศครีมเล็กๆลูกเดียวคุณก็สามารถได้รับการบริการพนักงานที่ยากจะลืมได้ เหมือนกับว่าการกินไอศครีมนั้นเป็นอะไรที่มีเกียรติมาก เหมือนกับกำลังกินเพชรอะไรอย่างนั้น

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version