ผู้เขียน หัวข้อ: 2002 ความทรงจำของผู้ชายสองคน โหย่วเผิงและหวังเหวินหัว  (อ่าน 9628 ครั้ง)

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
บทสัมภาษณ์ โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002

ความทรงจำของผู้ชายสองคน โหย่วเผิงและหวังเหวินหัว


สองคนที่เปรียมด้วยปัญญา ฉลาดทั้งเป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมา ล้วนเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเจี้ยนกั๋ว นักศึกษาดาวเด่นของมหาลัยไต้หวัน อยู่ภายใต้มหาลัยที่ดังที่สุดในไต้หวัน ภายใต้ความกดดันของสายตาผู้คนมากมาย พวกเขาได้ผ่านวันคือแห่งวัยรุ่นอย่างอาจหาญ และทั้งต้องรับความโดดเดียวอีกด้วย ในร้านกาแฟหยางยี่ที่มีเสียงเปียโนประกอบ เป็นค่ำคืนราตรีที่แสนจะอบอุ่น หัวใจสองดวงของวัยรุ่นสองคนนี้มีเสียงหัวเราะอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีการพูดคุยกันอย่างไม่ขาดตอน เหมือนกันเล่นยิงลูกโป่งอะไรอย่างนั้น แทบทุกคำถามที่ถามไปกลับโดนพวกเขาหลบเลี่ยง หรือบ้างก็เขารู้แกว

พวกเขาต่างก็พูดถึงวันเวลาที่ไร้ความกลัวในสมัยที่เรียนที่เจี้ยนกั๋ว พูดคุยถึงความหลังทั้งหวานชื่นและเจ็บปวดในสมัยเรียนมหาลัย พวกเขาล้วนไม่ต่างกับพวกเรา กระหายในความรัก ต่อความมั่นคงแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังกลัวอยู่ ต่อการสัมถะแม้จะรู้จักพอก็ยังต่อต้าน ในวัยที่หัวเลี้ยวหัวต่อ หวังเหวินหัวกับโหย่วเผิงได้ก้าวกระโดด เหมือนกับฝึกวิชาลอยตัวในการที่สามารถจะหาเส้นทางชีวิตของตัวเองพบ ในชีวิตนั้นได้ตั้งใจต่อการงาน ภายนอกของทั้งสองคนนั้นล้วนสุภาพ สง่า ดูแล้วเหมือนกับไข่ขาวที่เต็มไปด้วยสารอาหาร ในด้านอักษร ต่อหน้าแสงไฟ และในชีวิตของพวกเขานั้น ล้วนมีความดื้อซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ พวกเขาที่ย่ามสู่วัยรุ่น พวกเขาอยากจะเป็นตัวของตัวเอง อิสระ มีสุข เหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไป




Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:40:07 AM »

โหย่วเผิง :  หากว่าตอนนั้นผมไม่ลาออกจากมหาลัยไต้หวัน ไม่ได้เข้าสู่วงการบันเทิง ผมคิดว่าผมต้องเป็นหนอนหนังสือแน่นนอนเลย ตอนเรียนนั้นผมเครียดมาก เป็นคนที่เอาจริงเอาจังและน่าเบื่อ

เหวินหัว : จริงๆแล้วจะเป็นหนอนหนังสือใช่ว่าจะต้องเรียนหนังสือ เขาอาจจะใส่ใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ ก็ยังถือได้ว่าเป็นหนอนหนังสือ เหมือนกับผมเมื่อก่อนก็ช่วยทำวารสารของโรงเรียน ก็เหมือนหนอนหนังสือเหมือนกัน

โหย่วเผิง : ผมเป็นคนที่เรียนเก่งมากๆนะ เพียงแค่รู้น้อยมาในเรื่องของวงการการแสดงเท่านั้นเอง เพราะว่าเวลาของคนเรามีจำกัด ในเวลานี้คุณได้ทำอย่างนี้ เรื่องอื่นคุณก็จะไม่รู้ ยกตัวอย่างผมนั้นเก่งแต่เรียนหนังสือ แต่ว่าอีกด้านหนึ่งยังต้องทำงานบันเทิงไปด้วย ร้องเพลง ทำให้ผมไม่มีเวลาโอกาสที่จะไปเข้าร่วมกิจกรรมอย่างอื่น ตอนั้นเวลาเตรียมสอบเข้ามหาลัยของผมนั้นมีน้อยมาก จะว่าเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบช่วงอยู่ม.6 ก็ว่าได้ ผลการเรียนตอนม.4 ม.5  นั้นไม่เลว

แม้กระทั่งเพื่อนๆก็ไม่ค่อยชอบผม ช่วยกันลอกข้อสอบก็รู้สึกอาย แต่ว่าตอนที่ผมอยู่ที่จีนนั้น ผมเป็นพวกขี้ฟ้องตัวเอกเลยล่ะ ก็คือไม่ชอบคนอื่นทุจริตในการสอบ ทุกครั้งผมจะได้ที่หนึ่งหรือที่สองของห้อง แต่ว่าเพื่อนคนอื่นจะแอบดูข้อสอบ ผมเองก็ไม่พอใจ จริงๆแล้วสามารถชนะเขายี่สิบคะแนน แต่ทำไมชนะเขาแค่ห้าคะแนน ทุกคนล้วนตั้งใจในการเรียนมาก หากว่าคุณไม่ตั้งใจ ทำไมไม่ deserv it ทำไมต้องทุจริตสอบด้วย แต่เด็กคนอื่นก็เรียกผมว่าบัณฑิตน้อย ก็คือเป็นพวกที่สวมใส่แว่นหนาๆ สายตาสั้นกว่าพัน เรียนอย่างไม่คิดชีวิต ในกระเป๋าหนังสือนั้นล้วนมีแต่หนังสืออ้างอิง อาหารกล้อง ขวดน้ำ .....

หากว่าผมไม่ติดเป็นเสี่ยวหู่ตุ้ย ก็น่าจะเรียนหนังสืออย่างตั้งใจ แล้วชีวิตก็จะมีรสชาติฮ่าๆๆๆ พูดจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่องชะตากรรม ตอนมัธยมต้นนั้นผมเองก็เริ่มใฝ่ฝันอยากเป็นดาราแล้ว



ฉะนั้นช่วงรายการที่ต้องการรับสมัครผู้ช่วยรายการผมเลยรีบไปสมัคร ก็ไม่รู้อีท่าไหนถึงติด และจากนั้นก็แปลกมากมันดังได้ไง ตอนนั้นคิดแต่สนุก ก็เป็นเด็กอยู่นี่ จะไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอาชีพการงานล่ะ อยากจะหาเงินเยอะๆ ฉะนั้นตลอดเส้นทางนั้นชะตาชีวิตได้จูงคุณไป นำคุณสู่การมีชื่อเสียง สุดท้ายทุกคนต่างก็สนใจในตัวคุณ เฝ้ามองคุณว่าก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร และต่อจากนั้นผมต้องสอบเข้ามหาลัย เลยจำต้องไปสอบอย่างทุลักทุเล

