Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > SCOOPS & SPECIALS

2002 ความทรงจำของผู้ชายสองคน โหย่วเผิงและหวังเหวินหัว

(1/3) > >>

Chomnath:
บทสัมภาษณ์ โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002

ความทรงจำของผู้ชายสองคน โหย่วเผิงและหวังเหวินหัว

สองคนที่เปรียมด้วยปัญญา ฉลาดทั้งเป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมา ล้วนเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเจี้ยนกั๋ว นักศึกษาดาวเด่นของมหาลัยไต้หวัน อยู่ภายใต้มหาลัยที่ดังที่สุดในไต้หวัน ภายใต้ความกดดันของสายตาผู้คนมากมาย พวกเขาได้ผ่านวันคือแห่งวัยรุ่นอย่างอาจหาญ และทั้งต้องรับความโดดเดียวอีกด้วย ในร้านกาแฟหยางยี่ที่มีเสียงเปียโนประกอบ เป็นค่ำคืนราตรีที่แสนจะอบอุ่น หัวใจสองดวงของวัยรุ่นสองคนนี้มีเสียงหัวเราะอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีการพูดคุยกันอย่างไม่ขาดตอน เหมือนกันเล่นยิงลูกโป่งอะไรอย่างนั้น แทบทุกคำถามที่ถามไปกลับโดนพวกเขาหลบเลี่ยง หรือบ้างก็เขารู้แกว

พวกเขาต่างก็พูดถึงวันเวลาที่ไร้ความกลัวในสมัยที่เรียนที่เจี้ยนกั๋ว พูดคุยถึงความหลังทั้งหวานชื่นและเจ็บปวดในสมัยเรียนมหาลัย พวกเขาล้วนไม่ต่างกับพวกเรา กระหายในความรัก ต่อความมั่นคงแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังกลัวอยู่ ต่อการสัมถะแม้จะรู้จักพอก็ยังต่อต้าน ในวัยที่หัวเลี้ยวหัวต่อ หวังเหวินหัวกับโหย่วเผิงได้ก้าวกระโดด เหมือนกับฝึกวิชาลอยตัวในการที่สามารถจะหาเส้นทางชีวิตของตัวเองพบ ในชีวิตนั้นได้ตั้งใจต่อการงาน ภายนอกของทั้งสองคนนั้นล้วนสุภาพ สง่า ดูแล้วเหมือนกับไข่ขาวที่เต็มไปด้วยสารอาหาร ในด้านอักษร ต่อหน้าแสงไฟ และในชีวิตของพวกเขานั้น ล้วนมีความดื้อซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ พวกเขาที่ย่ามสู่วัยรุ่น พวกเขาอยากจะเป็นตัวของตัวเอง อิสระ มีสุข เหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไป


Chomnath:

โหย่วเผิง :  หากว่าตอนนั้นผมไม่ลาออกจากมหาลัยไต้หวัน ไม่ได้เข้าสู่วงการบันเทิง ผมคิดว่าผมต้องเป็นหนอนหนังสือแน่นนอนเลย ตอนเรียนนั้นผมเครียดมาก เป็นคนที่เอาจริงเอาจังและน่าเบื่อ

เหวินหัว : จริงๆแล้วจะเป็นหนอนหนังสือใช่ว่าจะต้องเรียนหนังสือ เขาอาจจะใส่ใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ ก็ยังถือได้ว่าเป็นหนอนหนังสือ เหมือนกับผมเมื่อก่อนก็ช่วยทำวารสารของโรงเรียน ก็เหมือนหนอนหนังสือเหมือนกัน

