ALL About Alec SU YOU PENG | รวบรวมผลงานของ ซูโหย่วเผิง > BSYP Fan Actions

ซูโหย่วเผิงนับว่าเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง

(1/3) > >>

Chomnath:
เรียบเรียงโดย พี่หมิง...Chomnath

เนื่องใน วันครบรอบ 38 ปี : Alec Su You Peng

และ

วันครบรอบ 1 ขวบปี บ้านซูโหย่วเผิง www.baansuyoupeng.com
11 กันยายน  2011

เนื่องในวันเกิดครบรอบ 38 ปี ซูโหย่วเผิง
ตลอดการเดินทางบนเส้นทางบันเทิง
เราขออวยพรให้โหย่วเผิงประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน
และพวกเราพร้อมที่จะก้าวไปกับคุณ
สนับสนุนคุณ รักคุณ รักคุณ และก็จะรักคุณตลอดไป

From : suyoupeng thaifans
www.baansuyoupeng.com

-------------------------------------------------------

关于苏有朋 三十八 年周岁生日
一直在影视歌圈生涯之路
我们当即庆祝苏有朋到处遍远达成名
连我们跟着你迈步前进
鼓励支持  爱你  也永远爱着你

泰国朋友影迷 向苏有朋致敬

Chomnath:
ซูโหย่วเผิงนับว่าเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง

ไม่สามารถปฏิเสธการยอมรับ ....โหย่วเผิงในด้านการเป็นนักแสดงที่ว่า   
การเป็นคนบุคลิกดีคนหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับเส้นทางบันเทิงชั่วชีวิต
แต่การผลิกบทบาทครั้งสำคัญๆ ก็กระทบกับภาพลักษณ์ที่ดีไป
มันส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะเป็นนักแสดง
(การเปลี่ยนบุคคลิใหม่ๆ อาจจะขัดใจแม่ยกได้...โดยเฉพาะภาพลักษณ์ปัจจุบัน)   

พูดถึงใบหน้าที่เป็นนักแสดงซึ่งเกี่ยวข้องกับเขาทั้งชีวิตบนจอหนังล้วนเกี่ยวข้องความสำคัญ
บุคลิกหล่อสง่างามสดใสคนหนึ่ง   สามารถให้นักแสดงคนหนึ่งมีโอกาสผลิกผลัน การเป็นนักร้องขวัญใจกลายมาเป็นนักแสดงต้นแบบ ณ ปัจจุบัน ดังนั้นถึงได้รับการตอบรับจากแฟนๆที่ชื่นชอบจำนวนมหาศาล

อาศัยฝึกฝน-ฝีมือด้านแสดงของตนเอง 
ต่อมาได้ปรากฎบนจอหนังใหญ่เรื่อง The Massege
อาศัยความขยันจึงมีฝีมือที่ดี และสามารถเป็นฐานที่ดีให้แก่ตนเอง
และเมื่อวาสนาได้โด่งดังขึ้นมา จึงง่ายมากที่จะโชว์กึ๋น ความเป็น นักแสดงได้อย่างเต็มที่

เรื่อง The massege เป็นการผลิกบทบาทเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างเห็นได้ชัด
จากภาพลักษณ์คนดี กลายเป็นอุปสรรคที่จะรับบทบาทฉีกออกไป
แต่โหย่วเผิงสามารถฉีกบทดังกล่าวให้เราเห็น และประจักรแล้ว

ถ้าเราดูจากหนัง The massege   มีฉากนึง ใบหน้าของเขาปะแป้ง
หัวทาน้ำมันชี้นิ้วมือขึ้น ร้องเพลง หมู่ตันถิง(เก๋ง โบตั๋น)
จากนั้นมองตัวเองที่หน้ากระจก ....ดึง(กำจัด) คิ้วขาว พร้อมกับร้องเพลงไปด้วย
น้ำเสียงค่อยๆเอื่อนเอ่ยช้าๆขึ้นๆลงๆไปตามจังหวะ
หรือแม้แต่บนโต๊ะอาหาร...ชี้นิ้ว ด่าคนได้อย่างเป็นฟืนเป็นไฟ

นี้คือการแสดงที่ได้รับคำชมมากมาย จากนักวิจารณ์ต่างๆ
การเดินบนเส้นทางแผ่นฟลิมโหย่วเผิงได้เริ่มต้นแล้ว

