ซูโหย่วเผิง เด็กดีในวัยเด็กแต่กลับโดดเดี่ยว
ผมเกิดในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ปี 1973 วันเกิดของคุณแม่ก็วันไหว้พระจันทร์เหมือนกัน ฉะนั้นแม่ตั้งชื่อผมว่า เผิง เป็นตัวพระจันทร์สองตัวมารวมกัน แม่บอกว่าตอนผมเป็นทารกอยู่นั้นมักชอบร้องไห้ ตัวผมเองยุ่งมาก ท่านกลัวว่าหัวผมนอนจนเอียง เลยอุ้มผมทั้งวัน ให้ผมอยู่ในอ้อมอกของท่าน
คุณพ่อของผมเป็นนักธุรกิจ คุณแม่เมื่อจบการศึกษาแล้วก็มาเป็นครู ครอบครัวของผมนั้นในไต้หวันนับว่าเป็นครอบครัวขนาดเล็ก เหตุนี้หลังจากที่ผมเกิดแล้ว คุณแม่ไม่ได้ลาออกจากงานของตนเอง มีคุณย่าเป็นคนเลี้ยงผม มีครั้งหนึ่งเมื่อคุณย่าซักเสื้อผ้า ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของผม จนน้ำตาไหลเข้าหู จนหูผมอักเสบ คุณแม่ห่วงผมมาก ต้องตัดสินใจโดยจำใจ ลาออกจากงาน ดูแลผมที่บ้าน อย่างไรก็ตามตอนที่คุณแม่ดูแลผมอยู่นั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้น
มีครั้งหนึ่งคุณแม่ไปที่ตลาด หลังกลับจากตลาด ตามหาผมทุกซอกทุกมุมก็หาไม่เจอ สุดท้ายร้องเดินร้องไห้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจข้างบ้าน แล้วมาเจอกำลังนั่งกินไอศครีมอย่างอเร็ดอร่อย ตอนนั้นบ้านผมอยู่ชั้นสอง ผมไม่รู้ว่ามาอยู่ชั้นหนึ่งได้อย่างไร ได้เดินตามล่องน้ำมา และแล้วก็หลงทางไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน เมื่อตำรวจเห็นเข้า ตอนนั้นผมอายุยังเล็ก ทั้งยังไม่สามารถจะบอกบ้านของตังเองอยู่ไหน สุดท้ายก็พาผมมาอยู่ที่สถานีตำรวจ หลังจากเรียนแล้ว ผมมีนิสัยเสียๆอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือขี้เล่น อย่างที่สองคือชอบนอน
บ่อยครั้งที่ผมเล่นเหนื่อยแล้วก็จะฟุบนอนบนโต๊ะ ตอนนั้นแม่ก็สงสัยว่าผมเป็นพวกเด็กไฮเปอร์ ครูปกครองในสมัยเรียนนั้นจนถึงตอนนี้ยังจำผมได้เลย แต่ว่าในตอนนั้นการเรียนผมนั้นดีมากๆ มักจะอยู่อันดับที่หนึ่ง คุณครูชอบผมมาก ก็เลยให้ท้ายผม รวมทั้งตอนผมอยู่ประถมก็ได้รับรางวัลหลายอย่างด้วย เช่นการชนะการแข่งทักษะ การเขียนเรียงความ การพูดที่ประชุม เป็นการประกวดที่ผมมักจะเข้าร่วมด้วย ตอนนั้นผมเกลียดเพื่อนนักเรียนที่ลอกข้อสอบมากๆ เพราะผมนั้นได้ผลการเรียนที่ดีมาด้วยความขยันพากเพียร ก็ไม่ชอบที่จะให้พวกเขาได้คะแนนดีๆโดยการเอาเปรียบผมเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อผมเห็นหรือรู้ว่าคนไหนลอกข้อสอบแล้ว ก็จะฟ้องคุณครู จนทำให้เพื่อนนักเรียนเหล่านั้นไม่ชอบขี้หน้าผมเลย และแม้ว่าการเรียนผมจะดีมาก แต่ก็ไม่เคยได้เป็นหัวหน้าชั้นเลย
