ผู้เขียน หัวข้อ: 12-10-2009 ซูโหย่วเผิงแพ้ใช้ว่าเสียศักดิ์ศรี  (อ่าน 4363 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13285
    • ดูรายละเอียด
News http://news.xinmin.cn/rollnews/2009/10/12/2709854.html
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=654348611



2009-10-12 สัมภาษณ์โหย่วเผิง แพ้ ใช่ว่าเสียศักดิ์ศรี  ขลาด ถึงจะเสียศักดิ์ศรี


ยังจำได้ว่าปลายปีที่แล้วมีการโฆษณาเรื่องเฟิงเซิง ผู้ที่จะมารับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นไม่เปิดเผยว่าเป็นใครมาตลอด จนกระทั่งก่อนเวลาจะเปิดกล้องไม่กีนาทีถึงจะรู้ว่าเป็นโหย่วเผิงเองที่รับบทนี้ และด้วยตัวเขาที่รับบทนี้นำมาซึ่งความสนใจจากบรรดาคอหนังต่างประเทศ  โหย่วเผิงยิ้มแล้วกล่าวอย่างคลึ๋มว่า “ อย่าล้ออีกเลย บุคลิกความเป็นแมนของผมนั้นคงไม่ต้องสงสัยกัน ผมเข้าสู่วงการก็เกือบยี่สิบปีแล้ว..”

ยังจำได้ว่าปลายปีที่แล้วมีการโฆษณาเรื่องเฟิงเซิง ผู้ที่จะมารับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นไม่เปิดเผยว่าเป็นใครมาตลอด จนกระทั่งก่อนเวลาจะเปิดกล้องไม่กีนาทีถึงจะรู้ว่าเป็นโหย่วเผิงเองที่รับบทนี้ และด้วยตัวเขาที่รับบทนี้นำมาซึ่งความสนใจจากบรรดาคอหนังต่างประเทศ จากวันนั้นถึงวันนี้ดูเหมือนพริบตาเดียวภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิงก็ออกฉายไปแล้วสองอาทิตย์ และไป๋เสี่ยวเหนียนที่โหย่วเผิงเล่นนั้นได้รับความสนใจจากคอหนังเป็นพิเศษ แม้กระทั่งผู้กำกับระดับโลกยังเอ่ยชมว่า “บทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเป็นบทที่เกิดความคาดหมายของเรา ทุกครั้งที่ผู้ชมได้เห็นฉากของตัวละครนี้ก็จะมีเสียงปรบมือดังขึ้น”

การไปโปรโหมดครั้งสุดท้ายของทีมงานที่กวางโจว นักข่าวได้มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยกับโหย่วเผิง ได้ถามว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ตัดสินใจเลือกที่จะเล่นบทอย่างนี้ โหย่วเผิงตอบโดยใช้คำพูดจากภาพยนตร์เรื่อง(เหม่ยหลันฟาง) ว่า “แพ้ ใช่ว่าเสียศักดิ์ศรี ขลาดถึงจะเสียศักดิ์ศรี


(ลาก่อนอู่อาเกอ)

“ขอให้ชื่อเสียงเกียรติยศต่างๆทิ้งไหลไปกับสายน้ำ”

เมื่อเผชิญหน้ากับโหย่วเผิงที่ไว้หนวดคราวเล็กๆน้อยๆ และเรื่องราวที่จะพูดนั้นไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากไหนดี เมื่อตอนเป็นวันรุ่นแรก โหย่วเผิงก็เป็นขวัญใจของผมคนหนึ่ง หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว เขาก็ได้เป็นราชาขวัญใจหนึ่งในสี่ของไต้หวัน ชอบฟังเพลงของเขาตลอดมา ดูภาพยนตร์องค์หญิงกำมะลอที่เขาแสดง และเขาได้คิดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จะมาปรับถ่ายอีก ก็เคยเลียบแบบที่จะเป็นอู่อาเกอ และเรื่องการที่จะมาปรับถ่ายอีกรอบในสถานีหูหนันนั้นมีความรู้สึกอย่างไร

