ALL About Alec SU YOU PENG | รวบรวมผลงานของ ซูโหย่วเผิง > Magazine Photos

นิตยสาร 艺乐2015-05

<< < (2/2)

Alec Love Me:
当《左耳》遇上“走心”的导演

对于做导演,苏有朋一开始是拒绝的,但是在接触到饶雪漫的《左耳》之后,他发现对于书中的故事他有话要说,并且想用电影的形式来表达,于是他的荧幕处女座《左耳》就此诞生了。

从《那些年,我们一起追的女孩》到《致我们终将逝去的青春》,从《同桌的你》到《匆匆那年》,近年来大荧幕上的青春类型影片层出不穷,且成功掀起一股全民怀念青春的风潮,但是《左耳》俨然不仅仅是为了惦念和标榜青春。苏有朋说:“影片《左耳》虽然有一部分青春题材的东西在其中,但是从始至终我都是把它当做剧情片来拍摄的,故事关乎人性阴暗的一面,关乎死亡和救赎,有点残酷、有点疼痛,我希望观众在看过之后会相信:这个故事曾经真实发生过”。

有了“表达欲”这一动力,接下里如何表达成为苏有朋所遇到的最大的难题。从演员中的专业者到导演中的生涩者,他似乎进入”随时都在解决问题”的模式,当然这不仅仅是因为初当导演的缘故,更是因为对纯粹艺术的执着追求。苏有朋告诉我们:“《左耳》的选角用了七个月之久,而为了高度还原书中人物的神韵,此次拍摄几乎全部选用新人,所以拍摄过程中NG十几次很平常,去年一整年我只做了一件事情,就是拍摄了这部绝对走心的《左耳》。”

作为演员的苏有朋,更像是个“独善其身”的人,因为无论是哪部戏都只需要做好自己的部分,但是作为导演,突然变身“艺术总监”和“把关人”,需要别人知道他想呈现的画面到底是什么。“我记得在拍摄一场宿舍的戏的时候,都已经NG将近二十次,剧组的人都说可以过了,但是我一意孤行,我一定要拍摄出我想到的表演效果,于是就亲自给演员亲自示范,节奏、眼神、表情……最后这场戏终于完美收尾了。我觉得这是作为导演的一种责任,我必须把它做好。”

Alec Love Me:
生活就在此时

影视作品中的他或帅气、或狭义、或温柔、或尊贵,作为观众的我们很难将其从角色中剥离出来,因此在曝光的《导演日记》中,那个顶着毛巾蹙着眉头指点江山的导演苏有朋让我们“大跌眼镜”。“而生活中的我……”两秒钟停顿后,“就是你现在看到的样子呀!”苏有朋笑着坦言。

也许是因为年少成名的经历,苏有朋总是比很多同龄人有着更成熟的气质和更深刻的想法,他说:“其实每代人的青春都有共性,骨子里的躁动和迷惘、对未知的恐惧以及对未来的不安全感、需要被认同的需求等等,我也有过那段日子,只是因为早早成为公众人物,深埋心底的狂野可能再也没有机会显露出来了”。

现在的他,低调、随性、云淡风轻。正如他所说,生活中的自己就是此刻呈现于我们眼前的苏有朋:开心时大笑,不开心时发呆、睡觉。“我想对正值青春的年轻朋友们说:向这个世界敞开心扉吧,多读书、多去旅行,这也是我现在最想做的事情”,苏有朋笑道。

