Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Interviews & Video Clips
2004 Kang Xi Lai Le
Chomnath:
Thai Sub
https://www.youtube.com/watch?v=3U0YRlW_heA
康熙來了 2004-05-17 有朋自遠方來 蘇有朋
[Thai Sub] 20040517 รายการ คังซีไหลเล่อ - ซูโหย่วเผิงมาเยี่ยมจากแดนไกล
https://www.youtube.com/watch?v=Wj_blSO9upw
รายการ คังซีไหลเล่อ : 17 พฤษภา 2004
จากสถานีโทรทัศน์ CTI :: จงเทียนจงเหอ :: TV ไต้หวันhttps://www.facebook.com/baansuyoupeng/posts/915329651911213?pnref=story.unseen-section
Chomnath:
<<< บทบรรยาย :เขาในอดีตเป็นรุ่นแรกของขวัญใจของชาวไต้หวัน เป็นไกวไกวหู่ ของวงเสี่ยวหู่ตุ้ย “เสี่ยวหู่ตุ้ย”นั้นได้ดังไปทั่วแผ่นดิน จนถึงตอนนี้ทั้งอดีตและปัจจุบันก็ยังไม่มีวงไหนที่ดังอย่างพวกเขา เป็นที่น่าจดจำของทุกคน
เขา ในอดีตเป็นนักศึกษามีดีกรีของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University - NTU) จากความกดดันในจิตใจและการตัดสินใจของตัวเอง สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจไปพักผ่อนที่ลอนดอน
ซูโหย่วเผิงในวันนี้ที่เราเห็นนั้น ทั้งในด้านการแสดงละครเวทีหรือการขับร้องนั้นยังเด่นดังเหมือนเดิม ทั้งยังเห็นถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเสน่ห์ที่ประกายออกมาจากตัวของเขาและความเชื่อมั่นในตัวเอง และในวันนี้โหย่วเผิงได้มาจากแดนไกล และพิธีกรทั้ง 2 คนก็จะมาถามไถ่ถึงตัวเขาว่า ตัวตนจริงๆของเขานั้น ดื้อหรือเปล่า (ไกวปู้ไกว) >>>
ญ: ยินดีต้อนรับค่ะ
ช: วันนี้นอกจากมีคังหย่งและซีตี้ แล้ว ยังมีพี่สุดหล่อคนหนึ่งที่จะมาร่วมกับเรา พวกเราปรบมือต้อนรับ ซูโหย่วเผิง ด้วยกัน
ญ: ยินดีต้อนรับค่ะ ยินดีต้อนรับคุณโหย่วเผิง
โหย่วเผิง: ดีครับ ผมจะต้องยืนขึ้นด้วยไหม?
ญ: เกรงใจๆ คุณนั่งก็ดีอยู่แล้วหล่ะ
โหย่วเผิง: สวัสดี ทุกๆคนครับ สวัสดีครับ
ญ: โอ้ คุณดำไปเยอะเลยนะ
โหย่วเผิง: จริงเหรอ
ญ: จริงๆ ดูซิ ดูแล้วคุณแข็งแรงจริงๆ
โหย่วเผิง: งั้นก็ดีแล้ว ที่จริงผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นคนหน้าใส ๆ
ช: ในภาพยนตร์ “รักข้ามขอบฟ้า” นั้น คุณได้ลอยโผล่ออกมาจากในน้ำ แล้วยืนขึ้นมาอย่างนั้นใช่เปล่า
ญ: พวกเขาไม่ใช่มาแสดงเป็นศพที่ลอยมาตามน้ำนะ ทำไมมันลอยไปมาอยู่อย่างนั้น
โหย่วเผิง: มีนะ จริงๆแล้วพวกเรามีฉากที่เป็นศพลอย
ญ: พูดความเป็นมาได้เปล่าล่ะ