“ภาพยนตร์ที่ดังนั้นจะนำมาปรับถ่ายทำอีกรอบนั้นมันคงทำได้ไม่ง่าย เพราะหลายๆอย่างนั้นมีซึมเขาไปในชีวิตของคนแล้ว ..อย่างไรก็ตามจำเป็นจะต้องระมัดระวังในการที่จะทำ” (ได้ข่าวว่าจะให้ยี่ผิงหมิงมารับบทเป็นอูอาเกอ คุณคงเคยได้ฟังเรื่องการถกเถียงกันกับเรื่องเก่าที่เขาเคยแสดง รู้สึกเสียใจบ้างไหม?)  “ผู้ที่จะเสียใจน่าจะเป็นน้าจิงเหยามั้ง” แม้จะพูดอย่างนี้ แต่โหย่วเผิงก็สนับสนุนการทำหนังองค์หญิงกำมะลอภาคใหม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือจะต้องทำให้ดีกว่าเดิม “ผมก็อยากจะเห็นความสำเร็จนี้เหมือนกัน เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ยังสามารถให้เหล่าหนุ่มสาวสมัยนี้ได้ชมอีกครั้ง”

หากว่าวัยรุ่นในสมัยนี้อู่อาเกอในใจพวกเขาเป็นอี๋ผิงหมิง แล้วโหย่วเผิงที่อยู่ในใจของทุกคนล่ะ หรือว่าจะให้คนอื่นคิดถึงไป๋เสี่ยวเหนียน? โหย่วเผิงตอบ “ภาพลักษณ์ของผมที่อยู่ในใจของพวกคุณนั้นเป็นอู่อาเกอตลอดมา แท้จริงผมเติบโตตั้งนานแล้ว ผมเป็นผุ้ใหญ่แล้ว ก็ขอให้ชื่อเสียงต่างๆนั้นให้มันไหลไปกับน้ำก็แล้วกัน”


(มาต้อนรับไป๋เสี่ยวเหนียน)

“บทบาทนี้ผมไม่เอา แต่คนส่วนใหญ่พวกเขาเอา”

น่าจะพูดว่าไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นมาได้เหมาะกับจังหวะพอดี แม้จะรอนานพอสมควร แต่ท้ายสุดก็มาแล้ว “หลังจากอู่อาเกอแล้ว” โหย่วเผิงไม่ได้ฉวยนาทีทองในการสร้างความคืบหน้า รับเป็นบทของขวัญใจวัยรุ่น เพื่อก้าวสู่ขวัญใจวัยรุ่นระกับชาติ แต่เขากลับเลือกที่จะรอคอย เขาหยุดไม่รับถ่ายหนังไปนานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือละครทีวี

“มีบทมากมายเข้ามาให้พิจารณา แต่เมื่ออ่านดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบ ผมต้องการความท้าทาย” เมื่อบทไป๋เสี่ยวเหนียนมายื่นให้เขา เริ่มแรกที่โหย่วเผิงและผู้กำกับก็รู้สึกลังเล และกังวลใจ แต่ว่าโหย่วเผงลังเลใจไม่กี่วันก็ได้ตัดสินใจตอบรับ เพราะว่า บทนี้ผมอาจไม่เอา แต่หลายคนอยากเอา” น้ำเสียงอารมณ์ของเขานั้นก็ไม่ต่างจากน้ำเสียงอารมณ์ของไป๋เสี่ยวเหนียนในเรื่อง

มีประโยคหนึ่งในเรื่อง (เหม่ยหลันฟาง)ว่า “แพ้ ใช่เสียศักดิ์ศรี ขลาด ถึงเสียศักดิ์ศรี” สุดท้ายเมื่อออกฉายแล้วมันเกินความคาดหมายของทุกคน ทุกประโยคที่ผมได้พูดในเรื่องเฟิงเซิง ผู้ชมก็สนุกไปด้วย ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนหลังมาคิดดู หรือว่ามันเป็นเพราะมันแตกต่างจากนิสัยบทในอดีตของผมเกินไป”

