Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Interviews & Video Clips

2009 Jin Ye Feng Sheng Qi

(1/3) > >>

Chomnath:
VDO https://www.youtube.com/watch?v=B1BkDugc8qE
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ Jin Ye Feng Sheng Qi  ; 2009-08-31
ให้สัมภาษณ์กับบทบาท “ไป๋เสี่ยวเหนียน” ใน The Massege (Feng Sheng)




Chomnath:

ญ: สวัสดีผู้ชมรายการทุกท่าน แขกรับเชิญของรายการวันนี้คือ นักแสดงเรื่อง “เฟิงเซิง” คุณซูโหย่วเผิง สวัสดีค่ะโหย่วเผิง

โหย่วเผิง: สวัสดีครับ

ญ: อื่ม พูดถึงบทที่คุณเล่นในเรื่อง “เฟิงเซิง” แล้ว คงจะพูดอย่างขำขันเสียแล้วล่ะ แม้ว่าจะเป็นบทที่ไม่ง่ายเลย แล้วคิดอย่างไรถึงไปรับแสดงเป็น “ไป๋เสี่ยวเหนียน”ล่ะ

โหย่วเผิง: อื่ม เรื่องนี้ถ้าจะพูดก็จะต้องเริ่มจากตอนแรกเลย อื่ม ใครมาทาบทามผมนะ อื่ม ตอนแรกเลยคือ ทางบริษัทนั้นได้ส่งบทมาให้ผม ความรู้สึกแรกคือรู้สึกว่าผมไม่เคยเห็นบทบาทไหนที่สนุกตื่นเต้นกว่าบทนี้เลย ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้คงเตรียมการมานานแล้ว รู้สึกว่าดีมากๆ ก็คือบทพูดในแต่ละฉาก ไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่องราว บวกกับอารมณ์ของตัวละคร ความสนุกของทั้งเรื่องนั้นมันเยี่ยมมากๆ และเรื่องรวมทั้งเรื่องนั้น ผมรู้สึกว่ามันเป็นที่ประทับใจผู้ชมมาก เป็นเหมือนกับเป็นการเล่าเรื่อง เพราะเรื่องราวมันเต็มไปด้วย

ตอนผมอ่านรอบแรก ตัวเองยังไม่อินเข้าไปเป็นตัวละครในเรื่อง ผมเป็นเพียงผู้อ่านคนหนึ่งเท่านั้น ผมก็รู้สึกว่าผมถูกเรื่องราวเหตุการณ์มันจับต้องใจผมเสียแล้ว บทละครเรื่องหนึ่งหากคุณให้ความสนใจตื่นเต้นที่อยากจะอ่านมันต่อไปให้จบนั้น ก็ถือว่าเป็นบทละครที่ไม่ธรรมดาบทหนึ่งแล้ว อย่างที่สองคือ เมื่ออ่านจบแล้ว รู้สึกว่าในช่วงเวลาสถานการณ์ที่วุ่นวายนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งที่หัวใจเต็มไปด้วยความรักชาติ

ผมรู้สึกว่าเรื่องราวนี้นั้นมีอารมณ์มากๆ รูปแบบยิ่งใหญ่มาก อย่างที่สองที่สังเกตเห็นถึงก็คือ “ไป๋เสี่ยวเหนี่ยน”นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ คือบุคลิกของเขา ทำไมการพูดจาของเขานั้น ไม่เหมือนคนพูดเลย ทำไมตัวละครตัวนี้สร้างขึ้นได้พิเศษอย่างนี้

ญ: แล้วต้นฉบับของตำนานเรื่องนี้คุณเคยอ่านไหม

โหย่วเผิง: ต้นฉบับหรือ ตอนที่ผมได้รับตัวบทนี้นั้น ก่อนหน้านั้นผมเองยังไม่เคยอ่านฉบับเดิมเลย แล้วหลังจากที่ผมได้รับตัวบทนี้แล้ว ผมก็ได้ไปอ่านดูหน่อยเหมือนกัน หากว่าผมจำไม่ผิดนะ มันจะเป็นบทบาทของหางเที่ยเซิง บทบาทก็เหมือนกับอาจารย์จื้อเหวินอย่างนั้น ก็คือจะออกแนวช่วยสอบปากคำ ช่วยส่งข่าวอะไรอย่างนั้น แต่ในภาพยนตร์ที่สร้างใหม่นี้นั้น ผมเป็นหนึ่งในผู้ถูกทรมานซึ่งก็จะมีบทบาทและบุคลิกที่ไม่เหมือนกับบทเดิมอย่างมาก มันเป็นบทที่เด่นและแปลกมาก