โหย่วเผิง: ก็ไม่หรอกนะ ในเรื่องนั้นนางเอก กวนเสี่ยวถง ที่คุณไฉ่หลินแสดงนั้น เริ่มแรกเขาก็จะมีเออ...คือเขาจะฝันบ่อยๆ ว่า เขากำลังตกอยู่ในทะเลที่ลึกแห่งหนึ่ง และแล้วก็มีมือที่แข็งแกร่งมือหนึ่งได้ช่วยเขาขึ้นมา แต่ว่าเขาก็มองไม่ชัดว่าคนคนนั้นเป็นใคร เมื่อเขาได้ไปถึงที่กรีซแล้ว เรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับตัวเขาจริงๆ และคนที่ไปช่วยเขาในครั้งนั้น คือผมเอง ฉะนั้นพวกเราก็เลยได้มีการแสดงอันนี้
ช: มือที่แข็งแกร่งนั้นเป็นคุณหรอ
ญ: แล้วมือของคุณจริงๆแล้วแข็งแกร่งไหมเนี่ย
โหย่วเผิง : ก็ปกติ แต่ตอนนี้ผอมไปหน่อย เมื่อปีที่แล้วที่ผมไปถ่ายภาพยนตร์ที่กรีซนั้น ผมก็ได้เขียนเรื่องราวจริงๆ ของผมเล่มหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเพราะว่าช่วง sars ของปีที่แล้วนั้น ผมได้พักผ่อนช่วงหนึ่ง จากนั้นผมก็ได้เข้าฟิตเนส ตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งจริง ๆ ตอนนี้เหตุเป็นช่วงก่อนหน้านี้กระเพาะลำไส้อักเสบ ฉะนั้นตอนนี้ก็เลยตัวเล็กไปหน่อย
ช : อื่ม งั้นได้ไปพักเล่นอยู่ที่กรีซเป็นเวลานานเท่าไร
โหย่วเผิง : ไปถ่ายทำที่กรีซหรอ ก็ประมาณ 2 อาทิตย์กว่าๆ และหลังจากที่ทีมงานได้กลับไปจนหมดแล้วนั้น และพวกเรา ก็คือผมกับคุณหลินปิ่นชุนได้มาที่กรีซเขียนเรื่องราวอีก และทั้งยังไปถ่าย MV 2 เพลงอีกด้วย
ช : โอ้โห มีงานเยอะมากเลยนะ จนคุณไม่มีเวลาไปท่องเที่ยวเลยดิ
ญ : ฉะนั้นความรู้สึกของคุณรู้สึกว่า กรีซ นั้นไม่มีอะไรน่าเที่ยว เป็นเพียงแค่สถานที่ทำงานเท่านั้นเองจริงหรือเปล่า
โหย่วเผิง : จริงๆ แล้ว กรีซ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเหมือนกัน พูดจริงๆ นะ
ช : เป็นเพราะคุณไม่มีเวลาได้เที่ยวหรือเปล่า เพราะคุณไปถึงก็ทำแต่งาน
โหย่วเผิง : ใช่ๆ จริงๆ แล้วไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ในตอนนั้นพวกเราก็อยู่เฉพาะที่เอเธนส์และยังได้ไปเกาะเกาะหนึ่งของที่นั่น เกาะนั้นเรียกว่า เกาะ santorini และที่นั่นก็เป็นภาพในภาพยนตร์เรื่องนั้นที่เราถ่าย ผมรู้สึกว่าสถานที่ที่นั่นนั้น ก็อาจเป็นภาพที่สวยงามที่สุดในบรรดาภาพเหล่านั้น
ช : แล้วคุณได้ไปเกาะที่คนอื่นชอบไปเที่ยวที่ดังๆ