เนื่องจากตอนท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตัดฉากออกไปเยอะ ฉากที่โหย่วเผิงร้องละครเพลงก็แทบจะไม่มีในเรื่อง และแล้วก็ให้โหย่วเผิงมาแสดงสดตรงนี้ให้กับพวกเราดู ดูแล้วก็รู้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นการร้องรำที่เราเคยดูมาอย่างนั้นเลย แต่เป็นการร้องรำที่พิเศษมาก โหย่วเผิงแสดงไปด้วยพูดไปด้วย “ดูซิ ทำมืออย่างนี้ก็จะเหมือนกับดอกกล้วยไม้ดอกหนึ่ง ฉะนั้นเลยเรียกว่ามือดอกกล้วยไม้” เพื่องานนี้เขาได้ซ้อมทั้งมือ ทั้งตัว ทั้งเสียงมานานพอสมควร แม้แต่อาจารย์สอนยังชมว่า “โหย่วเผิง ฝีมือระดับนี้ของคุณนั้นสามารถนำไปทำมาหากินได้เลย”

ตัวเขาเองก็ได้ใจมาก “ผู้ชายนั้นมีหลายแบบ แต่ที่จะมีความสำเร็จนั้นไม่มาก นอกจากในเหม่ยหลันฟางกับจางก่อหยงแล้ว ผมกล้าพูดว่าไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นคนที่สาม ใช่ว่าทุกคนจะกล้าทำอย่างนี้ บางคนทำอย่างนี้แล้วจะไม่สบายใจเลยก็มี”

ผมจะขอยกตัวอย่างคำถามจากผู้ชมบางคนที่ได้ถามโหย่วเผิงอย่างนี้ “คุณแสดงได้ดีมากๆ คุณไม่กลัวคนอื่นจะว่าคุณเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรือ?” โหย่วเผิงยิ้มแล้วตอบ “อย่าล้อเล่นอีกเลย บุคลิกของผมนั้นใครๆก็รู้ๆกันอยู่ ผมเองก็เข้าสู่วงการมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว...”


(รอคอยหูหลันเฉิง)

“เมื่อมีคนเขียนบทขึ้นมา ผมก็แสดงไป น่าจะไม่ผิดนะ”

แม้กระทั่งบทไป๋เสี่ยวเหนียนบทที่น้อยอย่างนี้เขาเองรอจนได้เล่นจนได้ เขากล่าวว่าแม้ตอนนี้จะออกจากวงการแสดงก็ถือว่าไม่เสียดายแล้ว แล้วต่อจากนี้ไป เป้าหมายของโหย่วเผิงจะว่างเปล่า หรือจะอยากกว่าเดิม คำตอบต้องติดตามต่อไป “ ก่อนจะสี่สิบนั้น ผมอยากจะมีชีวิตที่สองของตัวเอง การพูดว่าจะลาจากวงการก็ไม่เสียดายนั้น เป็นการพูดที่ไม่ยึดติดกับวงการแสดง เพราะน่าจะไม่มีบทที่สนุกไปกว่าบทไป๋เสียวเหนียนอีกแล้วมั้ง หากไม่มีก็ไม่เป็นไร ผมรอได้ ระยะนี้มีหลังจากที่ผู้ชมดูเฟิงเซิงแล้ว บอกว่าผมสามารถไปเล่นเรื่องหูหลันเฉิงได้ และพูดว่าผมมีบุคลิกเหมือนคนในสมัยนั้น หากว่ามีความจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็ยินดีแสดง ก็ไม่เลวนะ” ดูจากตรงนี้ให้เห็นว่าอนาคตโหย่วเผิงคงกลับไปเล่นหนังแนวโบราณ ด้วยเหตุนี้ เขากล่าวว่าจำต้องฝึกสายตา สามารถที่จะไม่ให้เห็นถึงว่ากำกังคิดอะไรอยู่ ขอทุกคนเชื่อมั่นในฝีมือการแสดงของเขา
 
(รอคอยคู่ชีวิต)

“ผู้หญิงที่ผมชอบนั้น ถ้าไม่จูลี่ชิง ก็จะเป็นหลิวเจียหลิน”

