2008 Alec Su talks about 10 years of HZGG
โหย่วเผิงได้หวนคิดถึงภาพเสี่ยวหู่ตุ้ยในอดีต
“ผมจะต้องตอบเรื่องนี้จริงๆหรือ”
การที่ได้ตัดสินใจไปเรียนที่อังกฤษนั้นเป็นเพราะสาเหตุใดถึงได้คิดอย่างนี้ “ไกวๆหู่คุณต้องไปตายนอกถิ่นละมั้ง คงไม่มีใครรู้”
เมื่อให้เขาคิดถึงชีวิตในอดีตแล้วโหย่วเผิงได้พูดเบาๆว่า
“ผมก็มีสิ่งที่ไม่ดีออกมา”
ขณะที่ถ่ายละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอนั้น โหย่วเผิงได้เจออุปสรรค์อะไรบ้าง เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นได้ให้เราเห็นถึงนักร้องซูโหย่วเผิง แต่ในละครองค์กำมะลอนั้นก็ให้เราเห็นอีกภาพที่หนึ่งของโหย่วเผิง ละครองค์หญิงกำมะลอนั้นจะบอกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ไปเป็นนักแสดงของโหย่วเผิง โหย่วเผิงในตอนนั้นเขาตกอยู่ในสภาพที่ตกต่ำของชีวิต การเกิดขึ้นของละครองค์หญิงกำมะลอนั้นได้กลับช่วยชิวิตแห่งการเป็นนักแสดงของเขา จนบัดนี้ ละครองหญิงกำมะลอนั้นได้ผ่านไปแล้วสิบปี หลังจากสิบปีแล้วมาหวนคิดดูซิว่า อู่อาเกอในสมัยนั้นมีอะไรที่จะให้เราไปหวนคิดบ้าง
ญ : เจอละครองค์หญิงกำมะลอได้ไง
โหย่วเผิง : ตอนนั้นผมก็ได้ติดตามผู้จัดการของเสี่ยวหู่ตุ้ยที่ได้ช่วยหนุนผมมาตลอด คุณเหมียวซิ้วลี่ หรือพี่เหมียว เขาเป็นคนที่รู้ดีเกี่ยวกับสภาพในตอนนั้นของพวกเรา หรือว่าจะเป็นความยากลำบากต่างๆ และเขาก็พยายามดูว่าพวกเราจะสามารถผ่านสถานการณ์อย่างนั้นมาได้หรือเปล่า
ญ : เมื่อกี้ที่คุณพูดว่าพวกเรา หมายถึงในตอนนั้นเสือตัวน้อยทั้ง 3 คนก็ล้วนเจอสถานการณ์อย่างเดียวกันเลยหรือ?
โหย่วเผิง : ใช่ ยกตัวอย่างเช่น สำหรับวัฎจักรของขวัญใจนักร้องทุกคนแล้ว จริงๆแล้วมันก็คล้ายๆกันแหล่ะ ฉะนั้นทุกคนก็ล้วนจะเจอปัญหาการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายๆกัน ล้วนจำเป็นที่จะต้องไปเริ่มงานหรืออะไรใหม่ๆให้คนอื่นได้เห็น ทางบริษัทก็รู้สึกว่าละครเรื่องนั้นมันก็น่าจะดี ฉะนั้นก็เลยบอกว่า เด็กๆไปเถอะ และผมกับจื้อเผิงก็ได้แบกกระเป๋าและได้ตัดผมแล้วก็เดินทางไป
ญ : ตอนที่ไปนั้นมีความรู้สึกอย่างกับตอนเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างนั้นไหม
โหย่วเผิง : ในตอนนั้นผมเองก็กำลังทำลักษณะที่แบบต้องสมดุลย์ เริ่มจากศูนย์ ต้องวางตัวลงหรือว่าต้องเข้าใจถึงความเป็นจริงอะไรอย่างนี้
ญ : ไปแสดงละครองค์หญิงกำมะลอนั้น ต้องให้คุณลดตัวลงด้วยหรือ
โหย่วเผิง : จริงๆแล้วก็ไม่ถือว่าต้องลดตัวเองลง แต่น่าจะเป็นการให้คุณไปยอมรับสภาพความเป็นจริง ก็คือมีอะไรบางอย่างนั้นคุณคงทำได้ไม่ดีกว่าคนอื่น แม้ว่าเมื่อก่อนคุณจะดังมากขนาดไหน หรือว่าคุณเป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน เมื่อคุณมาอยู่ ณ จุดนี้แล้ว ก็คงจะไปสู้พวกที่เคยเรียนด้านนี้มาโดยตรงคงไม่ได้ ก็คือถ้าเจอในลักษณะอย่างนี้เนี่ย คุณก็จะต้องรู้จักวางตัวไม่ถือตัว และจะต้องยอมรับตัวเองว่ายังดีไม่เพียงพอ คงต้องไปแอบเรียนวิชาจากคนอื่นอย่างนี้
ญ : ไปแอบเรียนจากใคร เจ้าเหว่ย
โหย่วเผิง : ก็มี ผมคิดว่าตอนนั้นโจวเจี๊ยะก็ไม่เลวนะ ยังมีอาจารย์เถียหลิน รวมทั้งฮ้องเต้ของเราด้วย พวกเราก็จะแอบมองอยู่ข้างๆ