โหย่วเผิง : ผมเป็นคนที่เรียนเก่งมากๆนะ เพียงแค่รู้น้อยมาในเรื่องของวงการการแสดงเท่านั้นเอง เพราะว่าเวลาของคนเรามีจำกัด ในเวลานี้คุณได้ทำอย่างนี้ เรื่องอื่นคุณก็จะไม่รู้ ยกตัวอย่างผมนั้นเก่งแต่เรียนหนังสือ แต่ว่าอีกด้านหนึ่งยังต้องทำงานบันเทิงไปด้วย ร้องเพลง ทำให้ผมไม่มีเวลาโอกาสที่จะไปเข้าร่วมกิจกรรมอย่างอื่น ตอนั้นเวลาเตรียมสอบเข้ามหาลัยของผมนั้นมีน้อยมาก จะว่าเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบช่วงอยู่ม.6 ก็ว่าได้ ผลการเรียนตอนม.4 ม.5  นั้นไม่เลว

แม้กระทั่งเพื่อนๆก็ไม่ค่อยชอบผม ช่วยกันลอกข้อสอบก็รู้สึกอาย แต่ว่าตอนที่ผมอยู่ที่จีนนั้น ผมเป็นพวกขี้ฟ้องตัวเอกเลยล่ะ ก็คือไม่ชอบคนอื่นทุจริตในการสอบ ทุกครั้งผมจะได้ที่หนึ่งหรือที่สองของห้อง แต่ว่าเพื่อนคนอื่นจะแอบดูข้อสอบ ผมเองก็ไม่พอใจ จริงๆแล้วสามารถชนะเขายี่สิบคะแนน แต่ทำไมชนะเขาแค่ห้าคะแนน ทุกคนล้วนตั้งใจในการเรียนมาก หากว่าคุณไม่ตั้งใจ ทำไมไม่ deserv it ทำไมต้องทุจริตสอบด้วย แต่เด็กคนอื่นก็เรียกผมว่าบัณฑิตน้อย ก็คือเป็นพวกที่สวมใส่แว่นหนาๆ สายตาสั้นกว่าพัน เรียนอย่างไม่คิดชีวิต ในกระเป๋าหนังสือนั้นล้วนมีแต่หนังสืออ้างอิง อาหารกล้อง ขวดน้ำ .....

หากว่าผมไม่ติดเป็นเสี่ยวหู่ตุ้ย ก็น่าจะเรียนหนังสืออย่างตั้งใจ แล้วชีวิตก็จะมีรสชาติฮ่าๆๆๆ พูดจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่องชะตากรรม ตอนมัธยมต้นนั้นผมเองก็เริ่มใฝ่ฝันอยากเป็นดาราแล้ว


ฉะนั้นช่วงรายการที่ต้องการรับสมัครผู้ช่วยรายการผมเลยรีบไปสมัคร ก็ไม่รู้อีท่าไหนถึงติด และจากนั้นก็แปลกมากมันดังได้ไง ตอนนั้นคิดแต่สนุก ก็เป็นเด็กอยู่นี่ จะไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอาชีพการงานล่ะ อยากจะหาเงินเยอะๆ ฉะนั้นตลอดเส้นทางนั้นชะตาชีวิตได้จูงคุณไป นำคุณสู่การมีชื่อเสียง สุดท้ายทุกคนต่างก็สนใจในตัวคุณ เฝ้ามองคุณว่าก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร และต่อจากนั้นผมต้องสอบเข้ามหาลัย เลยจำต้องไปสอบอย่างทุลักทุเล

แม้ว่าเทียนนั้นจะจุดทั้งสองด้าน แต่ก็ไม่มีทางเลือกที่เยอะกว่านี้ ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าตลอดเวลาที่เดินผ่านมานั้นราบรื่น อีกอย่างชะตาชีวิตนั้นได้จูงผลักดันผมเดินไป อีกอย่างตัวเองก็ได้ประสบการณ์หลายๆเรื่อง การที่สอบได้ที่เจี้ยนจงนั้นผมเกิดความภาคภูมิใจ แต่ช่วงสอบเข้ามหาลัยนั้นผมแทบจะกลายเป็นคนบ้า กับการคาดหวัง ถูกจ้องมอง ข่าวต่างๆ จนทำให้แทบจะทนไม่ได้แล้ว ตอนหลังสอบเข้ามหาลัยไต้หวัน คณะช่างกล หลายคนทึ่งว่าเด็กที่เก่งอย่างนี้ยังมีด้วยหรือ คุณจะรู้สึกเหมือนกับเป็นเทพ แต่ว่ามาถึงช่วงปีสามผมก็เรียนต่อไปไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจลาออก ในความรู้สึกของผมต่อความรู้สึกที่ทุกคนให้กับผมนั้นเหมือนกับว่าผมเป็นขยะ


