Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > SCOOPS & SPECIALS

2010 หยิบบทความดีเลิศให้แก่ญาติพี่น้องมิตรสหายแบ่งปันรับรู้

<< < (2/3) > >>

Chomnath:
         


          เรื่องเล่นการแสดงนั้นเป็นเรื่องง่ายธรรมดา   ใครๆ ก็เล่นได้    แต่ตัองเรียนหนังสือไปด้วยทำได้หรือเปล่า?    เรียนหนังสือใครๆ ก็เรียนได้   เพียงแต่เอาหนังสือมาเรียนยังไงหรือ?   ให้เรียนทั้งปีเรียนอย่างเดียวและต้องเรียนให้ดีเด่น  นับเป็นสิ่งที่ยากมาก
   
          แต่ทว่าใน “เสี่ยวหู่ตุ้ย” แบ่งงานอย่างชัดเจน   อู๋ฉีหลง รับผิดชอบ งานบู๊(กำลัง) แล้วเขาถูกมอบงานบุ๋น (วิชา)ให้ส่วนหนึ่ง     เขาเพียรพยายามเพื่อตัวเองสอดคล้องใน“เสี่ยวหู่ตุ้ย”


เสือเชื่อฟัง ได้ถูกขนานนามชื่อนี้

          ผลคะแนน ม.ปลาย ทั้ง ม.5 และ ม.6    ทั้งชั้นมีเพียงซูโหย่วเผิงเรียนได้แค่เศษส่วนซึ่งคะแนนพลิกกลับได้ไม่กี่คน    ผลคะแนนเปอร์เซ็นขึ้นชั้นเรียนนี้คือได้ที่ 1 ในโรงเรียน    ผลคะแนนเป็นหนึ่งทุกอย่าง   มีใครมาควบคุมคุณหรือคุณมีหุ่นแบบไหน    ที่จริงไม่มีใครมาสนใจคุณ

          คนส่วนใหญ่อยู่นอกวงการมีแรงกดดันแบบไร้เงา   แต่กับซูโหย่วเผิงยิ่งได้รับการสนับสนุนจากแฟนเพลง  สิ่งนั้นกลับแปรเป็นแรงกดดันแทบแบกรับไม่ไหว   ได้รับด้านหนึ่งอีกด้านหนึ่งก็มีอีกแบบ  บางคนยังกับรอดูเรื่องการเรียนของเขาเหมือนรอดูหนังดีของเขา   ลักษณะท่าทางทั้งหวังดีเป็นแรงใจและกดดันจับตาเฝ้ามองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการเรียนของเขา

           ดังนั้น   เมื่อขึ้นชั้นเรียน ม. ปลายปีที่ 3 ( ม.6) ในภาคฤดูร้อนปีนั้น   คุณแม่ของซูโหย่วเผิงและบริษัทคุยเจรจากัน   ท้ายสุดผลลัพธ์คือ   บริษัทงดกิจกรรมการแสดงทุกสิ่งของเสือเชื่อฟัง มีกำหนดสัญญา 1 ปี    หลังการสอบเข้ามหาลัยเสร็จแล้ว  จึงค่อยดำเนินงานการแสดงต่อไป

          ขึ้นชั้นเรียน ม. ปลายปีที่ 3 (ม.6 )   ซูโหย่วเผิงก็เหมือนนักเรียนทั่วไป   ใส่ชุดฟอร์มโรงเรียนเหมือนกัน   แล้วตัดผมเกรียมสั้นๆ   อยู่ในโรงเรียนทุกหัวมุมมีแต่นักเรียนอ่านหนังสือ   เพียงแต่แตกต่างไม่เหมือนเดิมตรงที่  ตอนนี้เขาไม่มีความเชื่อมั่น    เขาได้สูญเสียความทรนง   ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดมาตั้งแต่วัยเด็ก

          การถูกโจมตีล้มเหลวแบบใจเชื่อมั่น สามารถเพียงคืนเดียวเท่านั้น   แต่ว่าใจเชื่อมั่นที่ก่อขึ้น ซึ่งคือความอ่อนเพลียที่สะสมมา ยาวนาน
ความเชื่อมั่นที่ล้มเหลวนี้  เขาอาจสามารถฟื้นคืนมาได้ภายในคืนเดียว  แต่ว่า สิ่งที่ทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นทรนงที่แท้จริง เกิดจากการอ่อนเพลียสะสมมายาวนาน (อาจหมายถึงเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาเป็นพลังนั้น ซูโหย่วเผิงสามารถทำได้  แต่เรียกความรู้ที่ไม่ได้รับในช่วงที่อ่อนเพลียมานานนั้น  ต้องใช้เวลาอย่างหนัก)




 
         เขารีบเร่งเรียนหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย   ทุกๆ วันเขาจะเรียนถึงดึกดื่นค่อนคืน   เพียงแต่ผลคะแนนก็ยังไม่เห็นคืบหน้าขึ้น   เขารู้สึกมึนงงไปหมด   เขาหมดกำลังใจแบบใจร้อนรนมาก    เขาไม่มีทางนำเอาความร้อนรนในใจแสดงออกมาให้คนในบ้านรู้    ถ้าทำให้คนในบ้านรู้แล้ว   ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ไม่ว่าเรื่องอะไร    หนังสือยังต้องให้เขาเรียนต่อไป    อย่างมากคนในบ้านแล้วรอจนถึงดึกดื่น เที่ยงคืน ค่อยส่งนมอุ่นๆแก้วหนึ่งมาให้ดื่มเท่านั้น   แรงกดดันบนบ่ายังต้องไปแบกหาม

          เขาใช้ความพยายามสมัครเรียนพิเศษซึ่งมีครูสอนพิเศษที่สอนเก่ง   กลางวันอยู่ที่โรงเรียนเจี้ยงจง เรียนหนังสือ    กลางคืนยังต้องอยู่ในห้องเรียนเรียนพิเศษ  เก็บเกี่ยว 2 ปีที่แล้ว  ที่การเรียนแย่ลง เขาจึงต้องกู้คืนกลับมาทั้งหมด   แต่ว่ามีสิ่งต่างๆ มากมายเหล่านี้   ทำยังไงที่จะกู้คืนกลับมาได้ง่ายๆ  ทำให้ทั้งหมดเป็นไปได้   จนถึงตอนสอบในห้องเรียน  การเรียนก็ยังกู้กลับคืนมาได้ไม่หมด

