ผู้เขียน หัวข้อ: 24 ก.พ. 2010 สัมภาษณ์พิเศษเสี่ยวหู่ตุ้ย  (อ่าน 5283 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
24 ก.พ. 2010 สัมภาษณ์พิเศษเสี่ยวหู่ตุ้ย
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:25:55 PM »

Entertainment


สัมภาษณ์พิเศษเสี่ยวหู่ตุ้ย  “อ้าย” เพราะ 19 ปีที่รอคอยทำให้ยิ่งสวยงาม;10-02-24 

“เชื่อเถิดว่า พรุ่งนี้พวกเราจะเจอกันอีก ก็เหมือนเมฆจากท้องฟ้าไป”

หนุ่ม 3 คน ได้ร้องเพลงนี้ทั้งน้ำตา เปี่ยมไปด้วยความหวัง เปี่ยมไปด้วยรัก  พวกเขาไม่ได้ลืมคำสัญญา เพราะราตรีตรุษจีนในปีนี้ พวกเขาทั้ง 3 คน  ได้มารวมตัวกันร้องเพลง แต่เวลานี้นั้นคือปี 2010 แล้ว ดังสายน้ำไหลผ่านไปกว่า 19 ปี

เสี่ยวหู่ตุ้ย ในราตรีตรุษจีน
รายงานข่าวของ 24 ก พ. ก่อนที่จะมีชื่อเสียง ก่อนที่จะมีชื่อ 3 คำที่ดังทั่วหล้า รายการทีวีรายการหนึ่งของไต้หวัน  ได้คัดเลือกผู้ชาย 3 คนมาเป็นผู้ช่วยรายการ จนได้กำเนิดคณะวงหนึ่งขึ้นมาคือ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”

ระยะเวลาปีกว่าๆ ที่ได้มีกิจกรรมด้วยกันแล้ว ในสมาชิก จื้อเผิง เองจะต้องไปเกณฑ์ทหาร  เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่กำลังดังระเบิดอยู่นั้น สุดท้ายจำต้องแยกลาจากกันไป

“เชื่อเถิดว่าพรุ่งนี้พวกเราจะเจอกันอีก ก็เหมือนเมฆจากท้องฟ้าไป”
หนุ่ม 3 คน ได้ร้องเพลงนี้ทั้งน้ำตา  เปี่ยมไปด้วยความหวัง เปี่ยมไปด้วยรัก พวกเขาไม่ได้ลืมคำสัญญา เพราะราตรีตรุษจีนในปีนี้ พวกเขาทั้ง 3 คนได้มารวมตัวกันร้องเพลง แต่เวลานี้นั้นคือปี 2010 แล้ว ดังสายน้ำไหลผ่านไปกว่า 19 ปี”

ใน 19 ปีนั้น ต่างคนต่างก็เติบโตกัน ความเจ็บปวด การหย่าร้าง ความทุกข์โศก ล้วนได้ทำให้พวกเขาเติบโตในเส้นทางนี้


ในที่ เสี่ยวหวังจื่อ ได้พูดไว้ว่า .”รัก เพราะรอ ถึงจะทำให้ยิ่งสวยงาม เพลง “อ้าย” ปีนี้ที่ เสี่ยวหู่ตุ้ยร้องในราตรีตรุษจีน  เมื่อไปดูในเน็ตแล้วเห็นว่ากว่า 50 เปอร์เซ็น  เป็นรายการที่นับว่าทุกคนรอคอยสูงและเป็นอันดับหนึ่งเลย  มันสูงกว่ารายการอันดับ 2 ของหวังเฟย กว่า 30%

19 ปีแล้ว  “อ้าย” เพราะรอคอยจึงยิ่งสวยงาม


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 24 ก.พ. 2010 สัมภาษณ์พิเศษเสี่ยวหู่ตุ้ย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:27:57 PM »



โหย่วเผิง:

