Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Interviews & Video Clips
2010 Five Star Night Talk
Chomnath:
http://www.tudou.com/v/t08CtWDefLY/&resourceId=0_04_05_99/v.swf
รายการ Five Star Night Talk
บันทึกเทป : 17 มีนา 2010
ออกอากาศ ; 15 ก.ค.2010
สถานีโทรทัศน์ช่อง BTV 北京
Chomnath:
บรรยาย : บทเพลงของพวกเขาได้ประทับอยู่ในจิตใจของคนนับแสนนับล้านอย่างไม่มีวันลืม และการมารวมตัวอีกครั้งของพวกเขานั้น ยิ่งเป็นที่เซอร์ไพรส์ของทุกคน วันนี้รายการ อู่ซิงแย่ฮั่ว ของเราได้มีแขกรับเชิญมาจากแดนไกล ซูโหย่วเผิง
พิธีกร : ชีวิตที่เปี่ยมด้วยปัญญา ก็ย่อมรู้จักสิ่งที่ดี ยินดีต้อนรับทุกคนที่ติดตามชมรายการ อู่ซิงแย่ฮั่ว วัยแรกของหนุ่มสาวนั้นเป็นเรื่องราวที่พูดคุยไม่จบไม่สิ้น และมีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่ได้เคียงข้างกับวัยหนุ่มสาวของเรา อาทิ หนังสือเล่มหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เพลงไพเราะน่าฟังเพลงหนึ่ง หรือเสียงดนตรีที่ลืมไม่ลง สิ่งเหล่านี้อาจนำความทรงจำดีๆมากมายมาสู่พวกเรา เหมือนกับเพลงเพลงนี้ “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” โอ้ บทเพลงนี้นั้นนำพวกเรากลับไปสู่บรรยกาศอดีตที่โยกไปโยกมา ฉะนั้นรายการในวันนี้ของพวกเรานั้น คนที่โยกไปโยกมาหนึ่งในนั้นก็ได้มาที่นี่แล้ว ให้เราใช้เสียงปรบมือที่ดังมาต้อนรับ ซูโหย่วเผิง
โหย่วเผิง : สวัสดีครับทุกๆ คน สวัสดีครับ
พิธีกร : โหย่วเผิง สวัสดีค่ะ
โหย่วเผิง : สวัสดีครับ
พิธีกร : เชิญนั่ง ๆ
โหย่วเผิง : สวัสดีครับทุกคน
พิธีกร : เพิ่งลงจากเครื่องใช่ไหม
โหย่วเผิง : ใช่ วันนี้เพิ่งถึงเอง
พิธีกร : แล้วยังโอเคไหม
โหย่วเผิง : ก็เหนื่อยนิดหน่อย แต่ว่าเห็นหน้าทุกคนกับเพลง MV ของ 20 ปีที่แล้ว เลยทำให้ตื่นขึ้นมาในทันทีเลย
พิธีกร: ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่า หากว่าคุณสังเกตดีๆ แล้ว ท่าทางของเขาที่อยู่ข้างๆ จะเป็นอย่างนี้ อารมณ์อย่างนี้ของคุณหมายความว่าอะไร
โหย่วเผิง : มันตลกดี เมื่อกี้ผมดูแล้วในเอ็มวีนั้น ก็คือในภาพของเอ็มวีนั้น มันเป็น 2 เอ็มวี
พิธีกร: พวกเราได้เอาเอ็มวี 20 ปีก่อน มาตัดต่อเพิ่มเข้าไป
โหย่วเผิง : ที่ตื่นเต้นน่าดู น่าจะเป็นภาพเอ็มวีตัดต่อของยี่สิบปีที่แล้ว
พิธีกร : แต่ฉันรู้สึกว่าดีมากๆนะ
โหย่วเผิง : ใช่ ในนั้นมีตอนหนึ่งที่มีภาพพวกเรา 3 คน ไ ม่รู้ว่าพวกเราจำได้ไหม คือ ภาพที่เราทั้ง 3 คนมีท่าที่ร่วมประสานกันขึ้นมา นี่เป็นภาพใน “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” ซึ่งเป็นภาพที่คลาสสิกมากๆ เลยทีเดียว แล้วตอนนั้นผมเองก็เก๊กท่าตรงนั้น ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นผู้กำกับต้องการให้พวกเรามีหน้าที่เข้มขรึม แล้วหน้าของผมก็กลายเป็นแบบนี้ ดูแล้วเข้มขรึมมากๆเลย ผมคิดว่าตอนนั้นอายุผมยังน้อย เลยไม่รู้ว่าท่าไหนถึงจะออกมาหล่อ ออกมาเข้มขรึม ฉะนั้นแล้วผมกับพวกเรา 2 คน ผมดูแล้วน่าตลกน่ารักดี