Chomnath:
ในเรื่อง Re Ai-รักเร้าใจ   เขาเล่นเป็นคนประสาท

ในเรื่อง (กูเต่ามี่มี่จั้น)–สถานีลึกลับบนเกาะเดี่ยว   เขาแสดงเป็นไส้ศึกทหารรุกรานจีน   

โหย่วเผิงได้สลายภาพลักษณ์จากอดีต เข้าสู่ภาพลักษณ์ของตัวมายาซึ่งท้าทายตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ท้าทายต่อสายตาของผู้ชม เขาเพียงอยากบอกพวกเราว่า
"ต่อไปผมจะไม่ใช้หน้าตาในการแสดง แต่ผมอยากให้คุณดูฝีมือการแสดงของผม"

....พูดง่ายๆก็คือนับต่อนี้ไป การแสดงไม่ว่าเรื่องไหนๆ ขอปลีกบทบาทอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่
รับบทแต่ผู้ดี-คนดี-ชายหนุ่มชวนฝัน...แต่ขอเดินบนทางที่สามารถเลือกได้ คือบทคนโหด-เลว-หรือบ้าคลั่ง...

ใช่แล้วนี้คือซูโหย่วเผิงหละ 
พ่อโหย่วเผิงก็เคยพูดว่า ผู้ชายที่พึ่งพาใบหน้าตัวเองทำมาหากิน เป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด
ประเพณีของผู้ชาย ตั้งแต่ไหนมาเขาล้วนเห็นว่าวงการบันเทิงหญิงชายพวกนั้น
ล้วนอาศัยหน้าตา(ใบหน้า-สวย-หล่อ) เพื่อการยั่งชีพ
อาศัยช่วงวัยหนุ่มสาวเป็นเวทีไตร่เต้า
เมื่อวัยหนุ่มสาวผ่านพ้นไป(ร่วงโรย)
ก็จะเหมือนกับหมอก เมื่อแดดมาก็จะจางหายไป (ไม่ยั่งยืน)

แต่ถ้าอยู่วงการแสดง อาศัยฝีมือ
หากวงการศึกษาอาศัยสมอง
จะอยู่มั่นคงถาวรชั่วนิรันดร์ ....ขุมทรัพย์ที่ดี

โหย่วเผิงเคยบอกว่า บทบาทเดิมๆเบื่อแล้วน้ำเน่าเกินไปแล้ว
อยากค้นหาสิ่งใหม่ๆ และพร้อมที่จะท้าทายความเปลี่ยนแปลง

พูดถึงพ่อโหย่วเผิง โหย่วเผิงเคยบอกว่า "คุณพ่อหล่อมาก"
และคุณพ่อไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้นที่โหย่วเผิงจะเข้าสู่วงการบันเทิง

โหย่วเผิงตอนวัยเด็กได้ติดตามคุณพ่อออกไปนอกบ้าน
คนเห็นคนชม    แล้วมีคนมาเสนอบอกว่า
เด็กคนนี้เมื่อโตขึ้นสามารถไปร้องเพลงถ่ายหนังได้  มีพรสวรรค์เป็นอย่างดาราได้

คนรอบข้างชมเชยเมื่อพ่อซูได้ยินรู้สึกไม่พอใจเป็นพิเศษ
เขาทนไม่ได้ที่จะให้ลูกชายไปเป็น นักร้อง-ดารา
พวกขายหน้าตา พ่อซูไม่หวังให้ลูกชายเข้าวงการบันเทิง

สิ่งที่หวังหรือคาดหวังคือ อยากให้ลูกชายเรียนหนังสือเก่งๆ
สอบเข้ามหาวิทยาลัย จบมหาลัยไปเป็นทนายความหรือเป็นแพทย์
กับเด็กผู้ชายคนนี้เป็นคนมีเกียรติ สามารถมีเงินเดือนสูงๆได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นดารา

Chomnath:
พฤษภาคม ปี 1988    ส้งเหวินส้าน อยู่ช่องสถานีหัวซื่อไต้หวัน
ทำการเปิดรายการรวบรวมศิลปนักแสดงรายการหนึ่ง
 (ชิงชุนเจิงป้าจั้น)-การต่อสู้วัยหนุ่มสาว