การเรียนเนอสรี่อนุบาลที่ใต้หวันนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเรียน เรียนก็ได้ไม่เรียนก็ได้ อนุบาลนั้นผมเรียนแค่สองปีเอง อนุบาลแบ่งเป็นสามห้อง ชั้นเล็ก ชั้นกลาง ชั้นโต ผมเรียนชั้นเล็กหนึ่งปี ชั้นกลางเรียนได้สองวัน แล้วชั้นโตหนึ่งปี ยังไม่ทันได้รู้จักกับเพื่อนๆสักเท่าไรก็ต้องแยกไปเรียนอีกที่แล้ว
ประถมของทางไต้หวันนั้นเรียนหกปี โรงเรียนประถมห่างจากบ้านไกลมาก ทุกวันต้องนั่งรถประจำทางไปเรียน บางครั้งทางบ้านจะมารับผม แต่ไม่ซื้อขนมมาให้ผม แต่ว่าผมสามารถจะเลือกเอาเครื่องเขียนอะไรก็ได้ ตอนประถม โรงเรียนยังมีการจัดเดินทางไกลปีละครั้ง ที่ที่ไปบ่อยคือทะเล ตอนนั้นเหตุที่ไม่มีเพื่อน ฉะนั้นผมเลยเรียนรู้ในการสังเกตอย่างเงียบๆ ผมสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ไปทะเลนั้นคุณครูมักจะกังวลมาก กลัวนักเรียนจะโดนคลื่นซัดไป ไม่หย่อนในการจัดระเบียบ ผมรู้สึกว่าพวกเขาเหนื่อยมากๆ จนทุกครั้งผมจะไปช่วยคุณครู ญาตผมรู้ข่าวนี้ ก็จะว่าผมชอบออกหน้าออกตา จนถึงทุกวันนี้ทั้งคุษอาคุณน้าก็ใช้เรื่องนี้มาล้อผมอยู่
เหตุที่ผมไม่มีเพื่อนก็น่าจะมาจากการที่ผมย้านโรงเรียนบ่อยๆ ตอนเด็กจนถึงมัธยมต้นก็ได้ย้านโรงเรียนอย่างไม่หยุด เมื่อย้ายบ้านหนึ่งครั้ง ก็ต้องย้ายโรงเรียนด้วย ทุกครั้งก็จะต้องพยายามในการที่จะปรับตัวกับสภาพแวดล้อม เหตุที่ผมเข้าสู่วงการบันเทิงนั้นก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่คุณแม่ผมเห็นว่าผมเป็นคนที่โดดเดี่ยว อยากจะให้ผมได้ไปขัดเกลานิสัยที่นั่น ตอนเด็กนั้นผมเองก็ไม่มีห้องส่วนตัว ได้นอนกับสองชายในเตียงเดียวกัน เสียงโกนของเขานั้นดังมาก รบกวนจนผมนอนไม่ได้ จนผมจำต้องมาอ่านหนังสือ เอาหลอดไฟเล็กๆหลอดหนึ่ง หาอะไรมาบังแสงของมัน ที่จริงไม่ต้องขนาดนั้นน้องก็คงไม่ตื่น เขานั้นนอนตายเลยแหล่ะ และผมเองก็ไม่รู้ตัวที่ทำอย่างนี้ ที่ของน้องชายนั้นกว้างมากๆ ก็มักจะมีเพื่อนๆได้เข้ามาในห้องนอนของผม คิดว่าเขากลัวจะมารบกวนเวลาของผม ตอนหลังผมรู้ว่า เพราะผมได้เป็นคนประกาสเยอะ เวลาของการกลับบ้านไม่เป็นเวลา ทั้งยังโลภในการเรียน ระเบียบของครอบครัวนั้นอาจเป็นเพราะผมทำให้วุ่นวายไป
ตอนวัยรุ่นแรกนั้นแน่นอนโดดเดี่ยว แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ดี จริงๆแล้วชีวิตของแต่ละคนนั้นก็ล้วนก็มีเป้าหมายที่จะมุ่งไป ผมรู้สึกว่าชั่วชีวิตเพียงแต่มีญาตพี่น้องได้อยู่เคียงข้างก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้วหล่ะ
(http://i878.photobucket.com/albums/ab349/partana_001/line20.gif)