พิธีกร: ใช่ๆๆ ฉันเองก็รู้สึกว่าตอนที่ได้สังเกตคุณนั้น เสื้อผ้าที่คุณสวมใส่นั้นเหมือนกับเด็กใส่เสื้อของผู้ใหญ่อะไรอย่างนั้น
โหย่วเผิง : ใช่ ตอนนั้นเสียงยังไม่แตกหนุ่มเลย ใช่ๆ
พิธีกร : เสียงแหบๆ
โหย่วเผิง : ใช่เสียงแหบๆ เหมือนกับเสียงเป็ดเลย
พิธีกร : แต่ว่าเสียงอย่างนั้นทุกคนก็ล้วนชอบนะ แม้จะเป็นเสียงอย่างนั้น ใช่ไหมทุกคน
ทุกคน : ใช่ๆๆ
Chomnath:
พิธีกร : ฉันเองก็เหมือนกับทุกคน ฉันเองก็ฟังเพลงของเขาแต่เด็กจนโตเลย จริงๆนะ จริงๆ เอาล่ะ ฉันอยากจะถามพวกคุณ ว่าพวกเราได้ตัดภาพเอ็มวีของเพลงเมื่อกี้ของทั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้วกับของคืนตรุษจีนปีนี้มารวมกัน เราจะเป็นภาพที่ต่างกันแล้วเรานำมาตัดต่อเข้ากัน แล้วพวกคุณชอบภาพไหน
ทุกคน : ชอบทั้งสองเลย
พิธีกร : งั้นชอบทรงผมในวันนี้ของเขาด้วยหรือเปล่า
ทุกคน : ชอบ
พิธีกร : ถ้างั้นแสดงว่าฉันเองก็คงตกยุคไม่ทันพวกคุณแล้ว
โหย่วเผิง : จริงๆแล้วทรงนี้เป็นทรงแฟชั่นของปีนี้นะ จริงๆ
พิธีกร : คุณลองหัน 360 องศา โชว์หน่อยได้ไหม
โหย่วเผิง : เพราะว่าปีนี้ทรงนี้แฟชั่นมาก ฉะนั้นต่อแต่นี้ไปไม่กี่เดือน ก็จะเห็นว่าศิลปินทุกคนจะไว้ทรงนี้ ก็จะเห็นว่าจะยาวๆ ไม่ใช่ผมเป็นคนคิดขึ้นมานะ ไม่ใช่
พิธีกร : ไม่เพียงอย่างนี้ เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะเป็นแฟชั่นตัวพ่อเลย วันนี้คนเหล่านี้ที่มาในรายการนั้นก็ล้วนเป็นแฟนเพลงของคุณ จริงๆแล้วพวกเขาล้วนแต่โตเติบมาด้วยกันกับคุณทั้งนั้น
โหย่วเผิง : ใช่ครับ ก็คงมีทั้งแฟนคลับใหม่และเก่า เพราะว่าตัวเองได้เข้าสู่วงการก็ถือว่านานพอสมควร ฉะนั้นเวลาของแต่ละคนที่รู้จักผมนั้นก็คงจะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะหากว่าบางคนที่ยังวัยรุ่นอยู่นั้นก็คงจะไม่เคยได้ยินเพลง ชิงผิงก่อเล่อเหยียน
พิธีกร : งั้นฉันขอถามหน่อย
ทุกคน : เคยฟังแล้ว
โหย่วเผิง : อื่ม
พิธีกร : ที่คุณบอกว่าอายุยังวัยรุ่นนั้นหมายถึง
โหย่วเผิง : หากว่าเคยฟังแสดงว่าอายุเยอะแล้วนะ ฮ่าๆๆๆ
พิธีกร : คนนั้นบอกว่าเขาได้ฟังตอนงาน คืนตรุษจีน ในเมื่อพวกเราสนใจกับงานคืนตรุษจีนแล้ว พวกเรามาคุยเรื่องนั้นกันเลย จริงๆ แล้วงานคืนตรุษจีนครั้งนี้นั้น ได้รวบรวมผู้คนมากมายมาอยู่ตรงหน้าเวที และมีการแสดงหลายอย่าง แต่ว่าสายตาทุกคู่นั้นกลับไปจ้องอยู่กับรายการของพวกคุณ คือได้จ้องโฟกัสไปที่ เสียวหู่ตุ้ย ตอนนั้นน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น เหลาหู่ตุ้ยแล้วมั้ง (เสือแก่) ฮ่าๆ โอ้ ยังมีคนบอกว่ายังคงเป็นเสี่ยวหู่ตุ้ย
โหย่วเผิง : พวกเราน่าจะเป็นเสียวหู่ตุ้ยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ฮ่าๆๆ
Chomnath:
พิธีกร : สำหรับการรวมตัวครั้งนี้ของพวกคุณนั้น ฉันเห็นขณะที่พวกคุณ 3 คนเจอกันนั้น ฉันรู้สึกว่าพวกคุณไม่ค่อยสนิทกันเหมือนกับที่ฉันได้คิดไว้ ไม่รู้ว่าการเงียบของพวกคุณนั้น เป็นการแกล้งทำเป็นเข้ม ดูจากผิวเผินข้างนอกนะ ไม่รู้ว่าข้างในจิตใจของพวกคุณเป็นอย่างนั้นกันหรือเปล่า?