แม้ว่าเทียนนั้นจะจุดทั้งสองด้าน แต่ก็ไม่มีทางเลือกที่เยอะกว่านี้ ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าตลอดเวลาที่เดินผ่านมานั้นราบรื่น อีกอย่างชะตาชีวิตนั้นได้จูงผลักดันผมเดินไป อีกอย่างตัวเองก็ได้ประสบการณ์หลายๆเรื่อง การที่สอบได้ที่เจี้ยนจงนั้นผมเกิดความภาคภูมิใจ แต่ช่วงสอบเข้ามหาลัยนั้นผมแทบจะกลายเป็นคนบ้า กับการคาดหวัง ถูกจ้องมอง ข่าวต่างๆ จนทำให้แทบจะทนไม่ได้แล้ว ตอนหลังสอบเข้ามหาลัยไต้หวัน คณะช่างกล หลายคนทึ่งว่าเด็กที่เก่งอย่างนี้ยังมีด้วยหรือ คุณจะรู้สึกเหมือนกับเป็นเทพ แต่ว่ามาถึงช่วงปีสามผมก็เรียนต่อไปไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจลาออก ในความรู้สึกของผมต่อความรู้สึกที่ทุกคนให้กับผมนั้นเหมือนกับว่าผมเป็นขยะ




Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:42:03 AM »
เหวินหัว :  ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ต่างกับคนอื่นมากในช่วงที่เข้าสู่เจี้ยนจงคือ ในทันใดคนอื่นจะสนใจห่วงใยต่อคุณ ต่อมาตัวคุณเองก็เชื่อในความห่วงใยเหล่านี้ด้วย คือเอามันมาเก็บไว้อย่างธรรมชาติ แน่นอนช่วงที่เราเรียนก๋อจงนั้น ผลการเรียนไม่เลวเลย แต่ว่าโรงเรียนเหล่านี้นั้นไม่มีสีสันของดาราเลย แต่เมื่อเข้าสู่เจี้ยนจงปุ๊ป ว้าว ทั้งเพื่อนนักเรียนของคุณ อาจารย์ของคุณ ทุกคนจะบอกกับคุณว่าคุณเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งนักเรียนมัธยมปลาย คุณเป็นที่หนึ่งในดวงใจ ยังบอกว่าไม่เพียงแต่จะเป็นโรงเรียนมัธยมอับดับหนึ่งของไทเป ยังเป็นมัธยมอันดับหนึ่งของไต้หวันด้วย แล้วคุณก็มักจะได้ยินถึงการวิเคราะห์ของมหาลัยเจี้ยนจงอีกด้วย ก็คือได้เอาแสงนี้ส่องไปทั่วต่อหน้าคุณ ผมรู้สึกว่าจุดดีของความดังของเจี้ยนจงนั้น ทำให้ชีวิตคุณไม่ปกติธรรมดา

การมีชีวิตที่ไม่ปกติแล้วคุณก็จะต้องไปเปลี่ยนให้มันดีขึ้น คือว่า คุณก็สามารถอ่านหนังสือบางเล่มที่นักเรียนต่างประเทศก็ยังไม่เคยอ่านเลย อะไรพวก(จอห์นดาวิน )เป็นต้น และอ่านบางเล่มที่แม้แต่เรียนประวัติศาสตร์ก็ยังไม่เคยอ่านอะไรอย่างนั้น เช่นหนังสือดังที่เขียนโดยอาจารย์หินซูเซิง เพราะคุณได้รับการถูกจ้องมองอย่างนี้ ฉะนั้นคุณก็เลยพยายามไม่หยุดที่จะไปทำว่าคุณทำได้ แน่นอนวันนี้มองย้อนหลังไปแล้วเรื่องอย่างนี้ส่งผลที่ดีและไม่ดี สิ่งที่ดีคือได้บีบคุณไปอ่านเรียนรู้เรื่องราวมากมาย ด้านไม่ดี สิ่งที่เสียดายที่สุดคือ คุณสูญเสียชีวิตของนักเรียน ม ปลายไป ความเดียงสา ทำอะไรง่าย ความสุขบางอย่าง  ที่คนอายุสิบห้าสิบหกน่าจะมีกลับไม่มี แน่นอนทุกวันคุณก็คงไม่อยากจะไม่เหมือนกับคนอื่น ทุกวันก็จะรู้สึกว่าภาระหน้าที่หนักของประเทศนั้นอยู่ที่เรา สิ่งเป็นสิ่งที่เข้ามาในเจี้ยนก๋อแล้วถึงมี บรรยากาศอย่างนี้นั้นเข้มข้นมาก ที่มหาลัยไต้หวันก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ทุกคนก็จะรู้สึกว่าพวกคุณนั้นไม่เหมือนกัน พวกคุณจะต้องแตกต่างจากเรา



โหย่วเผิง :  สมัยที่ผมอยู่ที่เจี้ยนจง ไม่รู้ความหยิ่งมาจากไหน สิ่งที่ผมประทับใจโรงเรียนอย่างหนึ่งคือ จริงๆแล้วตัวผมเองก็ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นอะไร แต่ก็มีความหยิ่งอย่างนั้นโดยธรรมชาติ ตอนนั้นผมไม่รู้อีโหน่อีแหน่อะไรเลย แต่ว่าตอนนี้ผมกลับไปดูที่โรงเรียนก็จะเข้าใจ พระเจ้า คนเหล่านี้เป็นอะไร ตอนนั้นพวกเรากำลังทำอะไร แน่นจะตาย ไม่รู้อะไรเลย แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ มีความรู้สึกที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินเลย



Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:43:33 AM »
เหวินหัว :  ใช่ ผมเชื่อว่าศิษย์ปัจจุบันก็น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาสนใจนั้นก็คงจะไม่เหมือนกับตอนที่เราอยู่ ป 5  ตอนนั้นพวกเราล้วนเป็นห่วงถึงเรื่องของประเทศชาติ ชะตาชีวิต หรือพวกหลักการเหตุผลอะไรพวกนี้ สามปีในช่วงนั้นเหมือนกับจะต้องมีชีวิตอีกรอบถึงจะว่าใช่ หรือว่าจะต้องหวนคิดหนึ่งอีกรอบถึงจะนับว่าใช่ ตอนอยู่ที่เจี้ยนจงนั้นมีอุดมการณ์มากมาย อยากจะเปลี่ยนแปลงโลก ช่วยเหลือผู้คน มีความใฝ่ฝัน หรืออาจเป็นเพราะผมนั้นเป็นพวกศิลป์ภาษา ฉะนั้นผมเลยตั้งความหวังให้ตัวเองในด้านนี้สูงมาก ผมจะรู้สึกว่ามีหนังสืออะไรที่ผมจะต้องอ่าน และทฤษฏีอะไรบ้างที่ผมจะต้องรู้ให้ได้ ตอนนั้นเมื่อฝันอนาคต แม้จะเป็นนักเขียนก็ยังไม่พอ ต้องเป็นนายกถึงจะแน่ นักเขียนสามารถทำอะไรได้หรือ? ทำอะไรไม่ได้เลย มีความคิดอยากจะบริหารบ้านเมืองให้สุข บวกกับสังคมในสมัยนี้นั้นมันก้าวไกลไปเรื่อยๆ ทุกอย่างต้องมีใหม่ๆ แน่นอนต้องส่งผลต่อเด็กนักเรียน


