This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Messages - Alec Love Me
หน้า: 1 ... 203 204 [205] 206 207 ... 216
4081
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 10:07:13 PM »
4083
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:47:53 PM »
โหย่วเผิงแขกรับเชิญรายการสถานีกวงจิ่งซิง พูดคุยความสุดยอดของภาพยนตร์(2009-09-18)
แขกรับเชิญสถานีจิ่งซินโหย่วเผิง ได้ตอบคำถามจากแฟนๆ
สวัสดีครับทุกท่าน ผมเป็นแขกรับเชิญของเราการนี้ ดีใจมากที่ได้มาพูดคุยเจอกับแฟนๆในสถานีนี้ ทุกคนก็ทราบกันดีว่าภาพยนตร์เฟิงเซิงที่ผมได้ร่วมแสดงด้วยนั้นจะออกฉายในวันชาติเร็วๆนี้ ในเรื่องนั้นผมได้รับบทที่อ่อนช้อยเหมือนผู้หญิง มีแฟนๆหลายคนได้ถามผมว่าทำไมถึงรับบทอย่างนี้? เมื่อมองในมุมมองตามธรรมเนียมแล้วมันเป็นอะไรที่มีความกดดันเหมือนกัน บัดนี้ผมจะขอตอบคำถามต่างๆที่ทุกคนได้เอ่ยถามมา=====================================โหย่วเผิงแขกรับเชิญรายการกวงจิ่ง ได้โปรโมทองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยสวมเสื้อสีเขียว
แขกรับเชิญรายการกวงจิ่ง ดารารักษ์สิ่งแวดล้อม สวัสดีทุกท่านครับ ผมเป็นแขกรับเชิญรายการกวงจิ้ง จากการที่ทุกคนให้ความใส่ใจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการเตรียมงานวางแผนงานหลายๆอย่างนั้นก็ได้ลุล่วงไปด้วยดี น้ำที่เราใช้ราดโถส้วมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้น้ำสะอาดมาก ฉะนั้นโครงการแผนงานหนึ่งที่วางได้คือเราสามารถน้ำเอาน้ำที่อาบหรือว่าน้ำที่ล้างมือมาเป็นน้ำราดโถซ้วมก็ได้ แล้วนอกจากน้ำที่ใช้อาบน้ำล้างมือแล้วยังมีน้ำอะไรที่สามารถมาใช้ต่อได้อีก ใช่แล้ว น้ำที่ซักผ้าไงล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการซักมือหรือเครื่องก็ล้วนมีน้ำเสียมากมาย แล้วน้ำเหล่านี้ก็เหมาะแก่การไปราดน้ำในโถเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เอง ก็เลยมีชักโครกและเครื่องซักผ้าอยู่ข้างๆผมไง ทุกท่านลองมองรูปภาพตรงนี้ดู เครื่องซักผ้าเครื่องนี้นั้นได้ติดตั้งอยู่เหนือยชักโครก ทั้งยังสามารถประหยัดพื้นที่และยังทำให้เครืองที่หมุนนั้นมีความสูง การติดตั้งอย่างนี้นั้นก็ไม่ต้องก้มให้เจ็บเอวอีกต่อไป เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล องค์หน่วยงานต่างๆแม้กระทั่งประชาชนทั่วไปก็สามารถจะเอาความคิดนี้ไปใช้ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็จะไม่ไกลตัวเราเกินไปอีกต่อไป
โหย่วเผิงแขกรับเชิญรายการกวงจิ่ง ได้โปรโหมดความสนุกตื่นเต้นของภาพยนตร์
สวัสดีครับ ผมเป็นแขกรับเชิญรายการกวงจิ่ง ยินดีต้อนรับทุกท่านมาร่วมสนุกกับภาพยนตร์ดีๆกับผม
=====================================
โหย่วเผิงเป็นแขกรับเชิญรายการกวงจิ่ง บอกว่าหวงเสี่ยวหมิงหล่อมาก
สวัสดีครับทุกท่าน ผมคือโหย่วเผิงแขกรับเชิญรายการ ภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิงแนวสงครามนั้นที่ผมรับบทแตกต่างจากอดีตนั้นจะออกฉายสิ้นเดือนกันยายน เรื่องนี้นั้นได้บันทึกถ่ายทำถึงภาพการรักชาติ และจะเป็นภาพยนตร์ที่ยอดขายติดอันดับหนึ่งของประเทศจีน มีทั้งจางหันอี๋, โจวซิ่น ,หลี่ปิงปิง ,หวังจื้อเหวิน, อิงต๋าอาจารย์อีกสองท่าน ยังมีหนุ่มที่หล่อมากๆอย่างหวงเสี่ยวหมิง ผมภูมิใจมากที่ได้มีส่วนในการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นครั่งแรกที่ได้ร่วมแสดงกับเหล่าซุปเปอร์สตาร์ที่มากมายขนาดนี้ เป็นเรื่องที่มีความสุขมาก
สำหรับผมแล้วเฟิงเซิง FENG SHENG ( THE MASSEGE ) เป็นเรื่องที่มีรูปแบบ มันไม่เพียงนำการเปลี่ยนมาให้ผม และยิ่งทำให้เทคนิกการแสดงของผมนั้นก้าวไกลขึ้น ในเรื่องนั้น ได้ร่วมทดสอบในการถูกทรมานกับเพื่อนๆหลายคน และได้ต่อสู้ทั้งพลังและจิตใจกับศัตรู แม้ตายก็ไม่วายเป็นจิตใจของผู้กล้า ผมจะขอเปิดเผยนิดหน่อย เครื่องมือที่จะทรมานผมนั้นต้องมาวัดตัวผมก่อนไปทำ มันสมจริงมาก และการแสดงของพวกเราจะดีมากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องให้ทุกท่านไปติดตามและวิจารณ์เอง
=====================================
แขกรับเชิญโหย่วเผิง ได้แนะนำภาพยนตร์สงครามแรกของจีน (เฟิงเซิง FENG SHENG ( THE MASSEGE ) )
สวัสดีครับ ผมเป็นแขกรับเชิญรายการกวงจิ่ง เรื่องเฟิงเซิงที่ผมได้แสดงนั้นจะได้พบกับทุกท่านในเร็วๆนี้ ไป๋เสี่ยวเหนียนที่ผมแสดงนั้นได้รับการใส่ร้ายจากคำพูด จากนั้น จากคำพูดนี้ทำให้เขาได้รับการทรมานอย่างหนัก
แท้จริงหากว่าทุกคนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็จะเห็นถึงฉากที่ไป๋เสี่ยวเหนียนต้องดิ้นรนของความช่วยเหลือ คงจะมีคอหนังหลายคนกังวลเรื่องความเป็นความตายของเขามาก เพราะเขาเป็นนักร้องเพลงเวทีมาก่อน ตอนที่ผม่ถายทำนั้นก็พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะแสดงให้สมกับบทที่อ่อนช้อย นุ่มนวล แต่ว่าเหตุที่โชคของเขาไม่ดี เลยเป็นคนแรกที่ถูกนำไปทรมานในเครื่องทรมาน และในช่วงที่ถ่ายทำตอนทรมานนั้น ผมจะต้องไปแช่ในน้ำสกปรกทั้งตัวก่อน เพื่อจะให้มันสมจริงที่สุด ทางทีมงานก็ได้นำเอาสิ่งสกปรกลงไปในน้ำเป็นอย่างมาก และช่วงนั้นก็เป็นฤดูหนาวด้วย ป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนั้น ทางทีมงานก็ได้เอาผ้ามาคลุมผมทั้งตัว เพื่อที่จ่ะถ่ายให้มันเสร็จสิ้น สามารถบอกได้ว่าลำบากมากๆ
ในเรื่องนี้นั้นมีทั้งดารารุ่นเดอะมากมายล้อมหน้าล้อมหลัง สร้างความกดดันเป็นอย่างมาก สิ่งที่ท้าทายในครั้งนั้นนั้นเป็นบทที่ต้องออกอารมณ์อ่อนช้อย(บทกระเทย) สำหรับตัวเองแล้ว เป็นการลองการแสดงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย หากว่าคุณจะเล่นภาพยนตร์ในฮอลลีวูดให้ได้ดีนั้น เรื่องเฟิงเซินก็เป็นเรื่องแรกที่ไม่ควรพลาด วันฉลองวันชาติของปีนี้นั้น เฟิงเซิง FENG SHENG ( THE MASSEGE ) จะเป็นเพื่อนที่ให้ความสนุกกับคุณ
=====================================
โหย่วเผิงแนะนำ (หวงเฟยหงไก่เหล็กปะทะตะขาบ)
เรื่องของหงเฟยหงนั้น ผมเชื่อว่าทุกคนก็รู้กันดี หงเฟยหงที่รับบทโดยหลี่เหลียนเจียนั้นเป็นหนังที่ติดตรึมอยู่ในใจของผู้คน ศตวรรที่แล้ว กำกับโดยหยีเค้อที่หลี่เหลียนเจียแสดงเป็นหงเฟยหงนั้นได้มีการมาปรับแต่งใหม่จนเป็นหนังกังฟูที่รู้จักของทุกคน
แต่ว่า หนังที่เราจะพูดในวันนี้นั้น แม้หลี่เหลียนเจียได้ร่วมแสดงด้วย แต่ผู้กำกับนั้นเป็นระดับแนวหน้า เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ ในเรื่องกับหลี่เหลียนเจียนั้นรับบทเป็นนักบวชตัวร้าย และเรื่องนี้สนุกแน่นอน และในวันที่ 23 กันยายน บ่ายสามโมง ทางสถานีจะออกอากาศรื่องนี้ให้พวกเราได้ชมกันอีกครั้ง อย่างพลาดเด็ดขาด
=====================================
โหย่วเผิงแนะนำ พระเอกอีสวัน ไมเคิลกอเล็ก เรื่อง(เฟิงเป้าถูจี้เจ๋อ)
(ไฉห่อเชอ)เรื่องนี้ได้ดังในสมัยนั้นไม่น้อยเลย หนังเรื่องนี้ได้ตีสู่ตลาดในอังกฤษ ทำให้พระเอกอีสวัน ไมเคิลกอเล็กได้กลายเป็นดาราที่ดังทั่วอังกฤษและอเมริกา จากลักษณะบุคลิกภาพของเขานั้นทำให้เป็นที่สนใจของฮอลลีวูด แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่กล้าเสี่ยง แต่สุดท้ายก็ต้านแรงยั่วไม่ไหวและได้รับแสดงหนังฮอลลีวูดมากมาย
ปี 2009 อีสวัน ไมเคิลกอเล็กได้สร้างหนังใหม่ ได้ร่วมแสดงกับทัสมู้ ฮัสเป็น-ภาพยนตร์ที่ดังและฉายในช่วงนั้น ทำให้ภาพลักษณ์เขายิ่งถูกนิยมมากขึ้น คือศุกร์ที่ 25 กันยายน ทางสถานีนี้ก็จะออกฉายภาพยนตร์ของเขาให้ทุกท่านได้ชมกัน อย่างพลาดเด็ดขาด
=====================================
โหย่วเผิงแนะนำกาตูนตีสนี่ (หุ่นยนต์)
ภาพยนตร์แนวหุ่นยนต์นั้นยังเป็นภาพยนตร์ที่ฮอลลีวูดทำอยู่ จากหนังที่ดุเดือด(คนเหล็ก)มาจนถึงการแสดงที่ให้คนจริงๆ (น่าฆ่าหุ่นยนต์) ภาพยนตร์คนเหล็กหรือหุ่นยนต์นั้นได้สร้างชื่อมากมายแก่ฮอลลีวูด และเรื่องนี้ยิ่งสมจริงเลย นอกจากนี้แล้ว ภาพยนตร์กาตูนเรื่องนี้ยังมีคนร่วมแสดงด้วย สรุปว่าน่าติดตามเป็นอย่างมาก คือเสาร์ที่๒๖ กันยายน ขอเชิญติดตามด้วย
4084
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:45:37 PM »
2009-09-21(21 กันยายน 2009) http://ent.sina.com.cn/s/h/2009-09-21/14342707209.shtml=โหย่วเผิง : คุณแม่บอกว่ามือไม้ยังอ่อนโยนไม่พอ =21 กันยายน 2009 สถานีหัวหลง รายงานข่าวภาคค่ำ=แท้จริงแล้วผมเองนั้นหักเหลี่ยมชีวิตสุดๆแล้ว ผมไม่สามารถที่จะยืนอยู่กับที่ได้
=ใช่ว่าผมไม่แก่ แต่ดูเหมือนเด็กไปเท่านั้น
=ปัจจุบันทำงานนั้นใส่ใจขั้นตอนวิธีการมากกว่าผลงาน
โหย่วเผิง
เสี่ยวหู่ตุ้ยในอดีตนั้น ได้กลายเป็นความทรงจำของคนหลายๆคนไปแล้ว ณ วันนี้ หนึ่งในเสือน้อยสามตัวอย่างอู่ฉีหลงนั้นได้แต่งงานและหย่าไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนเฉินจื้อเผิงก็ไม่ค่อยมีข่าวอะไรเลย เหลือเพียงไกวๆหู่อย่างโหย่วเผิง เข้าสู่วงการมาแล้ว 21 ปี ก็ยังยืนอยู่ ปีนี้ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์สงครามเรื่องเฟิงเซิง ทั้งยังได้หักเหลี่ยมเรื่องของบทที่รับแสดงด้วยการเป็นนักร้องละครเพลง เรื่องนี้จะออกฉายในวันที่ 30 ของเดือนนี้ สื่อก็ได้ฉวยโอกาสนี้มาสัมภาษณ์โหย่วเผิง
เกี่ยวกับเฟิงเซิง
นักข่าวรายการข่าวภาพค่ำ (นข)
โหย่วเผิง (ผ)
นข : ในเรื่องเฟิงเซิงนั้น คุณเล่นบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เป็นนักร้องละครเพลงนั้น ความรู้สึกในตอนที่คุณพิจารณารับบทนี้เป็นอย่างไร?
ผ : แท้จริงในเรื่อง พวกเราล้วนทำงานกับทางรัฐ ดูไปแล้วพวกเราเป็นเหมือนพวกขายชาติ แต่ก็ไม่วายที่จะส่งข่าวให้กับหน่วยต่อต้านทหารญี่ปุ่น ในที่สุดทำให้ทหารญี่ปุ่นเริ่มสืบหาว่าใครเป็นเกลือในหนอน
ไป๋เสี่ยวเหนียนที่ผมรับบทก็เป็นตัวละครหนึ่งที่เป็นเกลือในหนอน ตัวละครนั้นเป็นเลขาของผู้บัญชาการ แม้จะเป็นทหาร แต่ก่อนจะมาเป็นทหารนั้นไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเคยเป็นนักร้องละครเพลงมาก่อน บวกกับเป็นนักร้องที่มีชื่อด้วย ครั้งแรกที่เห็นเนื้อบทก็รู้สึกว่าบทนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก คำพูดไม่อ้อมค้อม ไม่ไว้หน้า บวกกับเติบโตจากงานแสดงละคร จึงมีบุคลิกที่ออกแนวกระเทยๆหน่อย
นข : แล้วคุณเคยเตรียนตัวกับการเล่นบทนี้อย่างไรบ้าง?
ผ : ตอนนั้นทางทีมงานบอกว่าเรามีเวลาน้อยมาก คำขอของผมก็คือจะต้องไม่เรียนการร้องละครเพลง ผมไม่อยากจะแสดงออกมาแบบโห่วแตก ฉะนั้นเลยควกเงินตัวเองไปเชิญอาจารย์สอนละครเพลงในสถาบันสอนมาสอนผม แต่ก็ไม่ดีที่จะเอาอาจารย์ไปในกองถ่ายด้วย ได้แต่เรียนอย่างลับๆ
นข : คุณบอกว่าสุดเหวี่ยงกับการแสดงออกแนวกระเทย มันสุดเหวี่ยงอย่างไรบ้าง?
ผ : ต้องเปลี่ยนแปลงในหลายๆจุด เช่น น้ำเสียงของการพูดคุย ลักษณะการออกเสียง ท่าทางในการเดิน ในเรื่องนั้นแม้กระทั่งขนตาผมยังต้องดัดมันจนเป็นหางนกยูงเลย นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์แย่ได้จัดวางไว้ทั้งหมด จะต้องเล่นให้ได้แบบอ่อนช้อย กระหนุงกระหนิงอย่างนั้นเลย
นข : ได้ข่าวว่าตอนแรกคุณแม่นั้นได้ขัดขวางแอนตี้กับบทนี้ของคุณเป็นอย่างมาก?
ผ : แท้จริงมันไม่ได้รุนแรงตามข่าวที่เสนอออกไปเลย เริ่มแรกคุณแม่จะไม่สนับสนุนบ้าง แต่ตอนหลังกับมาช่วยเหลือผมอย่างมากมาย เพราะว่าช่วงหนึ่งผมต้องซ้อมร้องละครเพลงตลอด แม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำก็ยังร้องไม่หยุดเลย วันหนึ่งผมได้ซ้อมทั้งเพลงทั้งท่าจนเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นผมซ้อมที่บ้าน สุดท้ายคุณแม่เดินเข้ามาทักว่าตาผมมันไม่หวานพอ “เธอที่แสดงในบทอย่างนี้นั้น มันดูแล้วสายตาไม่ค่อยอ่อนโยนเลย”
นข : ใช่หรือเปล่าที่คุณแม่คุณเชี่ยวชาญในด้านนี้ เลยมองออกว่าคุณยังหวานอ่อนไม่พอ?
ผ : จริงๆคุณแม่ผมไม่ได้เก่งจนถึงขั้นนั้น ไอ้เรื่องว่าผมจะแสดงได้เหมือนกระเทยได้มาน้อยแค่ไหนนั้น ท่านก็ดูออกเหมือนกัน ท่านก็ยังรู้สึกว่าผมอ่อนโยนไม่พอ
เกี่ยวกับชีวิตนักแสดง
นข : คุณได้แสดงนักร้องละครเพลงที่เป็นกระเทยบทหนึ่ง กังวลเกี่ยวกับการรับไม่ได้ของแฟนๆไหม?
ผ : ผมรู้สึกว่านี่แหละเป็นข้อแตกต่างระหว่างขวัญใจกับนักแสดง หากว่าอยากจะเป็นขวัญใจของแฟนๆตลอดไป ก็จะต้องรับแต่บทเดิมๆ และในระยะสองปีนี้ผมเองก็ไม่เคยรับบทแสดงอีกเลย จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่ได้ดูบทเฟิงเซิงแล้ว หากว่าผู้ชมรู้สึกว่าเพื่องานแสดงผมไม่กลัวในเรื่องของภาพลักษณ์แล้วก็ผมคิดว่านั่นก็จะบรรลุเป้าหมายของผมแล้ว
นข : หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว คุณก็ก้าวเข้าสู่วงการแสดงทันที ตอนนั้นเป็นวาสนาอะไรของคุณ หรือว่ารู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในด้านนี้?
ผ : แท้จริงตอนนั้นผมเข้าสู่วงการบันเทิงกว่าสิบปีแล้ว พูดในฐานะนักร้องคนหนึ่ง ระยะเวลาสิบปีก็เป็นจุดสูงสุดขั้นหนึ่งแล้ว ในสายตาของทุกคนนั้น ล้วนมองผมเป็นไกวๆหู่ แท้จริงผมเป็นคนดื้อไม่เบาเลย ผมไม่สามารถจะหยุดอยู่ตรงนั้นได้
นข : สำหรับแฟนๆในจีนนั้นภาพที่ตรึงอยู่ในใจของทุกคนก็น่าจะเป็นบทอู่อาเกอในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ จนถึงทุกวันนี้ก็ล้วนยังมีภาพนี้ติดอยู่ในใจของแฟนๆอยู่ คุณคิดว่านี่เป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว?
ผ : เป็นภาพลักษณ์ที่ต้องมีอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ เช่นตอนที่เจ้าเหว่ยดังนั้น ต้องเสียเวลามากมายในการที่จะบอกกับทุกคนว่าเขาไม่เพียงแต่เป็นเสี่ยวเยี่ยนจื่อ และก่อนหน้านั้น ผมเองก็เป็นเด็กดีอยู่ หลังจากที่เล่นบทของอู่อาเกอไปแล้วทำให้ทุกคนประจักษ์ว่าผมเองก็แสดงบทอย่างนี้ได้เหมือนกัน ทั้งยังเป็นการทะลุทะลวงด้วย
นข : คุณก็แสดงภาพยนตร์ต่อสู้มาไม่น้อยเหมือนกันเช่นเตียบ่อกี้, อัวอู๋แช่, เซียงตุ้ยเหยาฉี แล้วคุณชอบบทไหนมากกว่ากัน?
