ผู้เขียน หัวข้อ: 28 ม.ค. 2010: การรวมตัวกันอีกครั้งในงานฉลองตรุษจีนของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทำให้หวนคิด  (อ่าน 5352 ครั้ง)

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1479438772094611

a7f9f8f8gw1eiqgf5iuy8j20m80etmyd.jpg" border="0

28 มกราคม 2010: การรวมตัวกันอีกครั้งในงานฉลองตรุษจีนของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทำให้หวนคิดถึงปี 70, 80

เสี่ยวหู่ตุ้ยเพียงครั้งเดียวก็ผ่านการสอบสวนเรื่องข่าวที่รั่วไหล

(1) แฟนคลับเว็ปไซน์ ร้องโอ้ เสี่ยวหู่ตุ้ยได้กลายเป็นเหลาหู่ (เสือน้อยกลายเป็นเสือเฒ่า)

คืนนี้จะดูรายการของใครดี? ดูจ้าวเปิ่นซัน “การบริจาค”ของเสี่ยวเฉินหยาง หรือว่าการร้องเพลงของหวังเฟยดี? ตามกระแสข่าวของสื่อที่สร้างกระแสนั้น รายละเอียดการแสดงของการฉอลงปีเสือนั้นได้รู้มาพอสมควรแล้ว ผู้คนมากมายในช่วงปี 70,80  ได้เกาะติดกระแสของการแสดงของเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างมากๆ จนได้กลายเป็นประเด็นร้อนของงานตรุษจีนปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

พวกเขาอดีตเป็นนักร้องวัยรุ่นที่เคยดังที่สุดในไต้หวัน ได้สร้างสถิติใหม่ของโลกและจีนมาแล้วมากมายหลายรายการ ช่วงปี 80, 90 นั้นได้ดังระเบิดในแวดวงชาวจีนเป็นอย่างมาก เหตุด้วยการที่จะต้องไปเกณฑ์ทหารและเรียน ปลายปี 1991  พวกเขาได้ทำอัลบั้ม(ไจ้เจี้ยนลาก่อน:Goody-Bye) เพื่อจะประกาศการแยกย้ายกันชั่วคราว ตอนนั้นผ่านทางบทเพลงพวกเขายังให้คำมั่นสัญญากับแฟนๆว่า ”พรุ่งนี้พวกเรายังจะต้องพบกันใหม่ เสมือนเมฆขาวที่จางหายไปแค่ชั่วครู่”  คิดไม่ถึง การบอกว่าแค่พรุ่งนี้นั้นรอไปเกือบ 20 กว่าปี จนเสี่ยวหู่ตุ้ยกลายเป็น (เหลาหู่ตุ้ย) ไปแล้ว

หลังจากงานฉลองผ่านไปแล้ว ทางเสี่ยวหู่ตุ้ยยังไม่ยืนยันที่จะมีการจัดคอนเสิร์ดทัวร์ จะพูดในอีกความหมายหนึ่งก็คือ จากการที่มาปรากฏตัวในงานฉลองตรุษจีนครั้งนี้นั้น เป็นการให้ความอบอุ่นในอดีตอีกครั้ง มิใช่เป็นการสานเสี่ยวหู่ตุ้ยต่อไป แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ การคิดถึงนั้นมันไม่ต้องมีเหตุผล แต่เป็นเพราะพวกเขาได้นำสิ่งดีๆมาให้กับเรามากมายจนอดคิดถึงไม่ได้


สถานการณ์ตอนซ้อมการแสดง

“ตลอดการแสดงนั้น เสียงปรบมือจากห้องนั้นไม่เคยหยุดหายไปเลย หลายคนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แม้แต่ทางผู้กำกับเองน้ำตายังคลอเบ้าเลย” 25  มกราคม 2010 หลังจากที่ซ้อมการแสดงอย่างเป็นทางการครั้งแรกแล้ว ทางทีมงานที่ตื่นเต้นไปด้วยได้เปรียบปฏิกิริยาของเหล่าผู้ชมในช่วงที่เสี่ยวหู่ตุ้ยออกมา

