Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Articles&Interviews[Xiao Hu Dui]

2010 Yongyuan De Xiao Hu Dui(The Little Tigers's Forever)

(1/5) > >>

Chomnath:
ผู้ผลักดันศิลปินมือทอง คือ ผู้เดียวที่ประพันธ์
“เสี่ยวหู่ตุ้ย : เรื่องความสำเร็จ รวมตัว อำลา  ดีใจ  เสียใจ”
อมตะเสี่ยวหู่ตุ้ย

http://www.baansuyoupeng.com/xiao%20hu%20dui_2010%20Yongyuan%20De%20Xiao%20Hu%20Dui.html

http://blog.sina.com.cn/s/blog_65dedaef0100hvhm.html#comment1

http://yule.sohu.com/s2010/djjtxhd/index.shtml

http://tieba.baidu.com/f?kz=722707140

http://www.tianya.cn/publicforum/content/funinfo/1/1736420.shtml

http://www.baansuyoupeng.com/xiao%20hu%20dui_2010%20Yongyuan%20De%20Xiao%20Hu%20Dui.html

เว็บไซต์-บ้านซูโหย่วเผิง






Chomnath:


.........ผมเป็นประจักษ์พยาน เสี่ยวหู่ตุ้ยได้รุ่งเรืองถึงเวลา 20 ปี

สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนานกิ่ง เร็วๆ นี้ ได้ตีพิมพ์เรื่องนี้ทำให้ตลาดหนังสือสะเทือน

        ปัจจุบัน 2 ฟากฝั่งได้เริ่มบินสู่น่านฟ้าระหว่างกัน   จากไทเปบินสู่ปักกิ่งใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง  ผู้เป็นชาวจีน คนจีนได้คาดหวังมาเนิ่นนานแล้ว   ผมและ เสี่ยวหู่ตุ้ยล้วนจากไต้หวันบินมาถึงในเมืองคนละน่านฟ้า  ความรุ่งเรืองในอดีตยังคงเก็บทิ้งไว้ในใจท่านผู้ชื่นชม เสี่ยวหู่ตุ้ย ทั่วโลก

        อนาคตที่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถคาดหวังได้   แต่อย่างไรก็ตามพวกเราห่างเหินนานและไกลแค่ไหน   ความสมหวังย่อมให้คน 2 ฝ่ายมอบความอบอุ่นและเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน

..................นาย ซ่งเหวินซ่าน

“ผู้ผลักด้นศิลปินมือทองคำ คือ ผู้เดียวที่ประพันธ์ เสี่ยวหู่ตุ้ย :เรื่องความสำเร็จ รวมตัว อำลา  ดีใจ  เสียใจ”


          เขา   เริ่มเข้าสู่วงการก็ทำงานงานด้านนักร้อง เติ้งลี่จวิน

        เขา   ก่อตั้ง เสี่ยวหู่ตุ้ย ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด  เป็นต้นแบบวงบอยแบรนด์อมตะวงแรกและวงเดียวของจีน
 
        เขา   เข้าสู่วงการบันเทิงได้ 35 ปี   พร้อมกับคุณไฉจื้อผิง   ถูกขนานนามว่า สุดยอดผู้ผลักดันศิลปินมือทอง

        เขา   ความประพฤติของนักผลักดันศิลปินผู้นี้ ช่างมีสง่างามจริงๆ   ยอมลดตัวเพื่ออุทิศตัวต่อสังคม   อยู่ที่ว่าการปักกิ่งเช็ดอุจจาระ  เช็ดตัว  อาบน้ำให้แก่คนชรา   เป็นงานหนักมากที่ต้องจัดการ

..........เขาก็คือผู้ผลักดันศิลปินมือทอง คนไต้หวัน นาย ซ่งเหวินซ่าน

                   ตั้งแต่สถานีโทรทัศน์ยางซื่อได้เชื้อเชิญ เสี่ยวหู่ตุ้ย เข้าร่วม  หลังจากมีข่าวดังก้องในคืนปี 2010   สื่อต่างๆ   แฟนๆ อินเตอร์เนต   รวมทั้งผู้หลงใหล เสี่ยวหู่ตุ้ย ต่างล้วนพูดคุยข่าวสารต่อเรื่องนี้อย่างตื่นเต้นและคึกโครมต่อเนื่อง   ชั่วระยะเวลาหนึ่ง   เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้ปรากฏตัวอีกนั้น   กลายเป็นสถานทื่มีสารพัดการพูดคุยถกเถียงกันอย่างตื่นเต้น   แนบแน่นศูนย์รวมความทรงจำย่างเข้าปีที่ 20   เสี่ยวหู่ตุ้ยทั้ง 3 คน   เมื่อโด่งดังขึ้น   ผลงานงานแสดง  การเต้น  รวมทั้งเสียงเพลงของพวกเขา   เบื้องหลังการเติบโตแห่งความสำเร็จ   สภาพการณ์การคบหามิตรสหาย   การแสดงเดี่ยว   ต่างแยกย้ายพร้อมทั้งสายทางใยรักต่อกันของพวกเขา   ล้วนโอนย้ายถ่ายทอดสู่เวทีอภิปรายทุกสถานที่ทุกเวลากันอย่างตื่นเต้น   เช่นเมื่อ 20 ที่แล้วเริ่มโด่งดังขึ้น  ฝูงชนต่างคลั่งไคล้กันมาก

เป็นบิดาแห่งเสี่ยวหู่ตุ้ย  ผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้คือนาย ซ่งเหวินซ่านได้ทำลายสถิติความเงียบขรึมมากว่าหลายปี   เมื่อมีใยรักลึกซึ้งต่อการเล่าขาน เรื่องราว เสี่ยวหู่ตุ้ย จากอดีตสู่ปัจจุบัน.........คือ นาย ซ่งเหวินซ่าน 

