ผู้เขียน หัวข้อ: 2008 ซูโหย่วเผิง : รับพอใจกับบทแสดงที่มีบทพูดเยอะ  (อ่าน 4286 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13297
    • ดูรายละเอียด

ซูโหย่วเผิง ::  รับพอใจกับบทแสดงที่มีบทพูดเยอะ อาชีพอนาคตนั้นหัวใจของงานจะอยู่ที่การแสดงหนัง

26/11/2008

สำนักข่าวซิงลั้น ละคร(อ้ายฉิ่งจ่อโหย้ว) จะฉายทั่วประเทศใน 26 พ .ย. นี้ บ่ายวันนั้น หนังเรื่องนี้จะไปจัดงานแถลงข่าวที่สถานีซิงกวงปักกิ่งอย่างคึกคัก ผู้กำกับหนัง. จางเจี้ยหยา ตัวละครเอก. หลินเจียซิน. เติ้งเชา .ซูโหย่วผิง, ตงต้าเหว่ย , เนี่ยเหยียน , หวงปอ , หลินเซิง , จางจิ้นหนิง  มาร่วมการแสดงเป็นต้น กับฝ่ายการผลิต ฝ่ายการจัดจำหน่าย แถลงว่าจะจับมือกันกับการเริ่มงานพิธีการเปิดฉายครั้งแรกในประเทศ หลังงานแถลงการเสร็จสิ้นแล้ว ซูโหย่วเผิง ได้มาให้สัมภาษณ์กับสื่อของ ซินลั้น ด้วยตัวเอง

พิธีกร : คุณโหย่วเผิง ทักทายกับพวกเราชาวซินลั้นหน่อยสิ

ซูโหย่วเผิง : สวัสดีชาวซินลั้นทุกคนครับ ผมโหย่วเผิงเองครับ

พิธีกร :ได้ยินว่าในเรื่องนี้โหย่วเผิงรับบทเป็นผู้เข้าแข่งขันการคัดเลือกเดอะสตาส์คนหนึ่งใช่เปล่า?

ซูโหย่วเผิง : ใช่ครับ

พิธีกร : ได้ข่าวว่าตัวคุณเองก็รู้สึกไม่ชอบประเภทอย่างนี้?

ซูโหย่วเผิง : อา?

พิธีกร : จะอธิบายอย่างไร......

ซูโหย่วเผิง : เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบ มันมองให้เห็นถึงประเด็นสำคัญที่ฮิตกันในสังคมปัจจุบันทั้งในอินเตอร์เน็ตด้วย ส่วนของผมนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้มีรายการคัดเลือกสตาร์(ดารา) มากมาย บางอย่างก็ใช่ที่เป็นเวทีให้กับวัยรุ่นมาแสดงความสามารถของตัวเอง แต่ผมรู้สึกว่าหากเหมือนกับบทผมในเนื้อเรื่องแล้วนั้น กลายเป็นเข้าร่วมการแข่งขันทุกอย่างเลย ใช้กลยุทธทุกอย่าง ท่าทางรูปแบบที่แปลกประหลาดมากมาย นั่นก็เกินไปแล้ว ไม่เหมาะสม

พิธีกร : หลายปีแห่งเส้นทางศิลปินนั้น จะช่วยแนะนำให้วัยรุ่นที่เข้าร่วมการคัดเลือกแบบนี้อย่างไรหรือมีข้อเสนอดีๆอย่างไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง : ผมจะรู้สึกว่าทุกอย่างให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ(ตามชะตา) มันอาจเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตคุณ มีคนชื่นชอบคุณ คุณก็ไม่ควรหยุดที่จะแสดงถึงความสามารถของคุณออกมา นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีงาม หลายเรื่องนั้นต้องตามชะตา ดำเนินชีวิตตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จะดีกว่า เหมือนกับตัวบทในเรื่องของผม ล้วนไม่มีชะตาวาสนาอย่างนั้น สุดท้ายต้องกลายเป็นบ้าไปแล้ว มันคลายกับไม่มีวาสนาอย่างนั้น

พิธีกร : จากบทที่คุณรับแสดงนั้นมีความยากไหม? หรือว่ามันเวอร์ไปหรือเปล่า?รู้สึกว่ามัน....?

ซูโหย่วเผิง : ความยากนั้นก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะบทบาทนี้เขาชอบพูดมากๆ ปกติ ในเรื่องแล้ว ตัวตนในบทละคร "อู๋หยี"  นั้นเขาจะเป็นคนออกแนวสไตล์บ้าระห่ำ ฉะนั้นปกติแล้วเขาจะเป็นคนสมบูรณ์ในเรื่องนี้ ผมนั้นไม่ค่อยต่างกัน พวกเราจำพวกเดียวกัน หากว่าคุณจะว่า "หลินเจียซิน"  เป็นหญิงส่วนเกินแล้ว พวกเราก็เป็นชายเศษเกินเหมือนกัน เพียงแค่คิดว่าจะรักตัวเองเท่านั้น บทร่วมผมกับ "หลินเจียซิน"  นั้นเป็นเพียงแต่ผมฝ่ายเดียวที่เป็นคนพูดไม่หยุด จนถึงสุดท้ายผมก็รู้สึกเกรงใจ ผมเลยบอกว่าตรงนี้ผมไม่พูดแล้วนะ ตรงนั้นผมก็จะตัดออก

พิธีกร : ครั้งแรกที่ได้รับบทละครในเวลานั้น เหมือนกับที่คุณพูดว่าบทอย่างนี้นั้นคุณจะไม่มีวันที่จะปฏิเสธ?

