ตรรกะความคิดของเขา ว่าคนๆนี้เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา
Q:ตอนที่สร้างความสัมพันธ์ของตัวละคร ภาพลักษณ์ของตัวละครมีความสำคัญมาก งั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาตอนสร้างตัวละครหลักสามตัวนี้คืออะไร เนื่องจากถางชวนเป็นศาสตราจารย์ชั้นยอด ส่วนสือหงเป็นนักคณิตศาสตร์ผู้น่าสงสาร เฉินจิ้งดูเหมือนจะเป็นคนที่จมปลักอยู่กับชีวิต คุณได้ปรับเนื้อหาเดิมของนิยายในด้านไหนบ้าง
A: ผมคิดว่าแววตาเป็นสิ่งสำคัญ คนฉลาดมักจะมีแววตาของคนฉลาดอยู่ บางเวอร์ชั่น ผมคิดว่ามีบางคนที่ไม่เหมือนคนที่เก่งกาจมีความสามารถเลย ดังนั้นในแววตาของคุณดูฉลาดหรือไม่นั้น สำหรับผมถือเป็นสิ่งสำคัญมาก แววตาตัวละครในภาพยนตร์นะ เมื่อคุณต้องแสดงเป็นคู่กัด ทั้งสองจะต้องมีฝีมือพอๆกัน มันถึงจะสู้กันได้ ถ้ามีฝ่ายหนึ่งที่แสดงออกชัดเจนมากว่าโง่ มันไม่ได้ คุณเข้าใจไหม ดังนั้นในช่วงแรกผมนี่พยายามมาก ไม่ว่าจะนักแสดงคนใดก็ตาม แม้ว่าคุณจะไม่มีการแสดงออกทางอารมณ์ ถ้าผมรู้สึกว่าสมองของคุณกำลังวิ่งไปวิ่งมาอย่างรวดเร็ว คุณนั่นแหละคืออัจฉริยะ และนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจากสองคนนั้น
Q: นางเอกในนวนิยายออกแนวขี้ลังเลไม่มีความมั่นใจ แต่นางเอกในภาพยนตร์ให้ความรู้สึกแบบต้อง “ล้างบาปชดเชยความผิด” การปรับบทแนวนี้คุณมีแนวคิดอย่างไร
A: เนื่องจากเราได้ย้ายใจความสำคัญมาไว้กับสองพระเอกคู่กัดนี้ ดังนั้นจึงยัดเรื่องราวของนางเอกเข้าไปมากไม่ได้ เพราะผมจำได้ว่าก่อนที่เธอจะยอมจำนน มีบทหนึ่งที่เหมือนว่านางเอกพูดอะไรสักอย่างกับแม่ เพิ่มความรู้สึกผิดเข้าไป ต่อมาพวกเราก็เลยตัดบทนี้ทิ้ง ก็เพราะว่าเนื้อหาหลักพวกเราได้ใส่ไว้ในพระเอกสองคนนี้แล้ว จึงอาจจะไม่สามารถเพิ่มเติมเรื่องราวความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเธอเข้าไปได้มากนัก
Q:ความรู้สึกที่สือหงมีต่อเฉินจิ้งค่อนข้างซับซ้อน ความรู้สึกที่สือหงมีต่อเฉินจิ้งที่คุณอยากสื่อให้ผู้ชมได้รู้คืออะไร
A: เมื่อเขาหมดสิ้นความหวังต่อทุกอย่างแล้ง เมื่อเขาต้องทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นแสงสว่างของชีวิตใช่มั้ย แท้จริงแล้วชีวิตสามารถเฉิดฉายสว่างไสว งดงามแบบนี้ได้ วินาทีตอนที่เปิดประตู ต้องพยายามทำให้แสงดวงอาทิตย์ทอเป็นประกาย และเมื่อประตูถูกเปิด ก็จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยน และกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตของเขา
Q:สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน สำหรับหัวข้อ “แนวพื้นบ้าน” นี้ ผมอยากจะสอบถามให้ลึกอีกครั้ง เมื่อสักครูนี้ก็ได้พูดถึงทั้งสองท่านไปแล้ว เพื่อให้ผู้ชมชาวจีนเชื่อว่าเรื่องราวนี้กำลังเกิดขึ้นและถ่ายทำในประเทศจีน ดังนั้นฉากและรายละเอียดภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีการทำให้เป็นแนวพื้นบ้านมากขึ้น เช่น ใต้สะพานมีการเต้นระบำของคนแก่ และยังมีจักรยานที่เปลี่ยนมาเป็นรถจักรยานสาธารณะ อยากถามว่า คุณมีวิธีการออกแบบรายละเอียดเหล่านี้อย่างไร
A:บางสิ่งที่เราคิดว่าทุกคนน่าจะมองข้ามไม่สนใจ จริงๆแล้วเราอาจจะต้องทำมันให้มากขึ้น รวมถึงหลังจากความจริงถูกเปิดเผย เฉินจิ้งก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ทักทายเพื่อนบ้าน คนญี่ปุ่นก็อาจจะกล่าวคำทักทายเหมือนในหนังญี่ปุ่น “ไฮ่” ซึ่งดูเหมือนว่าคนจีนจะไม่มีวัฒนธรรมแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาโรงเรียนเพื่อสั่งการบ้านเพื่อทำให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบสบายๆ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ชมในประเทศอาจจะมองข้าม พวกเราก็จะไปศึกษา พยายามเต็มที่แล้วแต่อาจจะออกมาไม่สมบูรณ์แบบทั้งหมด แต่ก็ทำด้วยใจ สมมุติในประเทศ ผมเป็นตำรวจ ผมมีเพื่อคนหนึ่งเก่งมาก ผมสามารถเปิดเผยคดีไปเรื่อยได้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องให้เขาไปอยู่ในสถานีตำรวจในฐานะศาสตราจารย์ ให้เตะฟุตบอลและสัมผัสกับความจริงของคดี ไม่เช่นนั้นในประเทศจีนคดีนี้จะดูไม่สมเหตุสมผล และมันจะเป็นแค่ละครไอดอลทั่วไป
Q:เราสังเกตว่าภาพยนตร์โดยรวมของคุณคือมักจะใช้สีสันแบบแสงและความมืด ซึ่งความมืดแตกต่างจากนวนิยายและเวอร์ชั่นญี่ปุ่น คุณกำหนดสไตล์ของภาพยนตร์นี้ได้อย่างไร
A:คุณคิดว่าสีของเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมืดกว่าของพวกเรา คุณแน่ใจเหรอ (สีสัน) ใช่เหรอ
Q:ในส่วนของสีสันโดยรวมของภาพยนตร์ เนื่องจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นจะออกสีเทาและดำตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงภูเขาหิมะด้วย ทำการทดลองในเวลากลางคืน ในห้องก็ค่อนข้างอึดอัด แต่เรื่องนี้ที่เราถ่ายทำในประเทศก็อาจจะมีนิดหน่อย รวมทั้งในป่าก็เป็นสีเขียวและโทนสีอบอุ่น มีสองคนกำลังก่อไฟในกระท่อม จะให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าของเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ดังนั้นจึงอยากจะถามว่า การควบคุมสไตล์ภาพโดยรวมเกิดจากไอเดียอะไร