ช่วงเวลาที่ต้องรอคอยนั้น โหย่วเผิงก็ไม่ได้เหงาหลอย “ผมจะของอยู่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว หากมีเวลาก็จะไปเยี่ยมเพื่อนสมัยเรียน พวกเขาล้วนบ่นว่าผมมาปักหลักอยู่จีนจนไม่ได้ข่าวคราวเลย หากว่าผมจะโทรไปคุยกับทุกคนนั้น คงจะรับแบกค่าโทรไม่ไหว” มักจะชอบใช้ชีวิตที่เงียบๆมาตลอด  สำหรับเรื่องราวความรักของเขาก็เช่นกัน “ผู้หญิงที่ผมชอบนั้นจะอย่างจูลี่ชิงที่มีความเสียสละ หรือเหมือนกับหลิวเจียหลินที่เข้าใจคนอื่น”

เคยกล่าวว่าช่วยวัยเด็กของเขานั้นได้หายไปเกือบครึ่ง และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ไม่ง่ายที่ได้รับบทที่สนุก ก็กำลังอยู่ในช่วงวัยที่สองของเขา ตอนนี้นั้นยังไม่มีการวางแผนที่จะกลับสู่ครอบครัว หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยอมทำลายภาพลักษณ์ของเขาไป ไปรับบทที่ไม่เหมาะกับใบหน้าที่เป็นเด็กอย่างเขาเลย ผมคิดว่าสำหรับโหย่วเผิงแล้ว เข้าสู่วงการเร็วเกินไป แล้วถึงจุดสูงสุดในชีวิตเร็วไปด้วย ทำให้ไม่ค่อยสนุกกับหลายเรื่อง ในเมื่อเขากล้าที่จะไปเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขา ทำไมเราถึงไม่ใช้มองมองใหม่ไปมองเขาล่ะ

ก่อนนี้ ผู้จักการเราได้ไปดูภาพยนตร์เฟิงเซิงที่ปักกิ่ง แล้วกลับมาเล่าให้เราฟังว่า  ค่ายหัวอี้ได้จัดหวงเสี่ยวหมิงกับโหย่วเผิงคู่กัน บรรดาพี่ป้าหน้าอาที่ได้เห็นโหย่วเผิงก็รีบปรบมือเรียกร้องว่า “ไป๋เสี่ยวเหนียน ไป๋เสี่ยวเหนียน” เห็นเพียงโหย่วเผิงที่รีบทำท่าทางร้องรำละครเพลง ท่าทางนั้นไม่ต่างจากกระเทย แล้วน้ำเสียงที่อ่อนหวาน ทำให้คนในงานนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหลายคนได้พูดว่า โหย่วเผิงคงถูกไป๋เสี่ยวเหนียนสิงร่างแล้ว

หากคนคนหนึ่งอิงกับบทมากไปนั้น ก็จะเมื่อเวลาพูดถึงบทของตัวเองนั้นก็จะกินเวลาไปเยอะมาก โหย่วเผิงก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่หยุดที่จะคุยถึงเรื่องเขากับไป๋เสี่ยวเหนียน และคำพูดหลายคำ หลายๆประโยคนั้นโหย่วเผิงก็พูดกับสื่อซ้ำๆวกไปวนมา แต่ทุกครั้งที่พูดนั้น ก็ได้เห็นถึงสีหน้าที่ดีใจของเขา และอีกด้านหนึ่งนั้น เขาเองก็ย้ำว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะเขาเข้าสู่วงการนานแล้ว หน้าตาน้ำเสียงของเขานั้นได้แสดงออกมาให้เห็นถึงภาพของไป๋เสี่ยวเหนียนในเรื่อง

อย่างไรก็ตามฉันเองจำได้เพียงโหย่วเผิงที่เป็นขวัญใจ มีรอยยิ้มที่เบิกบาน ภาพลักษณ์ที่เดียงสา กับผู้ชายตรงหน้าที่ไว้หนวดคราวเล็กน้อยนั้นฉันไม่ค่อยคุ้นเลย เหมือนเป็นคนละคน อย่างไรก็ตามโหย่วเผิงเขาพูดได้ถูกต้องว่าพวกเราล้วนโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว