รายงาน ปรัชญาชีวิตที่สู้ไม่ถอย
นี่เป็นเรื่องราวที่ให้กำลังใจมากๆ (โหย่วเผิงก็เคยเอาเรื่องราวนี้มาแบ่งปันที่ Blog ส่วนตัว)
ปี 1980 เดวิดเรียนหนังสือมหาลัยในเมืองหนึ่งของอเมริกา ค่าใช้จ่ายในมหาลัยนั้น หลักๆคือแต่ละเดือนพ่อแม่จะส่งเงินให้เขา
ไม่รู้เพราะอะไร สองเดือนแล้วที่ทางบ้านไม่ได้ส่งเงินมา กระเป๋าตังค์ของเดวิดนั้นเหลือเงินเพียงหนึ่งเหรียญ เดวิดที่ท้องที่ร้องจ๊อกๆก็รีบเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ แล้วรีบหยิบเหรียญที่มีอยู่ซึ่งเป็นเหรียญสุดท้ายออกมาแล้วหยอดเข้าไปในตู้ “สวัสดี” โทรติดแล้ว เป็นเสียงของคุณแม่ที่อยู่ในแดนไกลเป็นผู้รับโทรศัพท์
น้ำเสียงของเดวิดที่ร้องไห้และหิวกล่าวว่า “คุณแม่ ผมไม่มีเงินแล้ว ตอนนี้หิวมากๆเลย”
คุณแม่พูดว่า “ ลูกรักจ๋า แม่รู้”
รู้แล้วทำไมยังไม่รีบส่งเงินมาให้ล่ะ เดวิดจะพูดประโยคนี้ออกไปให้คุณแม่อย่างโมโห แต่ก็รุ้สึกถึงน้ำเสียงของคุณแม่ที่ซึมเศร้าเปลี่ยนไป เดวิดรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว เขารีบถามว่า “คุณแม่ ในบ้านเกิดเรื่องไรขึ้น”
คุณแม่พูด “ ใช่ ลูกเอ๋ย คุณพ่อป่วยหนักมาห้าเดือนแล้ว ไม่เพียงแต่เงินที่สะสมมาใช้หมด และงานที่เคยทำก็ไม่มีแล้ว เงินที่มาจูนเจือครอบครัวก็ตัดขาดไป ด้วยเหตุนี้ สองเดือนที่ผ่านมาแม่ไม่มีเงินที่จะส่งให้ลูกใช้ เดิมที่แม่ไม่อยากจะเล่าให้ลูกฟัง แต่ว่าลูกก็โตแล้ว อาจต้องหาเงินเรียนและเลี้ยงดูตัวเอง”
ผู้เป็นแม่นั้นพูดไปก็ร้องไห้ไป
สายโทรศัพทัยังไม่ขาด น้ำตาของเดวิดก็ไหลลงมาอย่างสายน้ำ ในใจคิดว่า คงจะต้องพักการเรียนแล้วกลับบ้าน
เดวิดพูดกับแม่ว่า “คุณแม่ ท่านอย่าเสียใจเลย ผมจะรีบไปหางานทำ จะเลี้ยงดูพวกท่านแน่นอน”
เรื่องราวที่เหี้ยมโหดนั้นทำให้เดวิดล้มทั้งยืน ยังมีอีกเดือนเศษๆ ก็จะจบเทอมแล้ว หากว่ามีเงินสักสิบเหรียญหรือแปดเหรียญ เดวิดก็สามารถจะอยู่รอดถึงช่วงซัมเมอร์ได้ แล้วใช้ช่วงเวลาซัมเมอร์สองเดือนในการหางานทำ แต่ว่าตอนนี้แม้แต่สตางค์เดียวก็ไม่มี ต้องลาออกจากการเรียนแล้ว เดวิดพูดกับผู้เป็นแม่ว่า “บ้าย บาย” ก่อนจะวางโทรศัพท์นั้นจิตใจแสนจะเจ็บปวด เพราะผลการเรียนของเขานั้นดีมาก และยิ่งกว่านั้นเขาชอบความเป็นอยู่ในมหาลัยนั้นมากๆ หลังจากที่วางสายแล้ว มีเสียงดังจากตู้โทรศัพท์ เดวิดมองไปแล้วทั้งตกใจและดีใจที่เห็นเหรียญร่วงลงมาจากตู้ เขาดีใจมากๆ ยื่นมือไปควักเหรียญเหล่านั้น