ตามข่าวที่ทราบมา หลังจากที่ได้มีการแยกจากกันจริงๆเมื่อ 15 ปีที่แล้ววันนี้ได้มีการมาร่วมงานกันอีกครั้งนั้น จะร้องเพลง 3 เพลงและมีแด้นเซอร์กว่า 40 คนร่วมเต้น ความยาวของรายการประมาณ 5.15 นาที ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของเสี่ยวหู่ตุ้ยไว้ รวมถึงเพลง(อ้าย:Love)ที่มีการเต้นด้วยภาษามือ และท่าตีลังกาหลังของฉีหลงด้วย


a7f9f8f8gw1eiqgf650qqj20m80etmye.jpg" border="0

สิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือ ช่วงช่องว่างที่จะร้องเพลงต่อไปนั้นจะมีการเพิ่มท่าเต้นเข้ามา ทำนองก็ยังมีการเรียบเรียงใหม่ แน่นอนสิ่งที่แตกต่างที่สุดนั้นคือ ตัวของเสี่ยวหู่ตุ้ยเอง ครั้งแรกที่ฉีหลง จื้อเผิง โหย่วเผิงขึ้นเวทีฉอลงตรุษจีนในปี 1992  ในงานนั้นทางผู้จัดงานได้เป็นผู้เลือกเพลงที่จะร้องให้ โดยจะมีการบันทึกเทปแบบ MTV (ซินเหนียนไคว่เล่อ:Happy New Year) ตอนนั้นโหย่วเผิงที่เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดยังไม่ถึง 19 เลย แต่ปีนี้เขาย่าง 37  แล้ว และฉีหลงที่เป็นพี่ใหญ่ที่สุดก็ย่าง 40 แล้ว

เหตุที่ดูแลเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้สื่อมารบกวนสมาธิของพวกเรา ทางผู้จัดงานได้เตรียมค่าชดเฉยให้พวกเขาโดยที่ใน 4 วันที่ซ้อมนั้นไม่ให้พวกเขาออกไปพบสื่อเลย ตอนที่ซ้อมนั้น ซึ่งจื้อเผิงกับฉีหลงได้เจอกันเป็นคู่แรกแล้วพวกเขาก็ได้มีการโอบกอดอย่างคิดถึง และได้ให้กำลังใจกันและกัน เมื่อโหย่วเผิงเดินเข้ามาก็รีบยกมือทักทายเป็นการใหญ่เลย นี่เป็นสัญญาลักษณ์แห่งการให้กำลังใจกันในอดีตที่ของพวกเขา

ส่วนเรื่องการร้องนั้นไม่มีปัญหา เนื้อร้องนั้นแทบจะไม่ต้องไปท่องมันเลย ขอแค่ดนตรีมาก็รู้แล้วว่าจะร้องอะไร “ไม่มีใครเข้าก่อนจังหวะ ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นเคย เข้าขากันดีกว่าเมื่อก่อน ท่าเต้นก็พร้อมกันมาก ดนตรีนั้นมันเหมือนฝังอยู่ในกระดูดอย่างนั้นเลย” เป็นคำบอกเล่าของโหย่วเผิง

ขณะที่เจ้าหน้าที่อัดเสียงเพลงของพวกเขาได้ยินเสียงประสานของพวกเขาแล้วอ้าปากค้างเลย พูดอย่างไม่หยุดว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ยกลับมาแล้ว ยังเป็นสไตน์รสชาติเดิม” ตอนที่ซ้อมนั้น พวกเขาต่างคนก็ต่างหยอกล้อกันเล่น แล้วก็ได้ทำท่าเต้นภาษามือของเพลงอ้ายด้วยกัน ฉีหลงได้ปลีกตัวมาซ้อมตีลังกาหลังอยู่มุมหนึ่ง ภาพนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่ในช่วงปี 80 ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ปล่อยโฮเลย (ซึ้ง)

คนที่แสดงได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นจื้อเผิง เขาที่ช่ำชองในลีลาการ้องเต้น เมื่อเปรียบกับฉีหลงที่มีวิชาตีลังกากับโหย่วเผิงนั้น เขาแสดงได้ดีกว่าเยอะ เขาเองยังบอกว่าเป็นอาจารย์จำเป็นในการสอนท่าเต้นด้วย ครั้งหนึ่งที่กำลังซ้อมเต้นอยู่นั้นจื้อเผิงเต้นไปๆก็หยุดนิ่งในทันใด แล้วน้ำตาไหลลงมา ขณะที่ถูกถามนั้นเขาตอบว่า “ไม่มีอะไร เม็ดทรายมันเข้าตา”