นาย ซ่งเหวินซ่าน ใช้สายตาและจิตวิญญาณดูประจักษ์แน่ชัดว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย  เมื่อเข้าวงการ   การต้อนรับการฝึกอบรมแล้ว   ฝึกซ้อมอย่างหนักทำลายสถิติถึงจุดต่างๆ    ต่างเรียนรู้ด้วยตัวเอง   ร่วมเข้าคณะ  แสดงเดี่ยว  แยกวง   ให้คนรุ่นหนึ่งรอคอยประวัคิศาสตร์ที่มีเรื่องยาว   คือเขา   นำประสบการณ์ เสี่ยวหู่ตุ้ย ซึ่งมีการแยกๆ รวมๆ หลายหน   ร่วมกันเผชิญหน้ากับการเจริญและเสื่อมลงในวงการบันเทิง   พร้อมกันแบกรับความฝันอมตะของเสี่ยวหู่ตุ้ย

        .......ดังนั้น     อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างคนต่างอยู่คนละทิศละทาง   ใจของเขายังมีเยื่อใยผูกพันอย่างเหนียวแน่นชั่วนิรันดร์   ไม่ทิ้งจากกัน   หากไม่มีเยื่อใยรักนี้   ช่วงคืนของปี 2010  หากพวกเขาไม่เหมือนเดิมเช่นตอนที่แยกกันช่วงวัยหนุ่ม    พวกเราคงไม่สามารถมีความทรงจำช่วงวัยหนุ่มที่ประทับใจของเขาอันยาวนานได้ขนาดนี้

มีบางอย่างเพราะมนต์ขลัง   ถึงได้อยู่อย่างอมตะ   เพราะมีมนต์เสน่ห์   ซึ่งเป็นความรัก   เสี่ยวหู่ตุ้ย นำพาให้พวกเรา   ย่อมมิใช่ทำนองเพลงที่มีมนต์ขลัง   อย่างเช่นสรรพสิ่งในโลกมนุษย์   สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความดีย่อมฝังลึกที่สุด   และตอนนี้   พวกเราโชคดีที่สามารถเห็นสิ่งของอันล้ำค่าที่ฝังลึกที่สุด   สิ่งของล้ำค่าก็อยู่นี่   รอคอยจนกว่าท่านจะค่อยๆ เปิดออกมา   ร่วมกันเสพสุข.........

        คนที่วางแผนหนังสือเล่มนี้ ........สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนานกิง  แผนกผู้จัดการบรรณาธิการ หลี่เหว่ย   ขณะถูกสัมภาษณ์กล่าวว่า   นี่คือ  หนังสือที่บันทึกเรื่องราวอันล้ำค่าของความทรงจำกลุ่มวัยหนุ่ม 70...80 ปีให้หลัง   ของ ผู้ผลักดันศิลปินมือทองของวงการบันเทิง  คือ หัวข้ออันล้ำค่าหนึ่งเล่มสำหรับคนวางแผนบริษัทค่ายเพลง   ยิ่งกว่านั้น  คนที่มีใจปรารถนาเป็นศิลปินดาราวงการบันเทิงควรอ่านเป็นคู่มือ   ทุกคนจะสามารถเข้าใจปรัชญาจากความจริงใจ   ซึ่งมีตัวหนังสือที่สวยงามละเอียดละออของ ซ่งเหวินซ่าน    เข้าใจอีกมุมหนึ่งของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน   จากการไตร่ตรองอย่างจริงจังการวางแผนกฎเกณฑ์ชีวิตของตนเอง    คุณซ่ง เป็นบุคคลหนึ่งที่มีวุฒิความรู้เขียนความทรงจำเสี่ยวหู่ตุ้ย   เพราะเขาเป็นผู้ก่อตั้ง เสี่ยวหู่ตุ้ย และร่วมเป็นประจักษ์พยานประวัติศาสตร์นี้

หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณอ่านอย่างสนิทและระทึกใจที่จากมานาน.........

Chomnath:
                   
        ปี 1976   จากที่ผมไม่เคยรู้เรื่องในวงการบันเทิง   เมื่อเท้าได้แตะสู่วงการบันเทิง   เริ่มแรกโชคดีได้เข้าอยู่รุ่นเดียวกับราชินีเพลง เติ้งลี่จวิน , เจ้าชายขี่ม้าขาวอมตะ หลิวเหวินเจิ้ง, ดารารุ่นใหญ่ ฟ่งเฟยเฟย , ราชินีตุ๊กตาทอง กุยอาเหล่ย , ต้นไม้เขียวตลอด เฟ่ยหวี้ชิง ,ไช่ฉิง , เฉินซู่หัว , ฟันอันฟาง   ก้าวเข้าสู่ยุคปี 80    ผมเข้าสู่วงการเป็นช่วงดารารุ่นใหญ่ล้วนๆ   เช่นราชาเพลงเกาะมุก หงหยงหง , พี่สาวใหญ่ ต้าเจียงหุ้ย   

พูดอย่างเปิดอก   ผมเข้าสู่วงการไม่กี่ปีก็ได้ทำงานผลักดันดารารุ่นใหญ่  จริงๆ แล้วไม่ใช่ผมเป็นผู้ผลักดันพวกเขา   ขณะผมร่วมงานหนุนพวกเขาเหล่านั้น   พวกเขาต่างมีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้ว   เป็นดารารุ่นใหญ่ที่มีชื่อเสียงทุกครัวเรือนทุกคนก็รู้จักพวกเขา   ผมเพียงแต่รับช่วงต่อจากผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มาก   โดยเพียรพยายามขยันขันแข็ง   กล่าวอย่างเข้มงวดกวดขัน ในปีนั้น  ผมเพียงแต่เป็นดารารุ่นใหญ่ที่มีธุรกิจโฆษณาเล็กๆ   ยังไม่นับป็น “ผู้ผลักดันศิลปิน”