หลายปีนี้ การที่คิดจะให้ เสี่ยวหู่ตุ้ย มารวมกันนั้น มีคนเคยคิดวางแผนกันมาไม่น้อย  แต่ต่างก็ต้องล้มเหลวกันไป  และก็ได้มีคำลือกันออกมาว่า การที่ เสี่ยวหู่ตุ้ย ไม่สามารถที่จะรวมตัวกันได้นั้น  เป็นเพราะ โหย่วเผิง ไม่ยอมที่จะรับปาก  การที่ครั้งนี้ที่ได้มารวมตัวกันนั้น  ทั้งฉีหลงและจื้อเผิงต่างก็ตอบรับด้วยความยินดี  แต่ทาง โหย่วเผิง ก็ยังคงมีปัญหาติดขัดกันเล็กน้อยตามเคย “พวกเราไม่อยากทำ ช่วงนี้พูดเรื่อง เสี่ยวหู่ตุ้ยเยอะ มากๆ” เป็นผู้จัดการส่วนตัวได้พูดกับนักข่าว แน่นอน ไม่ทำนั้นเป็นไปไม่ได้ ข้อตกลงนั้นไม่ได้สนใจในปัญหาของ เสี่ยวหู่ตุ้ย  โหย่วเผิงนั้นโง่มาก เล่ห์มาก นี่เป็นความรู้สึกแรกที่ได้มาสัมผัสเรื่องนี้ ขณะที่ได้ตอบคำถามต่างๆ นั้น บรรดาทั้ง3 คนนั้น  คำตอบของโหย่วเผิงนั้นเป็นคำตอบที่น่าสนใจที่สุด แล้วคุณว่า แท้จริงโหย่วเผิงโง่ หรือว่าฉลาด?


Q : บทในเรื่อง เฟิงเซิง ของคุณนั้น มันเซอร์ไพรส์มากๆ ได้ข่าวว่าบทนี้นั้นเดิมที จางหันอี๋ จะเป็นคนเล่น แล้วท้ายสุดมาตกอยู่กับคุณได้อย่างไร?

โหย่วเผิง : ฮ่าๆๆ หากว่า จางหันอี๋ เล่น  ผมเองก็อยากจะดูเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ตามที่ผมทราบนั้นเป็นเรื่องที่คุณโจวซิ่น ได้ไปพูดเล่นๆกับเขาเอง  เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง บทนี้นั้นเม้จะยากแต่ก็มีสีสันดี  ฉะนั้นก็เลยมีนักแสดงมากมายมาชิงแย่งกัน สุดท้ายก็ตกเป็นผม ผมก็ต้องขอขอบคุณ บ.หัวอี้ มากๆ  สำหรับเรื่องการแย่งชิงกันนั้น ผมเองไม่ได้แย่งชิงแต่อย่างไร  บทนั้นได้กำหนดให้ผม ผมถึงจะรู้ว่าผมได้เล่น

Q : คุณได้ทุ่มเทเตรียมตัวในการแสดงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?

โหย่วเผิง : เพื่อผลงานของบทนี้ออกมาให้ดีที่สุดแล้ว ผมได้ทุ่มเทเวลาในการฝึกซ้อมแสดงละครเพลง(งิ้ว)ไม่น้อยเลยทีเดียว  เป็นวิชาที่ตลอดชีวิตผมไม่เคยเรียนเลย  มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายๆ หลังจากที่รับบทนี้แล้ว ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าจะแสดงได้ดีมากน้อยขนาดไหน  เพราะบทนี้นั้นมันเป็นบทละครที่เฉพาะทางมากๆ  บวกกับตัวเองก็ไม่มีพื้นฐานเรื่องนี้ด้วย  สุดท้ายคิดไม่ถึงจริงๆว่า ผมเองก็ได้เรียนรู้ไม่มากก็น้อยเหมือนกัน  ได้มีวิชานี้ให้ประดับตัวเองด้วย  อาจารย์ที่สอนผมนั้นยังชมว่าหากในวงการบันเทิงผมไม่รุ่งแล้ว  ก็สามารถที่จะเอาวิชานี้ไปหากินได้เลย ชีวิตมันช่างโชคดีจริงๆ  ปี 2009 เป็นปีแห่งปฏิหาริย์ผม

Q : การไว้หนวดคราว ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นี่เป็นภาพลักษณ์ที่คุณมีใน 2-3 ปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างไร?