A: ผมขอเสริมนิดนึงนะครับ จริงๆแล้วสุดท้ายโทนสีก็เป็นสีเข้ม ผมคิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างในภาพยนตร์รวมถึงการแสดง จริงๆแล้วมันคือความสามารถอย่างหนึ่ง ถ้าพูดถึงส่วนใหญ่ ภาพยนตร์ของเรายังคงเป็นโทนสีน้ำเงิน – เขียว เมื่อสักครู่ได้ยินคุณพูดว่า ป่าที่พวกเขาไปเป็นป่าไม้ที่มีแสงแดดงดงาม ใจผมแทบละลายแน่ะ เดิมทีผมอยากจะเน้นการใช้ภาพวิวในการเล่าเรื่อง สือหงผู้ที่มีความเงียบขรึมและอยู่ตัวคนเดียวมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็จำเป็นต้องพูดคุยกับเขา จริงแล้วภาพป่านั้นสามารถแทนความรู้สึกในใจของสือหงได้ดีเลยแหละ เขาได้พาเขาเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจของตัวเอง และพูดคุยสนทนากันอย่างชาญฉลาด ดังนั้นจึงมีข้อเรียกร้องสูงมากสำหรับฉากนั้น สือหงเป็นคนแบบไหน เนื่องจากเป็นคนฉลาด ดังนั้นก็จะดูหยิ่งทะนงมาก ข้างนอกค่อนข้างถ่อมตัว แต่ด้านในช่างเยือกเย็น และมีคุณธรรมสูงมาก ถนนบนภูเขาเส้นนั้น หมอกหนา ซึ่งผมคิดว่าภายในใจของสือหงเป็นสถานที่ที่ลึกที่สุด ดังนั้นคุณต้องยื่นมือออกไปจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ในความสับสนก็มีเพียงเขาที่รู้อย่างชัดเจนที่สุด แม้แต่สิ่งนี้พวกเรายังคงถกเถียงกัน หมอกที่เห็นบนยอดเขาคือสิ่งที่เราเป็นคนทำเอง พวกเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการจุดควันมาจากไต้หวันโดยเฉพาะ เขาสามารถปล่อยควันได้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วหลังจากนั้นก็รอให้มันค่อยๆลอยขึ้นไป ให้มันดูเหมือนว่าเป็นไอหมอกจากยอดเขาตามธรรมชาติพวกเราใช้เวลารอ ในที่สุดก็ทำให้พวกคุณได้เห็นว่ามันเป็นเหมือนแสงแดดอันสดใส แต่ว่าความตั้งใจในตอนแรกของผมไม่ใช่แบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะความเยือกเย็นที่มีอยู่ภายในใจลึกๆของสือหงมากกว่า ครึ่งแรกของการแสดงนั้นถือว่าสือหงเสี่ยงมากๆ ช่วงแรกถางชวนยอมลงจากม้าให้สือหง และพาคุณไปที่ห้องปฏิบัติการของผม สือหงรู้สึกอายมาก พอไปถึงยอดเขา ผมได้ปีนเขาอยู่บ่อยๆ คุณมาถึงสถานที่ทำงานของผม ผมทำให้คุณรู้สึกอับอาย สถานที่แห่งนั้นบ่งบอกถึงภายในใจของสือหง ผมจะให้คุณได้เดินเข้าไปในโลกภายในใจของผม สำหรับถางชวนแล้วนั้น เผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ (เปลี่ยนแปลงแล้ว) ฉบับดั้งเดิมดูยิ่งใหญ่มาก ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญอยู่กับอันตราย ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ต่อมา ตอนที่จุดไฟเผา ความอันตรายที่อยู่ตรงหน้าก็หายไป เพื่อนรักทั้งสองคนกำลังจะเริ่มสนทนากันอย่างฉลาด ดังนั้นสถานที่ตรงนั้นจึงเริ่มดูอบอุ่นมากขึ้น พวกเขาทั้งสองคนจะคุยอะไรกันบ้างเมื่ออยู่ที่นั่น คนที่ฉลาดจะไม่พูดกระจายออกไปทุกคำ ทุกประโยคคือการแข่งขัน ถึงแม้ว่าตอนจบไม่จำเป็นจะต้องเฟอร์เฟคมากมาย แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็พยายามตั้งใจคิดว่าจะให้สองคนนั้นใช้คำพูดแบบไหนมาแข่งขันกัน