ทำงานกับดารารุ่นใหญ่นับว่ามีความกดดันมาก   ผมประหม่าและกลัวมาก   กลัวว่าตัวเองจะทำผิดพลาด  ทำให้ดารารุ่นใหญ่โกรธ    โชคดีที่ผมเป็นดารารุ่นใหญ่ผ่านการอบรมให้มีท่าทีเยือกเย็น   ทำให้พวกเขามีความไว้ใจเป็นลำดับ   และไม่มีใครโกรธเคืองถือสา
   
จนถึงปี 1982 ผมกับผู้มีบุญคุณ คุณเหมียวซิ่วลี่ ไปที่ห้องอาหารฝรั่งบังเอิญได้เจอ เจียงหวี่เหิง ซึ่งมาจากเกาหลี   แล้วได้เซ็นสัญญากับเขา   ผมกับพี่เหมียว  เริ่มวางแผนโครงการพร้อมทั้งผลักดัน เจียงหวี่เหิง ให้เป็นนักร้องมืออาชีพ   นี่ถึงจะนับเป็นการทำธุรกิจการเป็นผู้ผลักดันศิลปินก้าวแรกอย่างแท้จริง

        มีผู้มีบุญคุณ พี่เหมียวแนะนำและส่งเสริม   ผมมีอาชีพเป็น “ผู้ผลักดันศิลปิน”ในวงการเพลง  โดยค่อยๆ แสดงบทบาทออกมา  ภายหลังได้พา ไช่ซิ่งเจวียน , หลันเซิ่นเหวิน , ม่ายเหว่ยถิง , หยางลี่ซู  เข้าสู่วงการ   ต่อมาได้ทำธุรกิจผลักดันอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น  หวงจือเจี่ยว , เสี่ยวหู่ตุ้ย , วงอิวฮวง , สวียั่วซวน , หลี่เวย , หลินอิ้วเวย เป็นต้น   ผมสามารถวางแผนโครงการอย่างราบรื่น

        หวนคิดถึงช่วงเวลาของเดือนพฤษภาคม ในปี 1988   เวลานั้นผมกับผู้มีบุญคุณ 2 ท่าน คือ จางเสี่ยวเยี่ยน  เหมียวซิ่วลี่ สถานีโทรทัศน์หัวซื่อไต้หวันทำรายการ(ละครซิทคอม)ใหม่รายการหนึ่งคือ “ ชิงชุนต้าตุ้ยค่าง ”  ได้รับการตอบรับจากวัยรุ่นนักเรียน  นิสิตนักศึกษา ล้วนอยู่ในวัย 15 -22 ปี   ผู้ดำเนินรายการคือ จื้อเหว่ยกับ เฉาหลัน   คนหนึ่งสุภาพ   ส่วนอีกคนหนึ่งแปลกประหลาดฉับไว   บวกกับผู้ช่วยหญิงอีก 3  คน  ปราดเปรียวน่ารัก...คือ   อู๋เพ่ยหวี   หวังซือหัย   สวีซู่เจวียน ก็รวมจัดตั้งเสี่ยวเหมาตุ้ย (กลุ่มแมวน้อย) รายการนี้ได้รับการต้อนรับดีมาก

        “ชิงชุนต้าตุ้ยค่าง”   เมื่อได้ออกฉายสถานีโทรทัศน์หัวซื่อไต้หวัน  ก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองชนะเลิศทันที   ได้รับการชื่นชอบจากคนหนุ่มสาว   ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ปลื้มอกปลื้มใจมากได้เพิ่มงบการลงทุนให้แก่พวกเรา   จะให้พวกเราทำรายการให้คึกคักรื่นเริงมากกว่านี้   โดยเฉพาะคุณเสี่ยวเยี่ยน   พี่เหมียวและร่วมกันใช้หัวคิด   ตัดสินใจเพิ่มผู้ช่วยชาย 3 คนมาดำเนินรายการ   ปีนั้นเพราะรายการนี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง   เด็กผู้ชายที่มาสมัครมี 3,000 กว่าคน   ช่วงนั้นไม่มีอินเตอร์เนต  ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้มีทั่วไปหมด   ผู้ที่มาสมัครทั้งหมดล้วนแนบรูปถ่าย   ประวัติข้อมูลส่งไปทางไปรษณีย์ ทั้งสิ้น

        เสี่ยวหู่ตุ้ย กับผู้ที่มาทีหลังคือ หวงจือเจี่ยว , ปู่เสียเลี่ยง , หลิวอื่อจิน , ซ่งเซ่าชิง  ผู้จัดตั้ง หงไหเอ่อร์ , ซืออี้หนัน , เจี้ยจิ้นเหวิน   รวมทั้งสวียั่วซวน  เป็นต้น   ในเวลาต่อมาคนเหล่านี้กลายเป็นดารารุ่นใหญ่ในวงการบันเทิงหนังจีน  ก็มาจากการคัดเลือกในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน

Chomnath:
: ซูโหย่วเผิง เกือบโดนคัดออก

         ปี 1988 เสี่ยวหู่ตุ้ย จากการคัดเลือกเพราะส่อแววโดดเด่นออกมา   ใน 3,000 กว่าคนที่สมัคร  คัดเลือกเหลือ 3 คนเท่านั้น   ที่ไม่ถูกเลือกก็ส่อแววไม่น้อย