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วไม่มีอะไร ผมเองเป็นชายโสด หากไม่ไปทำงาน ก็ขี้เกียจโกนมัน บางครั้งดูๆแล้ว ก็รู้สึกไม่เลว ก็เลยปล่อยไว้อย่างนี้เลย และตัวเองก็รู้สึกว่าทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิและจิตใจผมนั้นมันเป็นผู้ใหญ่แล้ว สำหรับผมที่เข้าสู่วงการแต่อายุยังน้อยนั้น ระยะเวลาในช่วงวงการบันเทิงนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  ก็คือ จะไม่หยุดที่จะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ในใจของทุกๆคน คุณต้องเปลี่ยนแปลงจากผู้ใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่ม  เพื่อจะให้ทุกคนรู้อีกว่าคุณเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง  แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่  และการเปลี่ยนแปลงทุกช่วงของคุณนั้น จำต้องเปลี่ยนแปลงและให้เหล่านักข่าวและผู้ชมยอมรับด้วย  จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย มันต้องการโชคและโอกาสมาเสริมด้วย  มีคนมากมายที่ไม่มีช่วงโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงก็เยอะเหมือนกัน

Q : หลายปีนี้ที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายในจีน และได้ก้าวหน้าในจีน ความรู้สึกนั้นมันแตกต่างไปจากตอนที่คุณอยู่ที่ไต้หวันไหม? อะไรเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าได้ดีที่สุด?

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ตามโชคชะตามาตลอด  ผมไม่ใช่พวกแสวงหา ตอนนั้นที่อยู่ที่ไต้หวันนั้น  เหตุที่อายุยังน้อยอยู่ ฉะนั้นหลายๆเรื่องนั้น ทางค่ายเป็นผู้ที่ตัดสินใจ ก็คือนับแต่เสี่ยวหุ่ตุ้ย มาจนถึงก่อน เรื่อง  องค์หญิงกำมะลอ พูดอีกอย่างก็คือ การประสบความสำเร็จในตอนนั้นทางบริษัทและผู้จัดการส่วนตัวก็มีส่วนมากๆ  ตอนหลังเมื่อได้เล่นเรื่อง องค์หญิงกำมะลอแล้ว  ผมถึงจะได้หลุดพ้นจากการเป็นนักร้องที่ทางค่ายปกป้องมาตลอด  มาเรียนรู้สังคมภายนอกด้วยตัวเอง  เรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ในช่วงนั้น ผมคิดว่าการร้องเพลงก็เป็นเพียงการทำงานอย่างหนึ่ง  จนถึงช่วงหยุดจากการเรียนมหาลัยจนถึงจีน  แล้วบอกกับตัวเองว่าต้องเอาการแสดงนั้นเป็นอาชีพแล้ว  เพราะคุณจะต้องดูแลครอบครัวแล้ว  คุณต้องเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่ามกลางนั้นก็มีการปวนแปรในจิตใจหลายอย่าง  สิ่งที่พัฒนาได้เร็วทีสุด คือการตัดสินใจของตัวเองนั้นยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้ และผมเองก็ยิ่งอยู่ยิ่งรู้ถึงระเบียบของชีวิต  ฉะนั้นตอนนั้นผมยิ่งอยู่ก็ยิ่งเป็นตัวของตัวเอง  สิ่งที่ผมภูมิใจคือ แม้ว่ายิ่งอยู่ผมยิ่งเข้าใจสังคมมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปคือวินัยระเบียบในชีวิตของผม

Q : “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลง  “องค์หญิงกำมะลอ” เป็นอีกช่วงหนึ่ง แล้วอีกช่วงการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่จะมาถึงคุณนั้นจะเป็นช่วงเวลาไหน หรือว่ามันถึงแล้ว เพียงแค่ทุกคนยังไม่รู้?

โหย่วเผิง : ผมคิดว่าน่าจะเป็นช่วงของ “เฟิงเซิง”  มันยืนยันให้ทุกคนเห็นว่า  คนหนึ่งที่มีภาพลักษณ์ที่ดีนั้น  ก็ได้มีจุดดีจุดเด่นในด้านภาพยนตร์เหมือนกัน หลังจาก เฟิงเซิง แล้ว จากผมที่รอคอยบทละครในบ้าน กลายเป็นคนที่สามารถที่จะเลือกบทเล่นเอง ผมกำลังรอคอยโอกาสและเวลาที่เหมาะสม ผมต้องการอย่างนั้น

Q : นานเท่าไหร่ที่คุณใช้เวลาปรับตัวในการที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีคนเดียวได้ ?  ครั้งนี้ 3 คนได้รวมตัวกันร้องเพลงในราตรีตรุษจีน  ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไร?