จำต้องเพิ่มพิธีกรวัยรุ่น 3 ท่าน    จึงประกาศรับสมัครไปทั่ว 
ตั้งแต่เด็กรักการเต้น ร้องเพลงของซูโหย่วเผิงเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่คิดอยากพลาดโอกาสดีๆแบบนี้    แต่ใบรับสมัครมีข้อเงื่อนไขคือ
ผู้มาสมัครจำต้องได้รับความเห็นชมจากผู้ปกครองด้วย

ซูโหย่วเผิงคิดซ้ายแลขวา  ตัดสินใจขอให้คุณแม่ช่วย
แม่ซูรู้สึกว่า    ลูกก็โตแล้ว    จำต้องออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกบ้าง
ฝึกฝนสักพักหนึ่ง    แต่แม่ซูก็ไม่กล้าขัดใจพ่อซู 
จึงมีเงื่อนไขกฎเหล็ก 3 ข้อกับซูโหย่วเผิง

1. หากเข้าไปแล้วต้องตั้งใจเรียน
2. ห้ามมีผลกระทบต่อการเรียน
3. กลับบ้านตรงเวลา

ถ้าทำได้แบบนี้แม่ก็สามารถช่วยลูกปิดบังพ่อของลูกได้

จึงเป็นอย่างนี้    ซูโหย่วเผิงและเสี่ยวหู่อีก 2 ได้มีชื่อว่า ”เสี่ยวหู่ตุ้ย”
ไม่มีใครคาดคิดถึงได้    เสี่ยวหู่ตุ้ยกลับประสบความสำเร็จจึงโด่งดังไปทั่วทั้งเกาะ
หนังสือพิมพ์หน้าแรกคอลัมส์แรกถูกตีพิมพ์
รายการโทรทัศน์แพร่ข่าวอย่างคึกโครม    เหตุการณ์แบบนี้   
คิดอยากปิดบังพ่อซูอีกจึงไม่สามารถปิดบังได้

พ่อซูเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ สิ่งที่ไม่อยากเห็นของเขาได้เกิดขึ้นแล้ว
อาศัยใบหน้าหากินคุณรู้สึกว่ามีเกียรติไหม เขาดุซูโหย่วเผิง
อาชีพนี้คุณสามารถหากินได้นานแค่ไหน
การเผชิญหน้าถูกคุณพ่อดุ    ถึงแม้ในใจ ซูโหย่วเผิงจะกลัวต่อสิ่งที่คุณพ่อดุ
แต่ภายในยังแอบต่อต้าน..ผมไม่ได้พึ่งพิงหน้าตาหากิน...ทุกคนชอบเพลงของผม..นี่ก็คือพลังของผม

ไม้ได้แกะทำเป็นเรือแล้ว  จะให้กลับคืนมาเหมือนเดิมหมดเรี่ยวแรง
พ่อซูมีแต่ยอมถอยหนึ่งก้าว    ร้องเพลงสามารถร้องได้ 
การเรียนการบ้านไม่สามารถเสียได้ ยังมี  ต้องจดจำไว้
ผู้ชายอาศัยหน้าตาหากินน่าละอาย   สักวันหนึ่งคุณไม่โด่งดังแล้ว   
ท่านผู้ชมก็จะลืมคุณแล้ว    นี่ก็คือเป็นสิ่งที่ขายขี้หน้าของคุณที่สุด

วัยรุ่น 16-17 ปี    เลือดยังเร่าร้อน    ใจทระนงสูงส่ง
ซูโหย่วเผิงถูกคุณพ่อดุด่าก็ไม่ถือสา
ทุกคนล้วนต้องหันมาที่ตัวเองเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
เพียงแต่ว่า    ความเชื่อมั่นตัวเองคือสิ่งของอะไร

เมื่อเวลาวัยรุ่น    พวกเราย่อมเห็นว่าตัวเองมีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่มีแรงพลังมหาศาล
เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ง่ายพลิกฝ่ามือต่อมาจึงสะดุดล้มลง
ถึงพบตัวเองว่าแค่เป็นลุกบอลล์เท่านั้น    มีแต่ตัวเองคิดเอาเอง
แท้จริงแล้วไม่ใช่นกโผบินบนกลางอากาศ    กางปีกบินอย่างทระนงเสมือนแบกรับไม่รู้จักพอ