โหย่วเผิง : มุมมองอย่างนี้พูดไปแล้วผมไม่ถือว่าเป็นของเจี้ยนจง ตอนมัธยมปลายนั้นผมยุ่งกับการโฆษณา ไม่เคยไปคิดว่าอนาคตเป็นอย่างไร จริงๆแล้วผมเองก็ได้สูญเสียความสุขกับสิ่งที่ควรระลึกในชีวิต่ช่วงอยู่ที่เจี้ยนจง ผมไม่นับว่าเป็นคนที่ขาดเรียนบ่อย แต่ตอน ม.6 นั้นผมได้ลาเพื่องานเป็นอย่างมาก ขาดจนแทบจะหมดสิทธิ์สอบ เพื่ออยากจะเอาเวลาที่เหลือมาเตรียมสอบเข้ามหาลัย

เหวินหัว :  ผมกับโหย่วเผิงนั้นห่างกัน 5 ชั้น ในหนังสือของเขาที่มีชื่อของอาจารย์หงนั้นผมเองก็รู้จักเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยเรียนกับท่าน และก็ไม่ได้เจอเหมือนกัน

โหย่วเผิง :  ฮ่าๆๆ นั่นเป็นอาจารย์ที่เข้ามาใหม่ เข้ามาสอนก่อนที่ผมจะเข้าไปเรียนหนึ่งปี ตอนนั้นท่านมีความตื่นเต้นและคาดหวังในตัวนักเรียนเจี้ยนจงมาก เขารู้สึกว่านักเรียนของเจี้ยนจงนั้นพวกที่แปลก ฉะนั้นก็เลยอยากจะพูดคุยกับนักเรียนเหล่านี้ พูดความในใจ เล่นเกมอะไรอย่างนี้เป็นต้น




Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:45:32 AM »
เหวินหัว :  สำหรับอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ในเจี้ยนจงนั้นเป็นโรงเรียนที่ดีในด้านนี้ โหย่วเผิงกับผมนั้นมีบางจุดที่เหมือนกันมาก ก็คือพวกเราล้วนไม่ค่อยตั้งใจเรียนที่เจี้ยนจง หรือพูดได้ว่าไม่ค่อยตั้งใจเข้าเรียน เรียนแบบทางการ เพราะได้เข้าร่วมกิจกรรมนอกวิชาเยอะมาก เช่นทำวารสารโรงเรียน ก็สามารถที่จะขอลากิจได้เยอะ โหย่วเผิงจะออกไปในแนวโฆษณา แน่นอนกรณีของโหย่วเผิงนั้นเป็นกรณีพิเศษ หนึ่งโรงเรียนจะมีนักเรียนแค่คนสองคนที่เป็นเหมือนเขา แต่พวกเรานั้นก็จะมีทีมงานกลุ่มหนึ่ง แต่ว่าพวกเราจะมีมาตรฐานให้กับตัวเองคือ คิดหาทางออกสู่เส้นทางเลือก เหมือนกับโหย่วเผิงช่วงมหาลัยนั้นเกือบจะเป็นบ้าไป แต่ว่าตอนหลังงานการแสดงก็ได้ดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง แน่นอนตอนหลังผมเปลี่ยนจากคณะภาษาต่างประเทศเป็นคณะบริหาร ไปเรียนต่างประเทศ เขียนหนังสือ หาเส้นทางชีวิตของตัวเองจนเจอ ผมคิดว่าขณะที่โหย่วเผิงได้ออกงานโฆษณาและสิ่งที่เขาได้พบเจอนั้น อารมณ์ความรู้สึกของเขาในตอนนั้นกับอารมณ์ความรู้สึกตอนที่ผมทำวรสารโรงเรียนนั้นไม่ต่างกัน ก็เหมือนกับตอนนั้น (เจื้ยนชิงเซอ)นั้นอยู่หลังตึกมนุษย์ ออกหน้าต่างก็สามารถออกจากโรงเรียนได้ ฉะนั้นการจะโดดเรียนก็เป็นเรื่องง่าย ก็จะไปสัมผัสถึงสังคมข้างนอก อีกอย่างพวกเรานั้นถูกล่อลวงจากสังคมภายนอก อีกนัยหนึ่งก็อยากจะได้ยอมรับจากเพื่อนร่วมโรงเรียน อยากเป็นพวกเดียวกับเพื่อนๆ (พูดถึงเหวินหัวโดดเรียนนั้น พวกเราที่นั่งฟังนั้นแทบจะไม่เชื่อ เพราะดูจากภายนอกแล้ว เหวินหัวกับโหย่วเผิงเป็นนักเรียนที่ดี เป็นนักเรียนแบบอย่างที่เรียบร้อยเลยแหล่ะ ทำไมยังมีการไปปืนรั้วมหาลัยอย่างนั้นด้วย เป็นเหมือนกับเด็กที่เกเรซนอย่างนั้นได้ไง)


โหย่วเผิง :  ผมลองคิดคิดดูตอนที่ผมเป็นไกวๆหู่ก็ท่องยุทภพมาแล้วหลายปี มีคนมากมายก็คิดว่าการเป็นนักเรียนของโรงเรียนเจี้ยนจงนั้นจะต้องเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ปฏิบัติตามกฏระเบียบทุกตารางนิ้วอย่างนั้นเลย แท้จริงแล้วนักเรียนเจี้ยนจงบางคนก็เกเร หรือบ้างก็ซุกซน ผมรู้สึกว่าเหวินหัวนั้นเป็นคนมีบุคลิก เป็นนักเรียนที่มีความคิด



Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:47:36 AM »
เหวินหัว :  อยู่ในโรงเรียนนั้นผมเองก็คงไม่เคยใส่กางเกงที่เก๋ๆอย่างนั้น หรือว่าสวมหมวกที่พับจนไม่สารถจะแบนได้อีก เหมือนกันเด็กเกเร การดื้อของผมในตอนนั้นเป็นการดื้อที่ไม่แสดงออกมาให้เห็นจากภายนอกได้ น่าจะเป็นทางความคิด เป็นท่าทีที่เห็นได้จากชีวิตประจำวันของพวกเรา สามารถพูดว่าเป็นการดื้อแบบลึก เป็นการทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ


โหย่วเผิง :  แท้จริงแล้วตอนที่เรียนที่เจี้ยนจงนั้นมีช่วงหนึ่งที่ผมนั้นมีปมด้อย ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย

เหวินหัว :  ในช่วงวัยรุ่นนั้นแต่ละคนล้วนมีเรื่องที่เศร้าเสียใจไม่มากก็น้อย ตอนนี้มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ ลีอาน่าแสดง (เสินกุ่ยเจียวฟง) คุณจะเห็นว่าเขาพยายามที่จะปลอมตัวเป็นคนอื่น ไปขโมยของ ก็เพราะเขาเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวคนหนึ่ง แต่เด็กพ่อแม่แยกทางกัน งานของคุณพ่อก็ไม่ราบรื่น เขาก็ได้ทำสิ่งเหล่านี้มาระบายความโดดเดี่ยวอ้างว้างของตัวเอง พวกเราก็อาจจะเป็นในลักษณะอย่างนี้ สมัยวัยรุ่นนั้นไม่รู้ว่าทิศทางของเรานั้นไปทางไหน คุณรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่เหมือนเดิมแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าไม่เหมือนเดิมตรงไหน จากนั้นก็พยายามสอดส่องดู ในคุณก็อยู่ท่ามกลางเพื่อนนักเรียนที่ต่างก็มีวินัยระเบียบ ตามมาตรฐานแล้ว ก็จะรู้สึกว่าละอายใจ เพราะคุณรู้สึกได้ว่าพวกเขานั้นมีกลุ่มมีพวก แต่คุณไม่มีเลย