โหย่วเผิง : นั่นเป็นช่วง เสี่ยวหู่ตุ้ย หลังจากที่ จื้อเผิง ไปเกณฑ์ทหาร ผมกับฉีหลงต่างคนก็ต่างบิน ระยะเวลานั้นกว่าสิบปี  จริงๆแล้วผมเองก็ยังไม่ทันรู้สึกเวลาก็ได้ผ่านไปแล้ว ตอนนั้นผมเพิ่ง18  เริ่มไปทำอัลบั้มใหม่ของตัวเอง  ต้องเผชิญกับสื่อโดนลำพัง ไมมีเพื่อนที่อยู่เคียงข้างคอยช่วยอธิบายไ  ม่มีเพื่อนอยู่ข้างๆ สอนว่าท่าเต้นเป็นอย่างโน้นอย่างนี้  มันไม่มีเวลาไปคิดถึง มักลายเป็นคุณต้องทำให้ได้   คืนตรุษจีนได้ร่วมร้องเพลงด้วยกัน  เริ่มจากาการซ้อม ผมรู้สึกแปลกหน้านิดๆ  แต่ก็รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่  เป็นความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย ยากจะเอ่ย แต่ไม่นานก็กลับสู่สภาพปกติ

Q : ศิลปินในค่ายหัวอี้นั้น คุณชื่นชอบใครที่สุด? เพราะอะไร?

โหย่วเผิง:  ศิลปินในค่ายนั้นมีเยอะมาก ผมพียงบอกได้ว่าจากศิลปินที่ผมรู้จักนั้น คนที่ผมชอบคือ จางหันอี๋  จากประสบการชีวิตของเขา  ทำให้เขาเผชิญกับความนิ่งสงบแม้จะเป็นซูเปอร์สตาร์ก็ตาม ชีวิตของเขาที่เดินผ่านมาจนถึงวันนี้นั้น  มันเหมือนกับผมกำลังเดินอยู่  เหมือนกับว่าเราถูกชะตากัน

Q : คุณในวันนี้นั้นไปร่วมงานแฟชั่นบ่อยๆ  จริงๆ แล้วตัวคุณเองชอบในแฟชั่นด้วยเหรือเปล่า ?ลองบอกถึงแฟชั่นของคุณหน่อย?

โหย่วเผิง : แฟชั่นก็เหมือนเล่นเกมส์  หรือท่าที บางครั้งชีวิตก็ดูเหมือนเซ็งๆ คุณก็สามารถที่จะไปแฟชั่นหน่อย เพื่อเพิ่มสีสันให้กับชีวิต  ผมเองเป็นคนที่  เริ่มจากเสื้อผ้านั้นล้วนแต่เป็นคุณแม่ซื้อมาให้  ไม่รู้อะไรเป็นแฟชั่นแฟเชิ่น  มาถึงวันนี้ก็พอรู้แล้วว่าตัวเองควรจะมีแฟชั่น

Q : เรื่อง ตามหาพี่หลิวซัน นั้น เป็นเรื่องที่อิงไปทางจีนมากๆ  คุณคิดอย่างไรถึงไปรับเล่นเรื่องนี้ ? แล้วเคยไปคิดไหม? แล้วตอนหลังคิดตัดสินใจอย่างไร?

โหย่วเผิง : การจะเป็นแนวสไตร์จีนหรือไม่นั้นไม่ได้เป็นหลักที่ผมจะตัดสินใจ ในเรื่องนี้ เรื่องนี้นั้นมีประวัติศาสตร์ที่ผมไม่เข้าใจอีกเยอะ  ผมจำต้องค้นคว้า  อีกอย่างเรื่องนี้นั้นผมจำต้องร้องเพลงภาษาอิตาลี  เป็นเรื่องแรกที่ผมต้องพูดบทเป็นภาษาอังกฤษ  ต้องเรียนเพลงกวางซี  เสียงนั้นเปลี่ยนจนตัวเองแทบจำไม่ได้  รวมทั้งยังมีโอกาสไปท่องเที่ยวที่หมู่บ้านชนกลุ่มน้อยของกวางซีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  โอกาสทองอย่างนี้ แน่นอนจะพลาดได้ไง