ผ : บทต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นที่สนใจในตอนนั้น ยังมี ฉิงเซินๆ หยี่หมงๆ(มนต์รักในสายฝน) ตอนหลังกระแสภาพยนตร์เกาหลีมา พวกเราก็ยังได้ร่วมมือกันดาราอย่างไฉ่หลินด้วย แล้วผมเองก็ได้เดินผ่านมาทีละก้าวๆอย่างนี้แหล่ะ บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นที่ชื่นชอบของคนในยุคนั้น
นข : ล้วนมีคนพูดว่าโหย่วเผิงแก่ไม่เป็น แต่ตอนจะรับบทนั้นมีไหมที่บางเรื่องนั้นแทบจะไม่คิดถึงคุณเลย?
ผ : จริงๆแล้วใช่ว่าผมไม่แก่ เพียงแค่หน้าตาผมอ่อนกว่าอายุไปหน่อยเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในวงการบันเทิง ไม่มีปัญหา แล้วแต่ผู้ใหญ่เห็นว่าผมเหมาะกับบทอะไรก็รับบทอันนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วผมสามารถแสดงได้เยอะกว่านี้
นข : สิบกว่าปีก็ได้แต่ขยายงานที่จีน แล้วเวลาว่างที่อยู่ในปักกิ่งนั้นมากกว่าเวลาที่อยู่ในไทเปหรือเปล่า?
ผ : อื่ม น่าจะเป็นอย่างนั้น คุณแม่ก็อยู่ที่ปักกิ่ง คุณแม่อยู่ทั้งสองที่เลย เวลาที่ท่านไม่มีธุระ ผมก็ชวนท่านมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน
นข : ก่อนหน้านี้คุณเล่าว่ามีการไปลงทุนที่นั่น ตอนนี้เป็นเวลาเก็บเกี่ยวแล้วใช่ไหม?
ผ : ไม่ได้ลุงทุนอะไรมากมาย จริงๆก็ไม่มีธุระกิจใหญ่โตอะไร เพียงแค่ไปศึกษาดูธุระกิจของตัวเองด้วยความตั้งใจเท่านั้นเอง
นช : อยู่ในวงการบันเทิงก็นานพอสมควร ได้เรียนรู้เคล็บลับความเป็นอยู่ในวงการอย่างไรบ้าง ?เช่น เวลาเผชิญกับข่าวลอย หรือเผชิญกับเรื่องราวเชิงลบ เผชิญกับความกดดัน มีวิธีการแก้ไขอย่างไร?
ผ : ภาวะจิตใจภายในนั้นมีการเปลี่ยนไปอย่างมากมาย ถ้าเทียบกับตอนเริ่มเข้าสู่วงการนะ แต่ตอนนี้นั้นจะให้ความสำคัญกับวิธีขั้นตอนการทำงานมากกว่าผลของงาน
ถามด่วนตอบด่วน
นข : สถานที่ที่คุณอยากไปที่สุดคือที่ใด?
ผ : ลอนดอนมั้ง เพราะตอนเด็กเคยไปเรียนที่นั่นช่วงเวลาหนึ่ง เลยอยากจะกลับไปดูดูว่าเป็นอย่างไรแล้ว
นข : คุณเชื่อเรื่องรักชั่วนิรันดรไหม
ผ : น่าจะเชื่อนะ
นข : บุคคลที่คุณอยากจะขอบคุณที่สุดคือใคร?
ผ : คุณแม่ของผม
นข : หากว่าวันหนึ่งคุณไม่ทำอาชีพศิลปินแล้วคิดว่าจะไปทำอะไร?
ผ : เป็นนักท่องพเนจร เดินทางรอบโลก
นข : สามารถเขียนออกมาได้ไหมว่า เวลาที่คุณไม่ได้ทำงานเนี่ย คุณจะทำอะไรในวันนั้น?
ผ : ต้องดูว่าตอนนั้นพักอยู่ที่ไหน หากว่าอยู่ที่ปักกิ่ง จะนอนกินบ้านกินเมืองเอา ท่องเน็ต แล้วออกไปออกกำลังกายบ้าง
(คนอื่นประเมินตัวโหย่วเผิง)
เฝิงเสี่ยวกัง
โหย่วเผิงนั้น “เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือไปแล้ว”
เฝิงเสี่ยวกังเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิง ขณะที่ทางสื่อได้ถามเขาเกี่ยวกับบทที่โหย่วเผิงเล่นในเฟิงเซิง และเฝิงเสี่ยวกังได้ตอบอย่างหนักแน่ว่า “เมื่อก่อนผมก็คิดว่าเขาแสดงได้แต่บทที่เป็นผู้ดีเป็นขวัญใจพระเอกประมาณนี้ แต่มาในเรื่องเฟิงเซิงนั้นเขากับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย มันเกินความคาดหมายของผม และเรื่องเฟิงเซิงก็จะเป็นเรื่องหนึ่งที่เขาจะเกี่ยวเก็บความสำเร็จ”
จางเสี่ยงอู่
(เหม่ยหลันฟาง) หากโหย่วเผิงไม่ได้แสดงด้วยก็จะเสียดายมากๆ
เป็นคำกล่าวของศาสตราจารย์จางเสี่ยวอู่แห่งมหาลัยปักกิ่ง การแสดงในเฟิงเซิงของโหย่วเผิงนั้นเป็นสีสันของเรื่อง หากทางเหม่ยหลันฟางไม่ได้เลือกเขามาแสดงด้วยก็คงจะเป็นที่น่าเสียดาย”
(ความเชื่อมโยง)
ภาพยนตร์เฟิงเซิง
กับบทของโหย่วเผิง
ภาพยนตร์สงครามเรื่องเฟิงเซิงได้ปรับปรุ่งเนื้อเรื่องใหม่จากเรื่องราวตำนานในตระกูลม่าย เนื้อเรื่องนั้นเป็นสงครามในจีนซึ่งญี่ปุ่นมารุกรานและตั้งกองบัญชาการอยู่ที่นั่น ในกองบัญชาการนั้นมีสายลับอยู่ด้วยทั้งยังมีข่าวได้รั่วไหลออกไปจนทำให้ผู้ใหญ่ในกองบัญชาการต้องสืบหาว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้กันแน่ และได้จับห้าคนไปสอบสวนที่จวนอาทิ โจวซิ่น หลี่ปิงปิง จางหันอยี โหย่วเผิง และอิงต๋าเฟิง ได้มีการสอบสวนอย่างทรหด และทางโหย่วเผิงก็ได้รับบทเป็นนักร้องละครเพลง เป็นเลขาของผู้บัญชาการ แม้ตำแหน่งจะไม่สูง แต่ว่าสามารถที่จะเลื่อนขั้นได้อย่างไม่สิ้นสุด
ผู้รับการสัมภาษณ์
ซูโหย่วเผิง
ประวัติส่วนตัว. นักแสดง นักร้อง นับจากตอนเข้าสู่เสี่ยวหู่ตุ้ยมาจนถึงวันนี้ เป็นเวลา 21 ปีไปแล้ว และเคยแสดงเรื่ององค์หญิงกำมะลออีกด้วย
เบื้องหลังการสัมภาษณ์ : ภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิงจะออกฉายในวันที่ 30 กันยายน บทที่โหย่วเผิงเล่นนั้นคือเป็นเลขาของท่านผู้บัญชาการ นับว่าอยู่ภายใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น เขาเคยเป็นนักร้องละครเพลงมาก่อน
และเนื้อหาในเรื่องนี้จัดเรียงโดย คังถิงฟาง
4085
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:41:25 PM »
โหย่วเผิงบันทึกรายการวงจิ่งซิงบอเค่อ ใน “ไป๋เสี่ยวเหนียน”31 สิงหาคม โหย่วเผิงที่กำลังยุ่งกับงานภาพยนตร์(เฟิงเซิง)ที่จะออกฉายในวันชาตินั้นได้เป็นแขกรับเชิญใน(กวงจิ่งบอเค่อ) ได้เป็นผู้ประกาศทีมใหม่ ภาพโหย่วเผิงที่เห็นได้ชัดคือสง่าและเข้ม ยิ่งทำให้เป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือรอยยิ้มที่หวาน อบอุ่น เวลาบันทึกรายการก็ยังยิ้มหวานตลอด เวลาที่ได้เป็นผู้ดำเนินรายการนั้น ภาษาจีนกลางที่ชัดแจ๋วของเขานั้นทำให้ผู้จัดการชมเขาว่าพูดได้ดีและบันทึกอย่างราบรื่น และเขาเองก็ยังพูดตลกว่าอยากจะเป็นผู้ประกาศข่าว
หลังจากที่บันทึกรายการเสร็จแล้ว เขาก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของ(เตี้ยนหยิ่งหวั่ง)
“ไป๋เสี่ยวเหนี่ยน”เวลาพูดแล้ว “ไม่เป็นภาษาคนเลย” เดี๋ยวชายเดี๋ยวหญิงมันจะทำให้ทีมงานเลียนแบบ
ในเรื่องเฟิงเซิงนั้นโหย่วเผิงได้แสดงบทที่กลับหัวกลับหางกับภาพลักษณ์เก่าๆของเขา ได้แสดงเป็นนักร้องละครเวทีเสี่ยวไป๋เหนียน เขาที่เป็นมือขวาของผู้บัญชาการทหารที่อยู่ใต้คนคนเดียวแต่เหนือคนนับหมื่น เขามีเหตุผลเพียงพอกับการที่ไม่หญิงไม่ชาย โดยฉะเพาะคำพูดที่แทงใจดำ เพื่อจะให้ผลงานนี้ได้ดีที่สุด โหย่วเผิงได้เชิญครูสอนร้องละครเพลงของปักกิ่ง มาสอนทุกวัน ซ้อมจังหวะทำนองของเพลง กระทั่งต้องขังตัวเองอยู่ในห้องในการฝึกฝนและดู “เหม่อยหลันฟาง”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเฟิงเซิงที่เป็นบทที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่งนั้น และโหย่วเผิงพูดไปยิ้มไปก็พลอยมีอารมณ์ไปด้วย ไม่เพียงแต่มีการยกมือยกนิ้ว(เป็นท่าของละครเพลง) ทั้งยังร้องออกมาให้ฟังสองสามประโยค เห็นตัวของไป๋เสี่ยวเหนียนเลยทีเดียว ผู้ทำภาพยนตร์เรื่องเฟิงเซิงนั้นได้แซวโหย่วเผิงว่าเป็นพวกนักแสดงมืออาชีพเลย ทางผู้กำกับเองก็ได้กล่าวว่าตัวละครไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ไปเลย แต่ว่าอย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มแรกเปิดกล้องถ่ายทำนั้นไม่รู้โหย่วเผิงหาท่าไม่ถูกหรืออะไรไม่รู้ถึงได้มีการ NG21 ครั้ง มีความกดดันมากจนทำให้ออกมาแบบติดขัดบ้าง “จริงๆแล้วตัวละครในเรื่องนี้นั้นสิ่งที่ท้าทายที่สุดก็คือการจะต้องชนะใจตัวเอง คำพูดที่ไป๋เสี่ยวเหนียนพูดนั้นมันไม่ใช่คำพูดของคนเขาพูดกันจริงๆ มันต้องออกเป็นเสียงของผู้หญิงซึ่งมันผิดธรรมชาติมากๆ” โหย่วเผิงก็ได้กล่าวต่อ “ต่อมาทางทีมงานก็ชอบเอาคำพูดของไป๋เสี่ยวเหนียน ท่าทางของเขามา “ล้อเลียน”
เฟิงเซิง นั้นได้มีการลงนามห้ามมีการเผยแพร่เนื้อเรื่องออกไปมิเช่นนั้นจะถูกปรับ
เมื่อถามถึงว่า ใครเป็น “เหลากุ่ย”ในเรื่อง โหย่วเผิงก็ตอบอย่างระมัดระวังว่า “พวกเราล้วนลงนานต้องเก็บความลับเหล่านี้ไปแล้ว และค่าปรับก็เขียนไว้อย่างชัดเจน” ตามสิ่งที่เขาพูดมา สิ่งที่โอเว่อร์ที่สุดคือ เนื้อหาของเรื่องในมือของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้หากมีเนื้อเรื่องรั่วไหลออกไปก็จะรู้ว่าเป็นใคร
โหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวเองก็ยังไม่ได้ดูเรื่องทั้งเรื่อง เพียงแต่ได้ดูตอนที่ตัวเองเล่น “ตอนจบนั้นพูดไม่ได้ แน่นอนมันเหนือความคาดหมาย” ในเรื่องเฟิงเซิงนั้นโหย่วเผิงได้ร่วมแสดงกับโจวซิ่น, หลี่ปิงปิง, จางหันอี่, และนักแสดงหลักอีกเจ็ดท่าน ซึ่งได้เผชิญกันการจับตัว “เหลากุ่ย”และต่างก็คิดจะฆ่าซึ่งกันและกัน ..
4086
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:30:41 PM »
ซูโหย่วเผิง... ผมในวันนี้ เหมาะแก่การเป็นนักแสดงอย่างยิ่งหลายปีมานี้ ภาพที่โหย่วเผิงให้กับทุกคนคือเป็นนักแสดง แต่ว่าย่างก้าวแรกที่เดินเข้าสู่วงการบันเทิงนั้น เขาเป็นนักร้องคนหนึ่ง ได้รื้อฟื้นเพลงเก่าๆน่าฟังของเขา(หนี่ไคว้ปู่ไคว้เล่อ) เขานั้นพูดออกมาแบบตกใจเหมือนกัน “คุณเคยฟังหรือ นั่นเป็นเพลงในอัลบั้มชุดปี 2000
ผลงานล่าสุดที่เขาได้แสดงนั้นเป็นเรื่องเฟิงเซิงที่กำลังจะฉายในเร็วๆนี้ เป็นผลงานชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งในรอบปี “บทบาทที่ผมเล่นในเรื่องเฟิงเซิงนั้นชื่อไป๋เสี่ยวเหนียน เขาเป็นนักร้องละครเวที อีกตำแหน่งหนึ่งเป็นผู้ติดตามผู้บัญชาการ ตัวละครนี้นั้นสับสนเป็นอย่างมาก เขารับทั้งร้องเพลงทั้งสภาพจิตใจ มีความรุ้สึกที่กลมกลืนไปทั่วทุกด้าน แต่แท้จริงแล้วภายในจิตใจนั้นบริสุทธิ์ เขาเป็นคนที่บุ่มบ่าม ภายนอกดูเหมือนผู้มีจิตใจงดงาม ไม่เป็นพิษภัยต่อผู้อื่น รูปแบบของอาจารย์แย่หมินเทียนที่ได้วางไว้นั้น เมื่อทันทีที่ผมเห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่า ว้าว ใบหน้าของผมนั้นขัดได้เกลี้ยงมาก สุดท้ายก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อจะให้มันเข้ากับบท” เพื่อบทนี้แล้ว โหย่วเผิงได้ทุ่มเทอย่างมาก เขาได้เชิญอาจารย์สอนร้องเพลงละครเวทีมาสอนเขาโดยเฉพาะเลย ตอนนั้นเขายังถ่ายละคร(พี่หลิวซัน)ที่ยูนานอยู่เลย และได้ไปรับอาจารย์มาสอนโดยเฉพาะ “เพราะในบทนั้นมีฉากอย่างนี้ ฉะนั้นไม่เรียนไม่ได้ มันจะดำน้ำถ่ายแบบถูๆไถๆไปไม่ได้ ผมเชื่อว่าการทุ่มเทของผมนั้น ผู้ชมจะเห็น”
หลายปีมานี้ โหย่วเผิงได้ไปชิมรสชาติของบทคนบ้าไม่น้อยเลย “ปีที่แล้วผมได้เล่นบทโรคจิต ในเรื่อง(พี่หลิวซัน)นั้นได้เรียนการร้องเพลงท้องถิ่น จริงๆแล้วก่อนหน้าโน้นผมเองก็เคยแสดงละครหุ่นของเกาหลีมาด้วย เข้าสู่วงการมานานมากแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสักนิด ผู้ชมจะเบื่อหรือไม่เบื่อนั้นยังเป็นเรื่องเล็ก ตัวเองซิจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งเดิมๆ” สมัยที่เขาเป็นนักร้องขวัญใจนั้น เพียงแค่อยู่บนเวทีแล้วจับไมค์ร้องเพลงแค่นี้ ทำให้บรรดาแฟนๆผู้หญิงที่อยู่ข้างล้างเวทีก็ดิ้นกันแทบจะหลุดโลก ตอนหลังตลาดการทำเพลงนั้นไม่ค่อยสู้ดี แล้วก็เริ่มหันมารับงานแสดง เริ่มแรกนั้นออกอัลบั้มก็เพื่อการแสดง และเมื่อแสดงไปนานๆก็จะติดใจติดอารมณ์กับงานนี้ ก็เลยชอบงานแสดงไปใหญ่เลย “ผมนั้นอายุเยอะแล้ว” ตัวเขาเองก็อดหัวเราะไม่ได้ “งานการแสดงนั้นน่าจะเป็นงานที่เหมาะที่สุดสำหรับอายุผมในตอนนี้ การจะเป็นนักร้องนั้น คุณจะต้องรักษาความมันบนเวทีไว้ไม่ให้มันถอยหลัง และมันก็มีความเกี่ยวข้องกับอายุด้วย แต่กว่าถ้าเป็นนักแสดงแล้ว คุณจะแสดงไปจนถึงแก่เฒ่าก็ไม่มีปัญหา ผมนั้นไม่อยากจะมีชีวิตซ้ำซากกับการเป็นขวัญใจในสมัยนั้น และยินดีที่จะลองทำถูกทำผิดกับสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะงานแสดงภาพยนตร์ มันมีความท้าทายเป็นอย่างมาก”
หลายปีมานี้ เขาเลือกที่จะทำงานในจีนมากกว่า เพราะตลาดในจีนนั้นกว้าง โดยเฉพาะอาชีพบันเทิงนั้นได้พัฒนาขึ้นในช่วงนี้ ทั้ง ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ก็ล้วนมีการทุ่มทุนลงไปเยอะมาก ค่ายหัวอี้ที่โหย่วเผิงสังกัดนั้นก็ยังเป็นบริษัทชั้นนำในวงการด้วย เขาซาบซึ้งใจกับเจ้าของบริษัททั้งสองเป็นอย่างมาก “ผมนั้นเลื่อมใสในเจ้าของบริษัทคุณหวังจงจินและคุณหวังจงสือทั้งสองเป็นอย่างมาก พี่หวังใหญ่นั้นหนักแน่นมาก พี่หวังเล็กก็เปรี่ยมด้วยความสามารถ พวกท่านสองคนได้ร่วมมือกันสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับพวกเรา สามารถนำอิสระในการพัฒนาการแสดงให้กับศิลปินที่สังกัดอยู่ในค่ายของท่านอย่างดีมาก
อยู่ในค่ายนี้สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือเรียกว่าดีที่สุดก็คือได้มีโอกาสที่พิเศษมากๆ เช่นโหย่วเผิงนั้นก็ได้มีโอกาสไปเล่นหนังฮอลลีวูด “เหมือนคล้ายกับ(จื่อหวงหวัง) เป็นหนังแนววิญญาณจิตนาการณ์ แน่นอนมีจุดเด่นมากมาย เหตุเพราะการจะเตรียมตัวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมก็ได้มีการฟิตร่างกาย”