โหย่วเผิง : เมื่อก่อนผมเองก็รู้สึกว่าโดดเดี่ยวเหมือนกัน มาถึงวันนี้ก็จะรู้สึกว่าคนเรานั้นต้องเรียนรู้ในการที่จะพึงพอใจกับตัวเอง คนเราก็เหมือนวงกลมที่มีช่องโหว่ แม้จะสรรหาความรักหรืออะไรมาเติมเต็มมัน จะเติมมากเท่าไรก็ไม่เต็ม ก็จะรู้สึกเลยว่าช่องโหว่ในใจนั้นมันใหญ่มากๆ

ตอนนี้นั้นผมเหมือนกับว่าได้ฝึกฝน ถึงแม้จะร่างกายเข้มแข็งไปแล้วอย่างนั้น ตัวเองสามารถทำให้ตัวเองอิ่มใจ หลายๆเรื่องนั้นมองไม่ชัดเจนในตอนวัยรุ่น เพราะสิ่งที่ผมได้เผชิญไม่ว่าจะเป็นคนหรืองานนั้นมันเกินกำลังสำหรับคนในวัยนั้นจะแบกรับได้ ผมได้แต่กัดฟันสู้มัน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าผมก็ทนมัน ทนจนมันชินไปแล้ว

เป็นบุคคลสาธารณะนั้นมักจะถูกห้อมล้อมประจำ แต่ว่าคนรอบข้างที่ห้อมล้อมคุณนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจคุณได้ ไม่ว่าจะในรายการ หรืองานโฆษณาก็ต้องเจอกับผู้คน แต่เมื่อได้ปิดห้องอยู่คนเดียว คุณก็ยังจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงของตัวคุณเอง ผมรู้สึกว่าจะดังแค่ไหนหรือจะมีคนรุมล้อมแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะคลายความกดดันในการเรียนของผมได้ หรือว่าจะลดความโดดเดี่ยวในโรงเรียนผมลงได้ นี่มันเป็นคนละเรื่องเลยก็ว่าได้

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:51:35 AM »
โหย่วเผิง :  ตอนที่เรียนที่เจี้ยนจงนั้นผมไม่มีความรู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังเป็นดารา ก็ยังคงใส่แว่นแล้วเดินตามถนนไปมาและไปเรียนพิเศษด้วย เล่นบาสด้วย เล่นเสร็จแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้าโผกไว้ที่ไหลแล้วเข้าห้องเรียน ก็เหมือนกับนักเรียนคนอื่น ตอนั้นยังไม่มีทีมโก่วจื่อ ไม่มีอะไรที่จะให้ต้องระมัดระวัง ความเจ็บปวดได้แตกเหมือนฝีนั้น ก็เป็นเรื่องของการสอบเข้ามหาลัยได้

สภาพจิตใจของตอนนั้นนั้นเหมือนกับทำตัวเองเป็นเทพไปแล้ว แล้วไปยืนอยู่บนยอดเจดีย์และลงมาไม่ได้ ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะไปทำอะไร แต่ว่าทันทีที่สอบเข้าได้ ทุกคนก็จะคิดว่า อื่ม แน่จริงๆ แล้วเพ่งจุดสนใจไปอยู่ที่คุณ คุณก็จะต้องทำได้ดียอดเยี่ยม ผมจำได้ดีมากในตอนนั้นได้ไปทำหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นรายการ(ฮวนเล่ออี้ไป๋เตี่ยน) การแนะนำตัวก่อนจะออกรายการทุกครั้งจะเป็น (ให้เรามาต้อนรับนักเรียนที่ยอดเยี่ยมและการประพฤติที่ดีซูโหย่วเผง)

ทุกครั้งผมก็จะบอกว่า ชมเกินไป แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ผมก็เลยได้รับตำแหน่งเทพนั้นไปโดยปริยาย จากนั้นขึ้นสูงแล้วก็ลงไม่ได้ ตอนนั้นความคิดที่ผมมีนั้นคิดเพียงว่าการสอบเข้ามหาลัยนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะเดินได้ ชีวิตนั้นคงไม่มีทางไหนให้เดินอีกแล้ว อยู่ที่มหาลัยก็คิอแบบนี้ บวกกับตัวเองก็เป็นคนที่แคร์ต่อความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างมาก ฉะนั้นผมเลยต้องวิ่งอย่างสุดชีวิต สุดชีวิต หลายคนต้องตกใจไม่กล้าเชื่อ ไม่กล้าเชื่อว่าโหย่วเผิงจะปล่อยวางการเรียนกับสถาบันที่น่าอิจฉา



แต่ว่าการเรียนช่างกลนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผมชอบรักจริงๆ ตอนนั้นผมเคยคิดจะย้ายคณะ ย้ายไปคณะบริหาร  ทั้งยังแอบไปลงเรียนวิชาบริหารด้วย แต่ก็ไม่สามารถจะย้ายได้ ทุกคนที่ย้ายคณะนั้นต่างก็มีผลการเรียนคะแนน แปดสิบกว่าเก้าสิบกว่า แต่ผมแค่เจ็ดสิบกว่า มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็คือหากย้ายคณะไม่ได้ ก็ยิ่งไม่มีทางจบ ดีที่สุดก็คือลาออก

ตอนอยู่มัธยม 6 นั้นผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องเรียนมหาลัย เพื่อจะสอบให้คนอื่นเขารู้ว่าผมเจ๋งนะ ผมเป็นคนที่จะต้องชนะให้ได้ รู้สึกเหมือนกับว่าคนทั้งโลกกำลังมองดูผมอยู่ ผมจะต้องสอบเข้าคณะที่ดังๆให้ได้ มันจะยิ่งทำให้คนอื่นชม ฉะนั้นผมนั้นได้กรอกตามความสมัครใจ ตอนนั้นผมทำเพื่อจะให้ทุกคนเห็นว่า “ผมก็สามารถเข้ามหาลัยช่างกลได้” แต่สวรรค์รู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรฝีมือด้านนี้ของผมนั้นมันแย่มากๆ การจะเรียนพวกเครื่องยนต์นั้นทุกวันจะต้องทำงาน สุดท้ายกลับทำให้ตัวเองล้มเหลว แม้ผมจะพยายามทำไปอย่างไรก็ไม่ผ่าน หากไม่สามารถจบได้ ผมก็ต้องรอความตาย