Q : คุณคิดว่าเรื่องอะไรที่สังคมเข้าใจคุณผิดเป็นอย่างมาก

โหย่วเผิง : ผมคิดว่าไม่มีอะไรที่ที่เข้าใจผิด เพราะภาพลักษณ์ในสายตาทุกคนกับปัจจุบันของผมนั้นมันเหมือนกัน

Q : หลังจากแสดงงานราตรีตรุษจีนผ่านไปแล้วไปทำอะไรต่อ?

โหย่วเผิง : วันเกิดพ่อตรงกับคืนสิ้นปี ฉะนั้นผมเลยรีบบินกลับด่วน ไปฉลองวันเกิดทดแทนวันจริงให้ท่าน แล้วก็ได้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้ากัน

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 24 ก.พ. 2010 สัมภาษณ์พิเศษเสี่ยวหู่ตุ้ย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:29:51 PM »


จื้อเผิง

หล่อ ไม่ได้เป็นอาวุธของความเป็นผู้ใหญ่

พูดอย่างไม่อายว่า กระผม เสี่ยวกัน แม้จะไม่ใช่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในโลกของจื้อเผิง แต่ก็ถือว่าเป็นนักข่าวที่สนิทที่สุดของเขา  ฮ่าๆ ตอนที่เขาไม่ค่อยยุ่งนั้น  พวกเราไปปีนเขาว่ายน้ำ ดื่มกาแฟ แน่นอน ก็เคยเห็นเขาใส่ผ้าถุงแล้วเดินผ่านถนนมา คิดไปแล้วก็รู้สึกว่า แม้จะไปสัมภาษณ์ดาราดังมาแล้วมากมาย สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง


Q : ข่าวลือที่วา“จื้อเผิงรักจางหนิง” ความจริงมันเป็นอย่างไร?

จื้อเผิง : ผมเป็นคนที่เขียนใน blog ว่าชื่นชอบจางหนิงไม่น้อย เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด แต่ละคนมีเทคนิกการเขียนที่มันต่างกัน การเขียนของผมอาจจะตรงไปหน่อย ทำให้ผู้ที่อ่านนั้นคิดมากไป จริงๆ แล้วเป็นการชื่นชมเธอเฉยๆ ตอนที่พวกเรารู้จักกันที่ปักกิ่งนั้นก็พูดคุยเข้ากันได้ ยังได้นัดกันเล่นกีฬาด้วย วันนี้กลายเป็นข่าวอย่างนี้ไป จะเล่นกีฬาด้วยกันก็ไม่ได้แล้ว

Q : ยังจำภาพแรกที่ได้เจอ โหย่วเผิงกับฉีหลง ได้ไหม ? การเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดในหลายปีนี้คืออะไร?

จื้อเผิง : ตอนนั้นได้มีการรับสมัครผู้ช่วยรายการ ตั้งเป็น เสี่ยวหุ่ตุ้ย ผมเองก็เป็นแฟนรายการนี้ ผมก็ได้สมัครไป  จาก 3,000 คนคัดเหลือสิบกว่าคน วันนั้คัดเหลือ 6 คน แล้วคัดเหลือ 3 คน ภาพแรกที่เจอฉีหลงนั้นก็ดูดีสง่ามาก ได้ขี่มอเตอร์ไซค์มา  เท่มาก โหย่วเผิงนั้นผมได้สังเกตในช่วงท้ายๆการแข่งขัน ชุดที่เพิ่งจะจบมัธยมต้นของเขานั้น  เห็นแล้วเป็นเด็กนักเรียนมากๆ
ฉีหลงนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร โหย่วเผิงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ตามหา style ที่เขาต้องการ

Q : การหย่าของฉีหลง กับเรื่อง เฟิงเซิง ของโหย่วเผิงนั้นคุณมองอย่างไร?