          มีอยู่ครั้งหนึ่งสอบรายเดือน   ซูโหย่วเผิงลืมว่าสอบได้อันดับที่เท่าไร   ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เป็นผลคะแนนที่ดี   เขารู้สึกนักเรียนรอบๆ ทิศ  ล้วนมองดูเขาหัวเราะเยาะเขา   เขามองในอนาคตต้องมีแม่คนหนึ่ง นำลูกของตัวเองเดินเล่นบนท้องถนนเพื่อให้เขาเดินออกมา หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า  ดูซิ   ที่บอกว่าสามารถเล่นได้แล้วก็เรียนหนังสือได้ด้วย  ล้วนเป็นคนโกหกทั้งเพ   คนโกหก
         ความคิดอย่างนี้อยู่ในสมองของเขาจนกระทั่งจางหายไปเอง


          ซูโหย่วเผิงคิดอยากถามเพื่อนนักเรียนว่า หัวข้อสอบนี้ทำอย่างไร   หัวข้อสอบนั้นอธิบายอย่างไร   แต่ว่าเพื่อนนักเรียนทั่วไปล้วนไม่ใยดีเขา   เขาจึงเข้าใจว่าเขาต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น   มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่พึ่งได้
 
          เวลานั้นในห้องครูสอนพิเศษ  ทุกๆ วัน ยังมีโทรศัพท์พร้อมจะให้ความช่วยเหลือมาจากแฟนเพลงทั่วทั้งไต้หวัน  ที่ยิ่งบ้า ก็คือ ยังมีนักเรียนสาวรออยู่หน้าประตูโรงเรียน   เพียงแค่ขอคุยกับเขาไม่กี่คำ  “ฉันจะสนับสนุนคุณคะ”

          เวลานั้นการบันทึกรายสัปดาห์ของเขาเขียนแบบสะดุ้งใจหาย   (ใครคือฆาตกรสังหารดารารุ่นพี่ใหญ่)    อักษรไม่กี่ตัว   เขาจึงเอาแรงกดดันของเขาเพื่อมาแปรสภาพเป็นตัวอักษร   ก็เป็นเชิงพิธีโฆษณาออกมาชนิดหนึ่ง   ดารารุ่นพี่ใหญ่ถูกแรงกดดันสังหารแล้ว



   
          จนกระทั่งก่อนปิดเทอมช่วงฤดูหนาวจะมาถึง   การบ้านการเรียนยังคงไม่เป็นที่ถูกใจเหมือนเดิม  ต่อมามีอาจารย์แซ่เซี่ยซึ่งรู้มาก่อนว่าในโรงเรียนมีบุคคลสำคัญ   เพียงแต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน   อาจารย์แซ่เซี่ยได้ส่งกระดาษให้เขาแผ่นหนึ่ง  แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจ   จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง   เดินเข้าไปในโรงเรียน   อาจารย์เซี่ย จึงจำเขาได้    กล่าวกับเขาว่า “ คุณคือ นักศึกษา ม. ปลายปีที่ 3 ห้องเรียนที่ 30 ซูโหย่วเผิง ใช่หรือไม่?”
          เขาหันกลับมา   “ เอ้อ....”
       
           พออาจารย์ได้เห็นตัวจริงนักเรียนคนนี้   ล้วนไม่มีแววสักนิด   สามารถพูดได้ไม่มีความเชื่อมั่นของตัวเองสักนิดเดียว   ใส่แว่นตาทึบๆ หนาๆ เหมือนก้นขวดเบียร์    ช่างธรรมดาน่าเกลียด   ล้วนไม่มีแบบอย่างเป็นดารานักร้องสักนิด   จากวันแรกเริ่มรู้จักกัน   พวกเขาต่างมีใจรักแบบศิษย์อาจารย์อย่างลึกซึ้ง
       
           อาจารย์เซี่ย สอนให้เขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง   นั่งแบบนิ่งๆ  เกี่ยวกับทั้งสมองล้วนเป็นเสียงของอาจารย์ เขากล่าวได้ว่าอาจารย์ส่งถ่านร้อนๆ ในท่ามกลางหิมะ   ซึ่งเป็นยาดีที่ต้องจดจำตลอดชีวิต    เขาจึงค่อยๆ รวบรวมกำลังสติสมาธิไปแยกแยะปัญหา แล้วไปแก้ไขปัญหา ไปคันพบความเป็นจริงของปัญหา ไปมองดูปัญหาบางส่วนให้แจ่มแจ้ง

           รวบรวมสมาธิความคิดแล้ว   อัตราผลการเรียนก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว   ผลคะแนนการเรียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
 
          หลังสอบครั้งแรกภาคปิดเทอมฤดูหนาวสิ้นสุดลง   ผลคะแนนสอบก็วิ่งเร็วฉิว  ในระดับเดียวกับเพื่อนนักเรียนของเขา  ซึ่งพอประกาศผลสอบบนบอร์ดแล้ว  ตรวจสอบลำดับชื่อของตัวเอง  ดีมาก ลำดับที่ 21 - 22  ผ่านการฝึกฝนช่วงภาคปิดเทอมหน้าหนาวได้ผลดีมาก   เวลานี้มีเพื่อนนักเรียนขั้น A  กล่าวว่า  ซูโหย่วเผิงสอบไม่เลว

เพื่อนนักเรียนขั้น B  ตอบว่า  แน่นอน   แม้กระทั่ง ซูโหย่วเผิง ถ้าสอบไม่ดีเขายังจะมาร่วมตรวจสอบดูไหม

           เวลานี้เขามีความรู้แน่นขึ้นแล้ว    จริงๆ แล้วความเป็นซูโหย่วเผิงที่แท้จริง  เขาเรียนหนังสือได้ดีถึงรากลึกขั้วแข็งแรงในสายตาทุกคน   ดังนั้นเขาเพียงแต่บังคับตัวเองไปฝึกเรียนหนังสือให้ดีขึ้น  เพื่อรับมือกับการสอบทุกชนิดทั้งเล็กทั้งใหญ่


Chomnath:




         ครึ่งปีต่อมา   เขาก็ออกอัลบั้มของตัวเองออกมา คือ อัลบั้ม  “หว่อจือเย้า หนี่อ้ายหว่อ” (ผมเพียงแต่ขอให้คุณรักผม)  จึงได้รับผลคะแนนสอบที่ไม่ธรรมดา
         