หลังจากที่แถลงข่าวเรื่องการลาออกแล้วผมเองได้กลับมาร้องไห้ทั้งคืน ในใจคิดว่า จบแล้ว ผมตายแน่ การเรียนกับงานบันเทิงของผมนั้นมันพิเศษมาก นักร้องที่เป็นนักศึกษาทั่วไปแล้วจะไม่ได้พึ่งในการเรียนของเขา แต่ว่าการเรียนของผมกับงานบันเทิงของผมนั้นไปด้วยกัน พูดง่ายๆคือเรียนเก่งร้องเก่ง จริงๆแล้วผมไม่ตั้งใจจะเป็นอย่างนี้ แต่มันเป็นไปตามอัตโนมัติ งานบันเทิงของผมนั้นพึ่งในการเรียนของผม แต่ว่างานยิ่งดีการเรียนก็ยิ่งแย่ แน่นอนไม่สามารถที่จะทำให้ทั้งสองอย่างดีพร้อมๆกัน



หวนคิดถึงประสบการณ์ความสัมพันธ์ในเจี้ยนจง เหวินหัวกับโหย่วเผิงนั้นดีใจด้วยความเศร้า ขณะพูดคุยนั้นยากที่จะเห็นใบหน้าที่สวยงามของพวกเขา โหย่วเผิงบอกว่าเสียดายมากที่ตัวเองแทบจะไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมงานสัมพันธ์ไมตรีเลย เหวินหัวปลอบใจเขา หากว่าคุณมาร่วมนะก็จะบังรัศมีความหล่อของเราหมดล่ะซิ

โหย่วเผิง  :  ผมจำได้ว่าตอนทัศนะศึกษานั้นผมมักจะไปซื้อ แล้วก็จะส่งรูปถ่ายอะไรอย่างนั้น จำไม่ได้ว่าเป็นการเรียกร้องของอาจารย์หรือนักเรียน สุดท้ายได้กล่าวว่าโหย่วเผิงขายรูปถ่าย

โหย่วเผิง : ชีวิตนักเรียนของผมนั้นไม่มีทางเลือก หลังจากที่ลาออกจากมหาลัยแล้ว ทันใดนั้นผมก็สลบไปเลย ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป หันไปเล่นละครก็ฝีมือไม่ถึง ไม่เป็นนักเรียนประถม ทั้งยังเป็นนักร้องที่ตกรุ่นไป ตอนนั้นผมเพิ่งมาคิดถึงอนาคตของตัวเอง ก็เหมือนกับที่เหวินหัวพูด คนเรายิ่งมีความทุกข์ก็จะยิ่งคิด ตอนผมอยู่ปีสองปีสามก็คิดอยู่ตลอดว่าอนาคตจะทำอย่างไร คุณค่าของชีวิตมนุษย์นั้นอยู่ที่ไหน เลยทำให้ผมยืนหยัดที่จะเดินบนเส้นทางศิลปินนี้ไว้ เพราะไม่มีความสามารถอย่างอื่นเลย

ใช่ครับ ผมได้ทุ่มเทกำลัง เวลาของช่วงวัยรุ่นให้กับเวทีเรียนการแสดง ชนะความกลัว นี่เป็นงานถนัดของผม อย่างอื่นนั้นไม่เป็นอะไรเลย จนถึงตอนที่แสดงองค์หญิงกำมะลอ สวรรค์ก็ทรงประทานเส้นทางใหม่ให้กับผม




Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:54:43 AM »
เหวินหัว  :  เส้นทางชีวิตของมนุษย์เรานั้นพริกผันร้อยแปดพันเก้า เพราะว่าคนเรามันต่างกัน หลังจากที่ผมจบมหาลัยแล้วก็มีความฝันว่าอยากจะมองโลกให้กว้างไกลกว่านี้ เพราะเรื่องวรรณคดีนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก และตัวผมเองก็เข้าใจว่าคนเรานั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งจะต้องเห็นอะไรที่กว้างไกล หากว่าสภาพวรรณคดีไม่สามารถให้จุดนี้แก่ผมได้ ผมก็จะออกต่างประเทศ ไปเรียนอะไรหรือ? ผมอยากจะไปเลือกเรียนวิชาที่มันท้าทาย ไปศึกษาวิชาการบริหาร


โหย่วเผิง :  นี่ก็เป็นหนึ่งความใฝ่ฝันของผม ผมยังจะต้องไปเรียนต่ออีกแน่นอน ไปต่อต่างประเทศ ช่วงนี้ผมได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าๆที่ขาดการติดต่อไปนานมาก ได้ยินว่าคนนั้นคนนี้ได้แต่งงานแล้วมีลูกแล้ว บางคนทำงานแล้ว บางคนก็เป็นหมอ เป็นนักอีเล็กโทนิค ในใจผมนั้นชื่มชมพวกเขาว่า พวกคุณเก่งจริงๆ เพราะนี่ก็เคยเป็นสภาพของผมมาก่อน น่าจะเป็นอนาคตของผมถึงจะถูก เป็นเพราะผมเดินทั่วแล้ว ก็เลยไม่เหมือนกับคนอื่น ลึกๆในใจของผมนั้นก็ยังมีความตั้งใจที่จะเรียนต่อ คิดว่าเรียนถึงดอกเตอร์ เป็นหมอคงไม่เลว ผมดีใจมากที่พวกเขายังไม่ลืมผม ปกติแล้วทุกคนก็ไม่รู้จะติดต่อกับผมทางไหน ก็ได้มาหาผมในงานเซ็นสัญญากับค่ายเพลง ประทับใจมาก ไม่งั้นผมก็คงจะคิดว่าชีวิตที่อยู่ในเจี้ยนจงนั้นไม่ดีเลย

เหวินหัว :  ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่มีประสบการณ์มากมาย คนเรามากน้อยก็ย่อมมีการอิจฉาบ้าง ทุกคนก็จะคิดเหมือนกันว่าเราต่างก็สอบเข้าเจี้ยนจงด้วยกัน ทำไมคุณขาดบ่อยๆได้ หรือว่าลากิจได้เยอะกว่าคนอื่น มีผู้หญิงชอบมากมายเป็นต้น นี่เป็นสิ่งที่ปกติอยู่แล้ว

โหย่วเผิง :  คุณก็น่าจะเป็นพวกที่เด่นดังแล้วมีคนมาอิจฉาอย่างนั้นใช่ไหม

เหวินหัว :  แน่นอนเสน่ห์ของผมคงจะสู้ของคุณไม่ได้ ผมนั้นเขียนเรียงความหลายๆเรื่องถึงจะได้รับรางวัลอย่างนั้นเอง แต่ว่ามากน้อยผมก็เข้าใจความรู้สึกของคุณอยู่เหมือนกัน ก็คือไม่ค่อยเข้ากับกลุ่ม ด้านหนึ่งคุณได้รับการยอมรับจากคนนอก แต่ในกลุ่มนักเรียนแล้วเป็นตัวที่คนอื่นอิจฉา

โหย่วเผิง :  มีช่วงหนึ่งนั้นใจผมมันมีช่องโหว่มากมาย หลังจากที่ออกจากมหาลัยแล้ว ทุกครั้งที่ผ่านห้องเรียนที่เขาเลิกเรียนไปแล้ว เห็นพวกเขาเดินเป็นกลุ่มๆ ผมก็จะรู้สึกเศร้าใจ ผมอยากจะได้สิ่งนี้กลับคืนมา เติมช่องโหว่นี้ให้มันเต็ม




Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 06:56:21 AM »
เหวินหัว : ในจุดนี้นั้นพวกเรานับว่าเป็นผู้โชคดี เพราะว่าการดำเนินชีวิตของพวกเรานั้นถือได้ว่าเป็นการดำเนินชีวิตที่ปกติ เหมือนกับตัวผมเองนั้นก็มีเพื่อนๆด้วย เป็นเพื่อนที่คิดในแนวเดียวกัน ชอบอ่านหนังสือสไตล์เดียวกัน ก็เชื่อว่าตัวเองนั้นก็จะไม่ค่อยเหมือนกับผู้อื่น แต่เรามีกลุ่มเล็กๆอย่างนี้ก็ถือว่าโอเค ต่างก็จะช่วยเหลือกันและกัน

โหย่วเผิง : ผมได้ดู(61x57)ของคุณหวังเหวินหัวแล้ว ตอนดูแรกๆนั้นรู้สึกว่าคุณฉูก๋อนั้นเก่งกาจมาก ทั้งนิสัยดีทั้งบุคลิกดี แต่ว่าอ่านไปเรื่อยๆแล้วทำให้เครียดจนอยากจะทิ้งหนังสือเลย คุณรู้ไหมว่าเพราะอะไร เพราะว่าผมอาจจะแสดงบทพระเอกในเรื่องได้ ผมมีความคิดอย่างนั้นอยู่ ฉะนั้นผมเองยอมรับไม่ได้กับผู้ชายเจ้าชู ผมเองเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว

เหวินหัว : จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้นั้นผมเขียนออกมาในแนวความสับสนของการเกียจคล้าน ผมอยากจะสื่อว่า ขณะที่คุณกำลังรักคนคนหนึ่งนั้น ก็ยังเป็นไปได้ที่คุณอาจจะหลายใจด้วย



โหย่วเผิง : ที่คนชอบดูละครก็เพราะว่าชีวิตจริงนั้นมันไม่มีอย่างนั้น ถึงจะรู้สึกว่า โอ้ ยังมีคนรักเดียวใจเดียวอย่างนี้อยู่ด้วยหรือ จากนั้นถึงจะรักพระเอกนางเอกคู่นี้ หากจะเอาเรื่องชีวิตจริงหรือความเป็นจริงมาแสดงแล้ว ผู้ชมก็จะต่อว่าด่าทอชายคนนี้...

เหวินหัว :  ผู้ชมนั้นล้วนจะชอบดูอวสานที่หวานชื่นสมบูรณ์

โหย่วเผิง : ทำไมพระเอกที่คุณเขียนขึ้นนั้นมันร้ายขนาดนั้น ตอนแรกๆนั้นเก่งมาก มีวิธีมากมายในการเอาใจคนอื่น แล้วตอนหลังกลับรักพี่เสียดายน้องอย่างนั้น แม้ว่าช่วงท้ายจะสำนึกผิด แต่ท่าทีที่น่าสังเวทอย่างนั้นมันขาดศักดิ์ศรีความเป็นชายหมดเลย

เหวินหัว :  ผมคิดว่านี่ถึงจะเป็นผู้ชายที่แท้จริง จากผลสำรวจแล้ว ชายที่มีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดีเด่น นิสัยดี ปกติแล้วจะมีพฤติกรรมอย่างนี้ทั้งนั้น ผมชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ใกล้ความจริงที่สุด

โหย่วเผิง : เถียงเขายากมาก หากว่าเป็นผมเขียนแล้วล่ะก็ จะออกมาในแนวที่รักเดียวไม่มีวันเปลี่ยนอย่างนั้นมากกว่า  ช่วงนี้ที่ผมกำลังถ่ายเรื่อง(อีเทียนสู่หลงจี้/ดาบมังกรหยก) บทของเตียบ่อกี้นั้นแตกต่างไปจากต้นฉบับของเรื่องไปแล้ว

ในเรื่องนั้นเตียบ่อกี้เห็นคนรักก็รักแล้ว และผู้หญิงทุกคนก็ล้วนเห็นเตียบ่อกี้แล้วรักเลย ครั้งนี้ผมจะหลีกเลี่ยงภาพลักษณ์ที่หลายใจอย่างนั้น แท้จริงแล้วผมจะมีอารมณ์อิงกับการแสดงทุกครั้งเลย ผมคิดว่า ผมรักหมินหมินได้ไง ทั้งๆที่เธอร้ายต่อผมมากๆ ทั้งยังคิดแผนชั่วทำร้ายผมอีก ผมคิดว่าผู้เขียนน่าจะสื่อความหมายออกมาที่ไร้รักไม่ได้อย่างนั้น

บวกกับมีความแค้นในด้านสายเลือดอีกด้วย ความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งเกลียดอย่างนั้น แต่ว่าในความคิดของผมแล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัว ผมเลยคิดไปอย่างนี้ว่า หมินหมิน นั้นเพื่อผมแล้วยอมสละตำแหน่งองค์หญิงมองโก ในใจมีแต่ผมเพียงคนเดียว และทำให้ผมประทับใจ เลยรักเธอ อย่างนี้ถึงเรียกว่ามีเหตุผลที่ผมจะยอมรับได้ ผมไม่สามารถเดี่ยวก็ง้อหมินหมิน เดียวก็ไปจิวจี้เยี๊ยก เดียวก็ไปดูแลเสี่ยวเจียว  สำหรับผมแล้วนั่นเป็นรักที่บ้าไปแล้ว




Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 07:00:00 AM »
เหวินหัว  : บทของฉูก๋อนั้นมีในในชีวิตจริงอย่างแน่นอน ตัวผมเองก็จะไม่ปฏิเสธว่าในเรื่องนั้นมันได้สะท้องความเป็นจริงของชีวิตออกมา ผมคิดว่าการจะรักเดียวนั้นใช่ว่าทั้งสองคนเสมือนติดอยู่ในคุก รักเดียวนั้นสามารถที่ที่จะพัฒนาไปได้ ความสัมพันธ์ความรักนั้นก็จะเหมือนเส้นยางไม่ใช่เส้นเหล็ก ทุกครั้งที่สองคนได้อยู่ด้วยกันก็สามารถทำในสิ่งที่ต่างกันได้ พูดคุยสิ่งใหม่ๆ รักเดียวนั้นแน่นอนจะมีการผูกมัด แต่การเงื่อนไขการผูกมัดนั้นก็ต้องดูความลึกตื้นของคนสองคน คุณสามารถทำให้มันเหมือนกับเหล็กเส้นหนึ่ง หรือทำให้มันเป็นเหมือนยางเส้นหนึ่ง


โหย่วเผิง :   จริงๆแล้วผมชอบพระเอกที่มีความคิดในลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักหรือเรื่องชีวิตส่วนตัว จะต้องมีอารมณ์ที่ฮึกเหิม มีไอเดียอะไรหลายๆอย่าง แน่นอนหากทั้งยังเป็นผู้ที่ซื่อตรงต่อความรักก็จะยิ่งเพอร์เฟรกไปใหญ่เลย ผมไม่คิดว่าคนคนหนึ่งที่ซื่อตรงต่อความรักแล้วจะเป็นคนที่ไม่รู้ชีวิตรัก ผมคิดว่าการรักเดียวกับการให้ความสำคัญกับรสนิยมชีวิตนั้นมันน่าจะไม่ใช่เข้ากันไม่ได้