จื้อเผิง : เรื่องส่วนตัวของ ฉีหลง นั้นผมไม่ขอพูด โหย่วเผิงนั้นกลับมีอิทธิพล เรื่อง เฟิงเซิง ของเขานั้นเซอร์ไพรส์ผมมากๆ

Q : สมัยนั้น ทำไมคุณถึงได้ฉายา “เสี่ยวซ้อยหู่” เสือหล่อ แล้วชื่อนี้ได้นำความลำบากอะไรมาสู่คุณ?

จื้อเผิง : นั่นเป็นฉายาที่ค่ายกำหนดให้ สงสัยคงเห็นว่าผมเป็นคนที่มั่นใจตัวเอง แต่ว่าผมไม่รู้สึกเลยว่าผมหล่อ สำหรับสิ่งที่ทำให้ผมลำบากนั้น ตอนนั้นก็มี เพราะนั่นเป็นฉายาในสมัยเด็ก วันนี้มาแขวนใส่ในตัวผม หล่อ ไม่ใช่อาวุธผม

Q : ตอนนั้นการไปเกณฑ์ทหารของคุณ ต้องทำให้ เสียวหู่ตุ้ย แยกทางกัน คุณเสียใจหรือเสียดายกับเรื่องนี้ไหม?

จื้อเผิง : นั่นเป็นด่านที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออายุถึง ผมเองก็เป็นคนที่มีรูปร่างที่ดี ผมก็เคยไปผ่อนผันเพื่อนเรียนต่อ แต่ว่าสิ่งที่จะเกิดก็เกิด หากไม่ใช่ผม ก็คงจะเป็นเป็นใครคนใดคนหนึ่งต้องเจอเหมือนกัน การแยกทางกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว

Q : การเข้าสู่วงการ เสี่ยวหุ่ตุ้ย ได้เปลียนชีวิตคุณ หากว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันนี้ คุณคิดว่าตอนนี้คุณจะทำอะไรอยู่?

จื้อเผิง : น่าจะเป็นอาจารย์สอนทำผม  บ้านผมนั้นมีอาชีพทำผม  ตอนเด็กๆ ผมก็ช่วยพ่อแม่ทำผมตัดผมในร้าน

Q : การแสดงในคืนตรุษจีนครั้งนี้นั้นคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง? เป็นการรวมตัวกันอีกครั้งหรือเปล่า?

จื้อเผิง : เป็นการรวมกันอีกครั้ง ตอบแทนแฟนคลับ พวกเรานั้นอยากนำทุกคนหวนความทรงจำเก่าๆ อนาคตไม่มีการวางแผนงานใดๆ เพราะเราต่างคนต่างสังกัดค่ายต่างกัน

Q : ตอนนั้นแฟนๆในจีนได้รู้จักกับ เสี่ยวหุ่ตุ้ย ผ่านทางคืนตรุษจีน คุณรู้เรื่องนี้ไหม?

จื้อเผิง : ก่อนจะไปเกณฑ์ทหาร  ผมได้มาแสดงช่วยเหลือภัยพิบัตีที่จีน เคยไปบันทึกรายการที่ยาวพอสมควรที่สถานียางซื่อ แต่นั่นคงไม่ใช่คืนตรุษจีน จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนหลังผมถึงทราบเรื่องว่าคืนตรุษจีนนั้นสำคัญมากๆ

Q :  3 คน ได้ร่วมกันร้อง “อ้าย” อีกครั้งนั้นรู้สึกอย่างไร? แล้วคืนนั้นตื่นเต้นไหม?
จื้อเผิง : ผมร้องไห้ แม้ว่าบางเพลงจะร้องไปกี่ร้อยรอบ แต่ว่า 3 คนจะรวมตัวกันนั้นมันไม่ง่าย ความรู้สึกอย่างนั้นมันดูเหมือนจะกลับไปที่เดิม  หวนคิดเรื่องราวมากมาย  ภาพเก่าๆ ติดอยู่ที่สมอง  ผมคิดว่าทั้ง 3 คนก็ล้วนมีความรู้สึกอย่างนั้น  เพียงแต่ตอนนั้นผมเป็นคนที่คุมอารมณ์ไม่อยู่ ผมรอมัน จึงมีอารมณ์ที่พิเศษ หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นคงโกหก

Q : แล้วเป้าหมายในปัจจุบันคุณคือ?