Chomnath:
เหวินหัว :  ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ต่างกับคนอื่นมากในช่วงที่เข้าสู่เจี้ยนจงคือ ในทันใดคนอื่นจะสนใจห่วงใยต่อคุณ ต่อมาตัวคุณเองก็เชื่อในความห่วงใยเหล่านี้ด้วย คือเอามันมาเก็บไว้อย่างธรรมชาติ แน่นอนช่วงที่เราเรียนก๋อจงนั้น ผลการเรียนไม่เลวเลย แต่ว่าโรงเรียนเหล่านี้นั้นไม่มีสีสันของดาราเลย แต่เมื่อเข้าสู่เจี้ยนจงปุ๊ป ว้าว ทั้งเพื่อนนักเรียนของคุณ อาจารย์ของคุณ ทุกคนจะบอกกับคุณว่าคุณเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งนักเรียนมัธยมปลาย คุณเป็นที่หนึ่งในดวงใจ ยังบอกว่าไม่เพียงแต่จะเป็นโรงเรียนมัธยมอับดับหนึ่งของไทเป ยังเป็นมัธยมอันดับหนึ่งของไต้หวันด้วย แล้วคุณก็มักจะได้ยินถึงการวิเคราะห์ของมหาลัยเจี้ยนจงอีกด้วย ก็คือได้เอาแสงนี้ส่องไปทั่วต่อหน้าคุณ ผมรู้สึกว่าจุดดีของความดังของเจี้ยนจงนั้น ทำให้ชีวิตคุณไม่ปกติธรรมดา

การมีชีวิตที่ไม่ปกติแล้วคุณก็จะต้องไปเปลี่ยนให้มันดีขึ้น คือว่า คุณก็สามารถอ่านหนังสือบางเล่มที่นักเรียนต่างประเทศก็ยังไม่เคยอ่านเลย อะไรพวก(จอห์นดาวิน )เป็นต้น และอ่านบางเล่มที่แม้แต่เรียนประวัติศาสตร์ก็ยังไม่เคยอ่านอะไรอย่างนั้น เช่นหนังสือดังที่เขียนโดยอาจารย์หินซูเซิง เพราะคุณได้รับการถูกจ้องมองอย่างนี้ ฉะนั้นคุณก็เลยพยายามไม่หยุดที่จะไปทำว่าคุณทำได้ แน่นอนวันนี้มองย้อนหลังไปแล้วเรื่องอย่างนี้ส่งผลที่ดีและไม่ดี สิ่งที่ดีคือได้บีบคุณไปอ่านเรียนรู้เรื่องราวมากมาย ด้านไม่ดี สิ่งที่เสียดายที่สุดคือ คุณสูญเสียชีวิตของนักเรียน ม ปลายไป ความเดียงสา ทำอะไรง่าย ความสุขบางอย่าง  ที่คนอายุสิบห้าสิบหกน่าจะมีกลับไม่มี แน่นอนทุกวันคุณก็คงไม่อยากจะไม่เหมือนกับคนอื่น ทุกวันก็จะรู้สึกว่าภาระหน้าที่หนักของประเทศนั้นอยู่ที่เรา สิ่งเป็นสิ่งที่เข้ามาในเจี้ยนก๋อแล้วถึงมี บรรยากาศอย่างนี้นั้นเข้มข้นมาก ที่มหาลัยไต้หวันก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ทุกคนก็จะรู้สึกว่าพวกคุณนั้นไม่เหมือนกัน พวกคุณจะต้องแตกต่างจากเรา