         เดิมที จางเสี่ยวเยี่ยน นึกว่าเขาจะกลายเป็นวิศวกรคนหนึ่ง   สุดท้ายแล้วหลังจากเข้าสู่วงการบันเทิงตอนอายุน้อยเกินไป   อะไรๆ ล้วนยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง   ก็เพราะเกี่ยวพันธ์กับทางบ้านของเขา  รู้สึกว่าเขาคงไปไม่ได้ต่อเนื่อง  จนกระทั่งตอนนี้ ไม่คิดว่าเขายังคงเหมือนเดิมเดินเข้าสู่เส้นทางวงการบันเทิงนี้  โดยไม่หวนกลับ

         ต่อมาเขาออกอัลบั้มเดี่ยวออกมาอีกหลายอัลบั้ม   ยอดจำหน่ายล้วนดีมาก   เกินกว่ายอดขายทองคำขาว (น่าจะเป็นชื่อรางวัลด้านเพลง)เสียอีก


อู๋ฉีหลง   ซูโหย่วเผิง   หลินจื้ออิ่ง   จิงเฉิงอู่  ได้รับสมณานามในวงการบันเทิงว่า เป็น “จัตุรเทพไต้หวัน"
 

เขาคือ 1 ใน 4 ราชาเทพแห่งสวรรค์เป็นคนที่ 4    ซึ่งสามารถก้าวสู่วงการบันเทิงที่ฮ่องกง  ดินแดนที่รุ่งโรจน์ของศิลปินดารา    และเป็นศิลปินคนแรกที่ออกอัลบั้มภาษากวางตุ้งของตัวเอง

เขาฝึกฝนเรียนภาษากวางตุ้งอย่างรวดเร็ว  จนสื่อฮ่องกงตั้งฉายาให้ว่า “เด็กอัจฉริยะ”





   
2  ปีต่อมา  เฉินจื้อเผิง กลับมา  วงการบันเทิงแบบเก่าไปแบบใหม่เข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว

       เขาทั้ง 3 คนได้ออกอัลบั้มใหม่ออกมาชื่อ อัลบั้ม “ซิงกวน อีจิ้วชั่นลั่น”   แสงดาวยังเหส่องฉายแวววาวมือนเดิม   
      
        ตั้งแต่ต้นจนจบเพลงของพวกเขาล้วน คือ ส่วนหน้าโดยตรง    ไม่มีเรื่อง รักใคร่   แล้วร้องก็สดใส  พวกเขาโตขึ้นหน่อย   เสียงของทั้ง 3 คนนั้น หากขาดใครแล้ว ล้วนไม่คล้องจองกัน

        รอจนกว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 4    ยังมีเวลาอีกครึ่งปีจึงจบการศึกษาแล้วอำลามหาลัย  เขาเลือกช่วงหยุดเรียน   ช่วงเวลานี้เขาจึงเลือกทำอย่างจริงจัง

        ซูโหย่วเผิงเลือกทำตัวจงรักภักดีต่อตัวเอง   ซูโหย่วเผิง ยังไม่สมบูรณ์แบบในสายตาคนอื่น

        แต่ว่า การตัดสินใจครั้งนี้  ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกสารทิศ   ทุกเรื่องล้วนมี 2 ด้าน   ถ้ามีคนสนับสนุนย่อมมีคนต่อต้าน   แต่ว่าเสียงต่อต้านสูงดังกว่าทุกสิ่ง   ช่วงเวลานั้นเขาไม่กล้าออกจากบ้าน    รู้สึกถูกโลกนี้ทอดทิ้ง    หลายปีต่อมาเขาบอกกับตัวเองว่า  ในสายตาตอนนี้มองกลับไปดูขณะนั้น  จำเป็นต้องได้รับโรคกลัดกลุ้ม
   
         เกลียดไปสถานที่ผู้คนมากมาย    เวลาร่วมสอบเงาทางจิตใจได้กลายเป็นจริง

          ทางอินเตอร์เนตได้ตั้งชื่อเขาว่า   “ พบเจอก็แพ้ ” เป่าประกาศว่าทุกสิ่งของเขาล้วน  จอมปลอม   เขาเป็นคนไม่ได้เรียนหนังสือแล้วก็ไม่ชอบเล่น  ปล่อยให้เด็กหนุ่มอายุ 22 ปี ไปแบกรับคำด่า  คิด  เข้าใจ  แล้วรู้สึกประหลาดใจ

          เขาไม่ใช่เป็นบุคคลสมบูรณ์แบบครบถ้วน  ในโลกนี้จริงๆ แล้วไม่มีใครสมบูรณ์แบบ  แต่ว่าคนในโลกนี้ชอให้เขาดูเป็นบุคคลสมบูรณ์แบบครบถ้วน   ต่อมาเมื่อค้นพบว่าเขาเป็นเพียงบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น   จึงใช้ 2 ขาเตะเขาออกไป  ทำไมละ?

          เปลี่ยนมามองอีกมุมหนึ่ง  คนเหล่านี้  เพียงให้ความฝันของตัวเองสมบูรณ์  เพราะตัวเองไม่สามารถทำได้  ดังนั้น จึงเอาความสมบูรณ์นี้ไปฝากความฝันไว้กับ ซูโหย่วเผิง ให้ทำให้สำเร็จแทน   อย่างนี้แล้วเทียบแล้วใครน่าเศร้ากว่ากัน  คงได้แต่ถอนใจไม่หยุด

           อัลบั้ม “ซางโข่ว” (บาดแผล)   ยอดขายออกมาเหลือครึ่งหนึ่งจากยอดขายยอดนิยมตามปกติ  ขณะบันทึกเสียงเพลงในอัลบั้มนี้  ยังไม่สามารถสะท้อนถึงตัวเขาได้  มองดูโลกเป็นสีเทา ขณะร้องเพลง “ชิงเนียว” (นกสีเขียว)  อยู่ในห้องอัดเสียงยังร้องไห้ไม่ออก   เวลานั้นเขาก็ยังคือเด็กคนหนึ่ง   สิ่งเหล่านี้ช่างทารุณเขาเหลือเกิน

           เวลานั้น  จากการให้สัมภาษณ์ของ อู๋ฉีหลง กับสื่อฯฮ่องกง   สามารถช่วยเหลือเขาได้  โดยต่อต้านปัดทิ้งปัญหาเสียบแทงหูเหล่านี้   เขาเข้าใจถึงการแบกรับความเจ็บปวด   เพียงแต่เมื่ออยู่หน้าจอทีวี  ใครจะเห็น ใครจะได้ยินเท่านั้น (หน้าจอทีวีสดใส  เบื้องหลังหนักหน่วง  แต่ไม่มีใครรู้)
 
          อู๋ฉีหลง  เป็นคนแรกที่กล่าวว่า  “ผมต้องการให้เขาหยุดเรียน...........”
 