จะทำอย่างไรกับเหรียญเหล่านี้ดีล่ะ? ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยคำถาม เก็บไว้ใช้เอง ก็ทำได้ เพราะไม่มีใครเห็นเลย บวกกับตอนนี้ร้อนเงินมากๆด้วย แต่เมื่อคิดไปคิดมา เดวิดคิดว่าไม่ควรจะเก็บเอามาเป็นของตัวเอง เมื่อชั่วเวลาแห่งการขัดแย้งในใจผ่านไป เขาได้เอาเหรียญหนึ่งหยอดลงในตู้ ได้โทรไปหาพนักงานขององค์การโทรศัพท์
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเดวิดแล้ว ทางพนักงานบอกว่า “เงินนั้นเป็นขององค์การ ฉะนั้นขอให้หยอดเหรียญลงไปในตู้”
หลังจากที่สิ้นเสียงนี้ เดวิดก็ได้เอาเหรียญต่างๆหยอดเข้าไปในตู้ เมื่อเหรียญตกลงไปทีละเหรียญ ตู้โทรศัพท์ก็มีเหรียญตกลงมาทีละเหรียญเหมือนกัน
แล้วเดวิดก็ได้โทรศัพท์ไปหาพนักงานองค์การอีกครั้ง ทางพนักงานบอกว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เดี๋ยวฉันจะรายงานให้หัวหน้าก็แล้วกัน” เดวิดที่โดดเดี่ยวเดียวดายก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ข้างๆตู้ และทางพนักงานก็ได้ยินเสียงของเขาที่ทุกข์ใจ เธอรู้สึกว่าชายผู้ดีผู้นี้ต้องการการช่วยเหลืออยู่ และไม่กี่วินาที ทางพนักงานก็ได้โทรเข้าตู้โทรศัพท์ที่มีปัญหานั้น เธอบอกกับเดวิดว่า “ฉันได้บอกให้กับทางหัวหน้าแล้ว หัวหน้าบอกว่าจะมอบเงินเหล่านั้นให้คุณ เพราะตอนนี้พนักงานบริษัทเรานั้นขาดคน แค่เงินไม่กี่เหรียญก็คงจะไม่ลำบากที่จะไปเอามา” อ้า เดวิดดีใจกระโดดเต้น ตอนนี้ เงินเหล่านี้ก็เป็นของตัวเองโดยไม่ผิดแล้ว แล้วเขาก็นั่งลง บันเหรียญที่เหลือยังตั้งใจ ทั้งหมดเป็น๙เหรียญห้าสิบเซน เงินเหล่านี้สามารถยังชีพเดวิดได้จนถึงเวลาทำงานครบเดือนเลย ขณะที่เดินไปที่มหาลัย เขายิ้มตลอดทาง เขาตัดสินใจเอาเงินส่วนหนึ่งไปซื้ออาหาร แล้วไปหางานรับจ๊อบทำ
พริบตาเดียวถึงซัมเมอร์แล้ว เดวิดได้งานเช็กสต๊อกของบริษัทหนึ่ง วันนั้น เดวิดได้เจอเจ้าของบริษัท และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตู้โทรศัทพ์และการหางานทำของเขาให้กับเจ้าของร้านฟัง ทางเจ้าของบริษัทบอกเขาว่าสามารถมาทำงานได้ทุกเวลา ไม่เพียงแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น เวลาที่ว่างจากากรเรียนหรือการเรียนไม่หนักก็สามารถมาทำได้ เพราะเจ้าของบริษัทรู้ว่าเดวิดเป็นคนที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ บวกกับเป็นคนที่ระมัดระวัง เหมาะกับการจะเป็นผู้เช็กสต๊อก