Alec Love Me:
นิตยสารอี้เล่อ 《艺乐》 ประจำสัปดาห์ที่ 57 เดือนพฤษภาคม 2015

โหย่วเผิง ไม่มีใครมาแทนที่คุณในความทรงจำได้ หลังจากที่ผ่านการเป็นนักร้อง นักแสดง ผู้อำนวยการผลิต และกรรมการ ซูโหย่วเผิงก็ได้มีสถานะใหม่ก็คือผู้กำกับ เมื่อเคยเรียนรู้มาก่อนก็จะทำได้ดี วันนี้นักแสดงก็สามารถเป็นผู้กำกับที่ดี และก็ยังมีข้อสงสัยอยู่: นักแสดงที่ดีจำเป็นต้องเป็นผู้กำกับที่ดีด้วยไหม? หลังจากที่เผชิญกับข้อสงสัยอย่างไม่ขาดสาย ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า "ผู้กำกับเป็นจิตวิญญาณของภาพยนตร์ ผมเชื่อว่าทุกคนจะสามารถมองเห็นความตั้งใจของผมผ่านผลงานเรื่องนี้"

เป็นดวงดาราส่องแสงประกายตั้งแต่อายุยังน้อย

เข้าวงการตั้งแต่อายุสิบห้าจนถึงทุกวันนี้ จากผลงานอัลบั้มกระทั่งเป็นแผ่นฟิล์ม สำหรับผู้คนแล้วชื่อของซูโหย่วเผิงคล้ายกับไม่มีอะไรที่น่าประหลาดใจอีกต่อไป ละครโทรทัศน์เรื่ององค์หญิงกำมะลอเป็นสัญลักษณ์ของวัยรุ่นของคนยุคหนึ่ง  และก็ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของซูโหย่วเผิงในฐานะนักแสดงประสบความสำเร็จไปด้วยดี หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยละครเรื่อง มนต์รักในสายฝน (情深深雨蒙蒙) ดาบมังกรหยก (倚天屠龙记) เซียวฮื้อยี้ (绝代双骄) ยอดขุนศึกวีรบุรุษตระกูลหยาง (杨门虎将) ฯลฯ ล้วนแต่ผลงานที่มีชื่อเสียง และถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก ซูโหย่วเผิงก็กลายเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่เคยรับบทในบทประพันธ์ของฉงเหยา (琼瑶) กิมย้ง (金庸) และโกวเล้ง (古龙) ในเวลาเดียวกัน

   องค์ชายห้า ตู้เฟย หังเถี่ยวเซิง เตียบ่อกี้ ฮวยบ่อข่วย ฯลฯ ตอนที่บทบาทอันสดใส สง่างาม บริสุทธิ์เหล่านี้กำลังฝังลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คนนั้น ซูโหย่วเผิงก็เริ่มคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพใหม่ เขาคิดว่าอายุและประสบการณ์ที่มากขึ้น ก็ควรที่จะทำอะไรให้เหมาะสมกับวัย ไม่ใช่ว่าจะแสดงภาพยนตร์รักได้ตลอดไป ไม่ใช่ว่าจะสามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ยังเยาว์นี้ได้ตลอดไป ดังนั้นในปี 2005 หลังจากละครเรื่ององค์หญิงแสนซน พวกเราก็ไม่เห็นซูโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้นเคยในผลงานละครเรื่องไหนอีกเลย