พี่น้องก็เป็นแบบนี้  สามารถมีพี่น้องได้กล่าวคำพูดอย่างนี้  เพื่อตัวเองหรือ?  ทำไมถึงต้องทำละ?
   

          ปี 1995  การแสดงคอนเสริต์ งานการแสดงร้องเพลงปี 95  “พายุหมุนมังกรเหินฟ้าพยัคฆ์คำราม”   กล่าวได้ว่าคือ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”  มีความหมายจริงๆ เป็นครั้งแรกบนเวทีคอนเสริต์   จนถึงบัดนี้เมื่อแสดงจบลง จึงเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์จริงๆ

           ก่อนร้องเพลง “เจินสี”  (รักทะนุถนอม) ถ้อยคำที่กล่าวออกมา  ทั้งน้ำตาก็ไหลออกมา   สักครู่จะยืดอกเงยหน้ายืนอยู่ต่อหน้าผู้คน   เบื้องหลังจริงๆ ต้องลำบากแสนเข็ญมาก........

          ไม่มีบุคคลใดสามารถยืนอยู่บนเวทีฉายแววฉายแสงอย่างง่ายดาย    ความทุกข์เบื้องหลังจึงไม่ใช่พวกเราที่เป็นคนธรรมดาจะบอกให้เข้าใจได้

           เวลาที่ทั้ง 3 คน  ซึ่งยืนอยู่บนเวทีร้องเพลง คือเพลงหนึ่งของครั้งสุดท้าย  อู๋ฉีหลงกล่าวว่า หวังว่าอนาคตไม่นานมานี้พวกเรายังยืนอยู่ที่นี่ร้องเพลงให้ทุกคนฟัง
 
           มีใครสามารถรู้ไหม  คำพูดรับปากคำเดียวใช้เวลา 15 ปี  จึงได้ปรากฏโฉมออกมา






          หลังจากงานการแสดงจบสิ้นลง   ซูโหย่วเผิงแบกกระเป๋าตัวของเขาเอง   แล้วบินไปที่ประเทศอังกฤษเรียนต่อ    ที่นั่น  ไม่มีผู้ใดทราบบ้านเกิดเมืองนองของเขาเพื่อค้นหาคำตอบความในใจของเขา   การค้นหาตัวเอง  ซึ่งไม่เคยละทิ้งล้มเลิก  ยังปล่อยให้มีเปลวเพลิงไฟอยู่ในฝัน ( ความฝันยังมีเหมือนเดิม)
 
          เวลา 3 เดือนนับว่าไม่นาน    3 เดือน ปล่อยให้เขาเข้าใจเองว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า  เหนือคนยังมีคน  ตัวเองเผชิญหน้าอุปสรรคเหล่านั้นจริงๆ   จะอย่างไร  เวลา คือ สิ่งที่จะกระตุ้นความองอาจของตัวเองได้อีก

           เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา    ได้แลกเปลี่ยนคุยเล่นสนุกกับเพื่อนนักเรียนหญิงที่ริมแม่น้ำซาน่า    ได้ออกไปนอกเมืองเดินเล่นพร้อมกันกับเพื่อนนักเรียนในชั้น อยู่ที่ไต้หวันเขาไม่เคยทำอย่างนี้ได้เลย  คิดยังไม่กล้าคิด

          เวลาเผชิญหน้าอุปสรรค  เขาเคยคิดละทิ้งล้มเลิก  ล้มเลิกปล่อยทิ้งทุกอย่าง  ปล่อยความทุกข์เศร้าใจทุกสิ่งให้เหมือนกลุ่มควันสลายไป  เพียงแต่เขายังมีบ้านหลังใหญ่ต้องไปเลี้ยงดู  ยังมีคนในบ้านที่เขารัก  เขาทิ้งไม่ได้    ดังนั้น เขาเพียงแต่บังคับตัวเองให้ต้องเติบโตขึ้น  กลายเป็นผู้ชายแมนๆ แล้วไปรับผิดชอบ  เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบทุกสิ่ง   

          หลังเรียนต่อเมืองนอกสิ้นสุดลง   นักธุรกิจด้านโฆษณาจากใต้หวันมาหาซูโหย่วเผิง  ต้องการให้เขาถ่ายโฆษณาโดยมีชาวอังกฤษเป็นคนเขียนบท  เพื่อนนักเรียนที่ร่วมชั้นเรียนกับเขามา 3 เดือน  ในเวลานั้นจึงรู้ว่า ที่จริงแล้วเขา คือ ดารา  เพียงแต่ในวันเวลาที่อยู่ด้วยกันกับเขา  เพื่อนๆ ไม่รู้สึกว่าความจริง เขาคือ ดาราเลยที   ได้แต่เพียงประหลาดใจว่า  ทำไมมักจะมีนักท่องเที่ยวเอเชียมาแย่งชิงถ่ายรูปกับเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึก



Chomnath:



          ในใจของตัวเองรู้สึกปรับเหมาะดีแล้ว  เพียงแต่เวลาก้าวสู่ดินแดนไต้หวันอีกครั้ง  เขายังคงเหมือนเดิมรู้สึกมีแรงกดดัน  แรงกดดันนั้นไม่สามารถดับสลายได้  แม้แต่เวลาก็สลายไม่ไป  ตามเดือนปีร่วงโรยก็ไม่ไป
    
           อัลบั้ม “โจ่ว”  ( “เดิน” หรือ “ไป” )   เป็นอัลบั้มที่ต่อจาก  “ซางโข่ว” (บาดแผล)   ล้วนสะท้อนเรื่องการหยุดเรียนซึ่งนำความเจ็บปวด   เพียงแต่ในนั้นมีเพลงไม่สามารถนับเป็นเพลง  คือเพลง  “สวินเจ่า” (ค้นหา)  ทำนองเพลงล้วนเขาแต่งเอง**

            จากแถวในอักษร “สวินเจ่า”(ค้นหา) สามารถมองเห็น  ขณะนั้นเขามองถึงมุมสุดโลกซึ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้    เขาคิดอยากจะหลบหนี   แต่ยังไม่ทราบหลบหนีไปที่ไหน  ดึกดื่นเขาจะขับรถไปตามท้องถนนที่เขายังไม่เคยไป   เขาเคยคิดมาแล้วจากบนสุดของเมฆ  โดดลงมาว่าลักษณะจะเป็นอย่างไร........