โหย่วเผิง : จริงๆแล้ว เกาะที่พวกเราไปนั้นก็ดัง มีคนชอบไปเที่ยวเหมือนกัน แต่ก็ไม่ค่อยมีผู้คน ก็เพราะว่าเป็นเกาะที่คนจะไปเที่ยวในช่วงพักร้อน ฉะนั้นคนที่มานั้นส่วนมากก็จะเป็นคนยุโรป พวกเขามาแบบสนุกๆ กัน แต่ว่าช่วงกลางคืนพวกเราก็ไม่มีเวลาว่างไปเดินเล่นเลย มันเสียดายจริงๆ เสียดายสุดๆ เลยแหล่ะ เพราะในเกาะนั้นพวกเราได้เห็นพวกเขาขายเสื้อที่ระลึกเลย ก็จะเป็นสไตส์แบบวิถีชีวิตบนเกาะ ส่วนมากร้อยละ 90 ก็จะเป็นพวกเซ็กส์ อะไรอย่างนั้น แต่ว่าพวกเรากลับไม่ได้เห็นเลย และพวกเราได้ซื้อเสื้อทีเชิ้ตหลายตัว และผมได้เอาเสื้อนั้นแจกให้กับทีมงานคนละตัว ก็จะให้รู้ว่านี่เป็นทีมงานของพวกเราอะไรประมาณนั้น และภาพที่ใหญ่ที่สุดก็คือ เป็นภาพเซ็กส์ประมาณร้อยละ 90 ประมาณอย่างนั้น
ญ : งั้นก็แสดงว่าส่วนมากพวกเขาก็ได้มีเซ็กส์กันบนเกาะนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นหรือ?
โหย่วเผิง : ตัวผมเองก็น่าจะเป็นคนประเภทที่ง่ายๆ อย่างนั้นมั้ง
Chomnath:
ช : แล้วคุณจะย้ายไปอยู่ที่เกาะนั้นหรือเปล่า?
โหย่วเผิง : ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น จริงๆ แล้วในเกาะนั้นก็จะคึกคักแค่ครึ่งปีเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วประเทศของพวกเขานั้นก็พึ่งการท่องเที่ยวในการมีรายได้เป็นหลัก ฉะนั้นก็มีเพียงปีละแค่ 6 เดือนที่เป็นอย่างนั้น แต่เมื่อถึงหน้าหนาวก็ไม่มีแล้ว และสิ่งของต่างๆ ที่ขายนั้นก็จะขึ้นราคาเป็น 2 เท่าเลยแหล่ะ
ญ : อ๋อ ฉะนั้นเมื่อตอนที่พวกคุณไปที่นั่นก็ไม่ได้สัมผัสลิ้มรสถึงความตื่นตาตื่นใจอะไรอย่างนั้นล่ะซิ
โหย่วเผิง : จริงๆแล้ว อยากจะเห็นอยากจะเจอจริงๆ แต่ก็ไม่มีให้เห็น
ช : ฉะนั้นผู้ชมที่ชมภาพยนตร์ “รักข้ามขอบฟ้า”
ญ : เอ้ แล้วคุณไฉ่หลินได้สัมผัสอย่างนั้นไหม
โหย่วเผิง : ไฉ่หลินหรอ ก็คงไม่น่าได้เห็นได้เจอมั้ง เพราะเธอถูกพวกเราคุมจนไม่คาดสายตาเลยแหล่ะ
ช : จริงๆแล้ว ผมได้สัมภาษณ์คนคนหนึ่ง และเขาก็เคยมาในรายการของเราด้วย และพวกเราก็คงไม่เอ่ยว่าเป็นใครก็แล้วกัน เขาบอกว่า เขาทนกับดาราหญิงในภาพยนตร์ไม่ได้จริงๆ ด้วยความที่อยากจะเป็นนางเอกหมายเลขหนึ่ง ถึงขั้นยอมนอนกับผู้กำกับ หรือว่าไปนอนกับผู้ควบคุมการผลิต
ญ : อ๋อ ฉันรู้แล้วเรื่องนั้น ฉันเคยดู
โหย่วเผิง : เป็นเพราะเขาสู้คนอื่นไม่ได้ ก็เลยใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นหรือเปล่า