จากลูกบอลล์ถึงนกบิน  สมมุติเป็นม้าได้มาถึงทุ่งหญ้าสีเขียว
ไม่มีใครคาดรู้ถึงจำต้องวิ่งทรายเหลืองสักเท่าไร   
ก็เหมือนคันธนูหนึ่งคัน    ขณะก่อนจะยิงธนูทะลุ
ใครทราบได้ต้องเสียดสีความเจ็บปวดใช้เวลาเท่าไร
ธรรมดามีพลังกล้าหาญเท่าไร    ธรรมดาคนวัยรุ่นก็ไม่ทราบ
จากเสียงร้องไห้ได้ฟันฝ่าออกไป

Chomnath:
ปี 1991    สาเหตุมาจากต้นเหตุต่างๆ    เสี่ยวหู่ตุ้ยจึงแถลงการณ์แยกย้ายกันไป

เมื่อทำนองเพลงยังไม่สิ้นสุด    คนจึงได้แยกย้ายกันไป   
เป็นสิ่งที่เสียดายของแฟนๆที่ทั้ง 3 คนต้องมาแยกจากกันไป
ซูโหย่วเผิงก็ได้รับปากกับคุณพ่อซูว่าจะกลับไปตั้งใจเรียนหนังสือ
ทำให้ฝันของคุณพ่อเป็นจริง เพราะตั้งแต่ต้นคุณพ่อก็ไม่อยากให้เข้ามาวงการบันเทิงอยู่แล้ว

PS. เสี่ยวหู่ตุ้ยอดีตเป็นนักร้องวัยรุ่นที่เคยดังที่สุดในไต้หวัน
ได้สร้างสถิติใหม่ของโลกและจีนมาแล้วมากมายหลายรายการ
ช่วงปี 80, 90 นั้นได้ดังระเบิดในแวดวงชาวจีนเป็นอย่างมาก
เหตุด้วยการที่จะต้องไปเกณฑ์ทหารและเรียน

ปลายปี 1991  พวกเขาได้ทำอัลบั้ม(ไจ้เจี้ยนลาก่อน:Goody-Bye)
เพื่อจะประกาศการแยกย้ายกันชั่วคราว
ตอนนั้นผ่านทางบทเพลงพวกเขายังให้คำมั่นสัญญากับแฟนๆว่า
”พรุ่งนี้พวกเรายังจะต้องพบกันใหม่ เสมือนเมฆขาวที่จางหายไปแค่ชั่วครู่”

ขอยกคำพูดพ่อซูมาค่ะ

เสียงต่อว่าของพ่อซูจึงดังขึ้นอีก น้ำครำของวงการบันเทิงเดิมแท้จึงไม่ควรไปเหยียบย่าง
พูดถึงที่สุดแค่ข้าวรับประทานตอนวัยหนุ่มสาวได้แค่ชามเดียวเท่านั้น 
ชื่อเสียงถึงแม้ได้มาเร็วแต่หล่นลงก็เร็ว  าราอะไร ใช้คำพูดโบราณกล่าวก็คือหนังงิ้วนั่นเอง
หนังงิ้ว คือชาวบ้านเด็กคนจนเมื่อไม่มีหนทางไปจำยอมที่จะกระทำอย่างนี้ เกาหัวแสดงท่าทาง
อาศัยใบหน้าหากิน    ได้ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ    วงเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกย้ายทั้งไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหาย
คุณสามารถมีเวลามากกว่าไปเล่าเรียนให้ดีๆ

ไม่มีทางอื่น  ซูโหย่วเผิงได้หวนกลับมามหาวิทยาลัยไต้หวันอีก
แต่ว่เกี่ยวกับก่อนหน้านั้นได้เรียนคณะวิศวกรรมจักรกลของเขาไม่มีความชอบเลย
เขาได้แอบย้ายไปเรียนคณะบริหารธุรกิจ สิ่งที่เขาคิดอยากเปลี่ยนจากวิศวะมาเป็นบริหารได้ลือกันไปทั่ว
โดนทางบริษัทต่อต้าน เมื่อถูกสังคมวิจารณ์ชั่วขณะมันเหมือนโดยควันไฟพุ่งขึ้นไปทั่ว
อุปสรรคต่างๆนานาลุมล้อมเข้ามาหลายต่อหลายรอบ   
การเปลี่ยนไปเรียนอีกสาขาหนึ่งในที่สุดไม่ได้สมความปรารถนา
ด้วยแรงกดดัน-แรงเสียดทานหลายๆอย่าง
จึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ซึ่งในตอนนั้นเรียนไปได้ ปีที่ 3 แล้ว