            ในบ้านเวลานี้ก็มีปัญหาใหญ่โตมาก   การงานได้รับผลกระทบเป็นอุปสรรคมาก  ในบ้านก็แย่ลงๆ ในบ้าน 4 คนต่างอาศัยบ้านอยู่คนละทิศละทาง  ก็ในเมื่อเวลานั้น  คุณแม่รู้สึกว่าไม่สามารถอาศัยลูกชายได้อีก  ไม่ควรเพิ่มแรงกดดันต่อเขามากยิ่งขึ้น   จึงไปสอบวุฒิบัตรครูใหม่อีกครั้ง  ได้ไปสอนหนังสือในชนบทที่ห่างไกล

            เพราะฉะนั้นในส่วนลึกเขานับถือคุณแม่มากและยิ่งรักคุณแม่  จากต้นจนจบเขารู้สึกเกี่ยวกับคุณแม่ เขาติดค้างมากเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้เขาจึงขยันทำงาน ขยันเก็บเงิน  เพราะเขามีคนในบ้านที่ต้องห่วงและเลี้ยงดู
           
            บัญชีในธนาคารในเวลานั้นเหลืออยู่ไม่มาก   เขายังต้องใช้คืนหนี้ทุกแห่งที่ยืมมา  หนี้ผ่อนรถคุณแม่และรถตัวเองก็ต้องจ่าย  มาพูดถึงเกี่ยวกับบุคคลหนึ่ง  ซึ่งเป็นนักแสดงที่ไม่มีมรสุมชีวิต  ที่จริงหาลำบากยิ่ง

            ในเวลานั้นเขากับ อู๋ฉีหลง หวงจ้งฉี ถ่ายละครด้วยกัน “โอ่วเซี่ยง อี้จี๋ป้าง” หุ่นแบบหล่อเยี่ยม ได้แสดงผู้ดูแลร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง   ค่าตอบแทนแต่ละตอนก็ไม่สูงมาก ทั้งยังเป็นละครของบริษัทต้นสังกัดของตัวเอง ยังต้องถูกหักเปอร์เซ็นต์ตามสัญญา   
 
            อาจพูดใหม่ได้ว่า   ความจริงเวลานั้นเขากินอยู่กับนายจ้าง  ตั้งแต่ยังไม่หยุดเรียนเสียอีก   



 
            เมื่อการเงินของเขาฝึกเคือง   คุณพ่อยังเอ่ยปากถามเขาว่าต้องการเงินไต้หวันหนึ่งแสนไปค้ำประกันในการเปิดบัญชีของธนาคาร    โดยรับปากว่าหลังเปิดบัญชีแล้วคืนให้  เวลานั้นคุณพ่อกล่าวว่า  เงินนี้ต้องได้คืนจริงๆ    แต่ว่าถึงเป็นอย่างนี้   เงินคงเหมือนเดิมไม่ได้กลับคืนมา  ที่จริงชื่อเสียงลูกของคุณกำลังเป็นคนมีหน้ามีตา   จริงๆ แล้วมีเงินเหลือไม่มาก

            การเงินฝึกเคืองแบบนี้ได้ทนทุกข์จนพ้น 2 ปี   ช่วงถึงปี 1997  ฉงเหยา ได้มาพบเขากับ เฉินจื้อเผิง    ต้องการให้พวกเขาแสดงละครโทรทัศน์  ได้รับบทตามบทประพันธ์ของ ฉงเหยา  ในเรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ”(หวนจูเก๋อเกอ) เป็น องค์ชายห้า และ ฝูเอ่อไท่ (ชื่อแมนจู)
 
        ก็ไม่มีใครรู้ว่าละครเรื่องนี้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์   ไม่มีใครรู้หนทางพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

            จางเสี่ยวเยี่ยน อยู่ในห้องอาหารฝรั่งเศสเพื่อเลี้ยงอำลาชายหนุ่มที่โกนหัว 2 คน ในเมืองนั้น จางเสี่ยวเยี่ยนไม่มีทางรักษาคุ้มครองสถานที่นี้ได้


 



จากนักร้องยอดนิยมก้าวมาจนสุดทางแล้ว  ถึงเวลาที่จะบุกเบิกเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่ออนาคตข้างหน้า

      เวลาที่เขาอยู่ที่กองถ่ายละคร “องค์หญิงกำมะลอ”  จะบอกเตือนตนเอง   ว่าตัวเขาเองเป็นนักแสดงหน้าใหม่ในวงการแสดง   ถึงแม้ว่าเข้ามาในวงการบันเทิงนานแล้ว 

           แต่ก็ OK    ตอนนี้คุณแน่ใจว่ายังมีเส้นทางใหม่วิ่งไปได้   เพียงแต่เริ่มจากต้องเป็นคนใหม่
       
           .......ในใจของเขาเตรียมตัวอย่างแข็งแกร่ง   แต่ละวันเขานอกจากถ่ายละครแล้ว  ยังต้องไปมองดูที่มอนิเตอร์บ้าง   ไปมองดูพวกเขาว่าทำอย่างไร  พวกเขาแสดงบทบาทในแต่ละตัวละครอย่างไร
 
           เวลานั้นเขาไม่อยากให้ยุ่งยากในการแต่งตัว  จึงใส่ชุดในละครตลอดเวลา  กลางวันแสกๆ เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ไม่ได้ถอด   โดนอากาศร้อนๆ เข้าอย่างจัง จนเป็นลม
 
           แน่นอนในหนังเรื่องนี้ได้ผูกบุพเพไว้ ซึ่งไม่ใช่คำสองคำจะอธิบายได้  เจ้าเหวย  หลินซินหยู   ฟั่นปิงปิง.......ล้วนเป็นมิตรสหายของเขา
 
           แน่นอนเป็นคนใหม่   บางเวลาเขาก็โดนบางคนแย่งซีนหนัง   1 ครั้ง  2 ครั้ง  3 ครั้ง   ไม่อดทนต้องอดทนวิ่งไปที่ห้อง เฉินจื้อเผิงบอกเขา   เฉินจื้อเผิงออกหน้าแทนเขา ไปต่อว่าคนๆ นั้น
   
พี่น้องก็เป็นอย่างนี้   สามารถมีพี่น้องพูดเพื่อตนเองพูดกล่าวได้เช่นนี้   ทำไมจึงต้อง?