"ลู่อี้" ในสายตาของโหย่วเผิง ผมชอบ ลู่อี้ เป็นอย่างมาก เขาเป็นคนที่ขยัน เป็นคนซื่อตรง ไม่เคยสร้างภาพ แต่เป็นคนที่พูดตามตรงตามเนื้อผ้า ชีวิตของเขาเป็นแมนมาก
"จางหันอี้" ในสายตาของโหย่วเผิง สนิทกับหันอี้มากๆ พวกเราเล่นเรื่องเฟิงเซิงด้วยกันเขาจริงจังกับชีวิตประจำวันมาก
"หวังเป่าฉาง" ในสายตาของโหย่วเผิง เป่าฉางเป็นคนที่แฮปปี้ ทุกครั้งที่อยู่กับเขานั้นรู้สึกแฮปปี้ไปด้วย และผมเองก็รู้สึกว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่เขามีมาก ทุกครั้งก็จะอิทธิพลต่อคนอื่น นำคนอื่นแฮปปี้ด้วยกัน
4087
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:26:10 PM »
สัมภาษณ์โหย่วเผิง ในงานพิธิเปิดเว็ปไซน์โซวหูกวน (ฟงเซิง)รายงานจากสถานีภาพยนตร์จีน
เรื่อง(เฟิงเซิง)ที่ได้ร่วมอยู่ถ่ายทำด้วยกันเป็นเวลายาวนาน ได้กำหนดเวลาฉายในวันที่ 1 ตุลาคม เมื่อวานภาพโปรเตอร์ของเรื่องนี้ได้เข้าสู่สถานี หลี่ปิงปิง จางหันอี๋ และโหย่วเผิงนักแสดงนำสามท่านได้มาถึงสถานี กิจกรรมการโฆษณาครั้งนี้จะต่างจากการโฆษณาหลายๆครั้งที่ผ่านมา และงานแถลงการครั้งนี้นั้นถือได้ว่ามีอะไรที่จะทำให้สื่อต้องถึงกับอึ้งทึ่งเลย นอกจากหลี่ปิงปิง จางหันอี๋ โหย่วเผิง เลขาธิการค่ายหัวอี้คุณหวังจงสือมาถึงในงานแถลงแล้ว ทางสื่อสังเกตุเห็นสีหน้าของนักแสดงนำทั้งสามท่านนั้นไม่เลวเลย จางหันอี๋ที่ใส่เสื้อทีเชิ๊ดเป็นที่ดึงดูดสายตา หากแต่จะเอ่ยถึงโปรสเตอร์แล้ว หน้าตาของพวกเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป
(เฟิงเซิง) โฆษณาเป็นที่รู้จักกัน
หากจะอ่านเรื่องราวในโปสเตอร์เหล่านี้ เราจะต้องรู้เรื่องราวของเฟิงเซิงหน่อย เป็นยุคทำสงคราม ทางหน่วยปราบปรามได้ข่าวถึงมีไส้ศึกอยู่ข้างใน และได้เรียกผู้สงสัยมาสอบสวน และมีเครื่องทรมานมากมาย เป็นเครื่องทรมานในฉากหลี่ปิงปิงแสดงและได้นำมาใช้
กวนเจียนซือ : เครื่องทรมานเหล่านี้เหมือนกับว่าเครื่องผ่าตัด
หลี่ปิงปิง : ฉันไม่ทราบว่าเมื่อทุกคนเห็นมันแล้วจะรู้สึกสั่นๆไหม (ฉันดูเหมือนเครื่องผ่าตัด) เครื่องเหล่านี้ได้เตรียมไว้เพื่อฉันเลย (ทั้งหมดเลยหรือ)ใช่ แค่มันถูกเอามาวางไว้บนโต๊ะ ก็ทำให้ทุกคนในห้องตกใจกลัวกันหมด
ในเรื่องโหย่วเผิงรีบเอาเก้าอี้ไฟฟ้ามาให้ดูและเป็นที่หวาดกลัวของทุกคน
กวนเจี้ยนซือ : เป็นเก้าอี้ที่ไม่มีที่ติ
โหย่วเผิง : โอ้แม่เจ้า ใครเป็นคนมาให้ผม ที่นั่งก็อยู่ตรงกลางและทั้งยาวด้วย ผมไม่กล้าคิดว่าหากคนธรรมดาคนหนึ่งนั่งลงไปแล้วจะแสดงอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือจะมีเสียงอะไรออกมา
แต่เครื่องทรมานของหันอี๋นั้นมันลึกลับมาก
หันอี๋ : มีเข็มเข้ามาอย่างหาที่มาไม่ได้ เข็มแล้วขวดเล็กล้วนเป็นของผม เหล่านี้ล้วนเป็นน้ำหอม อามานีซีดี ยังมีขาวฟ้าบ้าง ทำไมถึงเป็นน้ำหอมล่ะ มันต้องไปหาคำตอบในโรงภาพยนต์เสียแล้ว
ภาพสองสามภาพนี้ก็นำความเสียวหวาดกลัวมาสู่พวกเราแล้ว หลี่ปิงปิงกับจางหันอี๋ก็ยังต้องประสบการณ์เอง
หันอี๋ : นี่คือการทรมานไฟฟ้า เหมือนไหมที่เขากำลังถูกมัดแล้วโดนช็อด คุณลองทำท่าทรมานหน่อย
ในภาพยนตร์ หน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ใช้เครื่องทรมานมากมาย แต่ผมที่แฝงอยู่ในหมู่ผู้ถูกสงสัยก็ไม่ยอมที่จะเปิดเผยตัวเอง
หลี่ปิงปิง : ว่า เอาชิ้นนั้นก่อน
โหย่วเผิง : ผมยังเป็นกระเทยไม่เหมือนพอหรอ
หลังจากที่ได้ยินจากการเล่าในเรื่องเครื่องทรมานแล้ว สื่อได้สังเกตุเห็นทรงผมของโหย่วเผิง
โหย่วเผิง : (ทรงผมของโหย่วเผิงมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องไหม) คุณสังเกตุได้ละเอียดมากเลย ทรงผมในหนังนั้นมันจบไปแล้ว ผมดูแล้วมันน่าเกลียดมาก ผมเลยได้ไว้ทรงที่ตามใจตัวเอง
โหย่วเผิงเล่นเป็นนักร้องละครเพลง ไป๋เสี่ยวเหนียน บุคลิกอันอ่อนโยน แต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนโยนไม่พอ
โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนโยนไม่สุดๆ เสี่ยวเหนียนนั้นจะไม่หญิงไม่ชาย ถ้าจะพูดภาษาเราคือเป็นพวกกระเทย แต่ว่าผมรู้สึกว่าผมยังอ่อนโยนไม่พอ
หวังจงสือ : พวกเราทุกคนล้วนรู้สึกว่าคุณเป็นกระเทยได้ดี
โหย่วเผิงไม่กล้ารับคำชมเหล่านี้ แต่ทางด้านหันอี๋นั้นรู้สึกอิษฉา
หันอี๋ : ในเรื่องนี้นั้น จริงๆแล้วไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นผมเป็นคนแสดง แต่ผมก็คิดแล้วคิดอีกตั้งนาน
โหย่วเผิง : แล้วคุณมั่นใจหรือว่าจะแสดงอาการกระเทยออกมาได้ แน่นอน ผมเองเหมือนกระเทยเป็น
หันอี๋ : ผมเคยเรียนกับเขา เขาเรียกผมว่าเสี่ยวไป๋ตลอด เมื่อผมเรียก เขาก็ จากนั้นเขาเริ่มร้อง คุณลองร้องให้พวกเราฟังหน่อย
โหย่วเผิง : ฝึกร้อง
เรื่องเฟิงเซิง ทำให้นักแสดงได้เข้าถึงอารมณ์ ตุลาปีนี้ จะมีเรื่องเจี้ยนก่อต้าแย่ร่วมฉายกับเรื่องเฟิงเซิง ผู้สร้างภาพยนตร์เฟิงเซิงคือ หวังจงสือ (เจี้ยนห่อต้าแย่)เป็นหนังแนวประเพณีสืบทอดมา แต่ของพวกเราคือแนวใหม่ สองเรื่องนี้นั้นจะออกในแนวที่ต่างกัน
หันอี๋ : สายตาของคุณจะหยุดไม่ได้เลย หากคุณหยุดก็จะต่อไม่ติด (เฟิงเซิง)เป็นเรื่องที่พิเศษ หลังจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
โหย่วเผิง : หากว่าไม่เล่นเป็น กระเทย ผมก็ไม่รับ
ขณะสัมภาษณ์ หันอี๋ได้ล้อโหย่วเผิงอย่างไม่หยุด พูดว่าเขากระเทยขนาดไหน ในเรื่องโหย่วเผิงรับบทเป็นนักร้องละครเพลง เป็นบทที่ท้าทาย เมื่อดูจากการถ่ายแล้วเขากล่าว่า จากการแสดงไปแล้วนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่อ่อนพอ “มีท่าทางกระเทยออกนิดๆเอง แต่ว่าผมนั้นทำอย่างสุดๆแล้ว แต่ว่าหลายคนก็มองว่าผมเป็นคนละคนไปเลย เหมือนกระเทยมากๆ เวลาพูดนั้นน่ากลียด เบื่อ เวลาถ่ายทำนั้นผมไม่ค่อยไปดูหลังการถ่าย
เขายอมรับ เริ่มแรกที่รับบทมาดูนั้นมันแปลกๆ “เมื่ออ่านตัวบทจบแล้วรู้สึกว่าประทับใจมาก ยังมีคนอย่างนี้อยู่ด้วยหรือ ทำไมมันวิเศษอย่างนี้ นัยหนึ่งผมรู้สึกตื่นเต้น อีกด้านหนึ่งก็กังวลว่าจะแสดงได้ดีหรือเปล่า” หันอี๋ได้ชมว่าโหย่วเผิงแสดงได้ดี กลัวว่าทางแฟนๆของเขายากที่จะรับได้
โหย่วเผิงก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ ตอนหลังก็คิดไปมากว่าครึ่งวัน ผมแสดงได้ดีชัวร์ จากประสบการณ์การแสดงมาหลายปี หากจะแสดงบทนี้ได้ไม่ดีนั้น ผมเองก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” และเขาได้กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ จริงๆแล้วผมเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ไม่อยากจะหยุดอยู่ที่เดิม แต่ละตัวบทนั้นล้วนต้องชนะมัน เรียบรู้สิ่งใหม่ๆ หากคุณอยากจะดึงแฟนๆติดคุณ คุณก็ต้องพัฒนาอย่างไม่หยุด อย่าปิดกั้นตัวเอง
4088
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:22:36 PM »
09-08-12 : สัมภาษณ์โหย่วเผิง ในงานพิธิเปิดเว็ปไซน์โซวหูกวน (ฟงเซิง)เว็ปไซน์ ฟงเซิง ได้เปิดแล้ว
โหย่วเผิง : ผมเองก็ยังดูไม่หมด มีอะไรบ้าง เพราะว่าเกี่ยวกับการรับเสียง มีส่วนหนึ่ง ของผมเองก็มีส่วนหนึ่งแล้วตอนหลังก็มีการอัดเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ผมได้ดูที่เป็นส่วนของผมเท่านั้น
นักข่าว : แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?
โหย่วเผิง : ความรู้สึกเหรอ อืม พูดตรงๆนะ ตัวเองรู้สึกว่าการแสดงของตัวเองนั้นยังไม่เข้าเป้าก็คือยังไม่ถึงจุดที่ตัวเองคิดเอาไว้ พูดตรงๆ เพราะว่า "เสี่ยวเหนี่ยน" นั้นตัวเขาเองเป็นนักแสดง พูดตามตรงทางผู้กำกับและตัวบทของเขานั้นจริงๆแล้วเขาจะเป็นคนที่ไม่หญิงไม่ชาย ถ้าจะใช้ภาษาสมัยนี้ก็เรียกว่ากระเทย (หัวเราะ) สุดท้ายตัวเองดูแล้วก็.....
นักข่าว : การเรียนร้องเดิมทีก็เป็นอย่างนั้นเลยใช่ไหม?
โหย่วเผิง : ใช่ สุดท้ายเมื่อตัวเองมาแสดงแล้ว ตัวเองก็เริ่มรู้สึกว่าจะเป็นหญิงสาวไปแล้ว สุดท้ายเมื่อตัวเองมาเปิดดูแล้ว ก็ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย
นักข่าว : หมายความว่าแสดงออกมาแล้วก็คือ ..ไม่ค่อยเป็นกระเทยเท่าไหร่
หวังจงเหล่ย : ถอมตัวเกินไปแล้ว
นักข่าว : บอกว่าถอมตัวเกินไป ความหมายของท่านก็คือเขาแสดงได้เหมือนผู้หญิงมากใช่ไหม?
หวังจงเหล่ย : พวกเราทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วก็รู้สึกว่า คุณนี่เป็นคนอีกคนจริงๆ เหมือนผู้หญิงมากๆ
โหย่วเผิง : (หัวเราะดัง) ไอ้ที่ว่ามันเหมือนผู้หญิงขนาดไหนนั้น ทุกคนต้องเข้าไปชมในโรงภาพยนนตร์ถึงจะรู้ (หัวเราะต่อ)
นักข่าว: แล้วต่อบทที่คุณแสดงไปนั้น ความรู้สึกในระหว่างการแสดงหรือหลังจากที่ได้ดูผ่านไปแล้ว ก็น่าจะมีความรู้สึกแตกต่างกัน ?
โหย่วเผิง : พูดตามตรง จริงๆแล้วเริ่มต้นนั้น ผมรู้สึกว่าทั้งเรื่องนั้น ร่วมทั้งเวลาถ่ายทำด้วย จริงๆแล้วน้อยมากที่ผมจะไปดูที่ผมถ่ายไปแล้ว ตลอดเวลานั้นผมเองจะรู้สึกว่า ก็คือไม่กล้าเผชิญกับภาพของตัวเอง อะไรอย่างนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจ ท่าทางอย่างนั้น ไหนไหนก็แสดงไปแล้ว จากนั้นผมก็ไว้ใจกับทางผู้กำกับ ทางผู้กำกับดูที่จอมอนิเตอร์บอกว่าโอเคผมก็โอเค บุคลิกของ "ไป๋เสี่ยวเหนียน" นั้นเป็นคนที่มีบุคลิกมาก ปากดี พูดก็ไม่เพราะ เป็นที่เกลียดชังของคนอื่น วันหนึ่งผมจำได้ว่าได้เข้าฉากกับปิงปิง เมื่อเราสองคนถ่ายเสร็จแล้ว เธอกล่าวกับผมว่า “โอ้ พวกเราสองคนเดินออกมาจากกล้องแล้ว พูดกับผมว่า .ในโลกนี้จะมีคนอย่างไป๋เสี่ยวเหนี่ยนอย่างนี้ได้เหรอ ? ฮ่าๆๆ คนอย่างนี้ก็คือเขาเป็นอย่างนี้ๆ จะพูดไงดี คือมนุษย์สัมพันธ์ของเขาคงจะไม่ดี ฉะนั้นในเรื่องผมก็จะเป็นคนแรกที่ถูกจับไปทรมาน เป็นคนแรกที่ถูกจับไปทรมานเลย
นักข่าว : คนแรกก็เป็นคุณที่ถูกจับไปทรมาน?
โหย่วเผิง : ใช่
นักข่าว : พวกเขาล้วนมีประสบการณ์ไปเรียนต่างประเทศ แล้วคุณมีไหม?
โหย่วเผิง : พวกเขามีดีกรีขนาดนี้ เมื่อผมได้ฟังปุ๊บผมเองก็หน้าแดงไปเลย ผมอย่างดีก็ได้แค่ไปเรียนที่โรงละครโอเปร่าเท่านั้นเอง(หัวเราะ)
นักข่าว : ดูจากเรื่องของอาชีพแล้วมันคงต่างกัน แต่จริงๆแล้วก็น่าจะเหมือนกัน
โหย่วเผิง : แต่ว่าหากพูดถึงเรื่องเมื่อกี้ เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของพวกเรา แม้ว่าในเรื่องนั้นผมอาจมีตำแหน่งที่ต่ำสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ว่าตำแหน่งของผมนั้นก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญในการอยู่เบื้องหลังนะ
นักข่าว : เบื้องหลังที่สำคัญ
โหย่วเผิง : ใช่ ผมมีภูมิหลังที่สำคัญ แต่สำหลับภูมิหลังของผมเป็นมาอย่างไรนั้น นั่นก็เป็นเรื่องที่พิเศษเรื่องหนึ่งเหมือนกัน สำหรับเรื่องนี้นั้น ก็คงอีกหน่อยค่อยเปิดเผย หรือว่าพวกเราไปดูที่โรงเองก็ดี
นักข่าว : โอเค ใช่ ที่โรงภาพยนตร์ แต่ว่าสิ่งที่ผมอยากจะรู้ก็คือ โหย่วเผิง สำหรับบทบาทนี้แล้วมันเป็นอะไรที่คุณต้องเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ก็เหมือนกันคุณหวังที่ได้พูดไปนั้นมันไม่เหมือนเป็นตัวคุณเลย แล้วผู้คิดว่าขณะที่คุณได้รับบทนี้บุ๊ปแล้วคุณก็คงไม่ใช่จะรับโดยไม่คิดปั๊บเลยใช่ไหม? ยังมีช่วงเวลาที่จะคิดไตรตรองไหม?
โหย่วเผิง : จริงๆแล้วมันก็ก้ำกึ่งนะ มันก้ำกึ่งจริงๆ ผมคิดว่าตัวละครบทนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครเมื่ออ่านแล้ว รวมทั้มผมเองด้วย ครั้งแรกที่ได้อ่านตัวบทของฟงเซิงเรื่องนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องราวมันดึงดูดคนมาก รวมทั้งมันยังประทับใจด้วย ก็เหมือนกับที่ หันอี๋ ได้พูดไป เธอมีอารมณ์ร่วมมากๆ คุณทราบไหม? ทุกคนที่เป็นชาวจีน หากคุณอ่านเรื่องอย่างนี้จบแล้ว คือในสมัยที่เต็มไปด้วยสงคราม จากนั้น ในชนเผ่าของพวกเรานั้น ทุกคนก็รอคอยฮีโร่ คุณทราบไหม ต้องการมีคนที่มีจิตใจอย่างนี้เพื่อมารับหน้าที่ที่หนักใหญ่อย่างนี้ มาเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์อย่างนี้ อย่างแรกคือ ประทับใจกับเรื่องราว อย่างที่สอง ไป๋เสี่ยวเหนียนพิเศษอย่างไรล่ะ (หัวเราะ)
นักข่าว : แล้วพิเศษอย่างไร?
โหย่วเผิง : ใช่ ก็รู้สึกว่า มันภาคภูมิใจมากๆ ที่วันนี้มีโอกาสดีๆอย่างนี้ มีบทอย่างนี้มาให้ มีเนื้อเรื่องอย่างนี้มาอยู่ต่อหน้าผม ผมสามารถเลือกว่าจะรับหรือไม่รับ สำหรับบทของเขานั้นเป็นที่ดึงดูดของนักแสดงเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นสิ่งแรกที่ใจคิดก็คือ ผมสามารถรับแสดงบทอย่างนี้ได้ไหม เพราะภูมิหลังของเขานั้นพิเศษมาก ลักษณะพิเศษของเขานั้นก็เลียนแบบยากมากเหมือนกัน ใช่ จากนั้น ...จางหันอี๋ : เดิมที่คือให้ผมแสดง
โหย่วเผิง: ทุกคน. หา?
โหย่วเผิง : อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ
นักข่าว : ผมเองก็พึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก จริงๆเหรอ?
