Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > SCOOPS & SPECIALS

2007 ให้พ่อแม่กลับมาคืนดีกัน ศิลปินโหย่วเผิงก็มีความหวังที่อยากจะมีบ้านที่สมบูรณ

(1/2) > >>

Chomnath:
http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fd29983cb.pbw
19 มิถุนายน 2007 ให้พ่อแม่กลับมาคืนดีกัน ศิลปินโหย่วเผิงก็มีความหวังที่อยากจะมีบ้านที่สมบูรณ์
ภาพทรงจำของหลายๆคนนั้น ดาราโหย่วเผิงนั้นเป็นคนที่ สง่า ร่าเริง แต่มีใครทราบบ้าง ตอนเด็กนั้นการทะเลาะของพ่อแม่นั้นได้สร้างบาดแผลในใจเขา การแยกกันของพ่อแม่นั้นยิ่งทำให้เขาเป็นเหมือนเด็กกำพร้า เมื่อเติบโตกับกาลเวลา โหย่วเผิงก็สังเกตเห็นถึงพ่อแม่ที่แม้จะต่างคนต่างอยู่นั้นต่างก็ยังห่วงหามีเยื่อใยกันอยู่ และแล้ว เขาได้ใช้ความคิด กำลังของเขา ได้พยายามที่จะทำให้พ่อแม่คืนดีกันครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายทำให้ท่านทั้งสองต่างก็ไม่ถืออคติต่อกัน

พ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน โหย่วเผิงหนีออกจากบ้านเกือบไปตายต่างถิ่น

โหย่วเผิงเกิดเดือนกันยายน ปี 1973  ที่ไทเป คุณพ่อ (ซูหมิงเจีย) เป็นนักธุรกิจ คุณแม่ (วุ้ยจื่อหมิน) เป็นครูสอนภาษาจีนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง โหย่วเผิงยังมีน้องชายคนหนึ่ง นับตั้งแต่โหย่วเผิงจำความได้ เสียงที่ได้ยินอยู่ข้างหูตลอดมาคือเสียงทะเลาะของพ่อแม่ เป็นวันเวลาที่นับไม่ถ้วน ที่เขาเห็นพ่อแม่ตีกันอย่างไก่ชน ทะเลาะกันอย่างรุนแรง เสร็จแล้วฝ่ายแม่ก็ไปนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ฝ่ายพ่อก็ไปสูบบุหรี่อีกที่หนึ่ง


วัยเด็กของโหย่วเผิงนั้นได้เติบโตขึ้นท่ามกลางเสียงทะเลาะอย่างนี้ของพ่อแม่ บ้านที่แตกแยก ทำให้โหย่วเผิงขาดความร่าเริงในวัยเด็กของเขาไป แต่กลับเพิ่มความทุกข์ใจคละความหนักใจยากที่เด็กวัยนี้จะรับได้ ตอนนั้น โหย่วเผิงกลัวที่จะกลับบ้าน ทุกครั้งเมื่อแบกกระเป๋าถึงหน้าบ้าน จิตใจของเขาก็เริ่มกลัว ผวา ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะทะเลาะกันอีกหรือเปล่า

พ่อแม่ทั้งสองก็รู้ดีว่าการทะเลาะอย่างนี้นั้นมันทำร้ายจิตใจของลูก พวกเขาไม่อยากจะทะเลาะ แต่ว่าเมื่อโมโหขึ้น ไม่มีใครคุมอารมณ์อยู่ ทุกครั้งที่ทะเลาะเสร็จ ก็จะเห็นลูกทั้งสองคนมีสีหน้าที่ผวาไปหลบอยู่ในมุมมุมหนึ่ง จิตใจของเขาทั้งสองก็ยิ่งเจ็บปวด พวกเขาต่างคนก็ได้กอดลูกหนึ่งคน พูดกับลูกว่า “ลูกจ๋า ต่อไปพ่อแม่จะไม่ทะเลาะกันอีก”