            ถ่ายละครได้ผ่านไป 5 เดือนกว่า    “องค์หญิงกำมะลอ” ในที่สุดก็ถ่ายเสร็จ   เพียงแต่ขณะนั้นพวกเขาไม่รู้ว่า  ละครเรื่องนี้สามารถสร้างเรื่องราวประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับละครโทรทัศน์ของจีน  เช่นเดียวกับ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”

         ฤดูร้อนปี 1998   เขากับ เจ้าเหวย ร่วมมือถ่ายหนังเรื่อง  “ เราสองหัวใจเดียวกัน”  เขายอมรับเวลานั้นว่าเขาชอบ เจ้าเหวย   เพียงแต่เธอมีเพื่อนผู้ชายแล้ว   ตัวเองยิ่งไม่สามารถไปเป็นบุคคลที่ 3  อารมณ์รักตอนนั้นก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ  รอเวลาปล่อยให้สูญสลายไปสิ้น

             ปี 1999   “องค์หญิงกำมะลอ”   ทำให้ชื่อเสียงกลับคืนมา   ละครทั้งเรื่องโด่งดังไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   นักแสดงกลุ่มหนึ่งพุ่งพราดโด่งดังขึ้น   แล้วเขาก็ได้กลับมายืนอยู่แถวหน้า
   
 

Chomnath:
   

          มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากับ หลินซินหยู  เวลานั้นไปฮ่องกงทำการโปรโมทละคร  ช่วงเวลานั้นเขามองดูแฟนเพลงเป็นกลุ่มๆ รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจมาก

          ขณะที่  “องค์หญิงกำมะลอ ภาค 2”   กำลังถ่ายทำอยู่  ได้รับงานแสดงละครเรื่องต่อไปด้วย  คือเรื่อง “เดชเซียวฮื้อยี้”  นับเป็นละครที่อยู่ในความทรงจำของเขา  เพียงแต่เวลานั้นเสียงคลื่นซัดร้อนแรงแข็งแกร่งของละครเรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ” เบียดบัง บท ฮัวอู๋เชวีย (หรือ ฮวยบ่อฮ่วยในเรื่องเดชเซียวฮื้อยี้)

          เขาก็เป็นคนแรกที่สามารถแสดงละครโทรทัศน์  จากนวนิยายโดยบทประพันธ์ของโกเล้ง  และบทประพัทธ์ของกิมย้ง ในบท  ฮัวหวู่เชวีย (ฮวยบ่อฮ่วย)  และบท เตียบ่อกี้  ล้วนเป็นสิ่งประทับใจอยู่ในความจดจำของเขาโดยมิต้องสงสัย

                 
      ปีนั้นสะบ้าหัวเข่าของเขาต้องผ่าตัด   ต้องเอาสะบ้าหัวเข่าข้างในที่มีกระดูกอ่อนแตกละเอียดออก

         ปี  2000   จากนิยายเรื่อง “เอียนหวี่โหมงโหมง” (ฝนพรำๆ)  ฉงเหยาได้เปลี่ยนเนื้อเรื่องใหม่หมด   โดยเพิ่มบทตัวละครชื่อ ตู้เฟย มากขึ้น   จึงกลายเป็นละครโทรทัศน์เรื่อง “มนต์รักในสายฝน” เกิดขึ้น    ยังจำได้ ตู้เฟย คนนั้น   เที่ยวก่อเรื่องทั้งวัน   แต่ว่าเกี่ยวกับ หยูผิง ซึ่งมีใจต่อกัน  ในละครทั้งเรื่องบทบาทนี้นับว่าย่อมมีจุดฉายแววเสมอ   คำพูดที่เป็นจริง   คนรอบตัวผมทุกคน เวลาดูละครเรื่อง “มนต์รักในสายฝน” สายตาทุกคนพุ่งไปดูที่ ตู้เฟย   ก็เพราะว่าบทบาท ตู้เฟย นี้ประสบความสำเร็จดีทีเดียว

“ผม ชื่อ ตู้เฟย   อักษร ตู้ หมายถึง เลิกไปมาหาสู่กัน   อักษร เฟย...ภัยอันตรายมาถึงตัว”

บทบาทนี้เขาชนะใจคนดูตบมือให้   เพียงแต่พวกผู้ชมมากมายล้วนเกือบรู้สึกว่าเขาควรชอบ อีผิง มิใช่ หยูผิง  ความเสน่ห์เย้ายวนใจของผู้คนจึงอยู่ตรงนี้

          ในเวลานั้น  ตอนเขาตกม้า  มือเขาได้รับบาดเจ็บ   ตอนจัดฉากชั่วคราวในโรงถ่าย  ไม่มีแสงสว่างมีแต่ส่องโคมไฟใหญ่ 4 ดวง  ต้องคอยตีใบหน้าให้ตื่น   ในตัวล้วนมีไข่ขาว  อยู่ในตึกใหญ่ส่งกลิ่นเหม็นมาก  ทำให้มีแมลงวันมากมายมาตอม

          ความเจ็บปวดในการแสดงหนังได้ติดตามเขาตลอดชีวิต  นับอย่างละเอียดถี่ถ้วน  มือเคยรับบาดเจ็บ  ขาเคยโดนผ่าตัด  กระดูกสันหลังก็เคลื่อนย้าย  กระดูกไม่สามารถเคลื่อนไหวบ่อยๆ   ศีรษะไม่สามารถหันไปมา










      ปีนั้นเขาออกอัลบั้มใหม่ หลังจากห่างหายไป 5 ปี  คือ อัลบั้ม “หนี่ไขว้ปู๋ไขว้เล่อ” (คุณมีความสุขไหม) โดยมีเพลง  “ต้าเสี๋ยวเจี่ย” (My Lady)  จนลือลั่นสั่นสะเทือน  ให้กับแฟนเพลงที่รอคอยมานาน เพื่อส่งเป็นของขวัญดีที่สุดในปีนั้น

          หลังได้รับคะแนนความนิยมอยู่นาน  ต่อมาเขาถ่ายหนังละครทีวีเรื่องยาวต่อเนื่อง  ทำให้คนมากมายประทับใจอย่างลึกซึ้ง   “ไผอันจิงฉี”  “ดาบมังกรหยก”   “ซิงตงเลี่ยเชอ”   “รักข้ามขอบฟ้า” “ ยอดวีระบุรุษขุนศึกตระกูลหยาง”  “หมอซู่ฉีเหยียน”  “เตียวหม่ากงจู”  “เจียงจิ้วจิวจิ้ว”  “เย่ออ้าย”.........