หันอี๋ : นี่เป็นเรื่องใน จริงๆเป็นอย่างนั้น เดิมที่คือให้ผมแสดงบทนี้ ไป๋เสี่ยวเหนียน
โหย่วเผิง : ผมอยากดูจังเลย
หันอี๋ : คุณไม่รู้ล่ะสิ จริงๆแล้วผมเล่น แต่ผมคิดแล้วคิดอีก
โหย่วเผิง : แล้วคุณมั่นใจหรือว่าสามารถจะเล่นเป็นกระเทยอย่างนั้นได
หันอี๋ : แน่นอน
โหย่วเผิง : คุณสามารถตัดใจได้เลยหรอ เจ้าพระคุณ
หันอี๋ : อื่ม ผมดูแล้ว บทนี้นั้นโหย่วเผิงเล่นได้ถึงพริกถึงขิงมากๆ มันมีรสชาติจริงๆ ยอดเยี่ยมๆ
โหย่วเผิง : ชมเกินไปๆ
นักข่าว: การแสดงออกที่แปลกอย่างนี้ไม่กลัวแฟนๆจะรับไม่ได้หรอ
โหย่วเผิง : จะให้พูดตามตรง นี่ก็น่าจะเป็นการล้อเล่นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็พูดจริงๆ ในเรื่องนี้นั้น หลังจากที่ได้ทุ่มเทในการแสดงอย่างนี้ไปแล้ว หากว่าบทบาทนี้ไม่เหมือนผู้หญิงเลยแล้ว ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน ผมถูกรบกวนปานตาย จริงๆ หากมิใช่ที่มันแปลกอย่างนี้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นการตลกครึ่งต่อครึ่ง สำหรับตัวเองแล้ว ผมรับทุกบทผมเองก็ต้องเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ผมไม่อยากจะยืนอยู่กับที่ นักแสดงทุกคนเมื่อรับบทมาดูแล้วก็ต้องพิจารณาว่ามันท้าทายตัวเองหรือเปล่า สิ่งที่สองที่จะต้องพิจารณาคือ ผมทำได้หรือเปล่า และผมเองรู้สึกว่า สิ่งที่สามารถที่จะดึงดูดแฟนๆของตัวเองคือการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุด นี่ถึงจะเป็นวิธีการที่ยั่งยืน ไม่ใช่เป็นการยื่นอยู่กับที่และปิดกั้นตัวเอง
4089
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:18:44 PM »
สัมภาษณ์โหย่วเผิง :: เปิดเว็ปไซเถิงซิ่นผู้เข้าเขียนฝากข้อความเกินสิบล้านคน ขอขอบคุณแฟนๆชาวเน็ตเป็นอย่างมาก แท้จริงแล้วการทำงานในด้านการกุศลนั้นก็ถือว่าเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก งานหลักของเป็นหน้านั้นก็ยังคงอยู่ที่จีน ถ่ายภาพยนตร์ ออกอัลบั้ม จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลยข่าวจากเถิงซิ่น คืน 17 ธันวาคม 2007 ทางเถิงซิ่นเป็นเจ้าภาพในการจัดงานมอบรางวัล “ศิลปิน 2007 ”ขึ้นที่โรงละครเวทีปักกิ่งอย่างคึกคัก โหย่วเผิงก็ได้เข้าร่วมงานนี้ด้วย และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของเถิงซิ่น
สื่อ : ยินดีต้อนรับที่ได้กลับมา นี่เป็นห้องสัมภาษณ์ของเถิงซิ่นซึ่งอยู่ด้านหลังงาน “ศิลปิน 2007 ” ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั้นก็เป็นเพื่อนเก่าแก่ ซูโหย่วเผิง
โหย่วเผิง : สวัสดีทุกท่านครับ
สื่อ : ยินดีด้วยที่ได้รับรางวัลนี้
โหย่วเผิง : ไม่หรอกครับ วันนี้ที่ได้รับรางวัลนี้ยังรู้สึกละอายใจอยู่เหมือนกัน จริงๆแล้วมีศิลปินมากมายที่ได้ทำงานการกุศลอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน
สื่อ : คุณถ่อมตัวมากเลย ปีที่แล้วก็ได้รับหนึ่งรางวัลนี่ครับ ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วหลังจากที่สัมภาษณ์คุณเสร็จแล้วก็เป็นประโยชน์มากๆ วันนี้จะต้องขอพูดแน่ๆ คุณบอกว่าการแต่งตัวของผู้ชายนั้นต้องเรียบง่ายสะอาด
โหย่วเผิง : ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วจะใส่แบบสกปรกหรือ
สื่อ : ไม่หรอก ก็แบบสีดำ มันเข้ม ฉะนั้นวันนี้เลยใส่สีดำ เมื่อกี้ที่ขึ้นเวทีก็เป็นชุดดำ หลายคนได้แซวผม ผมตอบพวกเขาว่าโหย่วเผิงสอนผมเอง ผมรู้ดีว่าคุณยุ่งมากๆ เพิ่งมาถึงอย่างรีบร้อนเลย
โหย่วเผิง : ใช่ เพราะกับ QQ ก็ยังเป็นสหายเก่าด้วย ฉะนั้นต้องมาร่วมอย่างแน่นอน+
สื่อ : เว็ปของคุณนั้นมีคนเข้าดูเกินสิบล้านเลย
โหย่วเผิง : แฟนๆทางเว็ปนั้นส่วนมากจะมาจากเพื่อนๆทาง QQ เพียงแค่ใส่ใจกับมันหน่อยก็จะมีการตอบสนองที่ดีมากๆ และยังขอขอบคุณ QQ ที่เอากระทู้ของผมวางไว้ในพื้นที่ที่สำคัญ ทำให้ความคิดของผมเป็นที่เห็นได้ง่ายต่อผู้เข้าชม
สื่อ : งานหลักนั้นได้ไปทำที่จีนมาแล้วกว่าปี ก็คือหลังจากที่ได้เซ็นสัญญากับคุณหัวอี้ พวกเรามาสรุปประเมินปี 07 ดู
โหย่วเผิง : ปี 07 นี้ก็ไม่ถือว่าได้ทำงานอะไรมากมาย เพียงแค่ได้ทำงานการกุศลสองสามงานเท่านั้นเอง สำหรับผมแล้ว ละครโทรทันศ์ท์ที่ทำผ่านมานั้น สำหรับผู้กำกับที่มีเชื่อเสียงหรือเรื่องที่บิ๊กๆนั้นล้วนได้ร่วมงานมาหมดแล้ว อนาคตผมเองก็หวังว่าจะค้นหาทำอะไรที่รู้สึกทะลุทะลวงตัวเอง หรือว่าจะเป็นอะไรที่ทำให้ทุกคนทึ่งแปลกใจ
สื่อ : ปีนี้โหย่วเผิงได้ทำการกุศลมากมาย ร่วมทั้งได้บริจาคสิ่งของมากมายอีกด้วย
โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าปกติแล้วไปห่วงใยคนรอบข้างของเรา หรือว่าทุกคนต่างอภัยซึ่งกันและกัน อย่างนี้ก็ทำได้ หรือว่าจะบริจาคสิ่งของก็ยังเป็นการช่วยเหลือคนมากมายได้
สื่อ : ถ้าอย่างนั้น หากผมได้ชื้อ ก็เป็นการกระทำที่ดี
โหย่วเผิง : ก็เป็นการทำความดีด้วยหรือ?(หัวเราะ)
สื่อ : แล้วปีหน้าวางแผนไว้จะทำอะไร?
โหย่วเผิง : เดิมทีแล้วปีนี้ต้องออกอัลบั้มหนึ่ง
สื่อ : ก่อนหน้านี้มีอัลบั้น (ต้าปู้เหลี่ยว)
โหย่วเผิง : ก็ยังนับว่าโอเค ปีหน้าอาจจะมีโครงการคอนเสิร์ด ตอนนี้กำลังประสานกับภาพยนตร์บางส่วน หวังว่าจะคืบหน้าไปมากกว่านี้
สื่อ : ปีหน้าสิ่งที่อยากจะทำที่สุดคืออะไร
โหย่วเผิง : เพราะว่าปีนี้ได้ทำงานที่ไม่เกี่ยวกับการแสดงมากมาย หวังว่าปีนี้จะของกลับไปสู่งานอาชีพเดิม
สื่อ : รวมทั้งร้องเพลง เล่นละคร
โหย่วเผิง : ผมรู้ว่าเพื่อนๆหลายคนร้อนใจ วันนี้ขอฉวยโอกาสนี้ก่อน ก็กำลังพยายามอยู่จริงๆ ทุกคนอย่างเพิ่งใจร้อน
สื่อ : ขอบคุณครับ แล้วสำหรับปีหน้ามีอะไรชี้แนะหรือเปล่า
โหย่วเผิง : อย่าหล่อกว่าผมก็แล้วกัน(อารมณ์ขัน)
สื่อ : โอเค ปีหน้าผมจะไม่ขอโผ่ลออกมา โหย่วเผิงก็เป็นคนอย่างนี้แหละ ต่อเพื่อนเก่าแล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งคุยตลก ของคุณครับ
4090
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:15:06 PM »
2009-8-4 อายุสามสิบแห่งความสุข โหย่วเผิงได้พกการหวนคืนของภาพยนตร์ใหม่“เสี่ยวหู่ตุ้ย”กับ (องค์หญิงกำมะลอ)เป็นงานจุดสูงสุดสองเรื่องของโหย่วเผิง หลังจากนั้นยังถ่ายเรื่อง(ฉิงติ้งอ้ายฉิงไห่ : รักข้ามขอบฟ้า) (อีเทียนสู่หลงจี้ : ดาบมังกรหยก) แม้ว่าการตอบรับจะไม่เหมือนองค์หญิงกำมะลอ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ ได้รับงานถ่ายละครทีวีที่แหวกแนวออกไปอย่าง(เย้ออ้าย) และภาพยนตร์(เฟิงเซิง) เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่โหย่วเผิงเป็นที่สนใจของสื่อ
นักข่าว : (เย้ออ้าย)กำลังออกอากาศในบางที่ เรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจ?
โหย่วเผิง : (เย้ออ้าย)เป็นละครแนวความรักในสมัยสงคราม เนื้อเรื่องนั้นได้มีความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพที่ย่ำแย่ของสังคม บทที่ผมแสดงนั้นเป็นโรคจิตคนหนึ่ง บทของหันเสวี่ยนั่นทั้งอกนั้นเต็มไปด้วยความอยากแก้แค้น ดูจากเนื้อเรื่องแล้ว น่าจะเป็นที่ตี่นเต้นและเป็นที่สนใจของผู้ชม
นักข่าว : ละคร(เย้ออ้าย) ภาพยนตร์(เฟิงเซิง)จะออกฉายในปีนี้ ได้ข่าวว่าในสองเรื่องนี้บทของคุณนั้นแนวจะแตกต่างจากเดิม ขอแนะนำบททั้งสองเรื่องของคุณให้ผู้อ่านได้รู้หน่อย
โหย่วเผิง : ในเรื่อง(เย้ออ้าย)นั้นเล่นเป็นซูหมิงเทา นี่เป็นบทที่ถ้าท่าทายผมมากที่สุดในรอบหลายปีนี้ เริ่มเรื่องนั้นหมิงเทาเป็นผู้ชายที่สง่าผ่าเผย จากปัญหาหลายๆอย่างนั้นทำให้เขากลายเป็นคนโรคจิต ในส่วนของความรักนั้น เขาเป็นคนที่จริงจังในเรื่องนี้ ในเรื่องของคู่สมรสนั้นเขาเป็นคนหนึ่งที่มีบุคลิกเงียบๆ ในเรี่องเฟิงเซิงนั้นก็มีความท้าทายมากๆเหมือนกัน ในเรื่องผมรับบทเป็นเสี่ยวไป๋เหนียน เขาเป็นคนที่เกิดที่ลี่เหยียน จะมีบุคลิกที่เหมือนคนลี่เหยียน สำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งใหม่ จากเรื่องนี้นั้นทำให้ผมต้องเตรียมตัวมาอย่างดี
นักข่าว : เรื่องพวกต่อสู้นั้นคุณถ่ายมาหลายปีแล้ว (การดักซุ่ม)นั้นคุณเป็นคนหนึ่งที่เป็นยอดฝีมือ กลัวไหมที่ผู้ชมจะมองว่าเรื่อง(เย้ออ้าย)กับ(เฟิงเซิง)ของคุณนั้นเป็นแค่มือสมัครเล่น
โหย่วเผิง : ไม่น่าจะมองว่าสมัครเล่นมั้ง สำหรับเรื่อง(เย้ออ้าย)นั้นผมได้เตรียมตัวมานานแล้ว (เฟิงเซิง)นั้นได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องจากเรื่องเดิมเล็กน้อยโดยนักเขียนที่มีชื่อ แม้ว่าภาพยนตร์แนวต่อสู้นั้นจะนิยมมาก แต่ก็เชื่อว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องก็จะมีความแตกต่างกัน เช่น(เย้ออ้าย) กับ(การดักซุ่ม)นั้นมันแตกต่างกันสิ้นเชิง ผู้ชมจะรู้สึกถึงความแตกต่างจากการชม
นักข่าว : การพัฒนาหลังจากเรื่อง(องค์หญิงกำมะลอ)นั้นรู้สึกเรียบๆ (เย้ออ้าย)และ(เฟิงเซิง)นั้นได้เป็นที่ดึงดูดของผู้ชมมากมาย เป็นการออกหมัดเดียวน็อกของคุณหรือเปล่า ?ต่อจากนี้แล้วจะมีการวางแผนอะไรไหม?
โหย่วเผิง : เย้ออ้ายกับเฟิงเซิงนั้นเป็นผลงานถ่ายทำที่ต่างสมัยกัน เพียงแต่ได้ออกอากาศในปีนี้ด้วยกัน แท้จริงแล้วผมเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่มีเจตนาที่อยากจะหมัดเดียวดังเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมไม่ใส่ใจในงานนะ แท้จริงการเป็นนักแสดงนั้นจะถูกกระตุ้นมากกว่า คือรอดูตัวบทว่าจะเป็นอย่างไร ผมทำได้เพียงพยายามหาบทที่ท้าทายตัวเอง จริงจังกับทุกๆบท จากจุดนี้เป็นจุดเบิกทางการการแสดง พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง โหย่วเผิงท้ายท้ายเป็นผู้ป่วยทางจิต และเกาเหลากับทีมงานนั้นเป็นข่าวที่ไม่มีมูล
นักข่าว : ช่วงเวลาการถ่ายทำเรื่อง(เย้ออ้าย) เคยมีข่าวว่าคุณเกาเหลากับทางทีมงาน ใส่อารมณ์ เป็นเรื่องจริงไหม?
โหย่วเผิง : เรื่องนี้จะขออธิบายหน่อย ตอนนั้นมีเว็ปไซน์บางเว็ปได้เขียนว่าผมรู้กฏเกณฑ์การทำงาน ไม่รู้จักให้ค่าน้ำชากับทางพนักงาน ถูกทีมงานจัดชุดและแต่งหน้า “เหน็บ” แต่ความจริงนั้นก็มีความสุขกับทีมงานอยู่ ตอนปิดกล้องพวกเราต่างก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์กัน สำหรับข่าวที่ออกมานั้นมันคนละเรื่องเลย
นักข่าว : แล้วสามารถพูดถึงการทำงานกับผู้กำกับและทีมนักแสดงเรื่องเย้ออ้ายไหม?
โหย่วเผิง : ก็สนิทสนมกลมกลืนกันกับนักแสดงและทีมงานทุกคน ขณะที่มีข่าวนี้ออกมา ทางผู้กำกับฝั่นยังออกมาแก้ข่าวให้ผม (แล้วรู้สึกอย่างไรต่อผู้กำกับฝั่น) ท่านเป็นคนหนึ่งที่จริงจังและละเอียดอ่อนกับงานมาก ขณะที่พวกเรากำลังถ่าย(เย้ออ้าย)นั้น พวกเราจะมาพูดคุยถึงเนื้อเรื่องด้วยกัน วางแผนกันว่าแต่ละฉากนั้นควรดำเนินการอย่างไร ร่วมแสดงกับหันเสวี่ยนั้นก็เห็นถึงประสบการณ์อันโชกโชนของเธอ ตัวละครหมิงเทาที่ผมเล่นนั้นบทมันพัวพันกันอุตลุด เขาหลกรักหันชิวเล่นโดยหันเสวี่ย แต่กลับไปแต่งงานกับคนอื่น บทของผมนั้นมีความรักเต็มอก แต่กลับเก็บกดไว้ สิ่งที่สำคัญในตัวหมิงเทาคือเป็นผู้ป่วยทางจิตที่สง่าผ่าเผย ฉะนั้นเล่นยากมาก ขณะที่หันเสวี่ยเล่นฉากเดียวกันกับผมนั้น เกิดประกายไฟมากมาย หวังว่าจะมีโอกาสร่วมงานกับเธออีก
นักข่าว : เคยร่วมงานกับนักแสดงจีนมามากมาย ใครที่ให้ความประทับใจกับคุณมากที่สุด แล้วหวังที่จะร่วมงานกับนักแสดงคนไหนของจีนอีก?
โหย่วเผิง : เจ้าเหว่ยประทับใจมากที่สุด เพราะจากสองเรื่อง(องค์หญิงกำมะลอ)(เหล่าฟางโหย่วซี่ : เราสองหัวใจเดียวกัน )จนถึง(ฉิงเซินเซินหยี่หมงหมง : มนต์รักในสายฝน) เราได้เติบโตมาด้วยกัน แม้ช่วงหลังจะไม่ได้ร่วมงานกันอีก แต่ก็หวังว่าอนาคตน่าจะมีโอกาส นอกจากนี้ยังมีหันเสวี่ย ได้ร่วมงานกันในเรื่องเย้ออ้าย ความรักเราสองนั้นรักได้ขมขื่นมากๆ ผู้เชี่ยวชาญเคยพูดว่าตัวละครสำคัญของเรื่องเย้ออ้ายนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ป่วยของพระล่อหยีเต๋อเลยทีเดียว เราทั้งสองก็มีความรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน เพราะเรื่องราวอารมณ์ของเรื่องนี้มันขึ้นๆลงๆ ขณะที่พวกเราได้แสดงนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันมีรสมากๆ ยังมีหลายคนที่ยังไม่เคยแสดงด้วยกัน แต่ก็ยังหวังอยากจะร่วมงานกับพวกเขา นี่จะต้องดูวาสนาว่ามีไหม E-mail./gzdsbxwzx@163.comC5 (เฟิงเซิง)ในเรื่องนั้นก็มีเทคนิก ได้มีประกายไฟกับหันเสวี่ย ยังไม่ทิ้งการร้องเพลง
นักข่าว : สองปีมานี้เน้นไปทางด้านละครภาพยนตร์ แล้วด้านการร้องเพลงเหมือนกับว่าชะงักไป อนาคตจะร้องเพลงอีกไหม มีแผนที่จะทำอัลบั้มเป็นจริงเป็นจังไหม?
โหย่วเผิง : ใช่ สองปีนี้เวลาของผมนั้นจะใช้กับการถ่ายละครภาพยนตร์ ด้านการร้องเพลงนั้นเหมือนกับว่าละเลยไป แต่ว่าอย่างไรก็ตามตัวเองก็ยังรักในการร้องเพลง ทั้งยังเข้าใจว่าการร้องเพลงนั้นจะสื่อถึงตัวตนจริงๆของตัวเองออกมา เมื่อถึงโอกาสที่เหมาะแล้ว ก็จะมีเพลงใหม่ตามมา
นักข่าว : แม้จะทุ่มเทไปในด้านละครภาพยนตร์ เหมือนกับว่ามันฮอตมาก เรื่อง(เย้ออ้าย)กับ(เฟิงเซิง)ได้โฆษณาออกไป คาดหวังอะไรไหม?
โหย่วเผิง : ผมไม่เห็นด้วยว่ามันฮอต เป็นไปไม่ได้ว่าทุกเรื่องนั้นจะดัง แต่ว่าการที่จะแสวงหาบทที่ดีนั้นก็ไม่เคยที่จะหยุด เช่น (เย้ออ้าย) ผมต้องขอบคุณถึงการยืนหยัดของผมเป็นอย่างมาก รอจนได้โอกาสที่ดีอย่างนี้ รอได้มีเพื่อนร่วมงานที่ดีขนาดนี้ ทุกคนต่างมาสร้างเสริมละครที่ดีละครหนึ่งนี้มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากๆ พูดถึงการคาดหวังแล้ว ผมคาดหวังสองเรื่องนี้จะมีการตอบรับที่ดีจากผู้ชม และหวังอยากให้ผู้ชมดูบทที่แตกต่างออกไปของผม
นักข่าว : อนาคตจะมีแนวโน้มไปทางภาพยนตร์ไหม สามสิบปีผ่านไปแล้ว การจะเลือกบทนั้นจะเนียบกว่าก่อนไหม?
โหย่วเผิง : นี่ก็จะต้องดูวาสนาอีกที ความพึงพอใจของผมความหมายก็คืออย่างนี้ มีบทที่ดีๆและเรื่องที่ดีๆนั้นผมจะไม่พลาดแน่นอน รวมไปถึงละครทีวีด้วย เหมือนกับเรื่องเย้ออ้ายที่ผู้ชมได้ดู หากมีบทที่คลายๆอย่างนั้น ผมก็จะรับ
4091
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 09:04:15 PM »
หมายเหตุ MF. เจี้ยนสร้าง
SU.โหย่วเผิง
ท้องฟ้าโปร่งใสทุกวันMF. อยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?
SU. จะพูดความรู้สึกนั้นมีมากมาย เริ่มแรกที่ย่างเข้าสู่วงการนั้นอายุยังน้อย สิบห้าขวบ(15) ก็เริ่มงานที่ยากลำบากแล้ว รับความกดดันที่เด็กในวัยนั้นไม่ควรรับมากมาย ช่วงนั้นที่จริงจังในการงานนั้นเป็นเพราะเซ็งๆ รู้เพียงว่าต้องทำให้สุดกำลังดีที่สุด ต้องจริงจังกับงานทุกงาน ตอนนี้นั้นก็นับว่ามีประสบการณ์ยาวนาน รวมทั้งบวกกับอายุที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ชีวิตที่ถึงจุดสุดยอดกับตกต่ำสุดนั้นผมได้เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้หลายปีผมเองก็เป็นคนบ้างาน ไม่หยุดในการต่อสู้ ทำงาน จนมาถึงระยะนี้ถึงได้ค่อยๆดีขึ้น เริ่มรู้เข้าใจว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกว่าการงานที่ผมจะต้องไปฉวยมันไว้
MF. เมื่อก่อนได้ยินว่าคุณทำงานจนแทบไม่เอาชีวิตเลย ตอนนี้ล่ะ?
SU. ผมในวันนี้ ไม่ได้ทำแต่งาน ก็ได้หันกลับมาใส่ใจความสัมพันธ์ของครอบครัวและเพื่อนมิตร หาเวลาว่างในการอยู่กับพวกเขาเยอะขึ้น ตอนนี้จะรู้สึกมีความสุขกับชีวิตมากกว่าในอคีต คงจะไม่เหมือนอย่างอดีตที่ทำงานหามเช้าหามค่ำอย่างวัวควาย จนสุดท้ายไม่สามารถที่จะรู้ว่าเวลาไหนเช้าเวลาไหนเย็นอย่างนั้น
MF. หรืออาจพูดได้ว่าโหย่วเผิงเป็นผู้ใหญ่แล้ว เริ่มรู้จักมีความสุขกับชีวิต มีความสุขกับเวลา?