Chomnath:
http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F17343d2f.pbw
ปี 1988 โหย่วเผิงที่อายุสิบห้าได้ไปเรียน ม.3 ที่ (หมิงหลุน) เวลานั้น เขาได้กลายเป็นเด็กที่หน้าตาใสๆคนหนึ่ง หน้าตาที่สดใสกับความน่ารักของเขานั้น ทำให้มีแมวมองมาจ้องมองเขา แมวมองได้ไปหาพ่อแม่เขา บอกว่าทางค่าย (ไคลี่) จะสร้างวงเสี่ยวหู่ตุ้ย อยากจะให้ทางพ่อแม่อนุญาตให้โหย่วเผิงไปร่วม

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของโหย่วเผิงนั้น ทางคุณพ่อกับคุณแม่ก็ได้เกิดความขัดแย้งในเรื่องนี้อีก คุณพ่อต่อต้านที่จะให้ไปด้านนี้ มีแม่ที่โอบกอดโหย่วเผิง ทำให้เขาสามารถพบความสุขได้


“เสี่ยวหู่ตุ้ย” การที่ผู้ชายจะหวังพึ่งหน้าตาหากินนั้นมันเป็นเรื่องที่น่าอาย พ่ออยากจะให้โหย่วเผิงตั้งใจเรียนสูงๆ อนาคตจะให้เขามาช่วยทำธุรกิจของพ่อ แต่สำหรับคุณแม่นั้น นิสัยโหย่วเผิงเป็นคนเงียบ หากได้ไปสัมผัสโลกภายนอกก็คงจะช่วยเสริมสร้างนิสัยเขาได้

พ่อแม่นั้นได้ถกเถียงกันในเรื่องนี้มาตลอด เรื่องนี้ทำให้โหย่วเผิงที่โตเข้าสู่วัยหนุ่มนั้นกลุ้มใจมาก สุดท้ายทนไม่ไหว เป็นครั้งแรกที่จะตะคอกใส่พ่อแม่ “พวกคุณอย่าเถียงกันอีกเลย เรื่องของผมให้ผมตัดสินใจเอง” คุณพ่อมองเขาด้วยสายตาที่อึ้ง เวลานี้เขารู้แล้วว่าลูกชายเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว

ก็อย่างนี้ โหย่วเผิงก็ได้เซ็นสัญญากับทาง (ไคลี่) กับ (เฉินจื้อเผิง) (อู่ฉีหลง) ทั้งสามคนรวมกันเป็นวงเสี่ยวหู่ตุ้ย นี่เป็นวงวัยรุ่นวงแรกของไต้หวันและฮ่องกง รูปหล่อน่ารักทั้งสามคนนี้ ได้สร้างสีสันมากมายให้กับผู้ชม ทำให้มีแฟนคลับนับหมื่นนับแสน พวกเขาได้สร้างอัลบั้มหลายแผ่น อาทิ (เฟย) (หงชิงถิง:Red Dragonfly ) (อ้าย:Love) เสือน้อยสามตัว ชั่วพริบตาก็ดังระเบิดไปทั่วแผ่นดิน

ตอนนั้น โหย่วเผิงเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเจี้ยนก๋อที่ไทเป จันทร์ถึงศุกร์เขาจะไปเรียน เสาร์อาทิตย์ก็ไปออกคอนเสิร์ดตามที่ต่างๆ แม้จะดังแค่ไหนก็ตาม แต่ค่าตอบแทนที่พวกเขาได้รับก็แค่สองสามพันเอง โหย่วเผิงที่รู้เรื่องแล้วเขาจะไม่ใช้เงินฟุ้งเฟย เอาเงินทั้งหมดที่ได้นั้นมอบให้กับคุณแม่ ทุกครั้งก็จะพูดเตือนพ่อแม่ว่า “คุณพ่อคุณแม่ ผมกับน้องชายก็โตแล้ว พวกท่านอย่าทะเลาะกันอีกเลย