           อยู่ในทีวี  รายการวงการบันเทิง  รายการละคร  ล้วนมีเรื่องของเขา ช่วงเวลาวันหยุดออกฉายครั้งแล้วครั้งเล่า  และออกอากาศช่วงเวลามีค่าเป็นทองคำ

        ปี 2006   เขากับ หลินซิงหยู เซ็นสัญญาพร้อมกันเข้าสังกัดบริษัทหัวอี้ซวงตี้  ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่   สัญญานี้เป็นสัญญาเพลง  สัญญาละครและภาพยนตร์   สัญญาผู้แทนโฆษณา  หนังสือสัญญา 5 รายการ เป็นต้น

    แต่ว่าจนถึงวันนี้สัญญาเพลงกับบริษัทหัวอี้  ยังไม่ได้ปรากฏโฉมจนถึงวันนี้   แฟนเพลงจะต้องรอนานแค่ไหน   จากปี 2004  อัลบั้ม “อี่เฉียนอี่โฮ่ว”  นับเวลาได้ 6 ปีแล้ว   พวกเราเป็นแฟนเพลงต้องรอนานแค่ไหนจึงจะได้เห็นอัลบั้มใหม่

        ไม่ใช่กล่าวว่าบริษัทหัวอี้ ไม่ดี   เพียงแต่น่าหัวเราะคือ หนังที่เขาถ่ายทั้งหมดนั้น คือ นักสร้างหนังตัวเจ้าของเองเป็นฝ่ายหาเขาเอง   แล้วในหนังเรื่อง  “ไอ้ฉิง ฮูเจี้ยว จ่วนอี๋ 2”   เป็นบทบาทนักแสดงรับเชิญ

อยากถามบริษัทหัวอี้   เกี่ยวกับ ซูโหย่วเผิง เส้นทางแสดงหนังต่อเนื่อง ในที่สุดพวกคุณมีวางโครงการหรือไม่

ช่วงอารมณ์ที่พูดมาล้วนผมคิดเอาเอง  แน่นอนผมย่อมเลือกเชื่อถือเขาที่พูดมาอย่างแน่วแน่   “ผมกำลังรอบทบาทที่ดีอยู่”





                           
ปี 2008 คือ เทศกาลหว่านข้าว   ถ่ายเรื่อง “4 กามเทพ”  “ตามหาหลิวซานเจี่ย” “ เฟิงเซิง - The Messege” 
 

    ใน “ 4 กามเทพ”  ในบท ฉีป๋อหลิน-หนุ่มหล่อ     ใน “ตามหาหลิวซานเจี่ย” บทบาทที่มีความร่าเริง คุณธรรมและสุภาพ รวมทั้งใน  “เฟิงเซิง - The Messege”  บทที่งดงามชวนตะลึงในบท ไป๋เสี่ยวเหนียน   ครั้งแล้วครั้งเล่าเขาจึงมีการแตกแยก   หรือว่าเช่นเดียวกับที่เขาว่า   เขารอคอยมีบทบาทที่ดี   ซึ่งการรอคอยเหล่านี้มีค่ามาก
           
       “ไป๋เสี่ยวเหนียน” ในหนังก็ออกปรากฏออกมาไม่มาก   อย่างมาก 20 กว่านาที   ยังทำความประทับใจอย่างลึกซึ้ง  ซึ่งนานๆก็ไม่ลืม   จนกระทั่งทำให้ผู้คนมากมายต่างเห็นว่า ซูโหย่วเผิง ก็คือ ไป๋เสี่ยวเหนียน   ไป๋เสี่ยวเหนียนก็คือ ซูโหย่วเผิง   นี่ก็สามารถพูดได้ว่าเป็น “บทบาทคลาสสิค” บทหนึ่ง   ทำให้ นักแสดงต้นฉบับชายหนุ่มที่หล่อและสง่างาม กลายเป็น นักแสดงเจ้าบทบาทแถวหน้าคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์
    
        อายุ 36 ปี  เป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับสูงสุดแล้ว   ทั้งยังเป็นคนหนุ่ม
 
      เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เขาสามารถขยายวงกว้างขวาง   ทั้งยังไม่มีขอบเขตประมาณมาจำกัดความสามารถได้
   

Chomnath:




         งานราตรีฉลองตรุษจีน ช่องสถานีโทรทัศน์จงยาง ปี 2010   รายการของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”  ช่วงเวลา 9 โมง 50 นาที ( 3 ทุ่ม 50)โดยประมาณ  ชื่อรายการ “ การรวมกลุ่มกันอีกครั้ง ”  ด้วยเพลง “ชิงผิงกั่วเล่อเหยียน  ,  หูเตี่ยเฟยยา  ,  อ้าย”   (สวนหย่อมแอปเปิ้ลเขียวสด ,  ผีเสื้อบิน ,   รัก)

       
ความคลาสสิค ก็คือ ความคลาสสิค    เมื่อออกโชว์ตัว   ทั้งสถานีต่างร้องแสดงความยินดีทันที


         นี่คือ 15 ปีต่อมาได้ขึ้นเวทีอย่างเป็นทางการครั้งแรก   ถึงแม้ว่าก่อนเวลาปี 2002 ตอนนั้นเขาคนเดียวมางานการแสดงร้องเพลงขึ้นเวทีร้องเพลง “ซิงกวง อีจิ้วช่านล่าน”  (แสงดาวยังคงเหมือนเดิมฉายแววเจิดจ้า)   แต่ว่าครั้งนี้เป็นแบบทางการที่สุด   ในสถานที่ฝึกซ้อมและได้ซ้อมร่วมกันเป็นระยะยาวนาน    ความทรงจำสมัยเด็กล้วนปรากฏอยู่เบื้องหน้าต่อเนื่อง
   