เปลี่ยนแปลงอาชีพศิลปินอย่างสวยงาม

   “ภาระของซุปตาร์” ไม่ใช่คำที่เพิ่งบัญญัติขึ้นไม่กี่ปีมานี้ เพราะพวกเราก็เห็นเหล่าหนุ่มสาวหน้าตาดีมากมายแบกรับมันไว้ เพราะไม่รู้จักปล่อยวาง แต่ซูโหย่วเผิงนั้นกลับตรงกันข้าม ละครในปี 2008 เรื่องเร่ออ้าย (热爱) หรือ ต้าเจิ้นฝ่าน (大镇反) ตัวละครที่บางครั้งก็ดีบางครั้งก็บ้า ไม่เพียงแต่ทำให้ซูโหย่วเผิงก้าวผ่านการแสดงที่เหนือขั้นแล้ว ยังเป็นการทำให้การเปลี่ยนแปลงอาชีพศิลปินเป็นไปอย่างงดงามอีกด้วย
   ภาพยนตร์เฟิงเซินเข้าฉายในเดือนกันยายน ปี 2009 ในภาพยนตร์เรื่องนี้ซูโหย่วเผิงรับบทเป็น เลขาไป๋เสี่ยวเหนียน (白小年) ประจำคณะงิ้ว ที่ไม่ใช่หญิงและไม่ใช่ชาย สับสนทางเพศ เกิดในคณะงิ้ว ที่มีความสัมพันธ์กับกองอำนวยการในคณะรัฐบาลหวังจิงเว่ย (汪精卫)  เมื่อเขาปรากฏตัวในท่าทีที่กรีดกราย หรือทำท่าแบบผู้ชาย เดินหมุนตัวแล้วครวญบทเพลงงิ้ว Peony Pavilion อันแสนโด่งดัง แทบจะมองไม่เห็นรอยยิ้มอันงดงามตามแบบฉบับไกวไกวหู่ ท่าทางที่สง่างามขององค์ชายห้า หรือบุคลิคที่ห้าวหาญในแบบเตียบ่อกี้ในอดีตอีกเลย ทุกครั้งที่ไป๋เสี่ยวเหนียนในภาพยนตร์เฟิงเซิน ที่ทั้งพิถีพิถัน กรีดกราย พูดจาต้องมีความหมายลึกซึ้ง ปรากฏตัวหรือพูดนั้น ล้วนแต่ทำให้ผู้ชมในโรงภาพยนตร์เกิดความพิศวงงงงวยไปตามๆกัน และก็เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้อย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่าจะมีฉากที่ปรากฏตัวไม่มากอย่างนักแสดงคนอื่น แต่หลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉาย กลับได้รับการจับตามองและเสียงปรบมือจากผู้ชมได้มากที่สุด เพราะว่าเขาทำให้ผู้ชมเห็นจิตวิญญาณการแสดงจากนักแสดงที่สลัดคราบซุปตาร์ออกไปทั้งหมด และบทบาทไป๋เสี่ยวเหนียนนี้ ทำให้ซูโหย่วเผิงที่รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดนิยมในงาน New York Chinese Film Festival ครั้งที่ 1 และรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมในงาน Golden Rooster and Hundred Flowers Film Festival ครั้งที่ 21

เมื่อโจ่วเอ่อพบกับผู้กำกับที่ทุ่มเท

สำหรับการเป็นผู้กำกับนั้น เมื่อแรกเลยซูโหย่วเผิงได้ปฏิเสธไป แต่หลังจากที่ได้อ่านนิยายเรื่องโจ่วเอ่อของเหราเสว่ม่านแล้ว เขาพบว่าเขามีบางอย่างที่อยากบอกเล่า และก็อยากใช้ภาพยนตร์เป็นตัวช่วยในการบอกเล่าเรื่องราวนั้นออกมา ดังนั้นผลงานชิ้นแรกของเขา “โจ่วเอ่อ” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น

จาก You are the apple of my eyes (那些年,我们一起追的女孩) สู่ So young (致我们终将逝去的青春) จาก My old classmate (同桌的你) ถึง Fleed of Time (匆匆那年) หลายปีมานี้ ภาพยนตร์ประเภทที่เกี่ยวกับวัยรุ่นนั้น มีออกมาอยู่เรื่อยๆ และก็ประสบความสำเร็จในการปลุกกระแสหวนย้อนไปนึกถึงความทรงจำช่วงวัยรุ่น แต่โจ่วเอ่อนั้นแตกต่างออกไป ไม่ได้เพียงแค่เพื่อพะวงและโอ้อวดวัยรุ่นของตัวเองเท่านั้น ซูโหย่วเผิงกล่าว “ถึงแม้ว่าโจ่วเอ่อจะมีบางส่วนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่น แต่ตั้งแต่ต้นจนจบผมก็มองให้มันเป็นละครเรื่องหนึ่งแล้วถ่ายทำมัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับด้านมืดของจิตใจของมนุษย์ เกี่ยวกับความตายและการแก้ตัว มีความขมขื่นเล็กน้อย
มีความเจ็บปวดเล็กน้อย ผมหวังว่าหลังจากที่ท่านผู้ชมได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว จะมีความเชื่อว่า เรื่องๆนี้เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน” 