โหย่วเผิง :  สมัยที่ผมอยู่ที่เจี้ยนจง ไม่รู้ความหยิ่งมาจากไหน สิ่งที่ผมประทับใจโรงเรียนอย่างหนึ่งคือ จริงๆแล้วตัวผมเองก็ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นอะไร แต่ก็มีความหยิ่งอย่างนั้นโดยธรรมชาติ ตอนนั้นผมไม่รู้อีโหน่อีแหน่อะไรเลย แต่ว่าตอนนี้ผมกลับไปดูที่โรงเรียนก็จะเข้าใจ พระเจ้า คนเหล่านี้เป็นอะไร ตอนนั้นพวกเรากำลังทำอะไร แน่นจะตาย ไม่รู้อะไรเลย แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ มีความรู้สึกที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินเลย


Chomnath:
เหวินหัว :  ใช่ ผมเชื่อว่าศิษย์ปัจจุบันก็น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาสนใจนั้นก็คงจะไม่เหมือนกับตอนที่เราอยู่ ป 5  ตอนนั้นพวกเราล้วนเป็นห่วงถึงเรื่องของประเทศชาติ ชะตาชีวิต หรือพวกหลักการเหตุผลอะไรพวกนี้ สามปีในช่วงนั้นเหมือนกับจะต้องมีชีวิตอีกรอบถึงจะว่าใช่ หรือว่าจะต้องหวนคิดหนึ่งอีกรอบถึงจะนับว่าใช่ ตอนอยู่ที่เจี้ยนจงนั้นมีอุดมการณ์มากมาย อยากจะเปลี่ยนแปลงโลก ช่วยเหลือผู้คน มีความใฝ่ฝัน หรืออาจเป็นเพราะผมนั้นเป็นพวกศิลป์ภาษา ฉะนั้นผมเลยตั้งความหวังให้ตัวเองในด้านนี้สูงมาก ผมจะรู้สึกว่ามีหนังสืออะไรที่ผมจะต้องอ่าน และทฤษฏีอะไรบ้างที่ผมจะต้องรู้ให้ได้ ตอนนั้นเมื่อฝันอนาคต แม้จะเป็นนักเขียนก็ยังไม่พอ ต้องเป็นนายกถึงจะแน่ นักเขียนสามารถทำอะไรได้หรือ? ทำอะไรไม่ได้เลย มีความคิดอยากจะบริหารบ้านเมืองให้สุข บวกกับสังคมในสมัยนี้นั้นมันก้าวไกลไปเรื่อยๆ ทุกอย่างต้องมีใหม่ๆ แน่นอนต้องส่งผลต่อเด็กนักเรียน


โหย่วเผิง : มุมมองอย่างนี้พูดไปแล้วผมไม่ถือว่าเป็นของเจี้ยนจง ตอนมัธยมปลายนั้นผมยุ่งกับการโฆษณา ไม่เคยไปคิดว่าอนาคตเป็นอย่างไร จริงๆแล้วผมเองก็ได้สูญเสียความสุขกับสิ่งที่ควรระลึกในชีวิต่ช่วงอยู่ที่เจี้ยนจง ผมไม่นับว่าเป็นคนที่ขาดเรียนบ่อย แต่ตอน ม.6 นั้นผมได้ลาเพื่องานเป็นอย่างมาก ขาดจนแทบจะหมดสิทธิ์สอบ เพื่ออยากจะเอาเวลาที่เหลือมาเตรียมสอบเข้ามหาลัย

เหวินหัว :  ผมกับโหย่วเผิงนั้นห่างกัน 5 ชั้น ในหนังสือของเขาที่มีชื่อของอาจารย์หงนั้นผมเองก็รู้จักเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยเรียนกับท่าน และก็ไม่ได้เจอเหมือนกัน

โหย่วเผิง :  ฮ่าๆๆ นั่นเป็นอาจารย์ที่เข้ามาใหม่ เข้ามาสอนก่อนที่ผมจะเข้าไปเรียนหนึ่งปี ตอนนั้นท่านมีความตื่นเต้นและคาดหวังในตัวนักเรียนเจี้ยนจงมาก เขารู้สึกว่านักเรียนของเจี้ยนจงนั้นพวกที่แปลก ฉะนั้นก็เลยอยากจะพูดคุยกับนักเรียนเหล่านี้ พูดความในใจ เล่นเกมอะไรอย่างนี้เป็นต้น