ญ: แล้วเคยไปถามผู้กำกับเฉิน ไหมว่าทำไมถึงเลือกคุณมารับเล่นบทบาทนี้

โหย่วเผิง: เรื่องนี้ถ้าพูดไปแล้วก็ยาว ตอนหลังผมได้รู้ว่า จริงๆแล้ว ผู้กำกับทั้งสองท่านนั้น ตอนเริ่มแรกพวกเขาก็มองผมมีภาพลักษณ์ที่สง่าผ่าเผย มีราศีของ“องค์ชายห้า” แล้วจะสามารถเล่นบทที่ยากและมีความกดดันกับบุคลิกอย่างนี้ได้หรือเปล่า และตัวผมเองก็ไม่รู้ด้วย น่าจะพูดได้ว่ามันคงเป็นโชคบุญวาสนาหรือเปล่า เพราะในกลางปีที่แล้วผมได้เล่นละครเรื่องหนึ่ง ผมรับบทเป็นผู้ป่วยทางจิต และช่วงนั้นบังเอิญว่าการถ่ายทำเรื่องนั้นเสร็จสิ้นพอดี แต่ก็ยังมีคลาบของบทบาทอย่างนั้นติดตัวอยู่






พอดีผู้กำกับเกา ได้มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง และทางผู้จัดการส่วนตัวผมนั้นได้พาผมไปหาท่านเพื่อจะพูดคุยว่า มีบทอะไรที่ผมสามารถจะรับเล่นได้ เมื่อไปเจอผู้กำกับเกา แล้วทำให้เขาตะลึงผมมาก พูดตามตรงว่าวันนั้นอารมณ์สีหน้าผมก็ปกติ แต่ท่านกลับมองว่าผมนั้นคงมีอะไรดีๆที่ยังซ่อนอยู่ ยังไม่แสดงออกมา เพราะตลอดเวลาผมรับแต่บทที่เป็นพระเอก หรือภาพลักษณ์ที่ดี แต่ว่ายังมีอีกมุมหนึ่งซึ่งผมเองก็น่าจะทำได้ดีกว่า ท่านจึงได้แนะนำเรื่อง “เฟิงเซิง” ให้ผม บอกว่ามีตัวละครหนึ่งที่พิเศษมาก เขาเลยคิดถึงผมอยากให้ผมมาลองดู พอดีผมเองก็เป็นศิลปินค่ายหัวอี้ด้วย




Chomnath:





ญ: แล้วคุณเคยลังเลใจกับบทบาทที่แปลกๆ อย่างนี้ไหม ว่ามันมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยงามเลย

โหย่วเผิง: ภาพลักษณ์นั้นไม่ได้เป็นจุดที่ผมให้ความสำคัญ สำหรับผมนะ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” นั้นเป็นตัวละครที่ดึงดูดคนขนาดนี้ ซึ่งต่างไปจากตัวละครอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ต่อจากนั้นผมก็ได้มานั่งคิดไตร่ตรองดูว่า ผมสามารถทำได้ไหม ก็คือมาประเมินฝีมือของตัวเองว่าถึงขั้นนั้นไหม จริงๆแล้ว “ไป๋เสี่ยวเหนียน”นั้นภูมิหลังของเขาเป็นคนที่มาจากนักร้องละครเพลง และคำพูดในบทแต่ละประโยคนั้น ฮ่าๆๆๆ ใช่ และกิริยาบทต่างๆนั้นมันพิเรนๆอะไรอย่างนั้น เช่น ท่าทางกระเทยๆ

ญ: บทมันถูกกำหนดมาอย่างนั้นแล้ว ก็คือหญิงไม่ใช่ ชายไม่เชิง

โหย่วเผิง: อื่ม มันก็ยากมากๆเหมือนกัน และในเรื่องนั้น พวกเราก็หวังว่าจะมีฉากที่ร้องละครเพลงด้วย และคิดว่าจะต้องให้ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” ร้องเองเลย หากว่าผมจำไม่ผิดนะ ผมจำได้ว่าภาพยนตร์จีนโบราณนั้น ก็มีตัวละครอย่างนี้เหมือนกัน แต่ว่าตัวละครนั้นจะไม่ร้อง แต่จะใช้เสียงร้องคนอื่นอัดเข้าไป แต่ว่ามาตรฐานครั้งนี้นั้นสูงมาก เริ่มแรกนั้นผมเองก็รู้สึกกังวลใจเหมือนกัน แต่ก็คิดว่านี่ก็เป็นโอกาสที่ใช่จะหาได้ง่ายๆ คิดว่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็จะต้องรับการท้าทายนี้ไว้

ญ: พูดถึงร้องละครเพลง แล้วเรียนยากไหม? (ละครเพลงในเฟิงเซิงนั้น เป็นละครเพลงของปักกิ่งจะแตกต่างจากละครเพลงทั่วๆไป)