ช : ผมได้บอกกับเธอว่า ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ และผมบอกว่าพิธีกรหญิงของเราในวันนี้นั้นไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้ก็สามารถเป็นนางเอกได้เลยแหล่ะ จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า ยุคสมัยของพวกคุณนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ในยุคสมัยของเธอนั้นมีเรื่องแบบนี้จริงๆ
ญ : จริงๆ แล้วฉันกับผู้กำกับหนิวนั้น ฮ่าๆๆๆๆๆ
ช : นี่คุณขนาดนั้นเลยหรอ จริงๆ แล้วสมัยนี้ก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้วมั้ง
โหย่วเผิง : ก็น่าจะยังมีอยู่
ญ : หรือว่าเป็นแบบ ตัวผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้เป็นดารา
ช : ยิ่งกว่านั้น เขาพูดในฐานะที่อยู่ในจีน จริงๆ แล้วที่จีนนั้นการแข่งขันเรื่องการเป็นนางเอกนั้นเข้มข้นจริงๆ
โหย่วเผิง : อย่างไรก็ตาม เราก็คงไม่ต้องไปนอนกับผู้กำกับมั้ง
ญ : ไม่หรอก อาจจะยังมีหญิงที่อยู่ในประเทศจีนที่ยังเป็นเด็กบ้านนอกที่อยากจะดังอย่างนั้น
โหย่วเผิง : ก็เคยได้ยินในลักษณะแบบนี้
ญ : ก็คงจะมีอย่างเช่น เด็กในชนบทอาจมาบอกกับผู้กำกับว่า ผู้กำกับขา ผู้กำกับขา มีบทอะไรไหมที่ให้หนูแสดงมีไหม?
โหย่วเผิง : อื่ม ก็น่าจะมี
ญ : หญิงนั้นอาจบอกว่า ผู้กำกับก็จะบอกว่า งั้นคุณก็ถอดเสื้อผ้าคุณออกมาสิ อะไรอย่างนั้น และท้ายสุดก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่อะไรอย่างนั้น
โหย่วเผิง : ก็เคยได้ยินประเภทนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามก็แค่เคยได้ยินเฉยๆ ไม่เคยได้เห็นกับตาจริงๆ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าในวงการนั้นไม่มากก็น้อยที่จะมีเรื่องประเภทอย่างนี้เกิดขึ้น
ช : งั้นทีมงานที่ไปทำงานด้วยกันนั้นไม่มีที่ว่าคอยสอดส่องดูเรื่องนี้เหรอ ประเภทเดินออกไปข้างนอก ไปสอดส่องดูว่ามีใครไหม ที่จะไปเคาะประตูของผู้กำกับอะไรอย่างนี้
โหย่วเผิง : จริงๆ แล้ว ทีมงานประเภทแอบจ้องนั้นมีเยอะเหมือนกัน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้นก็ไม่มีอะไรที่ทีมงานจะไม่รู้หรอก เพราะว่าพวกเราทีมงานนั้นได้นอนในตึกเดียวกัน ระเบียงข้างหน้าห้องนั้นเมื่อออกไปก็จะเห็นกันหมด การที่มีใครเข้าห้องใครออกห้องใครนั้นมันมองเห็นชัดเจนมาก แต่ว่ามีหลายอย่างที่บอกไม่ได้ ฮ่าๆๆ
ช : แล้วใครที่เป็นผู้รู้ที่สุด คือแบบว่าเรื่องอะไรเขาก็รู้ เป็นผู้กำกับหรือผู้คุม
โหย่วเผิง : ถ้าจะยกให้ก็ต้องพวกที่แต่งหน้า จัดเสื้อผ้า คนเหล่านั้นมั้ง