Chomnath:
http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F3248e369.pbw

ปี 1991 โหย่วเผิงที่อายุสิบแปด(18) แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยไต้หวัน เรียนด้านวิศวเครื่องยนต์ เขานั้นเบื่อกับเรื่องคำนวนและเรื่องเครื่องยนต์มาก เอาเวลาส่วนใหญ่ทุ่มให้กับการร้องเพลง เวลาก็ผ่านไปในช่วง เสี่ยวหู่ตุ้ยจนถึงปี 1994 ชายหนุ่มสามคนก็โตขึ้นทุกวัน บวกกับความเหนื่อยล้าที่แฟนคลับมองพวกเขา ในสภาพอย่างนี้นั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยก็ประกาศแยกวง

ร้องเพลงมาหลายปีแล้ว แต่ทันใดนั้นก็ทำให้เขาต้องตกงาน ทำให้โหย่วเผิงรู้สึกตกต่ำมาก บวกกับความเครียดของเรื่องการเรียนอีก เขาไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองนั้นอยู่ไหน ในเวลาที่เขาตกทุกข์ได้ยากนั้น คุณพ่อก็ได้สร้างมรสุมที่หนักให้กับเขาอีก ปี 1995 คุณพ่อไม่ยอมฟังคำเตือนแม่ ได้เลิกการทำธุรกิจไป เอาเงินทั้งหมดและเงินที่โหย่วเผิงสะสมไว้ด้วยไปลงทุนอสังหา ไม่คิดไม่ฝันว่าบริษัทเปิดได้ไม่นาน ก็เจ๋งไป บวกกับถูกเพื่อนโกงอีกด้วย เงินที่ลงทุนไปนับล้านสูญหายไป แถมยังติดหนี้มาอีกกองด้วย เศรษฐกิจของครอบครัวก็วูบลงในทันใด ทำให้ทั้งครอบครัวต้องพึ่งเงินเดือนอันน้อยนิดจากแม่ที่เป็นครูประทังชีวิต

คุณแม่นั้นยากจะให้อภัยพ่อ มักจะตำหนิพ่อว่า “เป็นแกนั่นแหละ ทำให้ครอบครัวเราต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แกไม่เพียงทำร้ายฉัน ยังทำร้ายลูกด้วย” เดิมทีคุณพ่อก็กลุ้มอยู่แล้ว เมื่อถูกคุณแม่ด่าบ่อยๆเข้า ก็มักจะออกไปดื่มเหล้าข้างนอก ทุกครั้งกลับมาก็ทะเลอะกันอีก

สำหรับโหย่วเผิงแล้ว บรรรยากาศบ้านยิ่งอยู่ยิ่งแย่ วันเดียวเขาก็ไม่อยากอยู่ มีนาคมปี 1995 อีกไม่กี่เดือนมหาลัยก็จะจบหลักสูตรโหย่วเผิงกลับตัดสินใจลาออก ไปทำใจที่อังกฤษ เขาได้ไปท่องเที่ยวที่อังกฤษอย่างไร้เป้าหมาย ไปพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งของลอนดอน แล้วเขาก็ป่วย ไข้ขึ้น 40 องศา แม้แต่น้ำก็ดื่มไม่ลง เกือบตายที่ต่างถิ่น เหตุที่ไม่สบายใจ เขาเลยไม่ยอมโทรไปหาพ่อแม่


Chomnath:
http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2F0535bd72.pbw

สิงหาคมของปีนั้น(1995) โหย่วเผิงได้เอาร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยกลับมาที่ไทเป สิ่งที่ทำให้เขาร้องไห้ไม่ออกเลยก็คือ ตอนนี้พ่อแม่แยกกันอยู่แล้ว แม่ย้ายไปอยู่ที่ (เมืองจิงซัน) ที่ไทเป แต่พ่อก็ยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมโหย่วเผิงปรารถนาอยากจะให้พ่อไปกับเขาเพื่อรับแม่กับมาอยู่ที่บ้าน แต่พ่อยืนยันจะไม่ไปรับเด็ดขาด โหย่วเผิงไปหาแม่ด้วยใจที่แตกสลาย หาทุกวิถีทางร้องขอให้แม่กลับไปบ้านเดิม แต่แม่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับบ้านเด็ดขาด