โหย่วเผิง: มันยากกว่าที่คุณคิดไว้ด้วยซ้ำ







ญ: ใช่ มันเรียนยากจริงๆ

โหย่วเผิง: ใช่ ผมคิดว่านี่เป็นศิลปะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเรา บวกกับในเรื่องนั้นเขาเองก็เป็นกระเทยคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการพูดการจา ท่าทีทวงทำนองนั้นมีมาตรฐานที่สูงและเข้มมากๆ ใช่ว่าจะแบบถูๆไถๆได้ สำหรับคนนอกที่ไม่ได้เรียนหรือยึดอาชีพนี้การร้องอย่างนี้นั้น ผมได้ทุ่มเทกับมันอย่างมาก




Chomnath:




ญ: ใช่ มันไม่ใช่เป็นวัตถุโบราณอะไร แต่มันเป็นศิลปะที่พิถีพิถันมาก แล้วใช้เวลาในการเรียนนานเท่าไหร่?

โหย่วเผิง: จริงๆแล้วจะพูดว่าเรียนจนได้นั้นคงไม่กล้าพูด เพียงแค่เรียนรู้อะไรที่มันแค่ผิวเผินเองเท่านั้น จำได้ว่าตอนที่ผมเริ่มเรียนนั้นเป็นช่วงตรุษจีน ตอนนั้นยังถ่ายทำเรื่อง “ตามหาหลิวซานเจี๋ย” ซึ่งถ่ายทำที่เมืองกว่างซี แล้วในใจก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เรื่อง “เฟิงเซิง” ก็จะมาแล้ว ต้องรีบไปตัดเสื้อแล้ว แล้วตัวเองก็ใจร้อนจนควักเงินตัวเอง เชิญอาจารย์ไป๋ ที่สอนร้องละครเพลงในโรงเรียนที่ปักกิ่ง เชิญท่านนั่งเครื่องจากปักกิ่งมาที่เมืองกว่างซี เพื่อมาสอนผม

ผมก็วางแผนไว้ว่า เมื่อเลิกงานถ่ายทำแล้ว ก็จะเริ่มเรียนการร้องละครเพลงขั้นพื้นฐานก่อน และแค่คำร้องไม่กี่คำในหนึ่งประโยคนั้น คุณก็รู้ว่าการใช้คำในละครเพลงนั้นมันสวยงามไพเราะขนาดไหน ผมดูเนื้อร้องแล้วคิดว่าแค่ไม่กี่ประโยค เรียนไปไม่นานก็คงได้ ใครจะไปรู้ เมื่อเรียนเข้าจริงๆแล้ว แค่คำเดียวเท่านั้นนะ มันเอื้อนขึ้นเอื้อนลงไปมาสูงต่ำนานมากๆ ห้านาทีร้องไปแค่ประโยคเดียวประมาณนั้น ฉะนั้นก็เลยรู้ว่า มันยากกว่าที่คิดไว้อีก มีเนื้อร้องมากมาย แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมเองก็เป็นนักร้องมาก่อน แต่ว่า

ญ: แต่ว่ามันแตกต่างโดยสิ้นเชิงเลย

โหย่วเผิง: ใช่ๆ เพราะมันไม่ใช่ทำนองแบบเพลงทั่วไปที่สามารถจำได้ง่ายๆ เพราะศิลปะการร้องละครเพลงนั้นถูกสืบทอดมาลักษณะตัวต่อตัว และในแต่ละคำนั้นไม่ใช่มีโน๊ตตัวเดียวสองตัว แต่อาจารย์ผมบอกว่ามันมีโน๊ตที่ต้องสูงๆต่ำๆไหลไปไหลมา ฉะนั้นคุณจำต้องฟังทีละประโยค และฟังให้คล่องก่อน อาจารย์เลยบอกว่านี่คือรสชาติของมัน ฉะนั้นคุณต้องฟังให้ชิน ไม่งั้นไม่สามารถที่จะจำโน๊ตได้ ไม่สามารถจะลื่นไหลสูงต่ำได้ ฉะนั้นการทุ่มเทนี้นั้นมันไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้เลย







ญ: แต่ว่าผลงานที่จะได้มานั้นสวยงามยอดเยี่ยม เพราะผู้กำกับเกาได้เขียนเนื้อร้องที่แสนใจไพเราะ เขาเคยพูดกับคุณไหมว่า เขาพอใจกับผลงานที่ออกมาเป็นอย่างมาก