ญ : ใช่ๆๆ น่าจะเป็นพวกป้าป้าน้าน้าเหล่านั้นแหล่ะ
โหย่วเผิง : ฉะนั้นพวกช่างแต่งหน้า ช่างจัดเสื้อผ้า เหล่านั้นเนี่ย อย่าไปทำอะไรที่พวกเขาไม่พอใจเด็ดขาดเลย
ช : ทำไมพวกเขาเป็นพวกที่รู้ทันไปหมดล่ะ
โหย่วเผิง : เพราะว่าคุณคิดดูซิ พวกเขาได้ตื่นแต้เช้ามาจัดของเตรียมของต่างๆนานา หลังจากที่ได้จัดเตรียมของให้กับทีมงานนักแสดงเรียบร้อยแล้ว เมื่อนักแสดงก็ได้ออกไปถ่ายทำ แล้วพวกเขาก็ว่างอยู่ที่นั่น คิดว่าพวกเขาทำอะไรล่ะ ถ้าไม่เล่นไพ่นกกระจอก ก็เป็นพวกปากมาก พวกคุณคิดว่าพวกเขาจะทำอะไรล่ะ
ญ : ก็ใช่นะ แม้แต่ช่างส่องไฟยังต้องติดตามนักแสดงไปด้วย ตากล้องก็ยังต้องออกไปถ่ายภาพด้วย ก็คงเหลือแต่พวกเขาเท่านั้นที่อยู่ที่นั่น ก็คงได้แต่นินทา นอกเหนือนั้นก็คงไม่มีอะไรที่จะทำ
ช : ยิ่งกว่านั้นขณะที่พวกเขาแต่งหน้าอยู่นั้น พวกคุณมีการคุยโทรศัพท์ และพวกเขาก็คงได้ยินสิ่งที่พวกคุณคุยกัน ถูกไหม
โหย่วเผิง : ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น หรือว่าเราก็จะมีการพูดคุยถึงเรื่องเมื่อคืนทำอะไรบ้าง พวกเขาก็พูดไปอย่างนั้น แล้วผมก็จะแกล้งทำว่าอะไรนะ แล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรอย่างนั้น
Chomnath:
ช : 1 ปีมีเวลาถ่ายภาพยนตร์เท่าไหร่
โหย่วเผิง : บางครั้งก็อาจเรื่องเดียว บางทีก็อาจ 2 เรื่อง 2 เรื่องนั้นถือว่าเยอะสุดแล้วแหล่ะ ผมรู้สึกว่าถ่ายเยอะกว่านี้นั้นไม่ไหวจริงๆ
ช : แล้วเวลาที่เหลือล่ะทำอะไร
โหย่วเผิง : เวลาที่ว่างจากถ่ายภาพยนตร์หรือก็จะไปทำอัลบั้มเพลง หรือถ่ายโฆษณาอะไรอย่างนั้น จริงๆแล้ว ก็นับว่าเป็นงานเหมือนกันแหล่ะ
ญ: โอ ตารางคุณแน่นไปหมดเลยนะ
โหย่วเผิง : ธรรมดาแล้วผมจะไม่บอกว่าผมถ่ายละครอยู่ จริงๆแล้วใน 1 ปีนั้น ผมใช้เวลาเกือบ 95% ในการทำงาน ผมเลยไม่มีเวลาให้กับตัวเองอะไรอย่างนั้นมากนัก
ช: แล้วทำไมได้จัดสรรเวลาพักร้อนให้กับตัวเองบ้างล่ะ ใน 2 เดือนระหว่างถ่ายละครและทำอัลบั้มนั้น ทำไมไม่ไปพักร้อนล่ะ
โหย่วเผิง : หาเวลาว่างไม่ได้จริงๆ มันไม่ว่างเลย
ช : มันเป็นไปได้ไง ทำไมคุณถึงชอบในการหาเงินขนาดนั้น
ญ : ตัวคุณเองก็ไม่ได้พักร้อนเป็นระยะเวลานานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังกล้าพูดถึงคนอื่น (พูดกับพิธีกรชาย)
ช : แต่ว่าเขาหาเงินได้เยอะจริงๆนะ ได้ยินว่าได้ซื้อบ้านที่จีนแล้ว 5 หลัง