“มันลืมไม่ลงจริงๆ เสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นความทรงจำของตลอดชีวิต” ตอนหลังเขามาอธิบาย หลังจากที่ซ้อมเสร็จแล้ว เสือทั้งสามตัวก็ได้นัดกันไปทานข้าว ได้ข่าวว่าข้าวมื้อนี้กินตั้ง 3 ชั่วโมง

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
a7f9f8f8gw1eiqgf7ftb9j20sg0iz763.jpg" border="0

หวนคิดถึงยุคทองของพวกเขา
 
เดิมทีแค่เป็นผู้ช่วยของเสี่ยวเมาตุ้ยแต่กลับดังกว่าพวกเธอ โหย่วเผิงสอบเข้ามหาลัยกลายเป็นขวัญใจเลย

หลายคนไม่รู้ เสี่ยวหู่ตุ้ยที่ดังในยุค 80,90 นั้น เวลาที่พวกเขาไต่เต้านั้นกว่า 4 ปี
 
ในหนังสื่อเล่นหนึ่งที่ชื่อ(ไต้หวันในยุคนี้ของพวกเรา) ได้มีการเขียนบันทึกเรื่องราวของเสี่ยวหู่ตุ้ยไว้อย่างละเอียด กรกฎาคม ปี 1988  ไต้หวันได้มีการส่งเสริมให้มีรายการวัยรุ่นรายการหนึ่งขึ้นมา เป็นรายการรวมๆที่ชื่อว่า (เตี้ยนซื่อซินชุนเจิงป้าจ้าง) ซึ่งมีพิธีกรสาวน้อย(เสี่ยวเมาตุ้ย)3 คนเป็นผู้ดำเนินรายการ ตอนหลังมีการเสนอว่า อยากจะเลียบแบบรายการของญี่ปุ่นรายการหนึ่ง และได้ตั้งวงพิธีกรอีกวงหนึ่งขึ้นมาต่อกลอนกัน(รับช่วง...รับมุข)  จากนั้นก็มีการประกาศรับสมัครสมาชิกวงจนคัดแล้วคัดอีก สุดท้ายได้ฉีหลง จื้อเผิง และโหย่วเผิงมาเป็นพิธีกรผู้ช่วย เพื่อจะให้ชื่อวงเข้ากับเสี่ยวเมาตุ้ย เลยตั้งชื่อวงนี้ว่าเสี่ยวหู่ตุ้ย
 
ตลอดเวลา 8 เดือนที่ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”เป็นผู้ช่วยพิธีกร จริงๆแล้วงานของพวกเขาเป็นงานทั่วไป เช่นยกเครื่องอุปกรณ์ นั่งอยู่กับผู้ชม ก่อนจะเริ่มรายการก็จะมีการร้องเพลงนิดๆหน่อยๆ เพื่อเรียกน้ำย่อยบรรยากาศ หรือแม้แต่ทำอะไรก็ได้ที่จะทำเวลาให้หมดไปในช่วงที่ยังเหลือเวลาเล็กน้อย และเพลงที่พวกเขากำลังร้องนั้นเมื่อเวลารายการมาถึงก็ต้องถูกตัดไปอย่างดื่อๆ

จากการแต่งกายถึงเรื่องการแสดง แทนจะเรียกได้ว่าเชยสุดๆ พวกเขาทั้งสามแทบจะใส่ชุดนักเรียนขึ้นแสดงทุกครั้งไม่ผิดเลย พวกเขาก็เป็นแค่เสี่ยวหู่ตุ้ยที่ประกอบเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ดังได้ด้วยสไตน์การแต่งตัวที่เป็นเด็กนักเรียนและมีใบหน้าที่ใสๆ สายที่จะโทรเรียกร้องให้เสี่ยวหุ่ตุ้ยออกมาร้องเพลงของบรรดาแฟนๆนั้นแทบจะไหม้ ปี 1989   อายุยังไม่ 20  พวกเขาก็ได้เป็นนักร้องวงนักเรียนวงแรกที่ได้ทำอัลบั้มของพวกเขาออกมา(ซินเหนียนไคว่เล่อ:Happy New Year) ยอดขายทะลุกว่า๒ 50000 แผ่น เมษายน  ปี 1994  การแจกลายเซ็นของเสี่ยวหู่ตุ้ยทำให้แฟนๆนับหมื่นแห่เข้ามาในงานนั้น และอัลบั้มกว่า 10 อัลบั้มก็ล้วนขายดีจนแทบจะไม่มีหลงเหลือในตลาด ทางกลับกันเพลงอัลบั้มที่เสี่ยวเมาตุ้ยได้ร้องคู่กับเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นกลับเงียบลงจนไม่มีใครจำมันได้อีก