เดวิดทำงานอย่างขยันขันแข็ง เจ้าของบริษัทชอบเขามาก ทั้งยังเข้าใจสภาพของเขา ทางเจ้าของบริษัทได้ให้ค่าจ้างสองเท่ากับเขา หลังจากที่เขาได้เงินเดือนแล้ว เดวิดเอาเงินเหล่านั้นรีบส่งไปให้คุณแม่ เพราะตอนนี้เขาได้ข่าวว่าเขาได้ทุนการศึกษาแล้ว หนึ่งเดือนต่อมา เงินที่ส่งไปนั้นกลับส่งกลับมา ในจดหมายแม่เขียนว่า “โรคของคุณพ่อนั้นดีขึ้นมากแล้ว แม่เองก็หางานใหม่ได้แล้ว สามารถที่จะอยู่ได้ ลูกต้องตั้งใจเรียน อย่าอดๆอยากๆล่ะ” หลังจากที่อ่านจดหมายแล้ว น้ำตาเดวิดก็ไหลลงมา เขารู้ดีว่า แม้พ่อแม่นั้นจะอดจะหิว ก็ไม่อยากมาขอเงินจากลูกไปใช้จ่าย ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เขาได้เพียงน้ำตาคลอเป้า เจ็บปวดในจิตใจ
หนึ่งปีผ่านไป เดวิดได้จบการศึกษาที่นั่น หลังจากที่จบแล้ว เขาได้ไปเปิดบริษัทใหม่แห่งหนึ่ง ปีแรก เดวิดสามารถทำกำไรกว่าแสนเหรียญ แต่เขาก็ไม่เคยลืมที่เคยใช้เงินจากตู้โทรศัพท์ แล้วเขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้กับองค์การโทรศัพท์ “เรื่องที่ผมไม่เคยลืมเลยนั้น คือทางบริษัทได้ให้เงินช่วยเหลือที่ไม่ได้ตั้งใจให้กับผม “๙เหรียญห้าสิบเซน” พระคุณอันนี้นั้น ทำให้ผมไม่ต้องลาออกจากโรงเรียน เดินสู่เส้นทางที่ลำบาก ขณะเดียวกันก็ได้สร้างแรงบันดาลใจกับผม สร้างผมให้รู้จักสู้ชีวิต ตอนนี้ผมมีเงินแล้ว ผมอยากจะตอบแทนให้ทางองค์การด้วยเงินหนึ่งหมื่นเหรียญ เพื่อเป็นสิ่งเล็กน้อยจากใจผม” และทางผู้จัดการองค์การก็ได้ตอบจดหมายรับน้ำใจนี้ไว้ว่า “ยินดีกับคุณที่เรียนจบการศึกษา การงานรุ่งเรือง พวกเราคิดว่า เงินเหล่านั้นเราใช้ได้คุ้มค่ามากๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเงิน ๙ เหรียญห้าสิบเซนมาแลกกับเงินหมื่นเหรียญ แต่หมายความว่าเงินนั้นสามารถทำให้คนคนหนึ่งเข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิต ในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดนั้น จะไม่ลืมว่าความหวังกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า อย่างที่สองคืออย่าลืมที่จะรักษ์ความดีงามนี้ไว้”
ยี่สิบปีผ่านไป เดวิดเป็นอย่างไรบ้าง ในเมืองแห่งหนึ่งในอเมริกา มีตึกทีสวยงามตึกหนึ่ง ตึกนั้นรูปทรงสร้างเหมือนตู้โทรศัพท์มาก นั่นก็คือสำนักงานของบริษัทADDC และผู้ก่อตั้งบริษัทนี้นั้น ตอนนี้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ก็คือเดวิดเอง และเขาก็ยังเป็นผู้สนับสนุนเงินให้กับมูลนิธิฟีลิปที่มากที่สุดคนหนึ่งด้วย