ซูโหย่วเผิง : บทนี้ผมเป็นคนเลือกเอง ฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดๆที่จะปฏิเสธ ผมพอใจกับบทนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งผมยังรู้สึกว่าหากว่ามีการเพิ่มเต็มส่วนใดส่วนหนึ่งเข้ามา ผมก็จะรู้สึกว่าศักยภาพการแต่งบทของผมนั้นจะขาดไม่ได้เลย เพราะว่าในตัวของบทสนทนานี้เรียบเรียงได้ดีมาก จุดสำคัญของความยากก็คือผมจะต้องยัดบททั้งหมดเข้าไปในสมอง และภาษาของผู้ประพันธ์นั้นผมจะต้องออกแรงใช้สมองไปจดจำมัน

พิธีกร : สำหรับของจีน....

ซูโหย่วเผิง : ผมรู้ตัวว่าผมถูกเรียกพูดมากแล้ว (หัวเราะ)

พิธีกร : ครั้งนี้ต่างคนก็ได้รูปแบบที่ต่างกันไป ราศี คุณรู้สึกว่าในชีวิตประจำวันนั้นคุณเป็นผู้ชายประเภทไหน?

ซูโหย่วเผิง : ผม? ผมเป็นคนทำนองไม่สูง

พิธีกร : หากว่าทำสองต่ำ อาจจะอยู่ในวงการบันเทิงนั้น ทุกคนก็ล้วนอยากจะโชว์ตัวเอง สิ่งนี้จะขัดแย้งกันไหม?

ซูโหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าวงการบันเทิงนั้นตามปกติแล้วจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของทุกคนมีความสุขความบันเทิง แต่ว่าการบังเทิงตามที่ผมเข้าใจนั้น เพราะว่าเป็นการต้องการของสังคม ฉะนั้นการบันเทิงก็มีทั้งระดับสูง การบันเทิงระดับกลาง การบันเทิงระดับต่ำ ชีวิตของคนเราทุกคนก็ต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ผมรู้สึกว่าสำหรับผมที่เป็นนักแสดงคนหนึ่งนั้น คุณสามารถที่จะเลือกว่าทางที่คุณจะเดินนั้นเป็นชั้นไหน คุณจะให้การบันเทิงกับคนอื่นรูปแบบใด ฉะนั้นผมรู้สึกว่ามีเส้นทางที่ต่างกันไปหลายทางด้วยกัน ไม่ใช่ว่าจะใช้รูปแบบที่ฝืนตัวเองหรือรูปแบบที่คนอื่นเขาทำกันถึงจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้

พิธีกร : เหมือนกันหนังเรื่องนี้นั้นมีตัวละครพระเอกอยู่มากมายและทุกคนล้วนเท่าเทียมเสมอกัน คุณเคยไหมที่ตอนแรกที่ได้รับบทนั้นกลัวที่จะมีการไปเปรียบเทียบกับคนอื่น?

ซูโหย่วเผิง : คิดไม่ถึง ตัวบทนั้นก็มีตัวพระเอกอยู่ 12 คนต่างก็มีจุดเด่นของแต่ละคนแน่นอนก็ยากจะพ้นจากการเปรียบเทียน แต่ว่าผมรู้สึกว่าจากประสบการณ์ทำงานมาหลายปีนั้น ผมคิดว่าการไปเปรียบเทียบนั้นเป็นเรื่องที่คิดมากไป เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็ดีแล้ว ตัวเองทำให้ดีก็โอเคแล้วล่ะ

พิธีกร : ก่อนหน้านี้ เรื่อง( อ้ายฉิงฮุเจี้ยวจ่วงหยี) ที่มีผู้หญิงถึง 12 คนติดตามชายคนเดียวได้ดูยัง?

ซูโหย่วเผิง : ต้องขอโทษด้วย เก้อเขินมาก

พิธีกร : หนังเรื่องนี้คุณเคยดูแล้วหรือยัง?

ซูโหย่วเผิง : ผมยังไม่เคยดูเลย เวลาส่วนมากของผมนั้นจะให้กับสื่อมากกว่า รวมทั้งผมก็ไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่ง

พิธีกร : หลังจากที่ตัวเองแสดงเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ ลองให้คะแนนกับตัวเองได้ไหม ว่าจะให้สักเท่าไร?