โหย่วเผิง: การท้าทายในบทบาทนี้สำหรับผมนั้นรู้ว่ามันไม่ง่าย จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้มีการตั้งฉากเวทีตกแต่งนั้น ครั้งแรกของการตกแต่งหน้าของเรานั้นอยู่ที่ลานสนามแห่งหนึ่ง คือตอนนั้นพวกเราก็ได้ตกแต่งฉากสไตล์โบราณที่ได้บรรยากาศอย่างนั้น ทั้งตากล้องกับช่างต่างๆ ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว

ญ: มันสมจริงจริงๆเลย

โหย่วเผิง: ใช่  มันสมจริงมากๆ ผมไม่เคยเจอในลักษณะนี้มาก่อนเลย หลังจากที่ตกแต่งเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่เพียงแค่ถ่ายฉากและบรรยากาศต่างๆ ทุกอย่างที่ทำมันเหมือนกับถ่ายทำจริงๆอย่างนั้นเลย ทั้งผู้กำกับก็มาดูที่จอด้วย ยังดีที่ก่อนหน้านี้ผมได้เชิญอาจารย์มาสอนผมร้องละครเพลง แต่อีกอย่างคือผมพึ่งเรียนมาไม่นานเองนี่ แล้วตอนนั้นจำได้ว่าผู้กำกับให้ผมร้องอะไรนะ อื่ม คือให้ผมจ้องที่กล้องแล้วร้องเพลงไปรำไปอะไรอย่างนั้น

ผมนึกในใจว่า ตายแน่ซวยจัง แต่ไม่รู้ซิ อาจจะเป็นเพราะอยู่ภายใต้ความกดดันเลยทำให้ผมแสดงออกมาได้ดี ผมไม่ใส่ใจว่ามีใครมาดูผม อารมณ์ผมนั้นล้วนอิงอยู่ในบทหมดเลย แล้วผมก็ได้เอาท่ารำเนื้อร้องที่ได้เรียนกับอาจารย์ในกว่างซีมาแสดง และผมก็ไม่สนว่ามันถูกหรือผิดอย่างไร เมื่อเสร็จแล้วก็เห็นใบหน้าของผู้กำกับเกายิ้มรู้สึกถึงความพอใจมาก จากนั้นก็มีอาจารย์เฉินวิ่งมาแตะผมแล้วยิ้มให้ผม แล้วผมเองก็คิดว่ารอดจนได้ คิดว่าบทนี้น่าจะอยู่ในกำมือผมแล้วล่ะอะไรอย่างนี้




Chomnath:





ญ: จริงๆแล้วคุณก็รับแสดงบทต่างๆมามากมายแล้ว และครั้งนี้ก็ได้รับบทนี้ใน “เฟิงเซิง”นั้น

โหย่วเผิง: ใช่ แต่ผมไม่เคยรับบทที่มันยากขนาดนี้ รวมทั้งผมเองยังทุ่มเทให้กับมันมากมาย

ญ: เอ้ แล้วคุณสามารถร้องละครเพลงให้เราฟังสักประโยคสองประโยคได้หรือเปล่า?

โหย่วเผิง: อื่ม งั้นผมจะร้องสั้นๆ

ญ:ขอบคุณคะ


(ร้องละครเพลง – งิ้ว)








โหย่วเผิง: ประมาณนี้

ญ: ขอบคุณมากๆค่ะ รู้สึกว่าเสียงนั้นสูงต่ำต่างกันมากเลย ยังรู้สึกว่าจับเสียงให้มันถูกต้องนี่ยากจริงๆ แต่คุณก็ยังไม่ลืมเสียงทำนองของมันเลยนะ

โหย่วเผิง: ครับ นานแล้วที่ไม่ได้ร้อง ตอนแรกเริ่มนั้นยังต้องจับจังหวะให้ได้ก่อน อันนี้มันสำคัญมาก

ญ: ใช่ๆ หากคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกแบบหนึ่ง อีกบุคลิกหนึ่งนั้นมันไม่ได้เป็นอะไรที่ง่ายๆ

โหย่วเผิง: ใช่ เพราะ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” นั้นเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ และมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจ ที่ไม่หญิงไม่ชาย รวมทั้งเสียงของเขาก็ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือแห่งการแสดง ฉะนั้นจำเป็นจะต้องเตรียมพร้อมด้านนี้ด้วย ตอนนั้นเมื่อถ่ายเสร็จแล้วก็มาดูว่า อื่ม ก็ส่วนใหญ่ก็น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ แต่เมื่อฟังดูดีๆแล้วก็รู้สึกว่า เอ้ เสียงนั้นแมนไปหรือเปล่า คิดว่าเสียงของเขาฟังแปลกๆ สุดท้ายก็เลยมาปรับปรุงเสียงอีกที ก็คือจะออกเสียแนวใหม่ ความคิดนี้ได้มาจากละครเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครในลักษณะแบบนี้





นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version