โหย่วเผิง : ไม่หรอก เว่อร์เกินไป มันไม่ได้เยอะอย่างที่พูด ไม่มีมากขนาดนั้นจริงๆ เรื่องนี้ต้องพูดให้กระจ่างเลย ใครอย่ามาจับผมเป็นตัวประกันนะ
ญ : แล้วมีถึง 3 หลังไหมล่ะ
ช: อื่มมีนะ ไม่ลังเลเลยเพราะระหว่าง 3-5 นั้นเป็น 4 น่าจะ 4 หลัง
โหย่วเผิง : ไม่หรอก จริงๆแล้ว ผมรู้สึกว่าธุรกิจการซื้อขายบ้านในจีนนั้นน่าลงทุน เพราะราคาในการเช่าบ้านในที่นั่นนั้นสูงมากๆ เพราะพวกเขามีนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนเป็นจำนวนเยอะมาก และผมเองยังรู้สึกว่าเยอะกว่าที่ไต้หวันเสียอีก ฉะนั้นเพียงแค่คุณลงทุนกู้เงินซื้อบ้านตึกหลังหนึ่ง แล้วคุณก็เอาค่าเช่าบ้านหลังนั้นไปจ่ายเงินที่คุณกู้มานั้นได้เลย จริงๆแล้วค่าเช่าก็ไม่เลวนะ คุณสามารถเอาเงินเช่าไปเลี้ยงจ่ายเงินกู้ได้
ช: ฉะนั้นเมื่อคุณได้หยิบสมุดบัญชีคุณมาดูนั้น คุณยิ้มไหม เห็นตัวเลขแล้วยิ้มเปล่า
โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่านี่เปรียบเหมือนความมั่งคงของชีวิตอย่างหนึ่ง
ญ : ฉะนั้นพูดได้ว่าเงินทั้งหมดของคุณนั้นก็ฝากไว้ที่ธนาคาร แล้วเอามาลงทุนทำการซื้อขายบ้านอย่างนั้น
โหย่วเผิง : ไม่นะ ผมยังรู้สึกว่าผมไม่มั่นใจเท่าไร เพราะผมก็ได้เข้าสู่วงการมานานกว่า 16 ปี และชีวิตผมก็ไม่ใช่ว่าราบรื่นอย่างนี้มาตลอด ในระหว่างนั้นก็ยังต้องฝ่ามรสุมชีวิตที่ตกต่ำมามากมายเหมือนกัน ในช่วงที่ตกต่ำของชีวิตนั้นมันแย่มากๆ เพราะว่าผมยังจำต้องหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ช่วงนั้นคือ เป็นช่วงที่ก่อนจะไปเริ่มซื้อบ้านเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำมากๆ เพราะในตอนนั้นขวัญใจนักร้องที่คนเขาชื่นชอบนั้นก็ได้จบลงไปแล้ว และจะไปร้องเพลงก็ร้องได้ไม่ดีเท่าคนอื่นอย่างนั้น ฉะนั้นช่วงเวลานั้นมันแย่สุดๆ
ญ : นั่นเป็นช่วงที่ เสี่ยวหู่ตุ้ย กำลังแยกวงไปใช่ไหม แล้วเมื่อแยกวงแล้วคุณก็ได้แยกตัวเดินคนเดียว
โหย่วเผิง : การที่จะมาเดินคนเดียวนั้นก็ยังนับว่าเป็นช่วงที่จบสิ้นของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ช่วงนั้นผมก็พึ่งเรียนจบมาหมาดๆ
ช : งั้นในช่วงที่คุณอยู่ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นดังมากๆ เลยเป็นเหตุให้ไม่ค่อยกังวลเรื่องเงินเท่าไร
โหย่วเผิง : ช่วงนั้นยังถือว่าเด็กอยู่ จริงๆแล้ว ยังไม่มีความคิดในเรื่องการทำงานหาเงินเลย ก็คือ ลองทำไปดูอะไรประมาณนั้น ทางบริษัทเตรียมชุดให้ผม จัดเวลาแสดงให้ผม ออกอัลบั้มให้ผม ผมก็เลยไปทำ