โหย่วเผิง : จริงๆแล้วเรื่องอย่างนี้นะ ผมคิดว่ามันเป็น แน่นอน ผมคิดว่ามันคงไม่ได้อย่างที่ทุกคนคิดไว้อย่างนั้น เพราะผมคิดว่าชีวิตจริงนั้น เข้าใจไหม เพราะว่าทุกคนก็คงคิดไว้ว่า เมื่อพวกเรามาเจอกันแล้ว คงจะต้องกอดกันร้องไห้ อะไรประเภทนี้ แท้จริงแล้วความเป็นจริงของชีวิตนั้นเป็นการเผชิญกับความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่ต้องมาแสแสร้งทำ สำหรับพวกเรานั้น มันคงเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่สับสน ก็คงเป็นอย่างสมัยตอนวัยรุ่นของพวกเรา เพราะว่าเราเคยผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามากมาย แล้วยังมีเกียรติมากมายที่เราได้รับด้วยกัน แล้วมีความทุกข์มากมายที่ได้เจอ
จริงๆ แล้ว พวกเรามีช่วงเวลาหนึ่งที่ต่างคนต่างอยู่ ก็คือ ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง หรือว่าต่างคนต่างมีอาชีพหน้าที่การงานของตัวเอง แล้วจริงๆแล้ว นานแล้วที่พวกเราไม่เคยได้ออกมาโดยใช้รูปแบบของเสี่ยวหู่ตุ้ย หรือแสดงออกในแนวขวัญใจวัยรุ่น ฉะนั้น เริ่มแรกของเรานั้น ก็จะมีบรรยกาศการไม่สนิทบ้าง และเรื่องนี้นั้น ผมคิดว่ามันก็คงไม่เหมือนกับผู้ชมหน้าจอโทรทัศน์ ก็คือช่วงหนึ่งของวัยเด็ก เช่น ชิงผิงก่อเล่อเหยียน ก็คือหากว่าคุณไม่ฟังบ่อยๆ เวลาผ่านไปแล้วคุณก็อาจะลืมมัน แต่เมื่อได้ยินเพลงนี้ ความทรงจำเก่าๆ ก็เริ่มกลับมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับพวกเรา 3 คน
พิธีกร : แล้วช่วงเวลาที่พวกคุณได้ซ้อมการแสดงนั้น ฉันเองก็ได้เห็นแล้วตอนนั้นพวกคุณซ้อมหลายวันเลย
โหย่วเผิง : พวกเราใช้เวลาซ้อมกัน 4-5 วัน
พิธีกร : 4-5 วัน
โหย่วเผิง : ก็คือเริ่มแรกๆนั้น ต้องคิดท่าเก่าๆ ออกมาก่อน
พิธีกร : ล้วนเป็นท่าเก่าๆ หรือ?