โหย่วเผิง :  หวนคิดถึงความรักของตัวเอง ก็ยังไม่ได้พูดส่วนทึ่ลึกๆให้ฟัง แน่นอนก็ยังพูดไม่ถึงเรื่องแต่งงาน ที่จะจูงมือไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต แม่นางจูที่เขียนไว้ในหนังสือนั้นก็ไม่ใช่




เหวินหัว :  ตอนเรียนจบมหาลัยแล้วก็ไปต่างประเทศ ผมได้เห็นสังคมโลกที่แตกต่างกันโดนสิ้นเชิง ไม่ว่าไปที่อเมริกา หรือไปเป็นนักศึกษาวิยาลัย สิ่งที่ผมได้เจอไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม มุมมองชีวิต หรือความคิดต่างๆนั้นล้วนรู้ว่าโลกเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก ใช่ว่าทุกคนจะคิดอย่างเดียวกัน ใช่ว่ามุมมองชีวิตจะเหมือนกันหมด หรือว่าทุกคนก็บากบั่นมุ่งทำการงาน จนลืมว่าวันเวลาแห่งความสุขมันผ่านไปแล้วอย่างนั้น ผมรอได้รอคอยอยู่ที่ต่างประเทศล่วงเจ็ดปี เรียนสองปีทำงานห้าปี ห้าปีหลังนั้นได้รอที่นิวยอคและโตเกียว ภาษาญี่ปุ่นของผมนั้นลืมจนเกือบจะหมดแล้ว อย่างไรก็ตามช่วงที่ผมอยู่ที่นิวยอคนั้นเป็นเวลาที่มีความสุขมาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่บริษัทางอเมริกาได้ส่งผมไปทำโครงการอย่างหนึ่งที่โตเกียว ตอนนั้นผมกลัวมากทั้งยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ทางบริษัทบอกว่าจะจัดผมให้เหมาะสมกับหน้าที่สุด หลังจากที่ลงเครื่องแล้วมีรถบัสมารับพวกเราไปที่โรงแรมA&Aเป็นที่แห่งทองคำของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ผมได้หนึ่งห้องนอนกับหนึ่งห้องรับแขก เปิดตู้เย็นมีทั้งขนมนมเนย เห็นถึงการต้อนรับแขกที่ดีของคนญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นนั้นผมยังได้เปิดหุเปิดตาเพิ่มความรู้มากมายอีกด้วย อาทิการซื้อขายแตงโมที่ญี่ปุ่นนั้นราคาไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหนักเท่าไร แต่ขึ้นกับว่าหวานมากน้อยแค่ไหน การทดสอบของพวกเขานั้นไฮเทคมาก ใช้เข็มปักเข้าไปในแตงโมแล้วดูดน้ำออกมานิดหน่อย แล้วดูความหวานแล้วติดราคา แตงโมบางลูกเล็กมากแต่ก็แพงมาก เพราะความหวานมันหวานจริงๆ ผมทึ่งกับการที่คนญี่ปุ่นต้อนรับแขกคนไม่มีที่ขาดตกบกพร่องเลย มันคิดไม่ถึงจริงๆ ทำให้ผมได้เปิดโลกทันศ์กว้างขึ้น ยังมีอีกตอนที่ผมได้ร้านฮากาต้าแห่งหนึ่งของโตเกียว แค่ซื้อไอศครีมเล็กๆลูกเดียวคุณก็สามารถได้รับการบริการพนักงานที่ยากจะลืมได้ เหมือนกับว่าการกินไอศครีมนั้นเป็นอะไรที่มีเกียรติมาก เหมือนกับกำลังกินเพชรอะไรอย่างนั้น

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 07:02:14 AM »
โหย่วเผิง :  ผมอิจฉาชีวิตอย่างนี้ของคุณมาก หากว่าผมไม่ใช่ศิลปิน ผมก็จะคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ผมหาอยู่ เป็นชีวิตที่ดีมาก เป็นชีวิตอย่างพระเอกในหนังสือนิยายที่เหวินหัวได้เขียนไว้เลย คุณถามถึงชีวิตที่อยู่ต่างประเทศของผมหรือ ส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ร้านอาหาร ฮ่าๆ เพราะมันก็เกี่ยวข้องกับการถ่ายหนังด้วยเหมือนกัน นอกจากการถ่ายหนังแล้วเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ร้านอาหารเหมือนกัน การถ่ายทำนั้นลำบาก แม้จะดูบนหน้าจอจะสง่างาม แต่เบื้องหลังแล้วมันเป็นอะไรที่สุดทนเหมือนกัน

อนาคตอยากจะออมเงินไว้เยอะหน่อยแล้วจะไปสานฝันให้เป็นจริง หลายคนอาจคิดว่าการเป็นศิลปินนั้นมีเงินมากมาย จริงๆแล้วหลังจากที่เริ่มเข้าสู่วงการ ลาออกจากการเรียน ช่วงอายุที่ยังหนุ่มอยู่นั้นก็ได้แบกภาระของทางครอบครัวแล้ว แต่ว่าช่วงที่อยู่ที่เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น เหตุเพราะค่าตอบแทนนั้นต่ำมาก หลายปีที่ได้ตกต่ำกับทั้งต้องเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างของชีวิต

ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ล้วนทำให้ผมโตขึ้น เมื่อก่อนผมซีเรียสกับผลงานเป็นอย่างมาก แคร์ต่อความรู้สึกคนอื่นมากๆ เมื่อผ่านอุปสรรค์มามากมายแล้ว ผมเรียนรู้ที่จะเป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าควรทำและเป็นเรื่องที่มีความสุขด้วย อันที่จริงนั้นผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนในวงการสักเท่าไหร่

ดาราฮ่องกงหลายคนนั้นได้ติดต่อสัมพันธ์กับนักธุรกิจมากมายแต่ส่วนผมนั้นจะไม่มีในจุดนี้ และไม่อยากจะเข้าร่วมด้วย ผมคิดอยู่บ่อยๆว่าการออกต่างประเทศนั้นก็จะมีอะไรหลายอย่างที่เราไม่รู้ หลังจากที่ออกจากการเป็นนักศึกษาแล้วผมเองก็ไปพักผ่อนที่ลอนดอนกว่าสามสี่เดือน เมื่อก่อนคิดว่าการเดินทางนั้นเป็นสิ่งที่เซ็ง ตอนหลังมารู้ว่านักเรียนนอกเมื่อเขาพักการเรียนแล้วก็จะไปท่องเที่ยว