ช :ฉะนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็รู้สึกถึงความเครียดของการไม่มีเงินแล้ว หลังจากนั้นก็ขยันในการหาเงินทอง
โหย่วเผิง : ใช่จากนั้นก็รู้สึกว่า ตัวเองจะทำงานหาเงินได้ถึงเมื่อไร และบางทียังคิดว่า อย่างไรก็ตามอย่างน้อยตัวเองจะต้องมีเงินเก็บประมาณ 200 ล้านเหรียญ ตัวเองก็สามารถใช้ดอกเบี้ยในการดำเนินชีวิตได้ ผมก็รู้สึกว่ามันดี ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว งานที่ทำก็ไม่จำเป็นจะต้องไปทำแบบเหนื่อยมากๆ อะไรอย่างนั้น
ช : คุณมี 200 ล้านแล้วนะ ซูโหย่วเผิง
โหย่วเผิง : ยังไม่มี
ญ : คุณยังมีไม่ถึง 200 ล้านเหรียญเหรอ
โหย่วเผิง : ไม่มีจริงๆ ยังขาดอีกตั้งเยอะเลย เงินทองหาได้ง่ายๆขนาดนั้นเลยหรอ
ช : อ้าว คุณซื้อบ้านแล้ว แล้วมันยังไงกันเนี่ย
โหย่วเผิง : ไม่มีเป็นเงินสดไง
ญ : เขาพาดหัวข่าวข้างบนว่า ซูโหย่วเผิงเป็นเศรษฐี 100 ล้านนะ
ช : พาดหัวข่าวบนไหนหรือ ใครพาดหรือ
ญ : ก็ทีมงานเขาเขียน
โหย่วเผิง : ไม่มี ไม่มีเยอะถึงขนาดนั้นจริงๆ หากว่ามีมากถึงขนาดนั้นจริงแล้ว ผมเองก็คงไม่ต้องมาลำบากขนาดนี้แล้วหล่ะ
ช : เมื่อถึง 200 ล้านแล้ว คุณก็จะพักงานแล้ว ใช่เปล่า
โหย่วเผิง : จริงๆแล้ว ผมเองก็คิดว่าอย่างนั้น จริงๆนะ ไม่อยากจะทำงานประเภทนี้เท่าไร
ญ : ถ้างั้น การแสดงละครหนังหนึ่งเรื่องคุณได้รับเงิน 10,000 ดอล จริงเปล่า
ช : มันต้องเยอะกว่าของคุณแหงอยู่แล้ว (พูดกับพิธีกรหญิง)
ญ : ตั้ง 10,000 ดอล คงเว่อร์ไปเปล่า
ช : โห ในจีนเป็นตลาดที่ใหญ่กว้างมากขนาดนั้น 10,000 ดอลมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ญ : ถ้างั้นก็คงเป็นประเภท นกกระจอกตกถังข้าวสารแล้วล่ะซิ
ช : แค่เขาแสดงละคร ก็ได้ค่าตอบแทน 600 ล้านเหรียญไต้หวันแล้ว
ญ : เราพูดอย่างนี้เหมือนกับไม่มีแขกอยู่ข้างหน้าเลยนะ
ช : จริงๆแล้วผมช่วยคุณตอบอยู่นะ ก็เพราะด้วยเหตุนี้เองจึงมีเฉพาะในไต้หวัน สำหรับนักแสดงหญิงที่จะมุ่งมั่น ก็ยากที่จะคิดถึงภาพลักษณะนี้ในจีน
Chomnath:
ญ : อื่ม ก็จริงนะ พวกเรายากที่จะคิดภาพนั้นในจีน
โหย่วเผิง : จริงๆแล้ว พวกคุณก็เคยไปถ่ายโฆษณาที่จีนมิใช่หรือ
ช : ที่จริงคุณ 2 พี่น้องก็ไปถ่ายโฆษณาที่จีน
โหย่วเผิง : ใช่ซิ ที่จริงคุณก็เคยถ่ายโฆษณาทั้งจีนและไต้หวันด้วย พวกคุณก็น่าจะรู้ดีนิ จริงๆแล้วค่าตัวในจีนนั้นก็จะสูงกว่าหน่อยๆ เพราะตลาดมันกว้าง