โหย่วเผิง : ส่วนมากก็เป็นท่าเก่า แต่มีบางจุดที่มีความสงสัยไม่ชัดเจน เพราะว่าอดีตพวกเรามีหลายอัลบั้ม บางท่านั้นใช้เต้นในงานคอนเสิร์ด แต่มาในช่วงถ่ายเอ็มวี ก็จะใช้อีกท่าหนึ่ง ฉะนั้นในตอนนั้น ในใจพวกเราต่างก็ลืมไปแล้วบ้าง จากนั้นพวกเราก็ได้มานั่งคุยกัน แล้ว จื้อเผิงเป็นคนที่จำได้ดีกว่าคนอื่น แล้วเขาก็วิ่งออกมาว่า เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น แล้วพวกเราต่างก็จะบอกว่า ใช่ๆๆ อาจารย์
พิธีกร : แสดงว่าคุณเป็นคนที่ถูกสอนบ่อยๆ คนนั้นหรือเปล่า
โหย่วเผิง : ส่วนใหญ่ก็จะจำไม่ได้แล้ว ก็เลยไม่มีอะไรที่จะพูด เพราะลืมไปเกือบหมดแล้ว และภาษามือผมเองก็จำไม่ค่อยได้ เพราะว่าผมเป็นประเภทที่ว่าจำเร็วลืมเร็ว
พิธีกร : แต่ว่าฉันจำได้ว่า เมื่อก่อนที่คุณเรียนการเต้นนั้น เป็นคนที่ช้ากว่าคนอื่นครึ่งจังหวะ (ทุกคนหัวเราะ) เสียงหัวเราะของพวกเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันพูด ใช่ไหม ทุกคนคงรู้เรื่องนี้ใช่ไหม แล้วตอนนี้ยังช้าอยู่หรือเปล่า?
ทุกคน : ช้าอยู่
พิธีกร : ยังช้าอยู่ แสดงว่าพวกคุณยังดูออกอยู่ แล้วคุณยอมรับไหม?
โหย่วเผิง : จริงๆแล้วเรื่องนี้พูดแล้วเรื่องยาว (ทุกคนหัวเราะ)
พิธีกร : มีคำที่จะอธิบายมากมายอย่างนั้นเลยหรือ
โหย่วเผิง : แน่นอน เริ่มแรกนั้น ตอนที่อยู่ในช่วง 10 กว่าปี ตอนที่พวกเราเริ่มรวมกลุ่มกันนั้น เพราะว่าผมเองจะเป็นประเภทที่ว่า เป็นเด็กเรียนมากกว่า ฉะนั้น ความชอบเรื่องการเต้นนั้น จริงๆ แล้วก่อนที่จะเข้าไปเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นแทบจะไม่มีพื้นฐานอะไรเลย
พิธีกร : คือ มีศูนย์
โหย่วเผิง : ใช่ๆ เป็นศูนย์ ยิ่งกว่านั้นอาจจะพูดได้ว่าติดลบก็ได้ มันแย่มากๆ จริงๆแล้ว ผมรู้สึกว่าตอนนั้นมันเวอร์มากๆ ก็คือ เช่น ยืนอยู่ในท่าของตัวเองอย่างนี้ ตามปกติแล้ว ตัวของคุณต้องเอียงนิดหนึ่ง แล้วท่าก็ต้องเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม ขาข้างหนึ่งจะต้องเป็นอย่างนี้
พิธีกร: เหมือนท่าของฉันอย่างนี้ไหม
โหย่วเผิง : แต่ว่าตอนนั้นผมทำอย่างนี้
พิธีกร : เหมือนว่าคุณจะพูดกับฉัน
โหย่วเผิง : ใช่ๆๆ ผมนั้นเริ่มต้นไม่มีศิลป์ในตัวเลย คุณรู้ไหม ฉะนั้น อืม..ผมต้องใช้เวลาในการไปซ้อมเยอะกว่าพวกเขา บ่อยครั้งหลังจากที่พวกเราซ้อมเสร็จแล้ว พวกเขาก็โอเคแล้ว ตัวผมต้องไปอยู่ต่อหน้ากระจก แล้วทบทวนหลายๆ รอบถึงจะโอเค โดยเฉพาะตอนเริ่มแรกนั้น เรื่องการเต้นนั้นไม่มีความมั่นใจเลย ผมจำได้ว่าตอนที่ผมเริ่มแรกนั้น ผมไม่กล้าที่จะดูตัวเองในกระจกห้องซ้อมเลย
พิธีกร : เพราะอะไร
Chomnath:
โหย่วเผิง : จริงๆ แล้วปกติ คือคุณจะต้องมองที่กระจก แล้วจะเห็นท่าของตัวเอง ถึงจะนำไปแก้ไขได้ ก็จะทำให้ดีขึ้น ฉะนั้นตอนนั้นผมไม่กล้ามองเลย คุณรู้ไหม ไม่กล้าเผชิญกับตัวเองที่อยู่ในกระจก