        เสี่ยวหู่ตุ้ย  เมื่อก่อตั้งขึ้น   ก่อนอื่นการเผชิญปัญหาหนักมากเพราะทั้ง 3 คนล้วนเป็นนักศึกษา  การเรียนก็ห้ามเสีย   โดยเฉพาะเติบโตในครอบครัวที่เป็นชาวจีน    เป็นพ่อแม่ทั่วไปต่างเห็นว่าอนาคตของลูกจะทำอะไรก็ได้   เพียงแต่ว่าอย่าเสียการเรียน   จากจุดนี้พ่อแม่ ซูโหย่วเผิง เน้นเป็นพิเศษ   โดยเฉพาะช่วงเวลานั้น ซูโหย่วเผิง ได้เรียนมัธยมปลายที่ทั่วทั้งไต้หวันได้ให้ความสนใจ คือ โรงเรียนมัธยมเจี้ยนจง   ซึ่งไม่ว่าการเรียนการสอน   ลักษณะการเรียนเข้มงวด    เป็นโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของไต้หวัน  ดังนั้น การเป็นดาราที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย   ซูโหย่วเผิงยังมาจากครอบครัวสั่งสอนเข้มงวด   พ่อแม่ต่างตั้งความหวังแก่เขาสูงมาก   โดยเฉพาะซูโหย่วเผิงในฐานะเป็นนักเรียนได้เข้าร่วมเป็น เสี่ยวหู่ตุ้ย พ่อแม่ซูโหย่วเผิงเห็นว่า  นั่นคือความรักสนุกของคนหนุ่มสาว   พวกเขาไม่ส่งเสริมและไม่คัดค้าน   เพียงแต่ข้างหน้าที่กล่าวมานี้การเรียนคือหลักใหญ่สำคัญอย่างแน่นอน   ไม่อนุญาต ซูโหย่วเผิง  ร้องเพลง  การแสดง   ถ่ายแบบแล้วเสียการเรียน

        กล่าวถึง อู๋ฉีหลงกับ เฉินจื้อเผิง ในจุดนี้   ความกดดันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน   เพียงแต่ว่าขณะนั้น อู๋ฉีหลง ได้เรียนวิชาชีพพลศึกษาที่ไทจง   เฉินจื้อเผิง  เรียนอุตสาหกรรมเฉียวไท่ที่ไทจง   ทางโรงเรียนมุ่งพัฒนาอนาคตของนักเรียนคือมีลักษณะสนับสนุนและส่งเสริม   เพียงแต่ว่าไม่ขาดการเรียนมาก   ควรบอกกล่าวกับครูบาอาจารย์ลาเรียนเสียก่อน   แล้วเร่งไปที่ไทเปเข้าร่วมงานบันเทิง ถ่ายแบบ   หลังจากนั้นค่อยมาติวเรียนพิเศษกับครูอาจารย์   ทางโรงเรียนก็อนุโลมได้
   
        ซูโหย่วเผิง ผู้ยอดกตัญญู   เพียงแต่ว่าทางบ้านกวดขัน   ตัวเขาก็ฝ่าฝืนไม่ได้   ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองทางบ้านคงไม่ปล่อยให้เขาลาเรียนแน่   บริษัทไคลี่ของเราจึงไม่เคยปล่อยให้เขาลาเรียนเพื่อมาหาเงิน

        เพียงแต่เดือนมกราคม  ปี 1989 - ปี 1990  ช่วงฤดูร้อนระยะเวลาปีครึ่งนี้   เรื่องราว เสี่ยวหู่ตุ้ย อยู่วงการเพลงในประเทศจีนโด่งดังอย่างรวดเร็ว   ลักษณะการเรียนและนิสัยของพวกเขาดีหมด  ความนิยมปิดฟ้าดินมิดกลายเป็นแบบอย่างในสายตาของวัยรุ่นนักเรียน   ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ออกอัลบั้มซิงเหนียงไคว่เล่อ  (เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1989)   และตามมาติดติดกับอัลบั้มเซียวเอี๋ยวอิ๋ว (เดือนมิถุนายนในปีเดียวกัน)   ทั้ง 2  อัลบั้มนี้รวบรวมออกฉายมากเป็นพิเศษ   ถูกถ่ายรูปมากเป็นพิเศษ   ถูกสัมภาษณ์ก็ไม่น้อย   ถ่ายโฆษณาและกิจกรรมการแสดงก็มากขึ้น   

หากขณะสัมภาษณ์มีแต่ อู๋ฉีหลง  เฉินจื้อเผิง โชว์ตัวยังพอไปวัดไปวา    ถ้าหากสถานีโทรทัศน์ถ่ายแบบ   ถ่ายโฆษณา   หรือการแสดง  หากขาด ซูโหย่วเผิงแล้ว   ถ้าเช่นนั้นจะไม่เรียกว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย

กลุ่มสื่อมวลชนทุกข์ใจมาก   ผู้ชมและผู้ชื่นชอบหลงใหล เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ยิ่งเศร้าใจมาก   บ่อยๆ ครั้งบางรายการบางเรื่องเห็นแต่ 2 เสือคือ อู๋ฉีหลง  เฉินจื้อเผิง
 