ปี 1989 เสี่ยวหู่ตุ้ยได้มีคอนเสิร์ดทัวร์ตั้ง 20 แห่งใน 6 เดือน และทุกงานล้วนล้นไปด้วยแฟนคลับ ขณะที่พวกเขานั่งรถจากไทเปไปที่เกาสงนั้น เหล่าแฟนคลับต่างก็ขับรถส่วนตัวไล่ตามไปอย่างบ้าระห่ำ และตะโกนออกมาว่า “ตามโหย่วเผิง” จนทำให้สื่อต่างๆให้ความสนใจกับพวกเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นคืน ตอนที่โหย่วเผิงสอบเข้าเรียนที่มัธยมปลายเจี้ยนจงได้ และได้สอบเข้ามหาลัยช่างยนต์ไต้หวันโดยสอบได้ที่ 5 ของนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมด แม้กระทั่งผู้ปกครองที่ดูเหมือนว่าจะต่อต้านในการที่ลูกชอบดาราก็ยังสนับสนุนให้ลูกๆดูโหย่วเผิงเป็นตัวอย่าง

ในประเทศจีน รายการแรกที่เชิญเสี่ยวหู่ตุ้ยมาร่วมออกรายการนั้นเป็น(นักร้องจากไต้หวัน)ของสถานียางซื่อ และเพลง(ชิงผิงก่อเล่อเหยียน:The Stars Are Still Shining)เคยเป็นเพลงยอดฮิตของยางซื่อที่เปิดตลอด กันยายนปี 1991 เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้ไปช่วยเหลือเหยื่ออุทุกภัย และได้มาจัดงานคอนเสิร์ดสองวันที่ปักกิ่ง ทำให้พวกเขาดังระเบิดในประเทศจีน

หลังจากที่แยกทางกัน

ทั้ง 3 ต่างก็มีวันดีวันตกต่ำ การมารวมกันอีกครั้งนั้นทำให้เขินกันเล็กน้อย


“การซ้อมการแสดงเมื่อตอนกลางวันมันเหมือนกับว่าได้ย้อนกลับไปเป็นไกวๆหู่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว กลางคืนก็ตั้งหน้าตั้งตาดูบทละคร ประชุมงาน กลางวันและกลางคืนนั้นเหมือนเป็นคนละคนเลย” โหย่วเผิงใช้คำว่า “สติไม่สู้ดี รู้สึกมึนๆ”มาเปรียบชีวิตการซ้อมช่วงไม่กี่วันนี้ของตัวเอง

หากลองมาหวนคิดเมื่อปี  1992 ชีวิตหลังจากที่พวกเขาต่างคนต่างเดิน ไม่ยากที่จะรู้สึกได้ถึงชีวิตของพวกเขานั้นมีชีวิตที่ขึ้นๆลงๆ วันเวลาเคยนำความยิ่งใหญ่มาให้กับพวกเขา และได้นำความตกต่ำมาให้กับพวกเขาเหมือนกัน ตอนที่เสี่ยวหู่ตุ้ยอยู่ในช่วงยุคทอง ในช่วงนั้นพวกเขาทั้งสามคนดังมากแต่ก็มีความดังในเรื่องที่แตกต่างกันไป (ฉีหลง)ที่มีความอ่อนน้อม หล่อเหลา (โหย่วเผิง)ก็เป็นคนที่เชื่อฟังไกวๆ สำหรับ(จื้อเผิง)เป็นหนุ่มเท่ห์ไม่ต่างจากดาราที่ชื่อจางก๋อหยง หากคนไปเปรียบกันคนก็ย่อมต้องตรอมใจตายกัน แต่การเปรียบเทียบนั้นยากจะหลีกเลี่ยงได้ ไม่แปลกที่มีคนได้บอกว่า “การที่เสี่ยวหู่ตุ้ยได้รวมกันอีกครั้งนั้น เป็นเวลาของการรวมคนอายุประมาณ 40

การรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น มีบางคนได้เสนอความเห็นว่าน่าจะให้โหย่วเผิงที่ดังมาตลอดนั้นยืนตรงกลางแทนฉีหลง แต่ทางผู้จัดการส่วนตัวของโหย่วเผิงบอกว่า “ไร้สาระ” ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร เสี่ยวหู่ตุ้ยที่ได้เป็นเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นที่มีชะตาด้วยกันมาก่อน และทำให้จิตใจของพวกเราทุกคนได้รับการอบอุ่นใจอีกครั้ง


ด้วยมือนักข่าว
 
การที่รักชื่อชอบเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นเพราะไม่คิดว่าพวกเขาเป็นเพียงศิลปินที่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่เป็นอะไรที่มากกว่าการบันเทิง

ตอนที่เขียนเรื่องราวของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นก็รู้สึกคิดถึง ทันใดนั้นมีนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งได้อุทานออกมาว่า “แท้จริงโหย่วเผิงมาจากวงเสี่ยวหู่ตุ้ย” ในทันใดนั้นก็อดไม่ได้คิดจะถอนหายใจ พวกเขาล้วนเป็นคนหลังปี 80 เลยไม่รู้อะไรของเสี่ยวหู่ตุ้ยเลย

คนคนนี้แทบจะไม่รู้เลยหรือว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วเคยมีหนุ่มสาวมากมายได้บ้าคลั่งในเสี่ยวหู่ตุ้ย จิตใจของพวกเขานั้นล้วนอยู่กับเสี่ยวหุ่ตุ้ย หวนคิดถึงตอนนั้น ทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงที่มีเนื้อหาว่า “ได้ตะโกนบอกฟ้าว่าผมรักคุณ” แค่สามคำหลังก็แทบจะทำให้ผู้คนบ้าตายแล้ว

เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นมีคนกล่าวว่าพวกเขาจะเหมือน(เฟยหลุนไห่)หรือเปล่าที่ 20 ปีให้หลังจะไม่มีใครรุ้จักพวกเขาอีกเลย ผมไม่รู้ว่า 20 ปีให้หลัง(เฟยหลุนไห่) จะมีคนจำพวกเขาได้ไหม แต่ว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น 20 ปีผ่านไปแล้วทำให้คนรุ่นปี 80  ยากจะลืมพวกเขา บางครั้งยังมีคนนำเองเพลงเก่าๆของพวกเขามาร้องให้กับแฟนของตนเองฟัง หรือว่าบางครั้งหลังจากที่สอบเสร็จแล้วจะมีคนชอบเปิดเพลง(ชิงผิงก่อเล่อเหยียน:สวนแห่งความสนุก
)ของพวกเขาฟังกัน ทำให้เห็นอย่างหนึ่งว่า เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นมิใช่เป็นวงศิลปินที่ให้แค่ความบันเทิงกับผู้คนแล้วก็จางหายไปกับเวลา แต่เป็นอะไรที่มันฝังใจผู้คนมากมายจนมันมีคุณค่าต่อชีวิตหลายๆคน

วันนี้ เพลงของพวกเขาในโรงเรียนยิ่งนานวันก็ยิ่งหายไป เพลงที่เคยเปิดตามตลาดซอกซอยก็ไม่ค่อยได้ยินกันแล้ว ในเว็ปก็ไม่ค่อยมีเรื่องราวสีสันของพวกเขา ใช่ว่าทุกความประทับใจจะอยู่กับคนตลอดไป ความทรงจำบางอย่างนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะจางไปกับวันเวลา สำหรับการที่ชื่นชอบในเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น “ชิงชูน”เป็นเพลงหนึ่งที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจ ไม่ว่าวันปีจะผ่านไปนานสักเท่าใด แต่ความทรงจำนั้นก็ยังคงอยู่กับเราตลอดไป