พิธีกร : จริงๆแล้ว กระจกนั้นเป็นกระจกที่ใหญ่มาก คุณไม่อยากมองก็เห็นได้
โหย่วเผิง : ใช่ ผมเองก็เป็นแบบว่า ช่างมัน มองไปที่อื่น เลยติดเป็นนิสัยไปเลย แล้วไปแอบมองพวกเขา 2 คน ก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นตอนเริ่มแรกๆ จะเป็นอย่างนี้ แล้วเรื่องการช้าครึ่งจังหวะนั้น ได้ฉายานี้ตอนที่พวกเราเริ่มใหม่ๆ เป็นช่วงที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักพวกเรา แล้วเพลงแรกนั้น จริงๆ แล้ว เป็นการไปเต้นกับวงอีกวงหนึ่ง ได้ร้องเพลง “ซินเหนียนไคว้เล่อ” ผมเองก็จำได้ว่าวันนั้นมันไม่ดีมากๆ เลย
บรรยาย : โหย่วเผิงได้พูดถึงการเรียนการเต้นที่สนุก จนทำให้ทุกคนในรายการหัวเราะอย่างไม่หยุด
โหย่วเผิง : มีเพียงผม ผมก็จะทำอย่างนี้ ทิ้งลงมา สำหรับผมที่แม้แต่กระจกก็ไม่กล้ามองนั้น มันโหดมากๆเลย
บรรยาย : ประสบการณ์ในคืนตรุษจีนเป็นอย่างไร ทำให้เขามีความทรงจำอย่างนี้
โหย่วเผิง : ผู้ชมทั่วประเทศกำลังรับชมอยู่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตอนอยู่ในเวทีความว่างเปล่าได้โผล่ขึ้นมาในทันที
บรรยาย : เสี่ยวหู่ตุ้ยได้รวมตัวอีกครั้ง เขามีความรู้สึกอย่างไร
โหย่วเผิง: พวกเรา 3 คน ผมคิดว่าพวกเรา 3 คน จริงๆ แล้วภายในใจของพวกเราทุกคน ล้วนแต่ตื้นตันใจกันทั้งนั้น
โหย่วเผิง : ผมจำได้ว่าวันนั้น จริงๆ นะ ถ้าพูดไปแล้วมันน่าอายเหมือนกัน
พิธีกร : ไม่เป็นไร
โหย่วเผิง : ตอนนั้นพวกเรา 3 คน จริงๆแล้ว คนร้องหลักในตอนนั้นก็จะเป็นพี่ๆ แล้วพวกเราทั้ง 3 นั้น จะมีการแสดงท่าเต้นในช่วงร้องรับอะไรอย่างนั้น จำได้ว่าตอนนั้นก็จะมีท่าหนึ่งคือการก้าวกระโดดไปข้างหน้าอะไรอย่างนี้
พิธีกร : แล้ว 3 คนก็จะต้องก้าวกระโดดด้วยหรือ
โหย่วเผิง : ใช่ ก็คือทั้ง 3 คน จะต้องกระโดดไปพร้อมๆกัน จื้อเผิงนั้นจริงๆ แล้ว แต่เด็กเขาก็เรียนเต้นบาเล่มา ท่าอย่างนี้นั้นเขาทำได้สวยมากๆ ขาของเขานั้นยังสามารถที่จะกางได้ตรงๆเลย คุณรู้ไหม ต่อไป ฉีหลง ก็เป็นคนที่เรียนพละมา จากภาพในปีนี้ทุกคนก็สามารถที่จะเห็นได้ว่า จริงๆแล้ว เขาทำได้ดีมากๆเลย เขานั้นแน่นอนก็ไม่แพ้กัน เขาโดดอย่างสุดๆ แล้วลอยสูงมากๆ เลย คุณเข้าใจนะ มีแต่ผมนี่แหละ ผมก็กระโดดแบบนั้น แล้วตกลงมาแล้ว (หัวเราะ) ต่อจากนั้นผมจำได้ว่า
พิธีกร : ถ้าเป็นเช่นนี้คุณน่าจะเร็วกว่าพวกเขาครึ่งจังหวะถึงจะถูกนะ
โหย่วเผิง : ผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเพราะอะไร ที่แน่ๆ ท่าต่อไปของผมนั้น คือพวกเราจะต้องนั่งลงบนพื้นแล้วหมุน 3 รอบ ประมาณอย่างนี้
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version