จื้อเผิง : หลังจากนี้ผมจะกลับไปที่เซี่ยวไฮ้  ซ้อมการแสดงเต้นระดับสากล จะทำงานนี้ให้สำเร็จก่อน แล้วค่อยดูเป้าหมายต่อไป

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 24 ก.พ. 2010 สัมภาษณ์พิเศษเสี่ยวหู่ตุ้ย
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 12:31:31 PM »


ฉีหลง

ทุกอย่างทำอย่างไม่มีวันละอายใจ

Cool สุดๆ  man สุดๆ  นี่เป็นภาพลักษณ์ที่ อู่ฉีหลง ให้กับทุกคนในสมัย เสี่ยวหู่ตุ้ย  เขา ที่ผ่านประสบการณ์ช่วงหนึ่งที่ได้อยู่กับสาวยูนนานแล้วได้หย่ากัน  ตอนนี้ จะพูดอธิบายถึงเขานั้น จะต้องเพิ่มคำว่า ประสบการณ์โชกโชน หลายปีก่อน จื้อเผิงได้จัดคอนเสิร์ตที่เซี่ยงไฮ้ ฉีหลงก็ได้มาแจมด้วย เขาที่มาอย่างเงียบๆได้นั่งอยู่กับผู้ชม ขณะที่สื่อได้โฟกัสกล้องไปที่เขา เขาก็ได้ให้สัมภาษณ์โดยปริยาย ได้พูดชมความดีของจื้อเผิง จำได้ว่าหลังจากที่สัมภาษณ์ในวันนั้นแล้ว นักข่าวยุคปี8ต่างก็ได้ลิงโลด มีคนพูดว่า “โอ้ ฉีหลงก็แก่แล้ว” มีคนพูดว่า “ฉีหลงนั้นไม่เปลี่ยนเลย ยังคงหล่อเหมือนเดิม” ข้อสงสัยที่ว่าเขาแก่แล้วหรือว่ายังไม่แก่ ทุกคนก็วิจารย์ต่างต่างนานา แน่นอน ความจริงอย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครสามารถที่จะหนีพ้นความแก่ได้ ? อย่างไรก็ตาม “ในใจทุกคนล้วนมี เสี่ยวหุ่ตุ้ย หนึ่งคน” การถกเถียงกันในวันนั้น คงเป็นมุมมองต่างๆ


Q : ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทุกคนก็ล้วนมองว่าในเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น คุณเป็นพี่ใหญ่ โดยส่วนตัวคุณนั้น มีความรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า ? แล้วคุณดูแล 2 คนนั้นเป็นไหม?

ฉีหลง : จริงๆแล้วก็โอเค  ตลอดเวลาก็เป็นอย่างนี้  ไม่ได้จงอกจงใจที่จะเป็นพี่ใหญ่  มันอาจเกี่ยวกับบุคลิก  ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น  ผมมักจะคอยดูแลห่วงใยคนรอบข้างเสมอ สำหรับพวกเขาสองคนเป็นถึงพี่น้องกัน  แน่นอนก็ต้องดูแล จริงๆแล้วมันก็เป็นการดูแลกันและกัน

Q : คุณที่เป็นพี่ใหญ่นั้น หลายปีมานี้ คุณเห็นว่าจุดไหนที่จื้อเผิงและโหย่วเผิงก้าวหน้าอย่างมากมาย?

ฉีหลง : ความก้าวหน้าของจื้อเผิงนั้น นอกจากร้องเพลงและแสดงแล้ว ยังมีละครเวทีกับการแสดงในหลายรูปแบบ และการเปลี่ยนแปลงของโหย่วเผิงนั้นคงไม่ต้องพูดเพราะทุกคนก็เห็นอยู่แล้ว  เขาไม่ได้เป็นไกวไกวหู่แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นขึ้นเยอะ

Q : หลายปีมานี้ หลังจากที่ต่างบินนั้น  การขยายก้าวหน้าของคุณนั้นดีมาก จากการทำอัลบั้มของตัวเองจนการแสดงภาพยนตร์ แสดงละคร ขยายวงกว้างจากไต้หวันไปถึงฮ่องกงและไปถึงจีน อะไรเป็นแรงผลัดดันให้คุณก้าวไปอย่างนี้ ?การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งของคุณนั้น เป็นการวางแผนไว้อย่างดี หรือเป็นเรื่องของโชคชะตา?