โหย่วเผิงเจ็บปวดจนยากจะบรรยาย แล้วก็ไม่ขอร้องพ่อแม่อีกเลย แต่เขาก็ไม่ยอมไปพักอยู่กับใครเลย แล้วเขาก็ได้ไปเช่าห้องพักอยู่ เวลานั้น น้องชายของเขาก็พักอยู่ในหอของโรงเรียน สมาชิกสี่คนอยู่กันคนละที่ละทาง ทำให้ใจของโหย่วเผิงนั้นเจ็บปวดมาก

พ่อแม่แยกกันอยู่ไม่สามารถให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้

โหย่วเผิงเจ็บปวดใจมากๆ

หลังจากนั้นในสองปี อาชีพศิลปินของโหย่วเผิงก็เดินมาถึงจุดตกต่ำ จนถึงปี 1998 เรื่องที่ได้เล่นกับจ้าวเว่ยและหลินซินหยู(องค์หญิงกำมะลอ)ได้ออกฉายทุกวี่ทุกวัน บทที่เขาเล่นคือ (อู่อาเกอ:องค์ชายห้า) นั้นเป็นที่จำฝังใจของผู้ชม ตกต่ำไปหลายปี เขากลับมาฝื้นคืนชีพอีก จากนั้นเขาก็ได้เล่นหนังอย่างไม่ขาดสาย เขาเป็นพระเอกในเรื่อง(ฉิงเซินเซิน หยี่หมงหมง:มนต์รักในสายฝน) (เหลาฟางโหย่วสี่:รักสองหัวใจเดียวกัน) (อีเทียนสูหลงจี้:ดาบมังกรหยก) ได้ออกฉายเรื่องแล้วเรื่องเล่า ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้กลับไปทำอาชีพเดิม คือออกอัลบั้มของตัวเอง (จุ้ยอ้าย:Best Love) (หนี่ไคว้ปู๋ไคว้เล่อ:Happens This Way ) (หว่อเตอห่าวซินฉิง:Not Only Deep Love ) เป็นต้น

เวลานั้น พ่อแม่ของเขาแยกกันอยู่เป็นเวลาที่นานเหมือนกัน โหย่วเผิงก็ไปขอร้องพ่อแม่ให้มาอยู่ด้วยกันบ่อยๆเหมือนกัน แต่ก็ไร้ประโยชน์ เทศกาลกินบะจาง ในปี 1999 โหย่วเผิงได้ไปเชิญพ่อแม่มากินข้าวที่บ้านของตัวเองเขาทำเรื่องนี้อย่างยากเย็นเหมือนกัน เขาปรารถนาอยากจะให้ครอบครัวมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันฉลองเทศกาลนี้ แต่คิดไม่ถึง ขณะที่กินข้าวไม่รู้ใครไปเอ่ยถึงเรื่องคุณพ่อไปติดหนี้คนอื่น ทำให้คุณแม่โมโหขึ้นมาทันใด แล้วก็เริ่มต่อว่าคุณพ่อ แล้วคุณพ่อก็โกรธขึ้นมาในทันใดเหมือนกัน ข้าวยังไม่ทันกินอิ่ม ต่างคนก็ต่างกลับไปเลย แท้จริงคุณแม่นั้นเจ็บแค้นมากๆ ทำให้โหย่วเผิงเศร้าใจมาก

ธันวาคมของปีนั้น (1999) พ่อแม่ได้ทำเรื่องหย่าเรียบร้อยแล้ว โหย่วเผิงไม่ได้ร้องไห้ เขาคิดว่า ในเมื่อพวกเขาชอบทะเลาะกัน แยกกันอยู่ก็ดีเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่แตกหักของพ่อแม่ทำให้โหย่วเผิงผวากลัวที่จะมีครอบครัว แม้จะมีผู้หญิงดีๆข้างกายเยอะแยะ แต่เขาก็ไม่มีใจ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งงาน เขาเห็นตัวอย่างของพ่อแม่แล้ว ทำให้เขาทุ่มเทใจให้กับหน้าที่การงานของเขา หาเงินใช้หนี้ให้พ่อ ส่งน้องเรียน ให้ชีวิตของคุณแม่ดีขึ้น