   เมื่อมีความคิดอยากแสดงออกมา แต่จะแสดงมันออกมาได้อย่างไร กลายเป็นปัญหายุ่งยากและใหญ่ที่สุดที่ซูโหย่วเผิงได้เผชิญ ตั้งแต่นักแสดงมืออาชีพยันผู้ที่ยังติดๆขัดๆในบรรดาผู้กำกับ เขาดูเหมือนจะเข้าสู่โหมด “แก้ไขปัญหาตลอดเวลา” แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้กำกับครั้งแรก แต่เป็นเพราะว่าเป็นการอุทิศตนเพื่อค้นหาศิลปะอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ซูโหย่วเผิงบอกพวกเราว่า “การคัดเลือกนักแสดงในเรื่องโจ่วเอ่อ ใช้เวลาไปกว่า 7 เดือน เพื่อเฟ้นหาบุคคลที่มีบุคลิกเข้ากับตัวละครในเรื่องต้นฉบับ การถ่ายทำในครั้งนี้แทบจะเลือกคนใหม่แทบจะทั้งหมดมาแสดง ดังนั้นการมี NG หลายสิบครั้งในหนึ่งฉากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ปีที่แล้วทั้งปี ผมทำแค่เรื่องๆเดียวเท่านั้น ก็คือการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใช้ใจเรื่องนี้ “โจ่วเอ่อ”   

   สำหรับซูโหย่วเผิงในบทบาทนักแสดงนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นละครเรื่องไหนก็จะรับผิดชอบในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ในด้านการเป็นผู้กำกับนั้น จู่ๆก็ได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์และหน้าด่าน เขาอยากสื่อให้รู้ว่าภาพที่เขาคิดไว้ในหัวเป็นอย่างไร “ผมจำได้ว่าตอนที่ถ่ายทำฉากที่อยู่ในหอพักฉากหนึ่งอยู่ NG ไปเกือบ 20 ครั้ง คนเขียนบทก็บอกว่าได้แล้ว แต่มีเพียงผมคนเดียวที่ยืนกราน ว่าจะต้องถ่ายออกมาให้ได้เหมือนแบบที่ผมคิดไว้ในหัว ดังนั้นก็เลยไปสาธิตให้นักแสดงดูด้วยตัวเอง จังหวะ สายตา อารมณ์..... สุดท้ายฉากนี้ก็ออกมาอย่างดีเยี่ยม ผมคิดว่าการเป็นผู้กำกับเป็นความรับผิดชอบชนิดหนึ่ง ผมจะต้องทำมันออกมาให้ดี”

ชีวิตคือช่วงเวลานี้

เขาที่มีผลงานทั้งละครและภาพยนตร์ ทั้งหล่อเหลา มีเสน่ห์ อบอุ่นและสูงส่ง ทำให้ยากนักที่ผู้ชมอย่างพวกเราจะแยกเขาออกจากบทบาทที่แสดงได้ ด้วยเหตุนี้เอง ใน “บันทึกของผู้กำกับ” ภาพของผู้กำกับซูโหย่วเผิงที่มีผ้าขนหนูคลุมไว้ที่หน้าผาก ทำให้พวกเรารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “และผมที่ผ่านมา...” หลังจากหยุดไปสองวินาที “ก็เป็นแบบที่พวกคุณกำลังเห็นอยู่นี่ไง” ซูโหย่วเผิงตอบด้วยรอยยิ้ม
   อาจเป็นเพราะว่ามีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย ซูโหย่วเผิงจึงมักมีนิสัยและความคิดที่โตกว่าคนในช่วงอายุเดียวกันค่อนข้างมาก เขากล่าวว่า “ที่จริงแล้วช่วงเวลาวัยรุ่นของคนทุกยุคก็เหมือนกันหมด ความหุนหันพลันแล่น ความสับสน ความกลัวรวมไปถึงกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ความรู้สึกที่ต้องการการยอมรับที่อยู่ลึกลงไปข้างใน ผมก็เคยผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาแล้ว เพียงแต่เพราะกลายเป็นบุคคลสาธารณะตั้งแต่อายุยังน้อย ความบ้าคลั่งที่อยู่ข้างในจึงไม่มีโอกาสได้เผยออกมา”