        เดือนสิงหาคม   ปี 1989 การขึ้นจากชั้นมัธยมปลายปีที่ 1(ม.4) มาเป็นปีที่ 2 (ม.5)ของซูโหย่วเผิง   การบ้านการเรียนยิ่งหนักขึ้น   ตอนเช้ายิ่งต้องตื่นแต่เช้า   หลังเลิกเรียนยิ่งต้องไปติวเรียนพิเศษเพิ่มโดยใช้เวลายาวนานขึ้น   สายตาสั้นยิ่งลึกขึ้น   ช่วงเวลาจะขึ้นชั้นเรียนแรงกดดันยิ่งเพิ่มมากขึ้น   และเหตุการณ์ทางโรงเรียนก็เข้มงวดกวดขัน   บริษัทไคลี่ของเรายิ่งไม่กล้าแตะต้องในชั่วโมงเรียนในเวลาใดเวลาหนึ่งของซูโหย่วเผิงเลย   แท้จริง ซูโหย่วเผิงสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้หรือไม่   กลุ่มสื่อมวลชนได้เฝ้าดูอยู่   ทั้งประเทศจีนล้วนเฝ้าดูอยู่   

หวนรำลึกความเป็นจริง   บริษัทไคลี่สามารถปล่อยซูโหย่วเผิงไปเรียนหนังสือ   เพราะปัญหาการเรียนไม่ให้เสียเรื่องเรียนเด็ดขาด   เพียงแต่ว่าการค้าของบริษัทไคลี่จำเป็นต้องดำเนินต่อไป   ยังมีรายการที่ต้องทำ   ยังต้องเลี้ยงพนักงานมากมาย   ไม่สามารถใช้เหตุผลเพราะซูโหย่วเผิงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย  บริษัทไคลี่ต้องหยุดชะงักการค้าชั่วคราว

          เวลานั้นคือ เดือนสิงหาคม ปี1989   บริษัทไคลี่ของเรากำลังเตรียมวางแผนเสี่ยวหู่ตุ้ย อัลบั้มที่ 3  “หนันไหปู้คู”   พี่เหมี่ยว   ผมกับฝ่ายผู้ผลิต หลี่จือเหิง ยุ่งกับการปิดฉากเพลงอยู่   ขณะเดียวกันก็เผชิญหน้ากับทีมงานเสี่ยวหู่ตุ้ย กับปัญหาที่ปวดหัวว่าจะให้ ซูโหย่วเผิง อยู่หรือไป
 
พี่เสี่ยวเยี่ยน   พี่เหมียวกับผม  นัดเรียกบริษัทไคลี่ทำการวางแผน   เปิดประชุมโฆษณาอย่างระมัดระวัง    หลักสำคัญคือถึงแม้ว่าบริษัททำธุรกิจ   เป้าหมายคือเก็งกำไร   เพียงแต่ว่าก็ไม่สามารถทำเก็งกำไรแล้วทำเสียอนาคตต่อการเรียนของลูกคนอื่น   ซูโหย่วเผิงเป็นบุคคลที่เคารพวงการอาชีพ   ยิ่งเป็นนักเรียนดีเด่น  การทำการบ้านของตัวเองก็เหนื่อยมากขึ้น   เหตุเพราะฐานะของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ผูกมัดเวลาของเขา  เขาก็เหลือเวลาเล็กน้อย   ยิ่งกว่านั้นจะทำให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้   แล้วสังคมในอนาคตมีการวิจารณ์มุ่งไปที่ ซูโหย่วเผิง  เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้วบริษัทไคลี่จะถูกมองในแง่ลบทีเดียว

กลุ่มบุคคลเข้าร่วมประชุมที่มีอยู่ ล้วนมีอารมณ์ที่เจ็บปวดเข้าร่วมการประชุมวางแผนครั้งนี้   แผนการที่ปรึกษาหารือออกมามีสองทางเลือกคือ

หนึ่ง :  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เสี่ยวหู่ตุ้ย หยุดกระทำกิจกรรมการแสดงชั่วคราว   เพื่อให้ซูโหย่วเผิง เรียนจบ ม.5  และ ม.6    รออีก 2 ปีสอบเข้ามหาวิทยาลัย  เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็เข้าสู่วงการร้องเพลงอีกครั้ง
   
สอง :  อาชีพการแสดงการร้องเพลงของเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ดำเนินการเป็นปกติ   เพียงแต่ว่าเปลี่ยนตัว ซูโหย่วเผิง เป็นบุคคลอื่น

ขณะนั้นกลุ่มบุคคลเข้าร่วมประชุม ล้วนสนับสนุนทางเลือกที่สอง   เพราะว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย มีความยิ่งใหญ่อลังการโด่งดังมากในปีนั้น  มิอาจต้านทานได้จริงๆ   เป็นไปได้ไหม เสี่ยวหู่ตุ้ย จะถอนตัวออกจากวงการบันเทิงได้ง่ายๆ   บริษัทไคลี่ยังจำเป็นดำเนินธุรกิจต่อไป    ดังนั้นมีแต่ให้ .........(นักร้องคนใหม่) มาแทน    ซึ่งสามารถให้สังคมยอมรับตัวแทนได้   แน่นอนรวมทั้ง ซูโหย่วเผิง มีแรงกดดันการขึ้นชั้นเรียนอย่างหนัก   ด้วยเหตุผลอย่างนี้สามารถได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองของ ซูโหย่วเผิงแล้ว

การประชุมสิ้นสุดลงคือ   เปลี่ยนตัว ซูโหย่วเผิง เป็นบุคคลอื่น   เสี่ยวหู่ตุ้ย ดำเนินการต่อไป   และเตรียมเปลี่ยนตัวแทนตัวก็อยู่ในความคิดแล้ว   ผู้ถูกคัดเลือกนั้นตัวเล็กกว่า ซูโหย่วเผิง นิดหน่อย   ดูคล้ายกับ ซูโหย่วเผิง  มีความอ่อนนุ่มสุภาพ   มีความหล่อ   โดยตัวผมเองนั้น   ถูกมอบหน้าที่เกลี้ยกล่อม ซูโหย่วเผิง ถอนตัว