โหย่วเผิงนั้นก็ได้ไปพักโน่นทีนี่ที ทุกปีเมื่อใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีน เขาจะมองเพื่อนๆที่ต่างก็กลับไปยังบ้านที่อบอุ่นของตนเอง เขากลับไม่รู้ว่าจะไปบ้านหลังไหนของเขา บ้านพ่อ บ้านแม่ แล้วจะไปบ้านไหนล่ะ


Chomnath:
http://w184.photobucket.com/pbwidget.swf?pbwurl=http%3A%2F%2Fw184.photobucket.com%2Falbums%2Fx178%2Falec_002%2Fa34ebfd6.pbw

เทศกาลตรุษจีนในปี 2002 เพื่อนซี้ของโหย่วเผิง (หลินซินหยู) ชวนเขาไปฉลองที่บ้านของเธอ มองเห็นครอบครัวของเธอได้ฉลองกันอย่างอบอุ่นมีความสุข ตกแต่งบ้าน ติดตัวหนังสือ ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันนั่งรอบโต๊ะกินอาหารมื้อครอบครัว แล้วกลับคิดถึงพ่อแม่ของตัวเองนั้นต่างคนต่างอยู่ แน่นอนในใจของโหย่วเผิงนั้นเป็นอย่างไรคงทราบดี แม้จะมีอาหารอร่อย เมื่อปีใหม่มาถึง เขาไม่ยอมอยู่ที่บ้านของ (หลินซินหยู) แม้ทุกคนจะชวนเขาก็กลับไปที่บ้านของตน ...

หลังจากที่กลับจากบ้านของ (หลินซินหยู) แล้ว เขาหอบจิตใจที่ปวดร้าวนั้นไปอวยพรปีใหม่ให้คุณแม่ เพราะน้องชายอยู่ที่บ้านพ่อแล้ว บ้านของแม่ที่เงียบเหงาวังเวงนั้นทำให้ใจของโหย่วเผิงเศร้า บนโต๊ะมีกับข้าวที่ยังกินเหลือวางไว้สองจาน มองออกว่า น่าจะเป็นกับข้าวของมื้อเมื่อคืน คุณแม่ก็นอนอยู่บนโซฟา สายตาที่ลอยๆ

สิ่งที่เกินความคาดหมายคือ ขณะที่คุณแม่นั้นพูดคุยกับโหย่วเผิง แม่จะไม่บ่นว่าพ่ออีก แต่กลับพูดถึงสิ่งดีๆที่คุณพ่อเคยทำให้กับคุณแม่ พูดถึงภาพที่อบอุ่นอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ท่านยังเล่าอีกว่า วันหนึ่งท่านไม่สบาย คุณพ่อนั้นได้ลงมือตุ๋นฟักเขียวใส่ซี่โครงหมูที่อร่อยให้เขาทาน เล่าไปเล่ามาก็เกือบสองชั่วโมง โหย่วเผิงสับสนแล้ว ตอนที่อยู่ด้วยกันกลับมาทะเลาะ แต่ว่าแยกกันแล้ว ทำไมถึงยังไม่ลืมกัน?

สองวันผ่านไป โหย่วเผิงไปที่บ้านของคุณพ่อ สภาพของคุณพ่อก็ไม่แตกต่างอะไรกับคุณแม่ คุณพ่อพูดกับโหย่วเผิงอย่างเสียใจว่า “เมื่อก่อนคุณพ่อนั้นทำงานใช้อารมณ์มากเกินไป ทำร้ายจิตใจแม่ ตอนนี้พอคิดถึงเมื่อไหร่ก็เสียใจทุกที..” เขาบอกกับโหย่วเผิง หลายปีมานี้มีคนแนะนำผู้หญิงให้กับเขามากมาย แต่เขาก็ลองไปเจอกับพวกเธอ ติดต่อกัน แต่ทุกครั้งก็ได้เอาพวกเธอมาเปรียบเทียบกับคุณแม่ เปรียบไปเปรียบมา สุดท้ายก็คิดว่าคุณแม่ของโหย่วเผิงดีที่สุด นี่เป็นคำจากก้นบื้งในหัวใจ ทำให้โหย่วเผิงเสียใจและดีใจด้วย


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version