ญ : ตอนนั้นวางตัวว่าตัวเองเป็นมือใหม่ วางตัวต่ำลง ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่เป็นอะไรที่ทำได้ง่ายๆเลยนะ
โหย่วเผิง : จริงๆแล้วในตอนนั้นพวกเราล้วนไม่มีผู้ช่วยทั้งสิ้น ทุกวันต้องแบกเก้าอี้และบทละครของตัวเอง และไม่มีรถส่วนตัวด้วย พวกเราล้วนขึ้นรถบัสทุกเช้าพวกเราก็นั่งอยู่บนรถมันโยกบึ้งๆๆๆ โยกไปโยกมา
ญ : ได้ยินคนเขาพูดมาแล้วมากมายอย่างเช่น ฟ่านปิงปิง, เจ้าเหว่ย บอกว่าตอนนั้นที่ทุกคนรู้สึกมีความสุขมากที่ได้ถ่ายทำและอยู่ด้วยกัน
โหย่วเผิง : ผมจำได้ว่าตอนนั้นยังอยู่ในวังอยู่ โอ้แม่เจ้า ที่ปักกิ่งร้อนจะตาย ผมจำได้ว่าตอนนั้นเคยได้ยินว่าหากอุณหภูมิมันสูงถึง 40 องศาทุกคนก็จะหยุดพักได้ และผมรู้สึกว่ามันร้อนจะตายอยู่แล้ว แต่ทำไมยังอยู่แค่ 39 องศาอยู่
ญ : ใช่ๆๆๆ เพราะในปี 1997 นั้น ปีนั้นจะเป็นปีที่ร้อนพิเศษเลยแหล่ะ แต่พวกคุณยังใส่ชุดสมัยราชวงค์ชิง
โหย่วเผิง : โดยเฉพาะตอนนั้นพวกเรายังเป็นน้องใหม่อยู่ ในช่วงที่ตัวเองไม่ต้องเข้าฉาก แต่ก็ไม่กล้าที่จะไปรบกวนพี่ๆที่จัดชุดบ่อยๆ ก็คือหากว่าไม่มีคนก็จะถอดออกแล้วรับลมให้เย็นบ้าง ก็ยังกลัวคนอื่นจะว่าทำไมเธอมันยุ่งยากอย่างนี้ ตอนนั้นผู้จัดการส่วนตัวผมได้นำผมเข้ามาพักแล้วบอกว่าคุณร้อนอย่างนี้ก็ให้ถอดเสื้อออกให้เย็นสบายหน่อยก็ได้ ผมก็จะตอบว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อย่าไปรบกวนคนอื่นจะดีกว่า แล้วผมก็ได้นั่งพิงลงไป ไม่นานก็เป็นลมไป มันร้อนจริงๆคุณรู้เปล่า ใช่ตอนนั้นเป็นช่วงที่เริ่มเปิดกล้อง แล้วตอนหลังพวกเราได้ไปได้ถ่ายทำที่สำนักเฉินเตอ ที่เฉินเตอนั้นพวกเราถ่ายจนถึงช่วงหน้าหนาวเลยมั้ง ถ่ายจนทั้งหน้าแข็งไปหมด จริงๆแล้วผมเองก็ไม่เคยเจออากาศที่หนาวขนาดนี้มาก่อนเลย
ญ : เคยเห็นพวกหิมะตกหรือมีน้ำแข็งไหม
โหย่วเผิง : เมื่อก่อนตอนไปที่ญี่ปุ่นก็เคยเห็นมาบ้าง แต่ว่าไม่เคยอยู่นานๆในสภาพอากาศอย่างนี้เลย มันหนาวขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะไปป้องกันความหนาวอย่างนี้ได้อย่างไรเลย และอากาศก็แห้งแล้งมาก และตอนนั้นผมเองก็ร้อนในมากๆ และในตอนนั้นก็ไม่เคยรู้เลยว่าจะกินอย่างไรในความเป็นอยู่อย่างนั้น กินอะไรถึงจะช่วยได้ก็ไม่เคยรู้ และช่วงนั้นทั้งใบหน้าผมนั้นล้วนมีแต่สิว ตอนหลังมาพึ่งรู้ว่าการที่ผมเป็นอย่างนั้นเพราะผมไปกินผลไม้ชนิดหนึ่ง
ญ : จริงๆแล้วฉันรู้สึกว่าองค์หญิงกำมะลอในตอนนั้น ก็คล้ายๆกับเสี่ยวหู่ตุ้ย ก็เป็นการสร้างขวัญใจรุ่นใหม่ขึ้นมาอีก ก็คือขวัญใจรุ่นเก่าก็ได้ถอยหลังออกไป ก็เหมือนเจ้าเหว่ย เขานั้นได้แข่งขันก็บทของเสี่ยวเยี่ยนจื่อมาตลอดและเขาเองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกัน
โหย่วเผิง : ผมรู้สึกว่าตอนนี้เจ้าเหว่ยนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปได้ดีมากๆ เพราะว่าผมรู้สึกว่าภายในอะไรของเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ผมรู้สึกว่าหลังจากที่เขาได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายแล้ว ตอนนี้เขาเองก็เป็นผุ้ใหญ่ขึ้นมากๆแล้ว ทั้งรู้จักปล่อยวาง มีเสน่ห์