        กล่าวถึงรับหน้าที่ของผม   คือการเกลี้ยกล่อมให้ถอนตัว   ทำไมลำบากยากเย็น

        ผมได้เห็นน้ำตาซึมของเขา

        ในใจมิอาจอดกลั้นได้

        นิ่งเงียบตั้งนานทีเดียว

        “ผมจะไม่ถอนตัวออก” เขาอดกลั้นทั้งที่น้ำตาซึมเบ้า ลูกตาไหลกลิ้งไปมา  “กิจกรรมของบริษัทผมสามารถปฏิบัติตามได้   การเรียนของผมตัวผมรับผิดชอบเอง   ลำบากกว่านี้ผมคนเดียวขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียวทั้งหมด”

          เขาใช้เอวยึดตรงขึ้น   ผมเห็นเขาขณะนั้นแบกรับกระเป๋าเรียนอันตั้งใจแน่วแน่สุดกระจายไปทั่วร่างกายผอมแห้งแรงน้อย   นั่นคือเรื่องยากที่ได้เห็นวัยรุ่นอายุ 17 ปีมีความตั้งใจแน่วแน่และกล้าหาญ   เป็นแบบหนึ่ง “แม้ว่าคนพันคนหมื่นคน  ผมก็เคยเห็นมาแล้ว”  ไม่เคยมีใครกล้าหาญเช่นนี้มาก่อน

ผมหันหลังแจ้งข่าวให้พี่เหมียว   พี่เสี่ยวเยี่ยนทราบว่าความตั้งใจของ ซูโหย่วเผิงแล้ว  และคุยเหตุผลเรื่องวัยรุ่นวัย 17 ปีคนนี้   พี่เหมียวเป็นคนใจอ่อน

Chomnath:
เธอรู้ว่า ซูโหย่วเผิง เต็มใจรับผิดชอบด้วยตัวเองทุกอย่าง   ก็ไม่กล้าทำร้ายจิตใจเขา

แล้วเช่นนี้   ซูโหย่วเผิง ก็ราบรื่นเช้าห้องบันทึกเสียงอัลบั้ม “หนันไหปู้คู”

: มีความรักอย่างหนึ่งเรียกว่าเข้าใจหลักเหตุผล


        การครองชีพอยู่บนเรื่องสัพเพเหระ  ก่อนอื่นถ้าเป็นไปได้ผมจะช่วย ซูโหย่วเผิง จัดการเรื่องนี้ให้ดี   เพื่อให้เขาสามารถตั้งใจเรียนหนังสือ   อย่าให้มีเรื่องจุกจิกมากวนใจเขา   เพื่อให้เขาเอาพลังที่เป็นหลักใหญ่ไปมุ่งการเรียนหนังสือและเรียนเต้นรำร้องเพลง   โดยเฉพาะ ซูโหย่วเผิง มีตารางชีวิตต้องดูแลมากมาย   ห้ามไปสนใจคำยั่วยุคนนอกวงการโดยใช้คำพูดสกปรก   พวกเขาเห็นว่า พี่ซ่ง รักเข้าข้าง ซูโหย่วเผิงเป็นพิเศษ   นี่คือทำให้ผมทุกข์ใจพูดไม่ออก

 
: กล่าวถึง อู๋ฉีหลง กับ เฉินจื้อเผิง จุดนี้   พวกเขาต่างก็รู้กันเอง

        อู๋ฉีหลง เป็นคนใจกว้างมาก  เขาให้อภัยผมแล้วมุ่งให้ ซูโหย่วเผิง ทำให้ดีขึ้น   ขณะนั้นผมจำคำพูดในใจของ อู๋ฉีหลง ที่เคยพูดกับผมได้อย่างชัดเจน   “ พี่ซ่ง  ไม่เป็นไร  พวกเราล้วนห่วงใย ซูโหย่วเผิง มาก   เพียงแต่คุณต้องช่วยเหลือเขามากๆ    เขาต้องการคุณมาก   ก็มีแต่คุณที่ไม่บ่นไม่โกรธ  ทำเพื่อเขามากมาย  พวกเรายอมนับถือคุณมาก   ช่างลำบากคุณแล้วพี่ซ่ง”


        แล้ว เฉินจื้อเผิง ก็เป็นบุคคลที่มีสายตาอันฉลาด  มีอยู่ครั้งหนึ่งผมกับ เฉินจื้อเผิง ไปสัมภาษณ์สดโดย DJ สถานีวิทยุช่องหนึ่ง  คุยไปคุยมาทันที DJ คนนั้นก็ถาม เฉินจื้อเผิง ว่า
 
        “คนข้างนอกล้วนกล่าวว่า พี่ซ่ง รัก ซูโหย่วเผิง มากที่สุด   ในสายตาคุณจื้อเผิง คุณว่าอย่างไร ? “
 
        “คงไม่ใช่แน่ๆ”   เฉินจื้อเผิงตอบกลับมาแบบจืดชืด  “ ซูโหย่วเผิง อายุยังน้อย   การบ้านการเรียนก็มาก   เดิมทีจำเป็นต้องเอาใจใส่เขามาก  แล้วหน้าที่การดูแล ซูโหย่วเผิง ก็คือ ฉีหลงและผมเป็นผู้รับผิดชอบ  เพียงแต่ว่า พี่ซ่ง แบกรับคนเดียว   พี่ซ่ง ทำได้ดีมาก  ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ไม่มีใครทำได้เท่าพี่ซ่ง ซึ่งไม่มีความส่วนตัวกับซูโหย่วเผิง "