SU. การงานในวงการบันเทิงสำหรับผมแล้ว อดีตคือทำงานรับจ้างคนอื่น ตอนหลังก็คือทำงาน ตอนนี้ก็เหมือนรู้สึกว่ามันเป็นการเล่นเกมส์ที่สนุก
MF. หมายความว่าคุณกำลังปฏิวัตตัวเอง ปฏิวัต โหย่วเผิงที่ เป็น “ไกวๆหู่” กับ “บ้าในการทำงาน”
SU. จริงๆแล้วนี่เป็นแค่ภาพพจน์ข้างภายนอก ผมนั้นดื้อมาตลอด การที่จะเรียกผมว่าไกวๆหู่นั้นน่าจะมองในแง่ของการเรียน เพราะตอนนั้นผมเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดังที่สุดของไต้หวัน เลยถูกยกให้เป็นต้นแบบไปเสียอย่างนั้น เป็นภาพลักษณ์ที่ดีไม่มีที่ติ ในช่วงที่ผมก่อทัศนะคุณค่าของตัวเองนั้น ก็เสมือนต้นกล้าต้นหนึ่ง ยังไม่ทันได้โตเต็มที่กับสิ่งที่มันจะโต แล้วก็ถูกความกดดันภายนอกมากดดัน มัดมือชกให้ผมต้องเจริญเติบโตในแบบอย่างที่ดี เติบโตให้เป็นเด็กที่ดีตามความคิดในดวงใจของทุกๆคน เพราะอายุและภาพลักษณ์ของคุณ ทางบริษัทก็จะไม่ยอมให้คุณไปทำอะไรที่นอกลู่นอกทางแน่นอน เกิดความขัดแย้งในตัวเองมากๆ แต่ว่าตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นผมเองก็ได้ปล่อยวางไปหมดแล้ว รู้ว่าไม่มีอะไรที่อยู่ยงคงกระพัน สิ่งของนอกกายที่มีนั้น สุดท้ายก็คือมันมาเดียวมันก็จะไป หลายปีนี้ ผมได้สัมผัสรู้สึกถึงอะไรหลายๆอย่าง พริบตาเดียวมีครบทุกสิ่งทุกอย่าง พริบตาเดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญสิ้นไปหมด ฉะนั้นจิตใจนั้นก็จะมั่นคงขึ้นเยอะ มีงานก็ตั้งใจทำมัน พยายามหาความสุขกับขั้นตอนเวลาทำงาน ผลลัพท์จะเป็นอย่างไรก็จะไม่ให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่
MF. ให้ความสำคัญกับขั้นตอนของงาน แต่ไม่สนว่าผลลัพท์จะเป็นอย่างไรใช่ไหม?
SU. แน่นอนก็จะต้องแสวงหาผลลัพท์ที่ดี อย่างไรก็ตามตัวเองก็ยังเป็นคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง เพียงบอกได้ว่าหลังจากที่ผ่านร้องผ่านหนาวมามากมายแล้ว ผมค่อนข้างจะใส่ใจในขั้นตอนการทำงานมากกว่า คงจะไม่เหมือนกับอดีต ให้ความสำคัญเพียงผลลัพท์เท่านั้น
MF. สองสามปีมานี้ ภาพพจน์ของคุณนั้นเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ใหญ่เยอะเลย ยังรู้สึกว่ามีใบหน้าเหี่ยวย่นไปหน่อย นี้มันเกี่ยวกับอายุหรือเปล่า?
SU. จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้นั้นมันคงไม่เกี่ยวกับตั้งใจที่จะเปลี่ยนมัน น่าจะเป็นเพราะเรื่องอายุมากกว่า แต่ก็คงไม่ใช่อายุล้วนๆ ตอนนี้ในท่ามกลางงานต่างๆนั้น ก็จะมีอะไรให้เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนสามสิบปีนั้น ผมเองมักจะปฏิวัติความคิดของคนอื่นและของตัวเอง มักจะชอบไม่เหมือนคนอื่นหรืออะไรใหม่ๆ ไม่ชอบทำอะไรที่ซ้ำๆซากๆ อยากจะเปลี่ยนแปลง อยากจะลองของใหม่ๆ แม้ตอนนี้พฤติกรรมอย่างเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่จิตใจมันได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมหมดแล้ว
MF. คุณก็เคยมีช่วงเวลาที่กระพือข่าวใช่ไหม?
SU. ใช่ เป็นช่วงอายุประมาณยี่สิบ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมล่มหลงในความมีหน้ามีตา ชอบที่จะกระพือข่าว ทุกวันจะขับรถแข่งของตัวเองไม่เรียน บึ้นขับผ่านหน้าเพื่อนๆไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
MF. สำหรับซุปเปอร์สตาร์แล้ว การทำสิ่งเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเป็นพฤติกรรมที่เวอร์
SU. ใจจริงในตอนนั้นสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุดคืออยากจะมีชีวิตที่ปกติเหมือนกับคนทั่วไป เห็นคนอื่นกอดคอกันเดินกันไปอย่างพร้อมๆกัน อิจฉาเป็นอย่างมาก ช่วงที่อยู่มหาลัยนั้นผมไม่เคยได้เข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาลัยเลย มีเพื่อนน้อยมาก เด็กอายุยี่สิบปี(20) อย่างผมนั้นสิ่งที่ต้องการที่สุดคืออยากมีชีวิตที่ปกติเหมือนกับคนอื่นๆ อยากไปร้านอาหารเสริฟอาหารอยากทำอะไรที่คนปกติทำกัน สำหรับทุกคนชีวิตที่ปกติเป็นสิ่งที่มันมีโดยธรรมชาติ แต่สำหรับผมนั้นมันมีคุณค่ามากๆ
MF. แต่ว่าคุณได้ตัดสินใจเลือกทำในเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้.. ได้ปล่อยการเรียนที่ใกล้จะจบไป
SU. ใช่ นี่เป็นช่วงที่อายุยี่สิบเอ็ด(21) ผมอยู่ปีสามแล้ว ได้ตัดสินใจปล่อยการเรียนไปแล้วมุ่งกับงานการแสดง การตัดสินใจครั้งนั้นจริงๆแล้วเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมากๆ มันขัดแย้งมากๆ ยิ่งดังผมเองก็ยิ่งไม่มีสมาธิในการเรียน ผมไม่ได้เป็นนักเรียนแล้วทุกคนคงจะไม่รักผมอย่างเคย ความคิดสองความคิดนั้นมันกำลังต่อสู้ขัดแย้งในตัวผม แต่ผมเองก็ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราต้องเสียสละถึงจะได้ เรื่องในโลกไม่มีได้ทั้งสองอย่างอย่างครบถ้วน หลักการง่ายๆที่จะตัดสินใจก็คือ คิดให้ดีว่าสิ่งที่คุณต้องการนั้นจริงๆคืออะไร
MF. ในช่วงนั้นเป็นเพราะขาดความรอบคอบไปหรือเปล่า
SU. แม้ว่าตอนนั้นตัวเองได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงานการแสดง แต่ความเป็นจริงแล้วการงานในตอนนั้นของผมนั้นก็นับว่าเป็นช่วงที่ตกต่ำของการงาน เพราะตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกวงกันไปได้พักหน่อยแล้ว ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง สามารถพูดได้ว่าตอนนั้นไม่มีละครอะไรที่จะให้เล่น และยิ่งกว่านั้นความตกต่ำนี้จะว่าไปแล้วก็สามปีทีเดียว จนถึงช่วงของ(องค์หญิงกำมะลอ) ถึงได้หลุดพ้นจากความตกต่ำของชีวิตการงาน
MF. แล้วในจิตใจของคุณมีความสมดุลย์ไหม?
SU. จะไม่สมดุลย์ได้ไง ตอนนั้นผมพึ่งออกจากการเรียน ตกอยู่ในสภาพการงานที่ต้องเริ่มด้วยศูนย์ หลายครั้งต้องเป็นอย่างนี้ คุณปรับสภาพจิตใจของคุณให้ดีแล้ว ก็จะไม่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
MF. ชีวิตที่สูงๆต่ำๆอย่างนี้มันทำให้คุณรู้สึกว่าไม่มั่นคงหรือเปล่า?
SU. ผมรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ชีวิตคนปกติแล้วก็ต้องมีขึ้นๆลงๆ ตอนขาขึ้นก็มีวิถีชีวิตของขาขึ้น ตอนขาลงก็มีวิถีชีวิตของขาลง จริงๆแล้วชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีแต่เรื่องงาน หากว่าช่วงเวลาการงานของคุณไม่ราบรื่น ก็ให้รีบมุ่งเรื่องความรัก หรือว่าทำงานอย่างอื่นก็ได้ หรือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่จะได้อยู่ร่วมกันกับครอบครัว หรือว่าถ้าเป็นผมก็จะไปท่องเที่ยว มันสามารถทำได้หลายอย่าง หากว่านาทีทองของงานมาแล้ว คุณก็ตั้งใจทำงานโดยดี และอย่างอื่นก็เอาได้ก่อน MF. ได้ข่าวว่าคุณชอบเล่นบาส ทั้งยังเล่นได้ไม่เลวด้วย?SU. ฝีมือเล่นบาสของผมนั้นไม่เลวจริงๆ ฮ่าๆ ล้อเล่น น่าจะพูดว่าผมรักในการเล่นบาสมากกว่า อีกอย่างคือเบสบอล อีกหลายๆอย่าง ผมชอบในการออกกำลังกาย ยังเคยคิดเล่นๆไปเล่นกล้ามเป็นนักกล้าม ฮ่าๆๆ สุดท้ายก็ล้มเหลวไป
MF. ทำไมถึงชอบเล่นบาส หรือว่าช่วงไปเรียนเล่นบ่อยๆ?
SU. ตอนเรียนก็เล่น อีกอย่างที่ผมชอบบาสก็เพราะผมชอบรูปภาพซุปเปอร์สตาร์ดารานักบาส เพราะเวลาในการถ่ายทำนั้นยุ่งมาก ผมก็ได้แต่ไปหาซื้อวีดีโอที่เขาอัดตอนแข่งไปดู ในกองถ่ายนั้น ผมก็จะเอาเครื่องวีซีดีเล็กๆของผมออกมาเปิดดู มันสุดยอดจริงๆ จำได้ว่าสองปีก่อน ผมรักในกีฬานี้มากจนไปหาซื้อชุดกีฬาบาสมาใส่สองสามชุด ทีมที่ผมชอบที่สุดคือ...(แปลไม่ได้ 55+) ชอบทีมเวิกค์และเทคนิกของพวกเขา โดยเฉพาะท่าทางที่ทื่อๆเซ่อร์ๆ แม้ว่าฝีมือผมนั้นจะไม่ดีนักซักเท่าไหร แต่ได้ดูขณะที่พวกเขาแข่งกันในสนามอย่างดุเดือดนั้นมันสุดยอดมาก
MF. ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าคุณไปสอนการเล่นบาสให้กับนักเรียนโรงเรียนซีว่าง
SU. ฮ่าๆ ใช่ครับ นั่นน่าจะปีที่แล้ว (2008) ปีที่แล้วผมได้ไปสอนวิชาพละให้กับนักเรียนโรงเรียนซีว่างหนึ่งคาบเรียน จะบอกว่าคาบสอนบาสก็คงไม่เชิง ก็คือได้นำพวกเขาเล่นช่วงเวลาหนึ่ง สำคัญคือกิจกรรมการกุศลอย่างนี้นั้นจำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะไปยืนสอนอยู่ในร่มอะไรอย่างนั้น
MF. สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการโปรโหมดที่ดีหรือเปล่า
SU. แน่นอนคงไม่ใช่ การทำงานด้านการกุศลของผมนั้นล้วนทำด้วยใจ ขณะที่เห็นเด็กๆที่คุณอุปการะยิ้มแย้มนั้นคุณก็จะรู้สึกถึงความอิ่มอกอิ่มใจที่ไม่เคยมีมาก่อน มันสำคัญกว่าชื่อเสียงเงินทองด้วยซ้ำ ปีนั้นโรงเรียนได้สร้างเสร็จและมีพิธีเปิดภายใต้ในนามของผมนั้น มีตาแก่ท่านหนึ่งได้หอบหิ้วไข่ไก่หนึ่งตระกร้ามามอบให้กับผมเพื่อเป็นการขอบคุณผม ตอนนั้นผมซาบซึ้งใจมากๆ เราดูเหมือนว่าเป็นการช่วงเหลือที่ไม่มากนัก แต่สำหรับที่ที่ต้องการช่วยเหลืออย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับพวกเขา การกระทำของเราที่น้อยนิดเหล่านั้นมันเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กๆทั้งชีวิตของพวกเขา ตั้งแต่นั้นมา ผมเองยิ่งรู้สึกมีใจในด้านนี้เป็นอย่างมาก ปรารถนาที่จะใช้กำลังของตัวเองทำอะไรๆเพื่อพวกเขาเยอะหน่อย บางครั้งผมเองก็สับสนมาก ตั้งใจอยากจะทำอะไรให้กับเด็กๆเหล่านั้นอย่างจริงใจหน่อย แต่ก็กลัวสื่อจะว่าผมทำเพื่อจะเอาหน้าเอาตา
MF. อย่างน้อยพวกเราก็รู้ว่าคุณไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าเอาตา และได้ผ่านสิ่งเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่าคุณก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยเลย
SU. ใช่ ผมรู้สึกว่าการเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนั้นเป็นการขุดสร้างภายใน นอกจากจะเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว ยังเป็นการตัดสินต่อสถาพที่คนอื่นดูตัวเราด้วย ในโลกใบนี้ที่คุณอยู่นั้น สามารถใช้สายตาและความอารีย์มามองเรื่องราวในโลก เมื่อก่อนผมเล่นภาพยนตร์ เล่นละครทีวี ตอนหลังผมก็ไปเล่นละครเวที แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่สร้างหลอกผู้ชมไปบ้าง แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่ง สำหรับผมแล้ว ในช่วงอายุนี้ของผมนั้น ผมคงจะไม่ทำงานเพื่อปากท้องเพื่อเงินทองอีกต่อไป
4092
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:51:52 PM »
Thanks,
http://tieba.baidu.com/f?kz=547406315บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงจากนิตรสาร Ast Present Future ปี 2004
ช่วงการเติบโตของโหย่วเผิง
เขาดูแมลงปอแดงที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าที่สดใส ดูใบโลกกับเปลือกหอยบนหาดทราย ได้บินไปโลกใหม่พร้อมกับผีเสื้อ วันเวลาของแมงปอสีแดงนั้นไม่มีแล้ว เพราะเขาได้เติบโตไปแล้ว ได้บินไปสู่พรุ่งนี้กับความฝัน ไกวๆหู่ในอดีต ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง อาชีพการร้องเพลงและการศึกษานั้นทำให้เขาภาคภูมิใจ วันเวลาของสิบหกปี พริบตาเดียวความบริสุทธิ์เดียงสาได้เปลี่ยนกลายเป็นความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนคือความจริงใจของนิสัย ราศีกันย์อย่างโหย่วเผิงนั้นแสวงหาความสวยงามสมบูรณ์ รักในดนตรี เริ่มจากเสี่ยวหู่ตุ้ยมาจนถึงวันนี้ ได้ทำอัลบั้มไม่ต่ำกว่าสามสิบอัลบั้ม เล่นละครโทรทัศน์แล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบเรื่อง ภาพยนตร์สิบเรื่อง ความกดดันทำให้ผมเติบโต
หลายปีที่ไม่ได้เจอโหย่วเผิง เขาที่พึ่งผ่านอายุสามสิบเอ็ด (31) ไปหมาดๆ ให้ความรู้สึกที่เป็นผู้ใหญ่กับเรา เริ่มเข้าสู่วงการเมื่ออายุสิบห้า (15) อย่างไกวๆหู่ ในสายตาคนอื่นแล้วการเป็นดารานั้นอนาคตรุ่งโรจน์ ชีวืตเขาที่เต็มไปด้วยความถูกรักนั้นกลับเติบโตท่ามกลางความกดดัน
ช่วงนั้นผมจะสอบเข้ามหาลัย มีความกดดันจากภายนอกมากมาย คนทั้งโลกกำลังจ้องมองไปที่คุณความรู้สึกนั้นมันไม่เป็นสุขเลย เหมือนกับว่ากำลังรอคุณส่งการบ้านผลงาน รอดูว่าคุณสามารถส่งทำไหม ตอนหลังผมออกจากมหาลัยไต้หวันไปที่อังกฤษ อย่าคิดว่าการออกไปต่างประเทศจะสุขสบาย แท้จริงแล้วมันย่ำแย่ยิ่งกว่าเตรียมสอบเข้ามหาลัย และต้องเผชิญกับความกดดันที่แรงกว่า
ตอนเด็กนั้นผมเพียงแค่ชอบร้องเพลง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นแล้วจะเป็นศิลปิน ความรู้สึกก็เหมือนกับทำงาน ในตอนนั้นทางบริษัทก็คิดว่าฐานะจริงของผมนั้นเป็นนักเรียน หากว่าผมไม่ร้องเพลงอีก ก็สามารถไปเรียนหนังสือต่อได้ ฉะนั้นผมถึงได้เข้าใจถึงการทำงานเป็นอาชีพจริงๆว่าเป็นอย่างไร ต้องรอให้ผมจบมหาลัยแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนหนึ่ง (ผู้ใหญ่ทำงานแล้ว) ความกดดันอย่างนั้นมาจากครอบครัว มาจากเศรษฐกิจ ร่วมทั้งตัวเองด้วย ผมกำชับกับตัวเองว่าจะต้องทำให้สำเร็จ ตอนนั้นอายุผมนั้นยังเก้อเขินอยู่ จะไปแสดงบทอะไรถึงจะดี ตอนนี้หวนคิดไปแล้ว หากว่าตอนนั้นไม่ฝึกฝนผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้แล้ว คุณก็คงจะไม่เห็นผมในวันนี้ พวกเราก็คงไม่ได้มาคุยกันตรงนี้ด้วย หวนคิดถึงหนทางอันขมเปรี้ยวที่เดินผ่านมานั้น สายตาของเขานั้นได้มีความรู้สึกที่ซาบซึ้งออกมา
4093
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:43:47 PM »
โหย่วเผิงและหันเสวียพูดขำๆว่าช่วงเวลาการถ่ายนั้นเหมือนกับการร้นหาที่ตาย
เป็นครั้งแรกที่โหย่วเผิงได้สลัดคราบพระเอกมาแสดงเป็นคนบ้า เป็นกุลสตรีที่ฝังอยู่ในจิตใจของคนมากมายอย่างหันเสวียนั้นยิ่งที่จะรับบทที่ท้าทาย และเรื่อง(ก่อปี้หมู่ชิน)ที่จ้างจินแสดงนั้นตอนนี้ได้เปลี่ยนไปรับบทงานเฉพาะกิจที่บ้าระห่ำ (เย้ออ้าย) ตัวละครหลักสามตัวนั้นล้วนมีการเปลี่ยนบทบาทที่เป็นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ และพวกเขา ได้อธิบายบทบาทที่ตัวเองแสดงนั้นอย่างไรโหย่วเผิง : พระเอกเสี่ยวเซิงได้เดินสู่เส้นทาง “คนบ้า”คนหนึ่ง
ในเรื่อง(เย้ออ้าย)โหย่วเผิงได้รับบทเป็นหมิงเทาที่ป่วยเป็นโรคจิต ในเรื่องนั้นโหย่วเผิงที่หล่อเหลานั้นได้แต่งตัวมอมแมม เชื่อว่าหลายคนดูแล้วก็จะตกใจ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนพูดว่า บทบาทนี้เป็นเส้นทางที่โหย่วเผิงเปลี่ยนจากภาพพระเอกมาสู่ภาพแห่งความเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าโหย่วเผิงก็มีมุมมองความเห็นที่แตกต่างออกไป เขาได้กล่าวว่าจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ที่ดีหรือไม่ดี “ผมเป็นคนหนึ่งที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง บทนี้นั้นสำหรับผมแล้วมันเป็นการท้าทาย แต่ว่าพูดว่าเป็นการทะลุทะลวงจากพระเอกเปลี่ยนเป็นบทร้ายอย่างนี้นั้นมันเป็นการพูดที่น่าขำและผิวเผินไปหน่อย” และสำหรับการแสดงออกถึงความท้าทายในครั้งนี้นั้น โหย่วเผิงกล่าวว่า สำหรับตัวเองแล้วยังถือว่าน่าพอใจมาก
“ไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาของการเปลี่ยนแปลง”
นักข่าว : มีคนบอกว่า (เย้ออ้าย)เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอาชีพการแสดงคุณ จากภาพลักษณ์พระเอกเปลี่ยนเป็นชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
โหย่วเผิง : ไม่ขึ้นอยู่กับปัญหาของการเปลี่ยนแปลงมั้ง ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นศิลปินที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลง บทของพระเอกนั้นได้แสดงจนถึงจุดสูงสุดไปแล้ว และอยากจะท้าทายบทบาทอื่นที่น่าสนใจ ไม่อยากจะซ้ำๆซากๆ
นักข่าว : ยังไงก็ยากที่จะคิดภาพของคุณในเรื่องที่เปลี่ยนไป ตลอดเวลาทีผ่านมานั้นคุณให้ภาพกับทุกคนคือชายผู้ไม่มีวันแก่
โหย่วเผิง : (หัวเราะ) ตอนนี้จะมีการแตกต่าง ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองแก่แล้ว โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และอายุก็วางอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมยอมที่จะชราไปตามอายุ และผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองก็มีอายุประมาณนี้แล้ว
นักข่าว : มีคนบอกว่า บทคนบ้าของคุณครั้งนี้นั้นแสดงจนตีบทแตกเลย ได้เปลี่ยนภาพอดีตที่คงอยู่ในดวงใจของทุกคนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลย
โหย่วเผิง : จริงๆแล้วผมรู้สึกว่าการพูดอย่างนี้นั้นมันน่าขำและผิวเผินมาก การเป็นนักแสดงคนหนึ่งนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่เป็นเฉพาะพระเอกเท่านั้น หรือจะเป็นเพียงคนดีๆอะไรอย่างนั้น ผมคิดว่าการแสดงเป็นคนบ้านั้น จุดสำคัญไม่อยู่ที่การสร้างภาพแต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาทางสายตา
“บางครั้งผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้ว”
นักข่าว : เมื่อกี้คุณบอกว่าบทคนบ้านั้นมันท้าทายมาก ได้ข่าวว่าเพื่องานนี้แล้วคุณยังไปศึกษาที่โรงพยาบาลโรคจิตช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนหน้านี้คุณเคยรู้สึกกดดันกับการแสดงเป็นคนบ้าไหม?