   เขาในตอนนี้ ถ่อมตัว สุภาพ ง่ายๆ เป็นกันเอง เป็นเช่นดังที่เขาเคยพูดไว้ ตัวเองที่ผ่านมานั้น ก็คือเขาที่พวกเรามองเห็นกันอยู่ตอนนี้: หัวเราะเสียงดังยามดีใจ เมื่อไม่เบิกบานใจก็เงียบหรือนอนหลับ “ผมอยากให้กำลังใจเพื่อนๆวัยรุ่นว่า เปิดใจให้กับทุกสิ่งบนโลกนี้เถอะ อ่านมากๆ เที่ยวมากๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดในตอนนี้” ซูโหย่วเผิงตอบด้วยรอยยิ้ม 

Alec Love Me:
艺乐2015-05
http://vdisk.weibo.com/s/vbwtKH4zSKxE?archive_ref=F0iDAc0tpm9CJ&archive_path=%2F%E8%89%BA%E4%B9%902015-05&category_id=0

https://www.facebook.com/baansuyoupeng/media_set?set=a.895331620577683.1073741886.100003025613301&type=3&uploaded=13

นิตยสารอี้เล่อ 《艺乐》 ประจำสัปดาห์ที่ 57 เดือนพฤษภาคม 2015

โหย่วเผิง ไม่มีใครมาแทนที่คุณในความทรงจำได้ หลังจากที่ผ่านการเป็นนักร้อง นักแสดง ผู้อำนวยการผลิต และกรรมการ ซูโหย่วเผิงก็ได้มีสถานะใหม่ก็คือผู้กำกับ เมื่อเคยเรียนรู้มาก่อนก็จะทำได้ดี วันนี้นักแสดงก็สามารถเป็นผู้กำกับที่ดี และก็ยังมีข้อสงสัยอยู่: นักแสดงที่ดีจำเป็นต้องเป็นผู้กำกับที่ดีด้วยไหม? หลังจากที่เผชิญกับข้อสงสัยอย่างไม่ขาดสาย ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า "ผู้กำกับเป็นจิตวิญญาณของภาพยนตร์ ผมเชื่อว่าทุกคนจะสามารถมองเห็นความตั้งใจของผมผ่านผลงานเรื่องนี้"

เป็นดวงดาราส่องแสงประกายตั้งแต่อายุยังน้อย

เข้าวงการตั้งแต่อายุสิบห้าจนถึงทุกวันนี้ จากผลงานอัลบั้มกระทั่งเป็นแผ่นฟิล์ม สำหรับผู้คนแล้วชื่อของซูโหย่วเผิงคล้ายกับไม่มีอะไรที่น่าประหลาดใจอีกต่อไป ละครโทรทัศน์เรื่ององค์หญิงกำมะลอเป็นสัญลักษณ์ของวัยรุ่นของคนยุคหนึ่ง  และก็ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของซูโหย่วเผิงในฐานะนักแสดงประสบความสำเร็จไปด้วยดี หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยละครเรื่อง มนต์รักในสายฝน (情深深雨蒙蒙) ดาบมังกรหยก (倚天屠龙记) เซียวฮื้อยี้ (绝代双骄) ยอดขุนศึกวีรบุรุษตระกูลหยาง (杨门虎将) ฯลฯ ล้วนแต่ผลงานที่มีชื่อเสียง และถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก ซูโหย่วเผิงก็กลายเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่เคยรับบทในบทประพันธ์ของฉงเหยา (琼瑶) กิมย้ง (金庸) และโกวเล้ง (古龙) ในเวลาเดียวกัน

   องค์ชายห้า ตู้เฟย หังเถี่ยวเซิง เตียบ่อกี้ ฮวยบ่อข่วย ฯลฯ ตอนที่บทบาทอันสดใส สง่างาม บริสุทธิ์เหล่านี้กำลังฝังลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คนนั้น ซูโหย่วเผิงก็เริ่มคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพใหม่ เขาคิดว่าอายุและประสบการณ์ที่มากขึ้น ก็ควรที่จะทำอะไรให้เหมาะสมกับวัย ไม่ใช่ว่าจะแสดงภาพยนตร์รักได้ตลอดไป ไม่ใช่ว่าจะสามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ยังเยาว์นี้ได้ตลอดไป ดังนั้นในปี 2005 หลังจากละครเรื่ององค์หญิงแสนซน พวกเราก็ไม่เห็นซูโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้นเคยในผลงานละครเรื่องไหนอีกเลย

เปลี่ยนแปลงอาชีพศิลปินอย่างสวยงาม

   “ภาระของซุปตาร์” ไม่ใช่คำที่เพิ่งบัญญัติขึ้นไม่กี่ปีมานี้ เพราะพวกเราก็เห็นเหล่าหนุ่มสาวหน้าตาดีมากมายแบกรับมันไว้ เพราะไม่รู้จักปล่อยวาง แต่ซูโหย่วเผิงนั้นกลับตรงกันข้าม ละครในปี 2008 เรื่องเร่ออ้าย (热爱) หรือ ต้าเจิ้นฝ่าน (大镇反) ตัวละครที่บางครั้งก็ดีบางครั้งก็บ้า ไม่เพียงแต่ทำให้ซูโหย่วเผิงก้าวผ่านการแสดงที่เหนือขั้นแล้ว ยังเป็นการทำให้การเปลี่ยนแปลงอาชีพศิลปินเป็นไปอย่างงดงามอีกด้วย
   ภาพยนตร์เฟิงเซินเข้าฉายในเดือนกันยายน ปี 2009 ในภาพยนตร์เรื่องนี้ซูโหย่วเผิงรับบทเป็น เลขาไป๋เสี่ยวเหนียน (白小年) ประจำคณะงิ้ว ที่ไม่ใช่หญิงและไม่ใช่ชาย สับสนทางเพศ เกิดในคณะงิ้ว ที่มีความสัมพันธ์กับกองอำนวยการในคณะรัฐบาลหวังจิงเว่ย (汪精卫)  เมื่อเขาปรากฏตัวในท่าทีที่กรีดกราย หรือทำท่าแบบผู้ชาย เดินหมุนตัวแล้วครวญบทเพลงงิ้ว Peony Pavilion อันแสนโด่งดัง แทบจะมองไม่เห็นรอยยิ้มอันงดงามตามแบบฉบับไกวไกวหู่ ท่าทางที่สง่างามขององค์ชายห้า หรือบุคลิคที่ห้าวหาญในแบบเตียบ่อกี้ในอดีตอีกเลย ทุกครั้งที่ไป๋เสี่ยวเหนียนในภาพยนตร์เฟิงเซิน ที่ทั้งพิถีพิถัน กรีดกราย พูดจาต้องมีความหมายลึกซึ้ง ปรากฏตัวหรือพูดนั้น ล้วนแต่ทำให้ผู้ชมในโรงภาพยนตร์เกิดความพิศวงงงงวยไปตามๆกัน และก็เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้อย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่าจะมีฉากที่ปรากฏตัวไม่มากอย่างนักแสดงคนอื่น แต่หลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉาย กลับได้รับการจับตามองและเสียงปรบมือจากผู้ชมได้มากที่สุด เพราะว่าเขาทำให้ผู้ชมเห็นจิตวิญญาณการแสดงจากนักแสดงที่สลัดคราบซุปตาร์ออกไปทั้งหมด และบทบาทไป๋เสี่ยวเหนียนนี้ ทำให้ซูโหย่วเผิงที่รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดนิยมในงาน New York Chinese Film Festival ครั้งที่ 1 และรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมในงาน Golden Rooster and Hundred Flowers Film Festival ครั้งที่ 21

เมื่อโจ่วเอ่อพบกับผู้กำกับที่ทุ่มเท

สำหรับการเป็นผู้กำกับนั้น เมื่อแรกเลยซูโหย่วเผิงได้ปฏิเสธไป แต่หลังจากที่ได้อ่านนิยายเรื่องโจ่วเอ่อของเหราเสว่ม่านแล้ว เขาพบว่าเขามีบางอย่างที่อยากบอกเล่า และก็อยากใช้ภาพยนตร์เป็นตัวช่วยในการบอกเล่าเรื่องราวนั้นออกมา ดังนั้นผลงานชิ้นแรกของเขา “โจ่วเอ่อ” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น

จาก You are the apple of my eyes (那些年,我们一起追的女孩) สู่ So young (致我们终将逝去的青春) จาก My old classmate (同桌的你) ถึง Fleed of Time (匆匆那年) หลายปีมานี้ ภาพยนตร์ประเภทที่เกี่ยวกับวัยรุ่นนั้น มีออกมาอยู่เรื่อยๆ และก็ประสบความสำเร็จในการปลุกกระแสหวนย้อนไปนึกถึงความทรงจำช่วงวัยรุ่น แต่โจ่วเอ่อนั้นแตกต่างออกไป ไม่ได้เพียงแค่เพื่อพะวงและโอ้อวดวัยรุ่นของตัวเองเท่านั้น ซูโหย่วเผิงกล่าว “ถึงแม้ว่าโจ่วเอ่อจะมีบางส่วนที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่น แต่ตั้งแต่ต้นจนจบผมก็มองให้มันเป็นละครเรื่องหนึ่งแล้วถ่ายทำมัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับด้านมืดของจิตใจของมนุษย์ เกี่ยวกับความตายและการแก้ตัว มีความขมขื่นเล็กน้อย
มีความเจ็บปวดเล็กน้อย ผมหวังว่าหลังจากที่ท่านผู้ชมได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว จะมีความเชื่อว่า เรื่องๆนี้เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน” 

   เมื่อมีความคิดอยากแสดงออกมา แต่จะแสดงมันออกมาได้อย่างไร กลายเป็นปัญหายุ่งยากและใหญ่ที่สุดที่ซูโหย่วเผิงได้เผชิญ ตั้งแต่นักแสดงมืออาชีพยันผู้ที่ยังติดๆขัดๆในบรรดาผู้กำกับ เขาดูเหมือนจะเข้าสู่โหมด “แก้ไขปัญหาตลอดเวลา” แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้กำกับครั้งแรก แต่เป็นเพราะว่าเป็นการอุทิศตนเพื่อค้นหาศิลปะอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ซูโหย่วเผิงบอกพวกเราว่า “การคัดเลือกนักแสดงในเรื่องโจ่วเอ่อ ใช้เวลาไปกว่า 7 เดือน เพื่อเฟ้นหาบุคคลที่มีบุคลิกเข้ากับตัวละครในเรื่องต้นฉบับ การถ่ายทำในครั้งนี้แทบจะเลือกคนใหม่แทบจะทั้งหมดมาแสดง ดังนั้นการมี NG หลายสิบครั้งในหนึ่งฉากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ปีที่แล้วทั้งปี ผมทำแค่เรื่องๆเดียวเท่านั้น ก็คือการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใช้ใจเรื่องนี้ “โจ่วเอ่อ”   

   สำหรับซูโหย่วเผิงในบทบาทนักแสดงนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นละครเรื่องไหนก็จะรับผิดชอบในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ในด้านการเป็นผู้กำกับนั้น จู่ๆก็ได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์และหน้าด่าน เขาอยากสื่อให้รู้ว่าภาพที่เขาคิดไว้ในหัวเป็นอย่างไร “ผมจำได้ว่าตอนที่ถ่ายทำฉากที่อยู่ในหอพักฉากหนึ่งอยู่ NG ไปเกือบ 20 ครั้ง คนเขียนบทก็บอกว่าได้แล้ว แต่มีเพียงผมคนเดียวที่ยืนกราน ว่าจะต้องถ่ายออกมาให้ได้เหมือนแบบที่ผมคิดไว้ในหัว ดังนั้นก็เลยไปสาธิตให้นักแสดงดูด้วยตัวเอง จังหวะ สายตา อารมณ์..... สุดท้ายฉากนี้ก็ออกมาอย่างดีเยี่ยม ผมคิดว่าการเป็นผู้กำกับเป็นความรับผิดชอบชนิดหนึ่ง ผมจะต้องทำมันออกมาให้ดี”

ชีวิตคือช่วงเวลานี้

เขาที่มีผลงานทั้งละครและภาพยนตร์ ทั้งหล่อเหลา มีเสน่ห์ อบอุ่นและสูงส่ง ทำให้ยากนักที่ผู้ชมอย่างพวกเราจะแยกเขาออกจากบทบาทที่แสดงได้ ด้วยเหตุนี้เอง ใน “บันทึกของผู้กำกับ” ภาพของผู้กำกับซูโหย่วเผิงที่มีผ้าขนหนูคลุมไว้ที่หน้าผาก ทำให้พวกเรารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “และผมที่ผ่านมา...” หลังจากหยุดไปสองวินาที “ก็เป็นแบบที่พวกคุณกำลังเห็นอยู่นี่ไง” ซูโหย่วเผิงตอบด้วยรอยยิ้ม
   อาจเป็นเพราะว่ามีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย ซูโหย่วเผิงจึงมักมีนิสัยและความคิดที่โตกว่าคนในช่วงอายุเดียวกันค่อนข้างมาก เขากล่าวว่า “ที่จริงแล้วช่วงเวลาวัยรุ่นของคนทุกยุคก็เหมือนกันหมด ความหุนหันพลันแล่น ความสับสน ความกลัวรวมไปถึงกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ความรู้สึกที่ต้องการการยอมรับที่อยู่ลึกลงไปข้างใน ผมก็เคยผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาแล้ว เพียงแต่เพราะกลายเป็นบุคคลสาธารณะตั้งแต่อายุยังน้อย ความบ้าคลั่งที่อยู่ข้างในจึงไม่มีโอกาสได้เผยออกมา”

   เขาในตอนนี้ ถ่อมตัว สุภาพ ง่ายๆ เป็นกันเอง เป็นเช่นดังที่เขาเคยพูดไว้ ตัวเองที่ผ่านมานั้น ก็คือเขาที่พวกเรามองเห็นกันอยู่ตอนนี้: หัวเราะเสียงดังยามดีใจ เมื่อไม่เบิกบานใจก็เงียบหรือนอนหลับ “ผมอยากให้กำลังใจเพื่อนๆวัยรุ่นว่า เปิดใจให้กับทุกสิ่งบนโลกนี้เถอะ อ่านมากๆ เที่ยวมากๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดในตอนนี้” ซูโหย่วเผิงตอบด้วยรอยยิ้ม 


艺乐2015-05
http://vdisk.weibo.com/s/vbwtKH4zSKxE?archive_ref=F0iDAc0tpm9CJ&archive_path=%2F%E8%89%BA%E4%B9%902015-05&category_id=0&sudaref=www.baansuyoupeng.com&retcode=6102













Alec Love Me:
艺乐2015-05
http://vdisk.weibo.com/s/vbwtKH4zSKxE?archive_ref=F0iDAc0tpm9CJ&archive_path=%2F%E8%89%BA%E4%B9%902015-05&category_id=0&sudaref=www.baansuyoupeng.com&retcode=6102














นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version