        จนถึงวันนี้   ผมและ ซูโหย่วเผิง ล้วนขอบคุณอย่างหมดใจทั้งกับ อู๋ฉีหลงกับ เฉินจื้อเผิง ในปีนั้นที่ให้อภัย   พวกเราต่างพร้อมใจกันเดินหน้าผ่านพ้นเดือนปีที่ลำบากที่สุด   พร้อมใจกันเผชิญหน้ากับคนนอกวงการในแง่สายตาที่คาดกันว่าดู เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่เป็นนักร้องที่ดีต้องมาแยกย้ายจากกัน   แต่เพราะว่าพวกเรามีใจสมัครสมานสามัคคีกัน   จึงประสบความสำเร็จ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นการรวมตัวความทรงจำสู่คนรุ่นหนึ่ง    20 ปีให้หลังจนถึงในวันนี้  จึงทำให้ อู๋ฉีหลง  เฉินจื้อเผิง  ซูโหย่วเผิง ล้วนยังคงยืนหยัดอยู่ที่จุดสูงเด่นจุดหนึ่งที่เตรียมรอคอย



: การอบรมสอนสั่งที่เป็นกฎเหล็กสำหรับความรัก

        ซูโหย่วเผิง เคยโดนผมเตะ   อู๋ฉีหลงเคยโดนผมตี   เฉินจื้อเผิงเคยโดนผมด่า

        ขณะที่ผมพาเสี่ยวหู่ตุ้ย เข้าสู่วงการ   รับหน้าที่เป็นผู้ผลักดันผู้จัดการรวมทั้งเป็นพี่เลี้ยง  และร่วมมือได้ผ่านพ้นมา 10 กว่าปี   ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรานอกเหนือจากเป็นผู้ผลักดันและผู้จัดการนักแสดงแล้ว   เวลายิ่งนานกลับคล้ายกับพ่อลูก   พี่น้อง   ศิษย์อาจารย์   และเพื่อน   ผมยังคงแสดงบทบาทปรองดองระหว่างการรับงานและบริษัท   นำพา เสี่ยวหู่ตุ้ย วิ่งข้ามน้ำข้ามทะเลวิ่งเหนือจดใต้  เดินทางระยะไกลสู่ในและนอกประเทศต่อสู้อย่างลำบากเหนื่อยยาก   พวกเราพร้อมใจกันเดินผ่านอุปสรรพขวากหนามเพื่อก้าวสู่ความโด่งดัง   ร่วมกันผ่านพ้นสะสมทั้งหยาดเหงื่อและน้ำตาผสมผสานความทุกข์ยากและความสุขร่าเริงมา 10 กว่าปี

     
        ตั้งแต่ผมเริ่มนำเพื่อนสหายน้อย 3 คนนี้ (ขณะนั้น ซูโหย่วเผิง อายุ 15 ปี   เฉินจื้อเผิงอายุ 17 ปี   อู๋ฉีหลงอายุ 18 ปี)  ผมก็รู้จักสั่งสอนและควบคุมพวกเขาอย่างเข้มงวดแน่นอน  ต้องเอาตัวเป็นแบบอย่าง  รักษาตรงต่อเวลา  ไม่มาสาย  กำลังความสามารถที่ตัวเองทำอยู่ต้องสูงกว่า   ต่อผู้อื่นต้องมีสัมมาคารวะและจริงใจ   นี่ก็คือผมได้เข้มงวดขอร้องพวกเขาจำต้องทำให้ได้  พวกเขาจำต้องทำหน้าที่มอบหมายงานให้แก่บริษัทลุล่วงสำเร็จ  เรื่องระเบียบข้อบังคับในกฎ  นี่ก็คือผู้ที่เป็นคนผลักดันศิลปินจำต้องผูกมัดกับตัวศิลปิน


        ถ้าหากพวกเขามาสาย   ไม่จัดการเรื่องงานส่วนตัวให้เรียบร้อย   ผมก็จะตีพวกเขา  เตะพวกเขา   ซูโหย่วเผิง ก็โดนผมเตะมาแล้ว   เช่น ซูโหย่วเผิงมาสาย  จากโรงเรียนต้องเร่งมาถึงลานฝึกซ้อมต้องใช้เส้นทางมาระยะหนึ่ง   เขาบอกกับผมว่ารถติดมาก   แต่ผมบอกเขาว่ารถติดไม่ใช่เหตุผล    จริงๆแล้วเขาจำเป็นต้องเอาเวลาที่รอคอยรถเมล์    เวลาการเดินด้วยเท้าเดินคำนวณให้ดี    แล้ว อู๋ฉีหลง และ เฉินจื้อเผิง ทำไมจึงมาตรงต่อเวลา ?  คุณมาสาย  แสดงว่าคุณไม่ให้เกียรติต่อเขาทั้ง 2 คนใช่หรือไม่ ? 
 

        อู๋ฉีหลง ก็เคยตกอยู่ในความรักทำข้อผิดพลาดเวลาด้านการฝึกซ้อม    เคยโดนผมตีมาแล้ว   เฉินจื้อผิง เพราะทานอาหารมากเกินไป  โดนผมดุด่าตีเอา  จริงๆแล้วนี่คือสาเหตุ  ธาตุอาหารที่ทำให้เขาอ้วนง่าย   ผมเตือนเขาอย่าทานอาหารที่ทำให้เกิดความอ้วนง่าย   เขาแอบดื่มชานม ทานขนมเค้กของแฟนเพลงที่ชื่นชอบนำส่งมาให้ทาน   ผมต้องโมโหแน่นอน   ดุด่าตีเขา  จริงๆแล้ว  นักแสดงจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง  เพราะเป็นนักแสดงมีหน้าที่รับผิดชอบส่วนหนึ่งคือตัวเองต้องโชว์ตัวให้ผู้ชมชอบในตัวคุณ   คนอื่นดูคุณแล้วมีความเพลิดเพลินพอใจถึงจะใช้ได้    คุณอยากอ้วนขึ้นมา แล้วไม่มีผู้ใดชื่นชอบอีก   เพื่อเรื่องเหล่านี้ผมเคยดุด่าเขา   ผมเชื่อใจเขา