โหย่วเผิง : ก่อนจะถ่ายนั้นได้ทำการบ้านมาบ้าง ความกดดันนั้นก็มีอยู่บ้าง ก็ตอนนั้นก็ได้คิดไว้ว่าจะพลิกแพลงวิธีไปตามเหตุการณ์ เมื่อถึงเวลาก็คลั่งบ้า จะกลัวอะไร?
นักข่าว : ขอพูดบทของคุณให้ชัดเจนคร่าวๆได้ไหม
โหย่วเผิง : นี่เป็นบทบาทหนึ่งที่มีความหมายมากๆ สังคมวัฒนธรรมยุคนั้นพิเศษมาก ตัวบทเองก็น่าสนใจน่าตื่นเต้น การบ้าคลั่งของมันก็มีหลายขั้นเหมือนกัน มันซับซ้อนไม่น้อยเลย จริงๆแล้วเขาเป็นวัยรุ่นที่ใจร้อน แต่เด็กก็มีอาการทางจิตแล้ว ได้กำเริบที่รัสเซียครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ได้เกิดเรื่องบางอย่างที่รัสเซีย หญิงสาวที่ตนรักนั้นถูกใส่ร้ายว่าเป็นฝ้ายตรงข้าม และนี่ก็ยิ่งทำให้โรคของเขานั้นหนักขึ้น เมื่อเขากลับมาในประเทศตัวเองใหม่ๆ ก็เป็นช่วงที่ได้เห็นที่ตี่ผิ่ง แม้ว่าเขามีโรคจิตในตัวเขาแล้ว แต่ดูผิวเผินแล้วเขาเป็นคนปกติทั่วไปที่มีความสง่า ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่นเลย จากนั้นถูกเรื่องบางอย่างกระทบจิตใจ ก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ตอนหลังก็ถูกแฟนทิ้งและถูกกดดันจากการเมือง ก็ได้บ้าคลั่งขึ้นมา ในโรงพยาบาลนั้นได้โรคได้กำเริบอย่างหนัก ตอนหลังก็ได้หลบออกมาจากโรงพยาบาล ได้เร่ร่อนพเนจรไปทั่วสารทิศ เป็นผู้ป่วยทางจิตที่มีสติคนหนึ่ง จนกระทั่งหันชิวเจอเขาได้ไปรักษาโรคที่บ้านแล้ว ลักษณะของเขานั้นเปลี่ยนไปจนหมด ตอนหลังเขาได้แต่งงานกับหญิงอื่นและเป็นพ่อคน และก็สงบลงไปเยอะมาก ไม่มีอะไรที่แบบอารมณ์ร้อน
นักข่าว : คุยเคยบอกว่าทั้งเรื่องนั้นคุณได้แสดงในอารมณ์ที่บ้าๆบอๆอยู่ตลอดเวลา?
โหย่วเผิง : (ฮ่าๆๆ) ผมคิดว่าผมเข้าใจพวกเขา เวลาที่ใจลอยนั้นผมก็รู้สึกว่าผมนั้นบ้าไปแล้วจริงๆ ก็คงไม่ได้เป็นอย่างนี้จนหมดเรื่อง แต่ว่าในบางฉากนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนบ้าเลยแหล่ะ ตอนนี้ย้อนหลังมาดูฉากที่ตัวเองเล่นไปแล้วนั้น อารมณ์สายตาของคนบ้า แม้แต่ตัวเองก็ยังตกใจเลย ว่าตอนนั้นผมเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
นักข่าว : ได้ข่าวว่าคุณอินกับมันมากจนนอนไม่หลับบ่อยๆ
โหย่วเผิง : ตอนนั้นทั้งคนได้กลายเป็นแบบประสาท ตอนที่ถ่ายเสร็จใหม่ๆนั้นก็ยังไม่ลืมมัน สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ตอนนั้นพอดีไปหาผู้กำกับเกาเฉียนซู เขาประหลาดใจผมมากๆว่าทำไมผมไม่เหมือนคนเก่า ก็เพราะโดยเหตุนี้เอง ตอนหลังเขาจะทำหนังเฟิงเซิง สิ่งแรกที่เขาคิดถึงก็คือโหย่วเผิงที่บ้าๆบอๆ (หัวเราะ)ผมเองก็ดีใจที่เขาเองได้มองเห็นจุดนี้ของผม
4094
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:39:25 PM »
2009-04-21 8:52:00
โหย่วเผิงจะเป็นคนสายฟ้าแลบถึงที่สุด
รายงานข่าว รวมพล ดาราดังจากละครเย้ออ้ายทั้งหมด 27 ตอนอย่างโหย่วเผิง หักแส เฉิงหลงและแสเจียหนีเป็นต้น จะออกอากาศทั่วประเทศในวันที่ 24 จากสถานียูนาน เมื่อวาน พระเอกของละครเรื่องนี้ได้ไปโปรโหมดที่เมืองคุนหมิง ขณะให้สัมภากษ์จากสื่อนั้น ได้ยินเสียงจากนักข่าวบางคนบอกว่าเขาใน(อ้ายฉิงฮูเจี้ยวจ้วนหยี 2)นั้นเขาได้ได้มีการเปลี่ยนแปลงบทไปมาก มันเป็นเหมือนมนษย์สาฟ้าแลบ โหย่วเผิงกล่าวอย่างขำๆว่า “ต่อไปผมก็จะไม่หยุดในการที่จะเป็นคนฟ้าแลบ จะท้าทายการยอมรับของแฟนๆ”
บ่ายวานนี้ เนื่องจากเครื่องลงช้ากว่ากำหนด กิจกรรมระหว่างโหย่วเผิงกับแฟนๆที่ได้นัดหมายกันในช่วง 4โมงกลับถูกเลื่อนออกไป จนถึง 5 โมงเย็น โหย่วเผิงที่แต่งตัวสบายๆก็ได้โผล่ออกมา ทันทีที่เขาปรากฎตัว ทำให้กล้องทุกตัวนั้นโฟกัสไปที่ตัวเขา แม้ว่าเวลานัดหมายนั้นจะช้าไปชั่วโมง แต่เสียงปรบมือเสียงกรี๊ดที่แฟนๆมาต้อนรับเขานั้นยังคงเสียงดังมาก ในงานนั้นส่วนมากจะมีแต่แฟนหนังที่เป็นสาวๆ และยังมีแฟนๆรุ่นวัยกลายคนที่มากจากก่วงโจว ฮ่องกง ได้ยินเสียงที่พวกเขาพร้อมใจกันตะโกนว่า “ จะอดีตหรือปัจจุบัน รักโหย่วเผิงที่สุด” ทำให้โหย่วเผิงซึ้งใจเป็นอย่างมาก ขณะที่สัมภาษณ์นั้น เพื่อทำการเรียกร้องของแฟนๆโหย่วเผิงได้ร้องเพลงประกอบของเย้ออ้ายสดๆให้แฟนๆฟัง เสียงร้องของเขานั้นทำให้แฟนๆกรี๊ดกันสะนั่น
ทีวี . ผู้ป่วยโรคจิต มันเปลี่ยนภาพลักษณ์จากฟ้าเป็นดินเลย
พูดถึง(เย้ออ้าย) โหย่วเผิงได้แนะนำว่า มันเป็นบทที่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาที่เป็นแต่ผู้ดีสว่าผ่าเผย ในเรื่องนั้นตัวเองก็รับบทเป็นหมิงเทาที่เป็นโรคจิตที่หลากหลายอารมณ์หน้าตา อารมณ์นั้นมันต่างกันเยอะมาก บางครั้งเขาได้เปลี่ยนเป็นฉิงหลันซึ่งเป็นนิยายในสมัยโบราณ อารมณ์ความรักที่ซึ้งใหญ่ดังทะเล บางครั้งก็หน้าตาสกปกมอมแมม อาการแสดงออกที่น่ากลัว เป็นภาพคนโรคจิตกำเริบสุดๆอย่างนั้น เอ่ยถึงตัวละครต่างๆของเรื่อง โหย่วเผิงได้กล่าวว่า “ นี่เป็นผู้ป่วยทางจิตเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในร่างกายนั้นมีอาการทางจิตที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าเขาได้ซื่อสัตย์ต่อศาสนาและความรักอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้กำกับฝ่านเรียกเราว่า “ผู้ป่วยทางจิตที่สง่าผ่าเผยคนหนึ่ง” ถามว่าการรับบทครั้งนี้นั้นมันเป็นอะไรที่ต่างกันแบบฟ้ากับดินเลย ไม่กลัวที่จะกระทบต่อภาพลักษณ์ที่อยู่ในใจของแฟนๆหรือ? โหย่วเผิงส่ายหัวแล้วพูดอย่างยิ้มว่าไม่กลัว “คงจะมีแฟนๆบางคนไม่เคยชิน จะมีเสียงตอบกลับมาบ้าง แต่ก็จะมีบางคนที่เห็นถึงความพยายามของผม และจะให้กำลังใจผมต่อไป”
ที่ผ่านมาก็ไม่มีตัวละครอย่างหมิงเทาให้ดูหรือให้เป็นแบบอย่าง ฉะนั้นโหย่วเผิงก็ได้แต่เพียงไปสอบถามหมอ เข้าอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลที่เกียวกับคนเป็นโรคจิต ไปสัมผัสและเข้าใจถึงคนที่ป่วยทางจิต ในเรื่อง ขณะที่เขาแสดงบทของหมิงเทาตอนที่เข้าร่วมทหารกับรัสเซียได้เจอการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ และทำให้บุคลิกของเขาหักแหไป จนทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพที่สามส่วนปกติเจ็ดส่วนบ้าหรือเจ็ดส่วนปกติสามส่วนบ้าอย่างนั้น และจากตรงนี้ก็ทำให้โหย่วเผิงนั้นต้องเจอกับความลำบากมากมาย “บางครั้งผมอิงกับการแสดงมากเกินไป จนทำให้ตัวเองนั้นสับสนไปหมด ทั้งตัวแสดงบุคลิกอาการของคนบ้าออกมา”
ภาพยนตร์ เฟิงเซิง ยังท้าทายกับการยอมรับของผู้ชมต่อไป
จากฐานะของนักร้องที่เข้าสู่วงการบันเทิงอย่างโหย่วเผิง ระยะนี้ได้เปลี่ยนทิศทางการงานเน้นไปทางการแสดงภาพยนตร์เป็นหลัก ช่วงก่อนมีข่าวว่าโหย่วเผิงได้เข้าไปที่ห้องบันทึกการขับร้องเพลงไปบันทึกเพลงอัลบั้มใหม่ ทำให้เป็นที่รอคอยของแฟนเพลงเป็นจำนวนมาก สำหรับเรื่องนี้ เมื่อวานโหย่วเผิงยืนยันว่า การที่ตัวเองได้เข้าไปอัดเสียงในห้องนั้นเป็นเพียงการร้องแค่เพลงเดียวเท่านั้น และเพลงเดียวนี้จะออกมาในเร็วๆนี้ด้วย
โหย่วเผิงบอกว่าตัวเองนั้นไม่ได้รับงานแสดงเกือบสองปีเต็มเลย เหตุผลก็คือเพราะตัวเองนั้นไม่ชอบกับบทที่ต้องแสดงแบบสไตล์จำเจมาตลอด บทที่จำเจนั้นไม่ได้นำสีสันมาสู่ตัวเองเลย “ฉะนั้นผมเองก็ได้รอคอยมาตลอด จนได้มาเจอบทที่วิปลิตอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าโอกาสนั้นมาแล้ว สามารถที่จะสำแดงความสามารถที่ซ่อนอยู่แล้ว” บทของหมิงเทานั้นโหย่วเผิงเข้าใจว่าเป็นบทที่ “ตั้งแต่รับงานแสดงมานั้นบทนี้เป็นบทที่ความยากมากที่สุด” นอกจากนี้ เขาเองยังกล่าวว่าอนาคตนั้นยังจะท้าทายความรู้สึกในภาพลักษณ์ของเขากับผู้ชม เขายังยกตัวอย่างเฟิงเซิงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น “ในเรื่องนั้นผมก็ยังรับบทที่มันแปลกๆ พิเรนๆ พวกหัวแข็กเป็นต้น เมื่อผู้ชมได้เห็นถึงบทบาทแล้วคงตลึงไม่น้อยเลย”
4095
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:36:41 PM »
2009-4-21 8:52:00
(เย้ออ้าย) จะออกอากาสทางสถานีหยูนานในวันที่ 24 วันนี้โหย่วเผิงไปโปรโมทที่เมืองคุนหมิง
เวลาที่แถลง 20 เม.ย. 2009
หนังเรื่อง(เย้ออ้าย)ที่นักแสดงพระเอกโหย่วเผิงกับนางเอกหันเสวี่ย ได้แสดงนั้นจะเริ่มออกอากาสในวันที่ 24 ของสถานีหยูนานทุกวันและวันละสามตอน ละครเรื่องนี้นั้นได้แตกต่างจากละครเรื่องเดิม จะออกแนวไปทางของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นสงครามจิตวิทยา และสามารถจะเห็นได้ถึงการเปิดเผยออกมาของคนในท้องถิ่น สามารถที่จะกล่าวได้ว่าละครเรื่องนี้จะเป็นละครจิตวิทยาเรื่องแรกของจีน วันนี้โหย่วเผิงพระเอกในละครจะไปโปรโมทเริ่มออกอากาศ ละครเรื่องนี้ที่เมืองคุนหมิง ครั้งนี้นั้นโหย่วเผิงได้แสดงในแนวที่ต่างจากอดีตที่รับแต่บทที่ภาพลักษณ์ดีมากลายเป็นคนหนึ่งที่เป็นโรคจิต ได้รักกับเสิ่นหันชิวที่รับบทโดยหันเสวี่ยอย่างลืมตาไม่ขึ้น ได้รับความสับสนจากความบ้าคลั่ง ความรัก ความระแวงหลายอย่างนั้น โหย่วเผิงแสดงบทความรักที่สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี และทีมงานต่างก็ทึ่งและชมเชยการแสดงของเขา แม้กระทั่งผู้กำกับฝ่านยังหยุดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม “จากผลงานของเขามันกล่าวแก่ผมว่า เขาเป็นคนที่มีสปีริตจริงๆ”
20 เม.ย. 2009 รายงานข่าวจากสถานียูนาน . 24เม ย สถานียูนานจะออกอากาสละครเย้ออ้ายที่โหย่วเผิงและหันเสวี่ยได้แสดงเพื่อผู้ชมทุกท่าน
จากเจ้าชายในวังเป็นเป็นผู้ป่วยทางจิต จากภาพลักษณ์เจ้าหญิงสลัดมาเป็นหญิงสาวบ้าคลั่ง โหย่วเผิงกับหันเสวี่ย ได้ลสัดภาพลักษณ์เก่าในละครเรื่องเย้ออ้าย ได้ร่วมแสดงเรื่องที่ผิดปกติบวกกับความรัก ละครเรื่องนี้นั้นได้เอ่ยถึงสมัยเริ่มแรกของการสร้างราชอณาจักร หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่รักในสังคมนิยมได้ทำลายอำนาจ ได้มีการประลองกำลังทั้งในที่มืดและที่แจ้ง นางเอกหันเสวี่ยที่ลสัดคราบของความเป็นผู้มียศศักดิ์รับบทเป็นหญิงโสเภณี เซิ่นหันชิวที่สูงศักดิ์ หนักแน่น อารีย์ ไม่เพียงแต่จะได้รับหน้าที่ในการต้องไปทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยังต้องมีฉากที่ไปมีความรักที่ทั้งสูขทั้งน้ำตากับหมิงเทาที่โหย่วเผิงรับบทอย่าง ในเรื่อง ทั้งสองคนล้วนมีผลงานที่ดี จนได้กลายเป็นจุดสนใจของทั้งเรื่อง มันคุ้มค่าแก่การรอคอยจริงๆ
4096
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:17:25 PM »
ในเรื่อง เย้ออ้ายนั้น ผมเองก็เป็นคนบ้าคนหนึ่งฟังโหย่วเผิงพูดถึงจิตใจแห่งการสร้าง
สำนักข่าว ซูโจว
จากอู่อาเกอ(องค์ชายห้า) ในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ จนถึงตู้เฟยในเรื่อง(ฉิงเซินๆหยี่เหมิงๆ)และจางอู่จี้ใน(อีเทียนสูตี้) ศิลปินภาพยนต์และละครที่ได้เดินมาตลอดทางนั้น แม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็เป็นที่ตรึ่งตราลึกๆในใจเราอยู่ แต่เมื่อปี 2008 แล้ว โหย่วเผิงก็ไม่ได้แสดงละครทีวีอีกแล้ว เมื่อห่างกับสองปี โหย่วเผิงได้เลือกที่จะตัดสินใจร่วมงานกับโรงเรียนสถานีซูโจว รับการถ่ายทำละครทีวีเรื่องเย้ออ้าย 27 ตอนด้วยกัน ในเรื่องนั้นรับบทเป็นซูหมิงเทาที่ป่วยเป็นโรคทางจิต และได้ประสบความสำเร็จที่เห็นได้ชัดจากงานการแสดงของเขา เมื่อวาน (19 เม ย 2009 ) โหย่วเผงมาถึงที่ซูโจว เขาเองได้กล่าวถึงความบ้าคลั่งของตัวเองกับนักข่าว
นี่เป็นบทที่แปลกและน่าตื่นเต้น
สำหรับเรื่องราวของ(เย้ออ้าย)นั้น ผู้กำกับฝ่านเคยใช้ ”หญิงโสเภณี คนหนึ่งได้เจอกับชายสง่างามคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคจิต ในนั้นยังใช้ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง กับหน่วยข่าวกรองที่เป็นโรคความกดดัน ”คำสั้นๆ มาแนะนำ ก็เป็นไปในลักษณะอย่างนี้ที่มีคนหลายสไตล์บ้าๆบ้องๆ มาเจอกันแล้วมีเรื่องราวที่ตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้นมากมาย ซูหมิงเทาที่โหย่วเผิงรับบทนั้นก็เป็นตัวละครหนึ่งในนั้นที่มีบุคลิกที่พิเศษ ในเรื่องนั้นพระเอกเป็นชายหนุ่มที่สง่างามน้ำใจดี เป็นคนดี แต่กลับถูกความกดดันจากเรื่องการเมืองและความรักอย่างแรง จนทำให้จิตใจไม่ปกติ ประสาทก็ไม่ปกติ นี่ไม่เพียงยากในการแสดงเท่านั้น แต่จะเรียกร้องให้ผู้แสดงนั้นมีสภาพทั้งภายในและภายนอกของร่างกายจะต้องสูง เหตุเพราะบทบาทที่น่าตื่นเต้น น่าแปลกประหลาดอย่างนี้แหล่ะเลยเป็นที่ถูกใจของโหย่วเผิง เขากล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าช่วงระยะเวลาในการเขียนเรื่องราวแต่ละตอนนั้นมันสนุกมาก บทของซูหมิงเทานั้นเป็นบทที่ถือได้ว่ายากที่สุดเท่าที่ผมเคยรับบทแสดงมา มันไม่มีต้นแบบ ไม่สามารถไปหามองดูตัวละครอื่นแล้วมาแสดง ก่อนหน้านี้นั้น ในสมองของผมนั้นไม่มีตัวละครใดๆโผล่ขึ้นมาเลย มันล้วนคิดขึ้นมาจากกระดาษขาวว่างเปล่าเท่านั้น