เมื่อกลับมาแล้วสามารถจะเรียนต่อได้ ทางมหาลัยไม่เพียงไม่ตัดคะแนนพวกเขา ทั้งยังบวกคะแนนให้พวกเขาอีกด้วย เมื่อผมคิดกลับไป ใช่นะ ทำไมผมจะต้องเป็นนักเรียนที่ดีคนหนึ่งตามที่ทุกคนคาดหวังไว้ ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ แม้ไม่สามารถจะจบปริญญาผมเองก็สามารถที่จะหาเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ ตอนที่อยู่ที่ลอนดอนนั้นสภาพจิตใจของผมนั้นมืดมั่วมาก เหมือนกับอากาศในที่นั่น ผมอยากจะปล่อยตัวเอง เบอร์โทรศัทพ์ที่ทางเพื่อนหรือญาติให้กับผมนั้นผมล้วนไม่เอา จะไปที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ยิ่งไกลผมยิ่งมีความกล้า ผมได้สมัครเรียนโรงเรียนสอนภาษา แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน บวกกับสำเนียงของลอนดอนนั้นมันฟังยากมาก ผมไม่ชอบ แล้วก็ได้ท่องเที่ยวไปทั่วตามลำพัง



เหวินหัว : บุคลิกภาพของนักศึกษาของคุณนั้นแทบจะไม่จางหายไปเลย เหมือนกับการที่คุณอนุรักษ์ซื่อตรงต่อความรักอย่างนั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงไป คนทั่วไปจะคิดว่ามีความห่างเหินกับดารามาก แต่ขณะที่พูดคุยกับคุณผมไม่รู้สึกห่างเหินกับคุณเลย คุณกับพวกเราก็เหมือนกันกำลังฝ่าฝันชีวิตการเรียน และกล้าที่จะฝ่าฝันความใฝ่ฝันด้วย

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 07:04:14 AM »
โหย่วเผิง : ใช่ อนาคตผมจะเป็นพวกที่ให้ชีวิตสบายๆ บวกกับผมเป็นคนที่รักเดียวใจเดียวด้วยก็คงจะดีมากๆเลย คนเกิดราศีกันย์นั้นไม่ใช่ต้องการชีวิตที่ดีหรือ? อดีตนั้นผมเป็นคนที่ตามหนังสือทุกอย่าง ตอนนี้กลับกลายเป็นคนไม่เข้าท่า ระยะนี้บุคลิกได้เปลี่ยนไปมาก มันคงเกี่ยวข้องกับราศีแห่งปีของผมด้วย

ตำแหน่งซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะนั้นย่อมมีคนจ้องมอง แต่ว่าคนข้างๆก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจผม ในวันหยุดที่แล้วได้ทำงานโปรโมทโฆษณานั้นต้องเจอผู้คนมากมาย แต่ว่าเมื่อปิดประตูห้องแล้ว ตัวเองก็ยังต้องเผชิญกับความเป็นจริงอยู่ดี  ผมรู้สึกว่าจะดีกว่านี้ หรือว่าจะมีคนจ้องเพ่งมากกว่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ผมคลายความกดดันเรื่องการเรียนและความอ้างว้างที่โรงเรียนได้ นี่มันเป็นคนละเรื่อง

หลังจากที่แถลงการลาออกจากการเรียนแล้วผมเองได้ร้องไห้ทั้งคืน ในใจคิดว่า ตายแล้ว ผมหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เมื่อคิดถึงคำพูดที่โหย่วเผิงพูดตอนเปิดคอนเสิร์ดว่า  “แท้จริงผมเป็นคนอ่อนแอคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เจอกับอุปสรรค ปัญหาก็อยากจะปล่อยมันไม่เอาอะไรแล้ว เป็นทุกคนที่ให้กำลังใจและกำลังที่ทำให้ผมมายืนอยู่ที่นี่ได้”  มาจนถึงวันนี้เขายังไม่หยุดที่จะพยายามต่อไป จากอดีตจนถึงวันนี้นั้นรักโหย่วเผิงเป็นอย่างมาก



เหวินหัว : โหย่วเผิงก็ย่างสามสิบแล้วสิ่งนี้ทำให้ผมทึ่งมาก ผมยังได้เห็นนิตยสารของเขา ไม่เคยคิดเลยว่าเขาอายุสามสิบแล้ว ตัวเขาเองก็คงจะไม่คุยกับการที่ผ่านไปแล้วยี่สิบเก้าปีแห่งความจริง เพราะผมรู้สึกว่า ชีวิตสามสิบของผมก็เพิ่งจะเริ่มเอง



Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง VS หวังเหวินหัว ปี 2002
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 07:06:13 AM »
โหย่วเผิง : แม้ผมจะเพิ่งย่างสามสิบ แท้จริงแล้วผมเองก็ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตสามสิบปีของคนวัยนี้มากแล้ว เช่น การเข้าสู่สังคม การหางานทำ การดูแลพ่อแม่ อยู่กับเพื่อนคนอื่น แต่เหมือนอย่างเหวินหัวที่บอกว่าเหมือนกับว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามสิบแล้ว ตัวเองก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอายุสักเท่าไร เพียงแค่จิตใจได้เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับตอนนี้ผมเองนั้นให้ความสำคัญกับการอยู่กับครอบครัวเป็นอย่างมาก การที่คนในครอบครัวมีสุขภาพที่ดีนั้นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของผม เหมือนกับตรุษจีนปีนี้พวกเราล้วนได้ถ่ายรูปครอบครัวพร้อมกัน ความรู้สึกอย่างนั้นมันดีมาก


เหวินหัว :  ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้น อายุสิบหกสิบเจ็ดอย่างโหย่วเผิงนั้นก็คงจะคิดว่าไม่มีอะไร ผมจะไม่เอาอย่างนั้น แต่ว่าคุณลองคิดดูว่าถ้าผ่านไปอีกสองปี การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของพวกคุณจะไม่ใช่ที่โต๊ะอาหารอีกต่อไป แต่เป็นที่โรงพยาบาล ฉะนั้นหลังสามสิบปีแล้ว สิ่งที่คุณจะไปคิดมันนั่นถึงเป็นสิ่งที่ยืนยงมั่นคง จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า

โหย่วเผิง : ตอนนี้ผมเองนั้นอยากจะมั่นคง ความมั่นคงของผมนั้นใช่ว่าจะหมายถึงการแต่งงานมีลูก เพียงแค่ไม่อยากจะคบคนโน่นทีคนนี่ที แต่อยากจะหาคู่ที่มั่นคง แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย อย่าคิดว่าในแวดวงดารานั้นเต็มไปด้วยหนุ่มหล่อสาวสวย ทุกคนล้วนยุ่งกับการงาน การจะรักษาความสัมพันธ์นั้นมันยากมาก

ไม่ค่อยมีโอกาสที่จะพัฒนาให้ลึกลงไป ทางเลือกของพวกเรานั้นแท้จริงแล้วมันน้อยมาก ฉะนั้นคู่ของเรานั้นจะเป็นคนในวงการหรือนอกวงการนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องเข้ากันได้ เป็นหญิงสาวที่น่ารักในใจผม จะต้องเป็นสาวที่ชอบยิ้ม ฉลาด ร่าเริง สามารถให้ความมั่นใจแก่ผมได้ นี่สำคัญมาก หากว่าเธอนั้นไม่เข้าขากับคุณ ผมอยากจะพูดเรื่องตลก คือฟังก็ฟังไม่รู้เรื่อง เวลาควรจะหัวเราะก็ไม่ยิ้ม งั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเธอดีถ้าเป็นอย่างนี้ อีกอย่างหนึ่งก็คืออย่าจู้จี้ เหมือนกับจ้าวเหว่ยอย่างนั้น