ps. ที่ย้ายคณะไม่ได้อีกประการหน้าจะเป็นโหย่วเผิงเรียนคณะวิศวะจะจบอยู่แล้ว
แต่ว่าหากย้ายคณะก็ต้องกลับไปเก็บวิชาอื่นๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลาเรียนต่ออีกประมาณ 3 ปี

ก็ระหว่างเวลานี้    ในบ้านซูโหย่วเผิงมีเรื่องเหตุการณ์เกิดขึ้น    ซื้อบ้าน   
เงินบ้านก้อนโตต้องชำระคืน    คุณแม่อยู่เขตพื้นที่ห่างไกลจากโรงเรียนเพื่อทำหน้าที่เป็นครู
ทุกวันขับรถมอเตอร์ไซด์เจอทั้งลมทั้งฝน   ซูโหย่วเผิงปวดใจแทนแม่
กัดฟันสู้ทนเพื่อซื้อรถใหม่ให้แม่    ตัวเองเช่าหอพักก็มีค่าใช้จ่าย
เดือนหนึ่งต้องใช้จ่ายเงินไต้หวัน 2 แสนหยวน   หลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกย้ายกันแล้ว
รายได้ของเขาจึงลดฮวบลง    บัญชีเงินฝากในธนาคารคงเหลือ 7 หมื่นหยวน
นี่ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะหามาจ่ายชำระได้ ซูโหย่วเผิงตัดสินใจหยุดการเรียน
ได้เข้ามาสู่วงการบันเทิงอีก    เพื่อดิ้นรนหาเงิน

ข่าวร้ายย่อมลือแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว    ซูโหย่วเผิงได้หยุดเรียน
เวลาอันดับแรกได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ไต้หวันทุกฉบับ
หนังสือพิมพ์หลายฉบับกล่าวไว้ว่าก่อนหน้านั้นซูโหย่วเผิง ”เป็นคนชอบเที่ยวแล้วชอบเรียนหนังสือ”
ลักษณะของไกวๆหู่ซึ่งถูกหล่อหลมออกมา-เป็นฉากแสดงชนิดหนึ่ง แท้จริงแล้วเขาทำไม่ได้
เขาไม่ใช่คนเก่งจริง เป็นการปั้นแต่งของบริษัทก็เท่านั่น ข่าวโจมตีอย่างสนุกสนาน
เสียงด่าทอถูกพาดหัวข่าว...เป็นเรื่องธรรมดาภาพลักษณ์ของซูโหย่วเผิง
ถูกผู้คนซ้ำเติบจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน
ซูโหย่วเผิงเหมือนดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก

เหตุการณ์นี้  หลังจากเขาได้ออกอัลบั้มเพลงหลายๆอัลบั้ม
ยอดขายไม่ได้รับการตอบรับอย่างที่ควร
ชีวิตปกติครั้งแรกซูโหย่วเผิงได้ชิมรสแล้ว(ไม่เหมือนตอนอยู่เสี่ยวหู้ตุ้ยแล้ว)
ถึ่งแม้ตอนนี้ได้รับเสียงปรบมือ-ปลอบใจดังกึกก้องอย่างมีเกียรติ
แต่ก็ยังสู่เสียงสาปแช่งด่าทออย่างรุนแรง เป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิต
ซึ่งนำพาความปวดร้าวใจมาให้...

(ถึงว่าโหย่วเผิงอยากจะสลัดคราบไกวๆๆหู่ออกไปจากตัวเอง)

ตอนนี้เขาอยากจะใช้เวลาที่มีเป็นช่วงเวลาของตัวเอง ...เวลาของเสี่ยวไกวสิ้นสุดแล้ว
ใช้ช่วงเวลาเงียบสงบพิจารณาทบทวน ไตร่ตรองกับสิ่งที่เกิดขึ้น

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version