โหย่วเผิงกล่าวว่า “ขณะที่แสดงบทหมิงเทานั้น รู้สึกว่าสิ่งที่ยากมากๆก็คือมาตรฐานของมัน เพราะแต่แรกนั้นหมิงเทาไม่ได้เป็นคนบ้าเลย เขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง และค่อยกำเริบออกมา ต่อมาขณะที่เขาค่อยๆดีขึ้นแล้วนั้น ก็ได้รับการกระทบกระเทือนอีก และก็เป็นจิตประสาทอีกครั้ง ตัวเขานั้นก็มีแต่เดียวกำเริบเดียวหายไปๆมาๆอย่างนั้น” โหย่วเผิงกล่าว บางครั้งหมิงเทานั้นเป็นบ้าอยู่ แต่คำพูดนั้นกลับมีเหตุมีผล การจะเป็นนักแสดงนั้นจำต้องรักษามาตราฐาน ก็ค่อยๆแสดงอาการโรคจิตของหมิงเทาไปตามลำดับหนักเบาของโรค สภาพการณ์ทั้งหมดนั้นก็เสมือนภาพภาพหนึ่ง ตอนถ่ายนั้นจะมีจุดๆที่ต่างกันไป แต่เมื่อถึงตอนสุดท้ายนั้นมันจะกลายเป็นเส้นเดียวที่เรียบร้อย วิธีการแสดงออกอย่างนี้นั้นบางทีมันทำให้ผมรู้สึกว่าสับสนมาก เมื่อตอนถ่ายทำเสร็จแล้วเนี่ยมันทำให้ตัวเองรู้สึกว่ายากจะเชื่อในตัวเองเลย ในเมื่อสามารถที่จะทำหน้าที่อย่างนี้ให้มันสำเร็จได้นั้น เมื่อได้แสดงตัวละครบทอย่างนี้จริงๆแล้วเนี่ยทำให้ตัวเองเหมือนกับเป็นคนบ้าคนหนึ่งจริงๆ
การลงทุนที่มีเลือด บังคับตัวเองบ้า
ในเรื่องนั้น หมิงเทานั้นเป็นโรคจิตคนหนึ่ง เพื่อจะแสดงบทนี้ให้ดี โหย่วเผิงกล่าวว่าตัวเองนั้นได้ตั้งใจไปในโรงพยาบาลโรคจิตไปสัมผัสชีวิตของพวกเราโดยตรงเลย ได้ไปสังเกตเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา แน่นอน การไปสังเกตุอย่างนี้ก็เป็นเพียงการไปดูชีวิตผิวเผินของพวกเขาเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพจิตใจของพวกเขาได้ เพราะว่าคุณไม่สามารถที่จะไปพูดคุยเป็นเวลาที่ยาวนานกับพวกเขาอย่างคนปกติได้ แต่ว่าขณะที่ถ่ายทำนั้น คุณก็ไม่สามารถที่จะแสดงแบบไม่เข้าถึงอารมณ์ของพวกเขาเลย ฉะนั้น ทุกครั้งที่ถ่ายทำ ผมก็มักจะพยายามให้ตัวเองนั้นเข้าถึงตัวบทของมัน บังคับตัวเองจนแทบบ้าแล้ว โหย่วเผิงกล่าวว่า ทั้งเรื่องนั้นจะจบลงแบบบ้าๆบอๆอย่างนั้น บางครั้งก็มักจะรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นเป็นเหมือนคนโรคจิตจริงๆ จนทำให้ช่วงเวลาที่ถ่ายทำนั้นนอนไม่ค่อยหลับ “ตอนนี้เมื่อหวนกลับไปคิด ผมเองก็คิดไม่ตกเหมือนกันกับการถ่ายทำในระยะเวลาเดือนครึ่งนั้น ไม่รู้แรงกำลังมาจากไหนที่ทำให้งานนั้นเสร็จสิ้นลงได้
เหตุที่อยากจะให้บทนั้นสมจริง โหย่วเผิงได้อิงกับการเข้าฉากเป็นอย่างมาก จนกระทั่งยังมีการลงทุนถึงขนาดมีเลือดออก เขากล่าว มีฉากหนึ่งนั้นได้ไปถ่ายที่โรงบาลโรคจิต สภาพจิตใจของหมิงเทานั้นมันตกอยู่ในสภาพที่จิตใจแตกซ่านแล้ว ดิ้นไปดิ้นมา จิตใจกระสับกระส่าย รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย โหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวบทเดินที่คือต้องมัดมือมัดเท้าของหมิงเทา แต่ว่าเวลาถ่ายทำจริงๆ ทางทีมงานคิดถึงความปลอดภัยฉะนั้นเลยมัดแต่มือเท่านั้น สองเท้ายังดิ้นได้ “ผมเลยคิดว่าการถ่ายอย่างนี้นั้นมันไม่ค่อยถูกหลักเท่าไร เห็นได้ชัดว่าสองขายังดิ้นได้อยู่ ก็จะไม่มีอารมณ์ที่จะต้องไปดิ้นสู้ต่อไป” เพื่ออยากจะแสดงอาการทางจิตใจของหมิงเทาให้ออกมาได้สมจริงที่สุดนั้น โหย่วเผิงได้ขอให้ทางผู้กำกับเอาเชื่อกมัดที่เท้าของเขาอีกเส้น สุดท้าย ขณะที่ถ่ายทำนั้น อาการคลั้งบ้าของโหย่วเผิงกำเริบ ออกแรงเยอะไป ไม่มีอะไรมาประคองเขาไว้ แล้วเขาก็ตกลงมาข้างล้าง “ค้างกระแทกกับพื้น ริมฝีปากล้างโดนฟันกัดจนเป็นแผล” ตอนแรกนึกว่าไม่หนักหนาสากันแต่อย่างไร หยิบกระจกแล้วมาส่องตัวเอง ก็เพิ่มสังเกตุเห็นว่าเลือดไหลไม่หยุดเลย จนเขาต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล “มันทำให้ทีมงานตกใจจนให้ผมหยุดพักตั้งหนึ่งอาทิตย์ ผมรู้สึกต้องขอโทษพวกเขาจริงๆ แต่ว่า การที่ผมลงทุนขนาดนี้นั้นมันก็คุ้มค่า เพราะสิ่งที่ผมอยากจะแสดงออกมานั้นต้องการความสมจริง
“ขโมยวิชา” ในตัวของฝ่านเสี่ยวเทียน
โหย่วเผิงกล่าวว่า การเลือกที่จะร่วมงานกับทางโรงเรียนศิลปะการแสดงของซูโจวกับผูกำกับฝ่านนั้น เป็นโอกาสที่ดีโอกาสหนึ่ง อยู่ในระหว่างการถ่ายทำนั้น โหย่วเผิงสัมผัสว่าผู้กำกับฝ่านนั้นเป็นผู้กำกับที่กวดขันฉลาดทั้งยังมีไหวพริบที่ดีคนหนึ่ง ขณะในการสร้างบทนั้นเขามีไอเดียดีๆหลายอย่าง ความคิดของเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างธรรมชาติ เป็นสไตล์แบบกระโดดไปมาไม่อยู่กับที่ บางครั้งความคิดเขาเร็วเกินไป ปากเขาแทบจะตามสมองไม่ทัน ขณะพูดนั้นจะโดดไปมาตลอด “หากว่าไม่ใช่เป็นผู้กำกับที่พิเศษอย่างนี้จะไปกำกับละครที่พิเศษอย่างนี้ได้อย่างไง ผู้กำกับที่แปลกๆก็เลยมีการสร้างตัวละครที่แปลกๆออกมา และเนื้อเรื่องก็ประหลาดๆอีกด้วย” โหย่วเผิงกล่าวว่า ในบุคลิกภาพบางส่วนในตัวของหมิงเทานั้นมันก็มีในตัวของผู้กำกับฝ่านด้วย “ผู้กำกับคนหนึ่งที่มีมารตฐาน มีประสบการณ์ มีความกวดขันนั้นมันย่อมมีอิทธิพลต่อผลงานการแสดงของตน การร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านนั้นแน่นอนผมย่อมมีความกดดัน อย่างไรก็ตามขณะที่แสดงบทของหมิงเทานั้นผมก็จะแอบขโมยสิ่งบางอย่างในตัวของผู้กำกับฝ่านมาใช้” โหย่วเผิงพูดแล้วหัวเราะไปด้วย
สำหรับละคร เย้ออ้าย ยังไม่ทันออกอากาศก็ร้อนไปแล้ว(เย้อแปลว่าร้อน) สังเกตุเห็นถึงมาการขโมยดาวโหลดในเน็ต โหย่วเผิงใช้คำว่า “ทั้งดีใจและเสียใจ”กับการกระทำอย่างนี้ ที่ว่าดีใจก็คือละครเย้ออ้ายนี้แม้ว่ายังไม่ทันได้ออกอากาศแต่ก็เป็นที่สนใจของมวลชนเป็นอย่างมาก ส่วนที่เสียใจคือกังวลถึงทางบริษัทผู้ผลิตรละครเรื่องนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะซื้อแผ่นจริงมาชม
ได้ขนามนามว่า “นักแสดงละครทีวี”อย่างโหย่วเผิงนั้นในปี 2009 นี้จะตัดสินใจไปเอาดีทางด้านภาพยนตร์แล้ว เขาได้กล่าวกับนักข่าวว่า หลังจากที่เสร็จสิ้นการโปรโมทละครทีวีเย้ออ้ายแล้ว เขาก็จะรีบกลับไปที่ค่ายที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์(เฟิงเซิง)นั้น ในภาพยนตร์เรื่องนั้นนั้น เขารับบทเป็นนักละครเพลงที่มีชื่อเสียง เขากล่าวว่าได้ยินว่าภาพยนตร์(ตู้ตันถิง)ของซูคุนนั้นน่าดูมาก แต่ว่าก็ยังไม่มีโอกาสได้ดู อย่างไรก็ตาม เหตุเพื่อจะถ่ายภาพยนตร์เฟิงเซิง เขาได้ไปหาอาจารย์เพื่อนให้ท่านสอนละครเพลง (เย้ออ้าย)เป็นการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ต่อแต่นี้ไปผมก็จะปรากฎตัวในบทบาทที่แตกต่างออกไปให้กับทุกคนได้เห็นและได้ตื่นเต้นไปด้วย นำความตื่นเต้นมาสู่ทุกคน” โหย่วเผิงมีความมั่นใจเต็มร้อย
4097
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:14:49 PM »
20 เม ย 09 โหย่วเผิงเป็นแขกรับเชิญในงานราตรี อยากเป็นคนแบบระห่ำ
ผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนได้สร้างละครเรื่องใหม่ เย้ออ้าย (ชื่อเดิม ต้าเจิ่นฝาน)จะออกอากาศทั่วประเทศในเร็วๆนี้ นักแสดงตัวเอกอย่างโหย่วเผิงกับหันเสวี่ยก็ได้มาถึงที่ซูโจว มาร่วมพิธีฉายปฐมฤกษ์ หันเสวี่ยได้ตอบรับการสัมภาษณ์ของสื่อ โหย่วเผิงก็ได้ไปที่งานราตรีและได้พูดคุยกับผู้อ่านด้วย
รายงาน บ่ายวาน ศิลปินชื่อดังทั้งเป็นนักร้อง นักแสดงละคร หนังอย่างโหย่วเผิง ได้ไปเป็นแขกให้กับทางงานในการพูดคุยถาม >> เริ่มแรกคิดอย่างไรที่ไปรับบทเป็นคนโรคจิตในละครเรื่องเย้ออ้าย ตอบ << การที่จะรับบทอย่างนี้นั้นเป็นความใฝ่ฝันของผมมาโดยตลอด จากการแสดงหนังและละครมาจนถึงวันนี้ บทบาทของผมนั้นเป็นกระแสหลักมาโดยตลอด เป็นประเภทใหญ่ จะเป็นบทที่คนปกติเสียส่วนใหญ่ เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ความคิดความสามารถแล้ว เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองแล้ว ฉะนั้นก็จะเลือกเอาบทที่ทุกคนมองว่าแปลกคน เป็นบทที่ไม่ใช่แต่เพียงราบๆเรียบๆ จากบทในเรื่องเย้ออ้ายนั้น เป็นคนโรคจิตที่สับสนมากๆ แม้ว่าเรื่องในละครนั้นมันสนุกมาก แต่ว่าบทนั้นมันไม่ดีเลย
ถาม >> เพื่อจะเปลี่ยนรับบทอย่างนี้นั้นได้มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ตอบ << ปกติแล้วจะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้นๆ และได้ทำการบ้านพื้นฐานมาบ้าง แต่ว่าบทโรคจิตของเย้ออ้ายในเรื่องเก่านั้นไม่มีบทนี้เลย ฉะนั้นก็คงไม่มีแบบให้ดู แต่จะคิดขึ้นมาใหม่ๆล้วนๆ เพื่อจะแสดงบทนี้ให้ดีที่สุด เพียงทางเดียวคือต้องเข้าถึงความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง คิดใคร่ครวญตัวบทและบทของตัวละคร มีเพียงทางเดียวคือเอาตัวเองเข้าสู่สภาพอย่างนั้น ถึงจะมีจิตวิญญาณอย่างนั้นจริงๆ ในช่วงเวลานั้น ผมเองเป็นมิตรที่ดีต่อคนที่เป็นโรคจิต ในขณะถ่ายทำนั้น เหตุเพราะอารมณ์อิงกับเรื่องเกินไป เพื่ออยากจะให้เห็นถึงอารมณ์อย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งเหมือนกับจิตใจแตกซ่าน ต้องเสียเวลาไปมากมาย แต่ทุกคนก็ไม่บ่น ก็จะให้เวลาผม ผมขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างยิ่งถาม >> จะเข้าใจถึงบทอารมณ์ของซูหมิงเทาได้อย่างไร อนาคตจะรับบทที่แปลกๆอย่างนี้อีกไหม?ตอบ << เขาเป็นผู้ป่วยทางจิตที่อยู่ในโลกแห่งความสับสนของสภาพจิต ในสมองของเขานั้นมีความทรงจำหลายอย่างได้พลุๆโผล่ๆอยู่ตลอด มันประสาทกินมาก ขณะถ่ายทำนั้น จิตใจตัเองจะแตกซ่านบ่อยๆ จริงๆแล้วการถ่ายทำละครทีวีนั้นมันทรมานคนมาก แค่ในฉากเดียวเท่านั้น คางของผมก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว เวลาพักก็น้อยมาก เวลาการถ่ายทำนั้นกระชับมาก ผมเองก็ยังงงอยู่ว่าช่วงเวลานั้นมันผ่านมาได้ไง บทบาทนี้ระห่ำมาก มีความท้าทายมากมาย สำหรับบทอย่างนี้นั้นมันเป็นที่ดึงดูดใจผมเป็นอย่างมาก ก็ยังจะไปแสดงบทอย่างนี้อีก
ถาม >> รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจากละครทีวีมาเป็นภาพยนตร์นั้น ขอลองกล่าวถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ถ่ายทำไปในปีนี้ให้ฟังหน่อย(สี่กามเทพ กับ ตามหาพี่หลิวซัน)
ตอบ << ความแตกต่างระหว่างละครกับภาพยนตร์นั้นก็เยอะเหมือนกัน ทั้งด้านการสร้างกับการถ่ายก็มีมารตฐานที่ไม่เหมือนกัน และภาพยนตร์สองเรื่องนี้เป็นสองเรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนการแสดงจากละครมาสู่ภาพยนตร์ พูดได้ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องที่สองของผม
ถาม >> ภาพยนตร์เฟิงเซิงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น นี่เป็นภาพยนตร์สไตล์ไหน ลองเล่าถึงบทที่คุณรับเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เล่นละครเพลงให้ฟังหน่อย
ตอบ >> ความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่องกับภาพยนตร์นั้นผมเองก็บอกไม่ได้ แต่ว่า (เฟิงเซิง)บทของไป๋เสียวเหนียนนั้นมันสนุกมากๆ บทนั้นพิเศษและประหลาดมาก เป็นเรื่องหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของมัน และมีบทที่ตื่นตาตื่นใจด้วย เริ่มแรกนั้นผมเองก็ไม่ได้สัมผัสกับละครเพลงเท่าไหร่(เป็นละครเพลงจีนทางใต้) แต่เหตุเพราะความจำเป็นของการภาพยนตร์กับบทที่ตัวเองได้รับนั้นจึงไปศึกษาละครเพลง สมัยเด็กๆนั้น ที่ไต้หวันก็ได้เห็นละครเพลงบ่อยๆในทีวี ยังเด็กก็เลยไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าละครเพลงนั้นมันมีศิลปะที่สวยงามมาก เป็นอะไรที่มีประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางศิลปะเป็นอย่างยิ่ง
ในระหว่างการถ่ายทำนั้น ผมรู้สึกว่าศิลปะโบราณของจีนนั้นสวยงามมาก คุณค่าของศิลปะนั้นสูงมาก ขณะที่รับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนที่เป็นอาจารย์ศิลปะนั้น ตัวผมเองก็รู้สึกถึงตัวเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะไปแล้ว บทบาทนั้นมีอิทธิพลต่อผมอย่างเงียบๆถาม >> คุยถึงการร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านเสี่ยวเทียนในเรื่องเย้ออ้ายนั้น ในระหว่างการถ่ายทำนั้นมีเรื่องอะไรที่ยากจะลืมไหม?ตอบ << ผู้กำกับฝ่านนั้นคนที่กวดขัน(เข้มงวด) แน่นอน เวลาถ่ายทำนั้นจำต้องมีผู้กำกับอย่างนี้ถึงสามารถทำให้ละครนั้นเสร็จสิ้นไปด้วยดี มีความหนักแน่น มีประสบการณ์ ผู้กำกับที่เคร่งครัดนั้นมีอิทธิพลต่อผลงานละครเป็นอย่างมาก ร่วมงานกับผู้กำกับฝ่านนั้นมีแรงกดดันแน่นอน แต่ว่าตอนถ่ายทำนั้นก็ยังโอเค ผู้กำกับฝ่านนั้นเป็นคนที่คบง่าย ความคิดของท่านนั้นมีการประยุคอยู่ตลอดเวลา ขณะถ่ายทำนั้นคุณก็จะสังเกตได้ว่าผู้กำกับหายไปในทันใดเลย ท่านก็จะไปตามหาความคิดของเขา จำได้ว่า ครั้งหนึ่งผมได้ทะเลาะกับผู้กำกับฝ่าน ลืมไปแล้วว่าสาเหตุอะไร แต่ว่าจุดฉนวนนั้นไม่ใช่ผม หลักๆคือการไม่เข้าใจกันในเรื่องบทบาทของตัวละคร เพราะว่าผมเองไม่ได้เป็นคนที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง ฉะนั้นความคิดของผมกับคนอื่นอาจไม่เหมือนกัน ผมเองก็มีทิฐิของตัวเองด้วย ก็เลยมีการแตกแยก
ถาม >> อนาคตยังคิดที่จะถ่ายทำละครทีวีอีกไหม หากว่าจะถ่ายแล้วจะถ่ายแบบแนวอย่างนี้หรือเปล่า
ตอบ << ปีนี้หลักๆก็ยังคงเป็นการถ่ายภาพยนตร์ แต่ว่าก็มีละครทีวีบ้าง แน่นอนก็ยังคิดที่จะรับบทสไตล์อย่างนี้อยู่ มีบทที่แตกต่างที่เป็นลักษณะพิเศษอย่างนี้
ถาม >> เป็นศิลปินนั้น มีอะไรที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย คุณอยากจะเป็นศิลปินประเภทไหน?