 

        เรื่องผ่านมา 20 ปีแล้ว เสือน้อย 3 คนจำต้องขอบคุณผมในปีนั้น  ซึ่งมีเงื่อนไขเข้มงวดกวดขันต่อพวกเขา   รวมทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถอดออกมาจะต้องพับเก็บอย่างไร   แล้วต้องวางเรียงให้ดีจึงค่อยส่งซัก   ก่อนจะสวมใส่ต้องใช้ไม้แขวนเสื้อ  แขวนให้ดีเพื่อให้ลมพัดถ่ายเทมา   อย่างนี้จึงจะไม่มีกลิ่นอับของเหงื่อ   แล้วห้ามถอดออกมาโดยมีรอยยับจึงวางตรงนั้น   ไม่อนุญาตทำสิ่งที่ไม่ดี  ไม่เพียงแต่หักเงิน   ยังต้องถูกทำโทษร่างกายด้วย


: .........ดูมาตรฐานการตี  ด่า  เตะนี่คือ  สอน สั่ง ควบคุม

        เดี๋ยวนี้บริษัทหลายแห่ง  เจ้าของธุรกิจรวมทั้งผู้ผลักดันหรือผู้จัดการส่วนตัวรักใคร่นักแสดงมากไป   รักจนไม่ลืมหูลืมตา   ผมสอนสั่งแนะนำนักแสดงของผมลักษณะท่าที   ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม   ล้วนกลัวผู้ที่มาดูแลตน  คนครัว  คนทำอาหาร   เด็กกวาดพื้น  ล้วนต้องยำเกรงทั้งนั้น   เพราะว่าพวกเขาเปรียบเหมือนพ่อแม่ให้เสื้อผ้า  ให้ของกินแก่นักแสดง    ถ้าหากพวกเขาอยู่ในแบบพิธีคุกคามคุณ   พลิกอีกด้านหนึ่งคุณต้องแนะนำสั่งสอนเขาต้องทำตัวอย่างไรต่อบุคคลอื่น   ไม่ใช่หันหลังไม่สนใจแล้วไล่เขาออกไป นั่นไม่ถูกต้อง 
                                                                                                                                                                                                                               
        บัดนี้แมวมองหรือผู้ผลักดันเอาใจดารามาก   เหมือนดาราเป็นพวกเทวดา   ตัวเองไม่มีวิธีการใดโดยใช้ตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวมาแนะนำสั่งสอนพวกเขา   ผู้จัดการส่วนตัวต้องให้ข้อมูลนักแสดงเพื่อให้พวกเขาทราบ   เวลาพวกเขาไม่ได้ร้องเพลง  จริงๆ แล้ว คือ บุคคลธรรมดาคนหนึ่ง   เช่นเดียวกับพวกเราเสมอภาคกัน   ทุกคนล้วนอาศัยตัวเองเพื่อไปดำรงชีพขยันขันแข็งทำมาหาเลี้ยงชีพ    เพียงแต่ว่าอาชีพของพวกเรามีความแตกต่างกันเท่านั้น   อย่าเอาดารามารักลำเอียงจนเสียหาย   ส่งผลต่อนิสัยในภายหลังไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาของพวกเขา   

 
        ขณะที่ผมนำพา เสี่ยวหู่ตุ้ย เพราะว่าพวกเขายังไม่ได้เข้าสู่วงการนี้    เพียงแต่ผมสามารถกล่าวกับพวกเขาว่าควรทำอย่างไร   เป็นคน ต้องมีคุณค่ายิ่งกว่าการแสดงและร้องเพลง   เป็นคนดีแล้วจึงจะเป็นนักร้องและนักแสดงที่ดีได้    พวกเขาก็เข้าใจเหตุผลจุดนี้   

        จนถึงบัดนี้   เวลาทุกคนอยู่ร่วมกัน   จะสามารถค้นพบทุกคนล้วนเป็นบุคคลมาจากต่ำสุด   และคือ บุคคลธรรมดาๆ นี่เอง   พวกเขาให้ความเคารพต่อคนอื่นมาก   และก็จริงใจด้วย   โดยเฉพาะยุคสมัยที่ต่างกัน   ความคิดและสอนสั่งก็ต่างกัน   ปัจจุบันบริษัทจัดหาดาราได้เอานักแสดงมาปั้นด้วยกับมือ    แต่ขาดการเอาใจใส่ดูแลสอนสั่งพวกเขาอย่างไร   (หรือว่าจริงๆแล้ว ไม่กล้าสอนสั่งนักแสดง)   ตรงกันข้ามให้ผลร้ายต่อนักแสดง   เดี๋ยวนี้นักแสดงหลายคนเห็นว่าตัวเองได้รับการนิยมชื่นชอบ   โดยอาศัยตัวเองที่มีความสามารถและขยัน   แท้จริงแล้วก็ลืมคณะทีมงานซึ่งอยู่ข้างกายทุ่มเทและช่วยเหลือ   เอาความดีความชอบมาใส่ตัวเอง   นี่คือความผิดพลาดสาหัสสากรรจ์ในความคิดอ่าน   จริงๆแล้ว ความลำบากและขยันของพนักงานข้างกายนักแสดงก็ไม่น้อยหน้ากว่านักแสดง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version