ฉีหลง : ผมเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นโชคมากว่า การเป็นศิลปินนั้น จำเป็นจะต้องไปลองผิดลองถูกบ้าง หากมีโอกาส จะทำอะไรที่มันแตกต่าง ไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป  เพื่อจะไปรับรสชาติแห่งความรู้สึกของชีวิตที่แตกกต่างกันออกไป

Q : ตอนนี้ที่อยู่ที่จีน ที่ปักกิ่ง ความเป็นอยู่ทีนั่นเป็นไงบ้าง?

ฉีหลง : เพราะว่าบริษัทนั้นตั้งอยู่ที่ปักกิ่ง ฉะนั้นก็คงจะอยู่ที่นั่นยาวหน่อย แต่ว่าก็มีช่วงเวลาที่ไปถ่ายทำนอกประเทศก็พอสมควร ฉะนั้นเวลาของการอยู่ที่ปักกิ่งไม่ใช่ว่าจะมากมาย

Q : หลายปีมานี้ทำไมยังไม่ทำอัลบั้มใหม่ของตัวเองบ้าง?

ฉีหลง : งานด้านภาพยนตร์จะหนักไปหน่อย ทำให้กินเวลาไปเยอะ บวกกับผมเองก็ไม่อยากจะทำอัลบั้มใหม่อย่างขอไปที  อย่างไรก็จะต้องคิดวางแผนให้ดี  หากเจอเพลงที่ชอบ และผู้ผลิตที่เหมาะ ก็จะเป็นเวลาที่เหมาะควร

Q : งานด้านการแสดงภาพยนตร์นั้นมันลำบากมากๆ  โดยเฉพาะแนวโบราณ แต่ว่าคุณก็ชอบที่จะรับแต่งแนวโบราณ  แล้วคุณไปเผชิญกับงานอย่างนั้นอย่างไร?

ฉีหลง : ที่สำคัญต้องดูความเหมาะสมของตัวเอง  ตอนเด็กนั้นผมเองเป็นนักกีฬา  สมัยเด็กๆ ก็ต้องมีการฝึกซ้อมร่างกายเป็นอย่างดี  เลยชินกับการทำงานที่ลำบากแล้ว  ความลำบากอย่างนั้นมันไม่แพ้การแสดงแนวโบราณปัจจุบันเลย  เมื่อเล่นไปแล้ว  ก็เกิดความชอบกับงานขึ้น  ฉะนั้นในความยากลำบากนั้นก็มีความสุขด้วย  มันก็ไม่หนักหนาสาหัสแต่อย่างไร แม้ขบวนการจะลำบากหน่อย  แต่เมื่อเห็นผลงานแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทุ่มเทออกไปนั้นมันคุ้มค่าจริงๆ

Q : จากประสบการณ์ด้านการแต่งงานนั้นได้นำข้อคิดอะไรมาสู่คุณ?(ในภาพยนตร์)

ฉีหลง : ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

Q : ร้องเพลง “อ้าย”ไปแล้วหลายรอบ ราตรีตรุษจีนก็ร้องอีก อยากถามว่า ความรู้สึกในใจเป็นอย่างไร?

ฉีหลง : การแสดงครั้งนี้นั้น มันเหมือนงานบันเทิง ครั้งนี้ทุกคนได้มารวมตัวกัน ต่างก็ล้วนมาเจอเพื่อนเก่าๆ มันให้ความรู้สึกว่าได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยอดีต เป็นช่วงเวลาที่เป็นนักเรียน ความรู้สึกอย่างนี้นั้นใช่จะบรรยายด้วยวาจา 2-3 คำก็จบ

Q : ขอถามตรงๆ เลยว่าคุณเคยคิดที่จะมารวมตัวกันพร้อมหน้ากันอย่างนี้ไหม?
ฉีหลง : ไม่เคยนึกคิดเลย

Q : เมื่อเสร็จจากงานราตรีตรุษจีนแล้ว ได้เชิญเพื่อน 2 คนไปรับประทานอาหารดึกที่ปักกิ่งหรือเปล่า?

ฉีหลง : อาหารมื้อดึกของพวกเขาล้วนกินในงาน