ตอบ << ผมรู้สึกว่าผมไม่มีเป้าหมายสุดท้ายอะไร ผมมีท่าที่ในใจที่ดีอย่างหนึ่งคือผมเองจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ผมนั้นไม่คิดว่าตัวเองนั้นสุดยอดแล้ว ผมคิดว่าตัวเองยังจะตัองพัฒนาอยู่เสมอ ผมอยากเป็นศิลปินที่สนุกที่ตื่นเต้นที่ระห่ำคนหนึ่ง
4098
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:05:46 PM »
4099
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:00:00 PM »
โหย่วเผิงท้าทายบทบาทโรคจิต ภาพพจน์ที่เป็นผู้ใหญ่
จากองค์ชายห้าใน(องค์หญิงกำมะลอ) ถึง ตู้เฟยใน(มนต์รักในสายฝน) จางอู่จี้ใน(อีเทียนสูหลงจี้/มังกรหยก) ตลอดเส้นทางแสดงของนักแสดงโหย่วนั้นภาพพระเอกได้ประทับอยู่ในดวงใจของทุกคนเรื่อยมา แต่ว่าหลังจากปี 2005 แล้ว โหย่วเผิงก็ไม่เล่นละครหนังอีกเลย ห่างจากจอเกือบสองปีเต็ม โหย่วเผิงได้ตัดสินใจเลือกที่จะร่วมงานกับค่ายโรงเรียนซูโจวหูน่า รับเล่นละครเย้ออ้ายทั้งหมดยี่สิบเจ็ด(27)ตอน ในเรื่องนั้นเล่นเป็นหมิงเทาที่เป็นโรคจิต ได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนบทของตัวเอง
กระหายสัมผัสการเปลี่ยนแปลง บทบาท “คงไม่ใช่กระแสหลัก”
บทบาทในเรื่องเย้ออ้ายที่โหย่วเผิงเล่นนั้นได้แตกต่างจากที่ผ่านมา จากเรื่องนี้ โหย่วเผิงกล่าวว่า คิดอยากจะเล่นบทอย่างนี้ตลอดมา นับตั้งแต่ได้เริ่มแสดงในละครทีวีมาจนถึง ณ วันนี้ บทที่ตัวเองเล่นนั้นล้วนเป็นกระแสหลัก(บทหลัก)มาตลอด เป็นบทที่ปกติสามัญทั่วไป ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ อายุการทำงาน ความสามารถที่ได้เพิ่มขึ้น เพื่อฝีมือการแสดงที่ดีขึ้น ก็เลยต้องเลือกบทที่ในสายตาของทุกคนดูแล้วมันแหวกแนว บทของในเรื่องเย้ออ้าย เป็นผู้ป่วยโรคจิตที่สับสนคนหนึ่ง แม้ว่าเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นสนุก แต่ว่าบทนั้นเล่นไม่ง่ายเลย ก็จะยิ่งรู้สึกว่าการรับบทอย่างนั้นเป็นการพัฒนาทักษะการแสดงของตัวเองให้ดีขึ้น
เล่นบทนี้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก
มาเล่นในบทที่ไม่มีเนื้อบท และยังเป็นบทที่ไม่เคยลองมาก่อน โหย่วเผิงก็ได้มีซึ่งความลำบาก อย่างแรกคือต้องเข้าใจในตัวบทอย่างทะละปุโปร่ง ทำการบ้านทื่พื้นฐานมา ไม่เพียงแต่ไปสังเกตุทุกกิริยาบทของผู้ป่วยทางจิตที่โรงพยาบาลแล้ว ทั้งยังคลุ่นคิดภาวะจิตใจของมนุษย์ตลอดเวลา แต่ว่าบทของผู้ป่วยทางจิตในเรื่องก่อนของภาพยนตร์เย้ออ้ายนั้นไม่มีตัวละครนี้ บทนี้นั้นไม่มีที่ให้เลียนแบบ เป็นบทที่ใหม่ๆสดๆกันเลย เพื่อจะให้บทออกมาดี โหย่วเผิงก็ได้แต่เพียงเข้าใจ ลึกซึ้ง คลุ่นคิดกับตัวบทของมัน มีเพียงให้ตัวเองละลายให้อยู่ในอารมณ์ของบทเท่านั้น ถึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวบทมัน ในช่วงเวลานั้น โหย่วเผิงได้เป็นเพื่อนที่ดีกับผู้ป่วยทางจิต ขณะที่เขาถ่ายทำ เหตุที่อิงกับบทเกินไป ด้วยความอยากจะให้ได้ถึงอารมณ์ของบทอย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งอารมณ์ก็แตกซ่านออกมา ต้องใช้เวลาเยอะหน่อยในการถ่ายทำ
รับการท้าทายเดินสู่ภาพยนตร์
สำหรับการรับเล่นบทที่แตกต่างอย่างนี้ โหย่วเผิงก็ยังมีใจในการเล่นต่อไป “ แท้จริงแล้วสองปีก่อนจะรับเล่นบทนี้ ผมแทบจะไม่รับละครการแสดงอะไรเลย หลักๆก็คือความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผมนั้นทำให้ผมไม่อยากจะรับบทเดิมๆเก่าๆอย่างนั้นอีกแล้ว พวกเขาไม่มีอะไรที่ให้ผมสนใจ” เมื่อพูดถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ของเขา หน้าตาของเขาหน้ายังครึ๋ม “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีหน้าหน้าตา ต่อหน้าผู้ชมต่อหน้ากล้องเป็นเพียงหน้าหนึ่งของผม ผมได้รอโอกาสตลอดเวลา ให้ผู้ชมได้เห็นถึงอีกหลายๆหน้าของผม ขณะที่ผมได้อ่านเนื้อบทของเย้ออ้าย ผมรู้ว่าโอกาสมาแล้ว บทนี้โหดเหี้ยมมาก มีความท้าทายมาก สำหรับบทอย่างนี้นั้น ก็ยังเป็นที่ดึงดูดผมมากเหมือนกัน ก็ยังจะไปเล่นอีก” เมื่อเย้ออ้ายออกอากาศแล้วโหย่วเผิงก็ได้เตรียมตัวสำหรับที่จะรับการตอบรับของผู้ชมที่ไม่เหมือนเดิม เขาหวังว่าอนาคตของเขานั้นจะท้าทายการดูของผู้ชมอย่างไม่หยุด
ขณะที่ได้เอ่ยถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ได้ฉาย (สี่กามเทพ)และ(ตามหาหลิวซันแจ่) โหย่วเผิงก็ยังแถลงว่า ภาพยนตร์กับละครทีวีนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันเยอะ การสร้าง การถ่ายทำสิ่งที่อยากได้มานั้นล้วนต่างกัน ทั้งสองเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนไปเล่นภาพยนตร์จากละครทีวี ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ชิ้นแรกและชิ้นที่สองของผม ต่อจากนี้ไปก็ยังจะมีบทภาพยนตร์ที่แตกต่างกันไปที่จะเล่นอีก
4100
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 07:57:46 PM »
ซูโหย่วเผิง ไม่สามารถเป็นวัยรุ่นตลอดไปได้
ไม่รู้ว่ายังจะเรียกเขาว่าเสี่ยวไกวได้อีกหรือเปล่า ใบหน้าอันมีริ้วรอยนั้นมันกำลังสะท้อนบ่งบอกกับเราว่าเขากำลังพยายามจะมีภาพลักษณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ว่า การที่จะเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งนั้นไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ ดูซิ มีเรื่องเข้ามาอีกแล้ว เขาได้กลายเป็นหลิวเต่อหัวคนที่สองไปแล้ว มีแฟนคลับผู้หญิงที่บ้าคลั้งเขานั้นร้องเรียกเขาว่าที่รักๆ(ผัว) อย่างกะจะเป็นจะตายอะไรอย่างนั้น มันวุ่นวายไปทั้งเมืองเลยแหล่ะ เดิมทีนั้น การงานของเขานั้นไปได้อย่างราบรื่น แต่ทันใดนั้นก็ได้เกิดการสะดุด มันทำให้คนอื่นเสียอารมณ์จริงๆเลย ขณะที่ตอบรับที่จะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวนี้นั้น เขาอยู่อย่างนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นักข่าวถาม ซูโหย่วเผิงตอบ
ถาม . ทำไมคุณพยายามที่จะหลีกเลี่ยงคำถามเรื่องของเสี่ยวหู่ตุ้ยหรือ?
ตอบ . ผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว เมื่อก่อนสื่อถามผม ผมก็ตอบแบบตรงไปตรงมา ว่าตัวเองนั้นยินดีที่จะให้เสี่ยวหู่ตุ้ยออกอัลบั้มอีกชุด แต่ว่าข่าวที่เขียนออกมาจากสื่อนั้นสื่อทำนองว่าผมมันพวกขี้คุย บอกว่าผมไม่มีเวลาที่จะไปซ้อมกับพวกเขา ตอนนี้ทุกคนเข้าใจว่าผมเป็นเหตุที่ทำให้ไม่สำเร็จ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดอีก ผมจะไม่พูดอีกแล้วก็น่าจะดี
ถาม . ในภาพพจน์นั้น เสี่ยวไกวเริ่มจากการร้องเพลงก่อน จากนั้นก็เข้าสู่การแสดงละคร แล้วเข้าไปแล้วก็ทำกันมานานหลายปีเลยทีเดียว ทำไมตอนนี้ได้กระโดดเปลี่ยนมาสู่สนามภาพยนตร์ในทันใดเลยล่ะ รวมทั้งยังแสดงภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง(เฟิงเซิง)เลยนะ ?
ตอบ . คนเราล้วนต้องการที่จะก้าวหน้า อีกทั้ง ผมก็ยังเป็นวัยรุ่นประเภทกระหายความก้าวหน้าอีกด้วย ฮ่าๆ ทุกคนก็สามารถที่จะเห็นว่าผมเดินมาทีละก้าว และกำลังเติบโตอย่างไม่หยุด ถ้าจะพูดนั้น อายุของผมก็ไม่ใช่ว่าเด็กๆแล้ว จะเป็นวัยรุ่นตลอดไปคงไม่ได้ บางที่เมื่อเป็นโอกาสก็อยากให้ผู้ชมได้เปิดหูเปิดตาบ้าง
ถาม . สิ่งที่คุณบอกว่าเปิดหูเปิดตาคือสนามภาพยนตร์ของคุณใช่เปล่า?
ตอบ . พูดอย่างนี้ก็ยังได้ ผมนั้นรอคอยเรื่องเฟิงเซิงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก รู้ไหมว่าในเรื่องนั้นผมได้แสดงเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงด้านละครเพลงด้วย เมื่อก่อนไม่เคยรู้เรื่องละครเพลงอย่างนี้มาก่อนเลย สำหรับผมแล้วมันเป็นอะไรที่ยากมากๆเหมือนกัน
ถาม . คุณเองเป็นคนเอ่ยว่าเมื่อก่อนไม่เคยรับบทที่เกี่ยวกับพวกละครเพลงอย่างนี้มาก่อนเลย งั้นคุณสามารถรับประกันไหมว่าการแสดงครั้งนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวังแน่
ตอบ . อันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผมเองพูดได้ ผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าผมแสดงได้ดีมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อผู้กำกับเลือกผมแล้ว มันบ่งบอกว่าตัวผมเองก็มีความสามารถพอที่จะรับบทนี้ ผมเองก็เชื่อมั่นในตัวเองเหมือนกัน หากว่าไม่มีความมั่นใจแล้วจะไปแสดงได้อย่างไง
ถาม . ก่อนหน้านี้คุณเคยได้ดูต้นฉบับของเรื่อง (เฟิงเซิง) นี้ไหม ? คุณรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน?
ตอบ . เคยดูนะ นี่น่าจะพูดได้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจน่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา ตัวละครที่ผมรับแสดงคือเสี่ยวไป๋เหนียนที่มันจะแตกต่างไปจากเดิมหน่อย จะเน้นและเป็นตัวสำคัญกว่าบทเดิมของมัน ตัวละครนั้นก็มีหลากหลายและมีสีสันมาก
ถาม . นั่นหมายความว่า ในภาพยนตร์นั้นได้เพิ่มบทคุณเข้าไปอีก อย่างนี้แสดงว่าทางบริษัทเขาดีต่อคุณมากๆเลย
ตอบ .นั่นแหล่ะ...ดังนั้นผมต้องแสดงให้ดีที่สุด เช่นตอนนี้ผมเองก็รู้ว่าตัวเองได้รับบทเป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านละครเพลงคนหนึ่ง ผมก็รีบที่จะไปเรียนด้านนี้เพิ่มเติม เริ่มเรียนจากการร้องแบบพื้นๆไปก่อน ทุกอย่างนั้นเป็นการเริ่มต้น
ถาม . งั้นการแสดงละครเพลงครั้งนี้คุณคงลำบากมากๆเลยซินะ มันอาจจะเรียกได้ว่าทรมานเลยมั้ง สิ่งที่ยากที่สุดคืออะไร?
ตอบ . สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำท่าทางของร่างกาย เรื่องนี้มันฝึกยากมาก ไม่ว่าจะเป็นมือไม้แม้กระทั่งตัวก็ต้องอ่อนช้อยไปหมด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือก่อนหน้านี้ผมเองได้ฟิตร่างกายให้มีกล้าม มันไม่ง่ายเลยที่ร่างกายผมจะมีกล้ามขึ้นมาแต่ตอนนี้กล้ามกลับกลายเป็นความยากในการทำให้อ่อนช้อย เช่นครูสอนนั้นสอนผมทำท่าทางของมือไม้ ให้ผมเอามือไปข้างหลังไหล่ ผมรู้สึกตัวเองได้เลยว่ามันแข็งกระด้างมากๆ กล้ามเนื้อนั้นมันแน่นตึงมาก จะงอยังไงก็งอไปไม่ถึง
ถาม . ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ร่างกายก็ต้องเจ็บปวดล่ะซิ?
ตอบ. ตอนเริ่มใหม่ๆก็ใช่ ครูพูดว่า “คุณต้องปล่อยตัวสบายๆ อย่าเกร็ง ๆ” ผมได้แต่พูดกับครูอย่างตรงๆว่า “ครู ผมไม่เกร็งเลยนะ ผมไม่เกร็งจริงๆ และเมื่อได้ผ่านการฝึกฝนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้นั้นก็นับว่าก้าวหน้าไปมากแล้ว ธรรมดามากๆเลย หากว่าผมว่างๆก็จะฝึกซ้อมทำท่าทางไม้มือด้วยตัวเอง
ถาม . เข้าใจว่าคนที่จะเล่นละครเพลงนั้นมือไม้นั้นต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษเลย เป็นอย่างนี้จริงๆเปล่า ?แล้วคุณได้ดูแลอย่างพิเศษบ้างเปล่า?
ตอบ . ใช่ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่จะต้องให้นิ้วมืออ่อนโยน ฉะนั้นการที่จะดูแลรักษามันนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่แล้ว แต่ว่าผมเองก็ไม่ได้ไปสรรหาครืมอะไรมาดูแลรักษาเป็นพิเศษหรอก
ถาม . ดูจากตารางเวลาของคุณในปีนี้แล้ว เวลาส่วนใหญ่นั้นจะทุ่มเทให้กับการแสดงภาพยนตร์เป็นหลัก จริงๆแล้วช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับอะไรอยู่เปล่า?
ตอบ . ตลอดปี 2009 นี้นั้น ผมได้ให้การแสดงภาพยนตร์เป็นเรื่องหลักจริงๆ ช่วงนี้พึ่งถ่ายเรื่อง (ตามหาพี่หลิวซัน, Xun Zhao Liu San JIe) เสร็จไปหยกๆ แล้วก็ต้องรีบไปที่ถ่ายทำของ(เฟิงเซิง)ต่ออีก
ถาม . ได้ข่าวว่าคุณจะเข้าไปเป็นนักรบที่ฮอลลีวูด?
ตอบ . หลังจากเรื่องเฟิงเซิงเสร็จแล้วผมก็จะต่อเรื่อง(อณาจักรปลาคน - Ren Yu Di Guo)ของฮอลลีวูดต่อ สำหรับฮอลลีวูดแล้วผมไม่มีใจกล้าอย่างนั้นที่จะไปบากบั่น
ถาม . คุณตั้งใจว่าจะเข้าฮอลลีวูดโดยผ่านทางเรื่องนี้หรือ?
ตอบ . ฮ่าๆ จริงๆแล้วเรื่องการเข้าสู่ฮอลลีวูดนั้นผมเองก็ไม่มีความกล้าอย่างนั้นหรอก (อณาจักรปลาคน - Ren Yu Di Guo)นั้นสำหรับผมมันเป็นอะไรที่ใหม่ๆเอง ตอนนี้ผมเพียงแต่อยากจะทำงานที่อยู่ข้างหน้าของผมให้มันแล้วเสร็จ
ถาม . ได้ข่าวว่า จะทำแต่ภาพยนตร์ คุณไม่คิดที่จะหันมาแสดงละครเพลงอีกแล้วหรอ?
ตอบ . น่าจะไม่มีอีกแล้วนะ ความพัฒนาของภาพยนตร์นั้นมันเร็ว รวมทั้งช่วงนี้ผมยังรู้สึกที่อยากจะทำเรื่องนี้เป็นอาชีพเลย แน่นอนหากว่าอนาคตมีบทละครที่ดีๆที่น่าสนใจให้เล่นก็ยังอยากจะคิดดูก่อนเหมือนกัน
ถาม . ตอนนี้คุณรู้สึกเกี่ยวกับการรับบทในตอนนี้กับอดีตนั้นมันต่างกันหรือไม่เหมือนกันตรงไหมบ้างไหม?ความหมายของผมคือตอนนี้มีการต่อรองหรืออำนาจในการพูดมากน้อยแค่ไหน?
ตอบ. เป็นนักแสดงนะ การรับบทในสมัยก่อนนั้น ตามความเห็นและมุมมองของผมเองแล้วนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากมายหรอก ก่อนอื่นคือทางบริษัทเขารู้สึกว่าโอเค จากนั้นค่อยให้ผมมาตัดสินใจเอง ตอนนี้ผมเองก็จะพยายามไปรับดูบทด้วยตัวเอง ดูบทที่ไม่เหมือนกัน เพื่อจะเพิ่มศักยาภาพในการแสดงของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญขาดไม่ได้เลยคือต้องมีความท้าทายด้วย
ไม่แต่งงานกับแฟนเพลงหรอ
ถาม. ช่วงนี้ข่าวคุณดังแพร่กระจายไปทั่ว แล้วเจ้าตัวรู้ตัวหรือเปล่า?
ตอบ . ผมก็ได้ยินเหมือนกัน รวมทั้งยังมีนักข่าวโทรศัพท์มาถามผมไม่น้อยเลยที่เดียว จริงๆแล้วเป็นแค่ข่าวเฉยๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าแฟนเพลงคนนั้นเขาประโครมข่าวออกมาเพื่อต้องการอะไรกัน
ถาม . แล้วคุณกลัวไหม ? อดีตเคยมีแฟนเพลงทำอย่างนี้ไหม?
ตอบ. ผมอยากจะบอกกับแฟนเพลงอย่าไปหลงรักคนจนหัวปรับหัวปรำ อย่างนี้มันอันตรายมาก เชื่อว่าศิลปินส่วนใหญ่นั้นชื่นชอบแฟนเพลงที่มีสติ รู้จักคิด ผมเองก็ไม่ต่าง
ถาม . ในเมื่อข่าวในเน็ตที่ว่าคุณแต่งงานกับแฟนเพลงนั้นไม่เป็นความจริง งั้นตัวคุณเองเคยวางแผนเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานไหม?หากจะว่าไปแล้วอายุคุณก็ไม่น้อยแล้วนะ
ตอบ . เรื่องความรักนั้นจำเป็นต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ ตอนนี้ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
ถาม. คุณอย่าเอาข้ออ้างอะไรแบบว่ายุ่งมากมาเป็นโล่เลยนะ
ตอบ . การงานในปีนี้ของผมนั้นยุ่งจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเวลา ผมเองก็กำลังรอกามเทพของผมอยู่เหมือนกัน คุณดูซิ แว่นที่ผมสวม รวมทั้งหนังที่ผมแสดงล้วนแล้วแต่มีกามเทพอยู่ด้วย มัน สวิท(หวาน)มากๆ ผมยังได้แสดงเรื่องผมรักกามเทพอีกด้วย เดือนมิถุนายนนี้จะออกอากาศ
ไม่บังคับว่าต้องเป็นเขยจีนแผ่นดินใหญ่
ถาม . หล่อเจียเหลียง,วุ่ยจิ้นเจ๋, ยังมีอู่ฉีหลง ล้วนเป็นเขยจีนแผ่นดินใหญ่ คุณจะเป็นเหมือนพวกเขาหรือเปล่า?
ตอบ. จริงๆแล้วผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหนก็ตาม เพียงแค่มีการพูดที่เข้าใจกัน มีความสนใจที่เหมือนกันก็เพียงพอแล้วแหล่ะ จุดนี้นั้นผมเองก็ไม่เน้นมากมายหรอก
ถาม . ตอนนี้แม้แต่แว่นตายี่ห้อดังก็ยังหาคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นเพราะคุณดังในเรื่องนี้หรือเปล่า?
ตอบ. มันอาจเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นผมเคยเป็นคนสายตาสั้น 600 มั้ง รวมทั้งผมใส่แว่นก็ไม่ใช่ว่าจะทุเรศเสียเมื่อไหร่ มันดูแล้วเหมือนกับเด็กเรียนเลยแหล่ะ สำหรับเรื่องที่ว่าผมเองดังไม่ดังนั้น ผมว่าก็ยังพอไหวนะ
ถาม . ตอนนี้ศิลปินล้วนแต่ระมัดระวังในเรื่องการเป็นพรีเซ็นเตอร์ คุณเคยคิดหรือใคร่ครวญเรื่องนี้เปล่า?
ตอบ . การเป็นพรีเซ็นเตอร์ครั้งนี้นั้นหลักๆคือผมเองเป็นคนที่ชอบสะสมแว่น ในบ้านยังมีตู้เก็บแว่นที่สร้างมาโดยพิเศษเลย รวมทั้งสองสามปีมานี้สังคมนั้นนิยมแว่นดำเป็นอย่างมาก การเอาแว่นมาประดับให้เข้ากับชุดที่ใส่นั้นเป็นกระแสนิยมของสังคมไปแล้ว แว่นที่ต่างกันออกไปนั้นก็ได้เห็นถึงความเท่ที่ต่างกันออกไป รวมทั้งยังสามารถทำให้เรามีอารมณ์ที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ละวันอีกด้วย อดีตของผมนั้นมักจะชอบสะสมแว่นที่แปลกประหลาดและสีที่ไม่เหมือนชาวบ้าน แต่ตอนนี้นั้นผมจะไม่เลือกอย่างนั้นเด็ดขาด### จบสัมภาษณ์ ###
Thanks,
http://tieba.baidu.com/f?kz=553220811http://xqs.sh333.com/wy/200903/t20090318_2241611.htm
หน้า: 1 ... 203 204 [205] 206 207 ... 216