        “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ทุกคนปรากฏตัว  เพื่อมาให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างเป็นทางการ   เขาไม่พูดมาก  มองดูช่องสถานีที่เคยไป  หากเขาพูดออกไปจะทำให้ได้รับความลำบากใจ  ล้วนทำให้พี่ใหญ่และพี่รองของเขาจัดการอะไรไม่ถูก  จึงไม่ค่อยเห็นการให้สัมภาษณ์ของเขา  เพียงแต่อยู่ในด้านหลังเวทีถึงจะเห็นคุยปกติ  จึงกลายเป็น “เสือซ่อนเล็บ”

       เขาพูดอย่างเปิดเผยว่า   ตอนนี้มีการวิจารณ์ในวงการบันเทิงอย่างมากเกินไป   ทั้งยังมีสื่อบางคนชอบเขียนแต่เรื่องของเขา  ดังนั้นเขาจึงพูดน้อย   พูดน้อยก็ผิดน้อย   ไม่พูดก็ไม่ผิด   เพียงแต่เขายังไม่ทราบว่า  เวลาเขาพูดน้อย   สื่อก็เอาไปพูดว่าเขาเล่นตัว  ทำตัวเป็นดาราใหญ่ไม่ใยดีคุยกับผู้คน

         ในช่วง 15 ปีมานี้  โดยเฉพาะไม่กี่ปีที่ผ่านมา   เขาเป็นคนเดียวที่แบกรับการติฉินนินทามากมาย   แล้วเขาก็ไม่อยากไปอธิบายเรื่องนั้นว่าหมายถึงอะไร

         ครั้งหนี่ง  ขณะนั้นที่เขาได้เข้าร่วมงานโชว์รถยนตร์   นักข่าวถามว่า   มีข่าวลือว่า เป็นเพราะคุณไม่ยอมรวมตัว “เสี่ยวหู่ตุ้ย” อีก   เขาตอบว่า   ไม่เป็นไร มีคนกล่าวหาผมนั่น ก็หมายถึง ผมก็แล้วกัน

ตอนนั้นเขาเข้าใจเกี่ยวกับ“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ทุกเรื่อง   เพียงแต่ยังไม่เหมาะที่จะอธิบาย  จึงเหมือนว่าทั้งหมดล้วนคือความผิดของเขา   ลักษณะท่าทางการยอมรับชะตาแบบนี้  ทำให้มีทั้งคนรักและเกลียดชัง

         จำได้ว่าเมื่อก่อนได้เห็นข้อความหนึ่ง   แฟนอินเตอร์เนตไม่เกี่ยวกับเขาอีก  จึงแสดงความคิดเห็นไม่พึงพอใจมาก   ในอินเตอร์เนตนั้นมีท่านหนึ่งตอบกลับมาว่าพูดอย่างนี้หรือ   หลายปีต่อมา นี่คือความจริงการยืนยันหนักแน่นของ ซูโหย่วเผิง การเป็น “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นเรื่องราวที่ไม่มีวันดับสูญ

       เช่นวันนี้ย้อนกลับไปดู   นี่คือ คำพูดเสียดสีที่แท้จริง   ก็เพราะเขายืนยันหนักแน่น   “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ขึ้นเวทีราตรีฤดูใบไม้ผลิ(ตรุษจีน) ปลุกคนยุคก่อนหลายปีได้ตื่นขึ้นมาย้อนอดีต  เกี่ยวกับความทรงจำที่แสนดีในวัยหนุ่มสาว




        มองดูพวกเขาปรากฏตัว   พวกเราตื้นตันใจจนน้ำตาไหล   ที่จริงเพลงจะยังไงอีกก็ไม่ต้องกล่าวอีกแล้ว   พวกเราน้ำตาล่วงเพียงแต่เพื่อรอคอยวันเวลาของพวกเรา   ตอนนั้นเป็นความทรงจำของช่วงเวลาที่แสนดี
   
          ในปีนี้ วันที่ 9 เดือนกุมภาพันธ์ เข้าร่วมสัมภาษณ์รายการชุนหวันหุ่ยเค่อทิง   คำถามที่เอ่ยปากของ หวนยุ่ย คมมาก   ก็นับว่าปัจจุบันทางอินเตอร์เนตตั้งคำถามนี้มากที่สุด   เพียงแต่ตอนท้ายสุด หวนยุ่ย ขอร้องเขาร้องเพลงหนึ่งเพื่อเป็นตัวแทนจิตใจของเขา   เขาเลือกเพลง  “หลีเกอ"** หมายถึง  เพลงอำลา

         “หลีเกอ”  เป็นทำนองเพลงที่ แยกย้ายขาดกัน เพลงหนึ่ง   เพียงแต่ไม่มีเพลงนี้   “ฟ่างซินชวี่เฟย” (เหินบินไปอย่างไว้ใจ)    เพลงเศร้าสลดเสียใจเช่นนี้   ได้บอกกล่าวต่อพวกเรา ถึงแม้ว่าแยกย้ายกันก็สามารถแยกย้ายแบบหัวเราะได้

         ลมใต้ก็พัดแบบเบาๆ   การรวมตัวได้เวลาต้องจากไป   ญาติสนิทมิตรสหายขอร้องอย่าทุกข์ใจ    การแยกย้ายจากกันต่อมาต้องทะนุถนอมตัวซึ่งกันและกัน......)
 
        ไปหลังเวทีเขาสะอึกสะอื้น   เพียงแต่น้ำตาไม่ไหลออกมา

       จนกระทั่งมีเสียง หวนยุ่ย    “ผมรู้สึกเขาถูกหักหลังมากจริงๆ   ช่างปรักปรำเขามากแล้ว.....”

       เพียงคำนี้คำเดียว   ปล่อยให้น้ำตาของเขาอัดอั้นไม่อยู่  จากขอบตาไหลออกมา   เขาอดกลั้นต่อผู้คนที่ไม่เข้าใจเขา   ในที่สุดมีคนสามารถเข้าใจเขาได้   น้ำตานี้ก็คือ การปลอดปล่อย






นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version