ซูโหย่วเผิง : ยังโอเคมั้ง คนรอบข้างยังส่งของขวัญให้ สำหรับผมแล้วตลอดเวลาผมหวังตัวเองว่าจะเป็นคนหนึ่ง  ตัวเองกำหนดตัวเอง หวังว่าจะเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง ฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาที่รับบทกับการแสดงนั้น โดยแท้จริงแล้วจิตใจของตัวเองนั้นไม่มีภาระอะไรเลย เพียงแค่อยากจะแสดงบทของเราให้ดี มีเพียงสิ่งเดียวที่กังวลใจคือ ในใจของตัวผมเองนั้นไม่มีปัญหาใดๆอยู่เลย สำคัญคือผู้ชม ไม่รู้ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกันกับเรื่องนี้ของผม แน่นอนผมรู้สึกว่าอาจจะจำเป็น ก็เหมือนครั้งนี้มีคนมากมาย สื่อมากมายได้โฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงหรือว่าการทะลุทะลวงอะไรบ้างอย่างของซูโหย่วเผิง ที่จริงสิ่งเหล่านี้นั้นตรงกันข้าม แสดงว่าในใจของพวกเราทุกคนได้มีภาพที่ตัดสินใจแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปคิดมากกับเรื่องนี้ ในเมื่อมีภาพที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็แสดงว่าอนาคตผมก็จะมีเวลาที่จะไปพัฒนาต่อไป

พิธีกร : เมื่อกี้คุณบอกว่าบทนี้คุณเป็นคนเลือกเอง ในบทมีการสนทนาที่เยอะมาก มีบทพวกโรคประสาทอะไรอย่างนี้ ก็คือว่า ผมอาจจะคิดไม่ถึงคำว่าเปลี่ยนแปลงไปนี้ แต่ผมคิดเพียงว่าคุณกำลังนำความกดดันกับการท้าทายมาสู่ตัวเองอย่างตั้งใจ?

ซูโหย่วเผิง : ทำเรื่องบางอย่างที่ต่างจากเดิม อย่าหยุดอยู่ที่เดิม รวมทั้งศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบอยู่ด้วย

พิธีกร : ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น รวมทั้งเริ่มแรกที่คุณร้องเพลง เต้นและค่อยๆมาแสดง แล้วเวลาแห่งอนาคตนั้นคุณคิดว่าจะไปท้าทายเรื่องอะไรบ้าง?

ซูโหย่วเผิง : อนาคตนั้นจะใช้เวลากับการแสดงให้มากกว่านี้ สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สนุกน่าสนใจ

พิธีกร : เริ่มแรกที่คุณเข้าสู่วงการนั้นภาพที่ให้กับคนอื่นคือนักเรียนมัธยมคนหนึ่งเป็นเด็กที่แสนดี ตอนนี้คุณดูสิภายนอกคุณก็เปลี่ยนไปแล้ว อารมณ์ในการพูดก็เปลี่ยนไปแล้ว

ซูโหย่วเผิง : หากว่าผมไม่เปลี่ยนนะ ผมก็สามารถเป็นหัวหน้าคนหล่อสวยได้สิ (หัวเราะ)

พิธีกร : ในเรื่องนั้นคุณมักจะเล่นมุกให้คนอื่นขำตลอดหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง : ไม่นะ มีความเครียดเยอะเหมือนกัน บทสนทนามากเกินไป พูดจนไม่ให้หยุด อีกอย่างบทพูดเกือบครึ่งหนึ่งของผมนั้นได้พูดขณะที่ยื่นอยู่บนรถและเปิดหน้าต่างอยู่ อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ก็อยู่แต่รถนั้น ไม่ว่าจะข้ามน้ำข้ามป่าดงพงษ์ไพร ตากลมกินลมตลอดเวลา ผมนึกในใจว่าทำไมผู้กำกับยังไม่ให้หยุดสักที มารู้ทีหลังว่าผู้กำกับไม่ได้วิ่งไปกับรถกล้อง ตอนหลังเมื่อกลับไปก็รู้สึกเจ็บคอแล้ว ไม่มีเวลาที่จะไปเล่นมุกขำอะไรเลย ผู้รู้สึกว่าผู้กำกับก็ไม่ง่ายเลย ชาย 12 คนต่างคนก็ต่างมีสไตล์บุคลิกที่ต่างกันไป มารวมอยู่ด้วยกัน ในส่วนของผมนั้นกะว่าจะถ่ายทำประมาณสองวัน ตอนหลังกลับบีบให้เป็นวันเดียวเอง ฉะนั้นก็ยุ่งกับงานแต่เช้าจนค่ำ

พิธีกร : เป้าหมายตอนนี้ของคุณคือจะเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง รวมกับการที่เริ่มแรกที่ทุกคนได้ฟังคุณร้องเพลงได้สัมผัสกับคุณ จากนี้ไปจะทิ้งการร้องเพลงไหม?

ซูโหย่วเผิง : น่าจะมีโอกาสฟังผมร้องเพลงอีกนะ

พิธีกร : โอเค ขอบคุณคุณมากๆโหย่วเผิง

ซูโหย่วเผิง:ขอบคุณ