Chomnath:
เหวินหัว :  สำหรับอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ในเจี้ยนจงนั้นเป็นโรงเรียนที่ดีในด้านนี้ โหย่วเผิงกับผมนั้นมีบางจุดที่เหมือนกันมาก ก็คือพวกเราล้วนไม่ค่อยตั้งใจเรียนที่เจี้ยนจง หรือพูดได้ว่าไม่ค่อยตั้งใจเข้าเรียน เรียนแบบทางการ เพราะได้เข้าร่วมกิจกรรมนอกวิชาเยอะมาก เช่นทำวารสารโรงเรียน ก็สามารถที่จะขอลากิจได้เยอะ โหย่วเผิงจะออกไปในแนวโฆษณา แน่นอนกรณีของโหย่วเผิงนั้นเป็นกรณีพิเศษ หนึ่งโรงเรียนจะมีนักเรียนแค่คนสองคนที่เป็นเหมือนเขา แต่พวกเรานั้นก็จะมีทีมงานกลุ่มหนึ่ง แต่ว่าพวกเราจะมีมาตรฐานให้กับตัวเองคือ คิดหาทางออกสู่เส้นทางเลือก เหมือนกับโหย่วเผิงช่วงมหาลัยนั้นเกือบจะเป็นบ้าไป แต่ว่าตอนหลังงานการแสดงก็ได้ดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง แน่นอนตอนหลังผมเปลี่ยนจากคณะภาษาต่างประเทศเป็นคณะบริหาร ไปเรียนต่างประเทศ เขียนหนังสือ หาเส้นทางชีวิตของตัวเองจนเจอ ผมคิดว่าขณะที่โหย่วเผิงได้ออกงานโฆษณาและสิ่งที่เขาได้พบเจอนั้น อารมณ์ความรู้สึกของเขาในตอนนั้นกับอารมณ์ความรู้สึกตอนที่ผมทำวรสารโรงเรียนนั้นไม่ต่างกัน ก็เหมือนกับตอนนั้น (เจื้ยนชิงเซอ)นั้นอยู่หลังตึกมนุษย์ ออกหน้าต่างก็สามารถออกจากโรงเรียนได้ ฉะนั้นการจะโดดเรียนก็เป็นเรื่องง่าย ก็จะไปสัมผัสถึงสังคมข้างนอก อีกอย่างพวกเรานั้นถูกล่อลวงจากสังคมภายนอก อีกนัยหนึ่งก็อยากจะได้ยอมรับจากเพื่อนร่วมโรงเรียน อยากเป็นพวกเดียวกับเพื่อนๆ (พูดถึงเหวินหัวโดดเรียนนั้น พวกเราที่นั่งฟังนั้นแทบจะไม่เชื่อ เพราะดูจากภายนอกแล้ว เหวินหัวกับโหย่วเผิงเป็นนักเรียนที่ดี เป็นนักเรียนแบบอย่างที่เรียบร้อยเลยแหล่ะ ทำไมยังมีการไปปืนรั้วมหาลัยอย่างนั้นด้วย เป็นเหมือนกับเด็กที่เกเรซนอย่างนั้นได้ไง)


โหย่วเผิง :  ผมลองคิดคิดดูตอนที่ผมเป็นไกวๆหู่ก็ท่องยุทภพมาแล้วหลายปี มีคนมากมายก็คิดว่าการเป็นนักเรียนของโรงเรียนเจี้ยนจงนั้นจะต้องเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ปฏิบัติตามกฏระเบียบทุกตารางนิ้วอย่างนั้นเลย แท้จริงแล้วนักเรียนเจี้ยนจงบางคนก็เกเร หรือบ้างก็ซุกซน ผมรู้สึกว่าเหวินหัวนั้นเป็นคนมีบุคลิก เป็นนักเรียนที่มีความคิด


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version