ญ: ตอนนี้ฉันพึ่งจะมีงาน ก็กำลังอยู่ในช่วงที่ค่อยๆ ทำอยู่
โหย่วเผิง : ดูซิ เธอก็กำลังเป็นพิธีกรกับคุณ ใช่เปล่า
ช : โอเค ซูโหย่วเผิงดังที่สุดในที่ไหนของจีน
โหย่วเผิง : ก็ยังโอเค เพราะละครนั้นจะแทรกซึมเข้าไปในทุกครอบครัวที่ดู
ช : คุณคิดว่าจะดังไปถึงที่ไหนที่ไกลที่สุด เช่น ถึงมองโกเลีย อะไรอย่างนี้
โหย่วเผิง : ก็น่าจะมีนะ ถึงที่ซินเจียง ทิเบต
ช : ซูโหย่วเผิงมีเรื่องหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ เป็นสิ่งที่พวกเรา 2 คน ได้คิดกันมาตั้งแต่ชั่วอายุแล้ว
ญ : อะไรหรือ
ช : ก็คือเรื่อง 64 เทียนอาเหมิน พระเอกคือ หวังตันไง เป็นผู้นำนักศึกษาในตอนนั้น เขาบอกว่าตอนที่เขาติดคุกอยู่นั้น เขาได้ผ่านชีวิตในคุกด้วย เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้วเขาก็ชื่นชอบเสี่ยวหู้ตุ้ยมาก แล้วผู้นำนักศึกษาคนนี้ชื่นชอบที่สุดคือ ซูโหย่วเผิงนั่นเอง
ญ : เขาได้เจาะจงว่าเป็น ซูโหย่วเผิง ใช่เปล่า
ช : คือหลังจากนั้นคุณได้พบเขาหรือเปล่า
โหย่วเผิง: ไม่ได้เจอหน้าเขาเลย ตอนนั้นสื่อที่มาไต้หวัน ได้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง แล้วผมเองก็ยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้แก่เขา เหมือนกับว่าลงหนังสือพิมพ์ด้วยแหล่ะ จริงๆ ผมจำได้มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ
ช : คือเขียนแค่จดหมาย และบอกกับเขาไปว่า ขอบคุณคุณที่ชื่นชอบในตัวผม อะไรอย่างนั้นหรือ
ญ : จากนั้นคุณได้ส่งนามบัตรให้เขาไป
โหย่วเผิง : ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
ช : โห ตอนนั้นคุณยังกล้าส่งถึงผู้นำนักศึกษาเลยหรือ
โหย่วเผิง: ก็ในตอนนั้นผมไม่สามารถที่จะออกนอกประเทศได้
ญ : คุณบอกว่าคุณหล่อมากอย่างนี้ และในบรรดาเพื่อนๆ ของคุณนั้น มี หวังตันที่เป็นผู้นำนักศึกษาอีกด้วย พูดออกมาแล้วมันเท่ห์ขนาดไหน
ช : งั้นคุณก็สามารถที่จะไปดื่มเป็นเพื่อนกับคุณซี
ญ : แล้วคุณซีจะเป็นเพื่อนและชอบฉันหรอ แม้ว่าตอนนี้เขาอาจดูอ้วนไปหน่อย
ช : อย่าเลย เขาชอบคุณแน่ๆแหล่ะ ไม่ต้องห่วง
ญ : พูดตรงๆนะ ตอนสมัยเด็กนั้นฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นแฟนของพวกคุณ และตอนเด็กๆ นั้น ก็ได้ใส่เสื้อทีเชิ้ตของพวกคุณ และในเสื้อนั้นก็ยังมีรูปของพวกคุณ 3 คนอยู่
โหย่วเผิง : สมัยนั้นคนฮิตใส่กัน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version