ผู้เขียน หัวข้อ: 2010 Timeout Beijing  (อ่าน 7878 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
2010 Timeout Beijing
« เมื่อ: ธันวาคม 18, 2010, 08:01:16 AM »
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จาก นิตยสาร Timeout Beijing 15 พฤศจิกายน 2010

http://men.sohu.com/20101115/n277618615.shtml
http://tieba.baidu.com/f?kz=931384714
http://tieba.baidu.com/f?kz=931439290


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 11:49:01 AM »

วันที่ 15 พฤศจิกายน ปี 2010

ซูโหย่วเผิง ---  ไม่ง่ายนักที่จะแบกรับความรักกระตือรือร้นขึ้นมาอีก

(คำพูดของผู้กำกับ) “มองดูแล้วทำให้เห็นว่าเรื่องเล็กเกินไปมิใช่หรือ ?    ถึงแม้ว่ามีความกังวลอยู่หลายส่วน   ด้านหน้ากล้องมี ซูโหย่วเผิง ซึ่งก้าวกระโดดขึ้นครั้งเดียวจากบนเตียงนอนแน่นอน(กระโดดครั้งเดียวมีชื่อเสียง) ท่าทางองอาจเหมือนพยัคฆ์    เทียบกับการไปไกลของไกวๆหู่    เขายอมสนทนาคุยเรื่องเกี่ยวกับ ไป๋เสี่ยวเหนียน มากขึ้นในใกล้ๆนี้    เทียบในปีนั้นคะแนนผลสอบมัธยมปลายทั้งไต้หวันได้อันดับที่ 5     เขาปลื้มอกปลื้มใจมากของวันนี้ซึ่งได้สวมครอบมงกุฎรับรางวัล    เมื่อ 10 ปีก่อน    แบ่งแยกการแสดงบท จางอู๋จี้   ไป๋เสี่ยวเหนียน.......ซูโหย่วเผิง ที่ชอบมากที่สุดคือ “ยิ่งใหม่ยิ่งดียิ่งแตกต่างกัน”    บ้านเรือนชายหลังนี้พร้อมกับกระเป๋าแขกเหรื่อผู้มาพัก    เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งสามารถทำให้เขาตื่นเต้นสนุกสนานมาก    เพื่อออกเดินทาง    (ผู้ชายจอมพลังมาก) หมายถึง ผู้แข็งแกร่ง

ซูโหย่วเผิง แสดงบท ไป๋เสี่ยวเหนียน

ทีแรกเมื่อรับบทบาทต่อจาก ไป๋เสี่ยวเหนียน    ผมกลัวมากที่สุดคือโดนถูกด่า    สุดท้ายได้แสดงเป็นบุคคลวิชาชีพคนหนึ่ง    การสัมภาษณ์รอบนี้    คือหลังจาก ซูโหย่วเผิง ได้รับรางวัลช่อดอกไม้นักแสดงตัวประกอบชายยอดเยี่ยม    ต่อมาของวันที่ สาม    ช่วงระยะเวลาออกฉายหนังเรื่อง  The message มาหนึ่งปีกว่า    “เมื่อคืนเช้าตรู่ตี 4 กว่าจึงได้หลับนอน    เพราะว่ามัวแต่ไปพลิกอินเตอร์เนตในแฟ้มรูปภาพเก่าๆตลอด    คิดอยากเอาภาพจากในอินเตอร์เนตเลือกเอารูปภาพสวยๆบางรูป    เพื่อเขียนความรู้กว้างๆทั่วไปบทหนึ่ง    ขอขอบใจทุกคนให้การสนับสนุนและนิยมชมชอบในตัวผม    และเหลียวหลังมองดูตัวเองโดยอาศัยการเป็นเพื่อนติดตามตัวของไป๋เสี่ยวเหนียนทุกคืนวันไปครึ่งค่อนชีวิต”    แม้แต่ขณะนำปากกาเขียนฉบับร่าง    มองดูซูโหย่วเผิงผู้เป็นแขกกว้างขวาง    “ลาก่อนไป๋เสี่ยวเหนียน”    โดยรวบรวมอักษรรูปภาพบนล่าง ซึ่งกำลังขึ้นเวทีแสงไฟระยิบระยับอย่างเงียบๆ    ช่วงสรุปสุดท้าย    เขากล่าวว่า    ความล้มเหลวต้องการยืนหยัดถึงที่สุด    ความสำเร็จก็ไม่มีเลิกล้มครึ่งทาง    เสี่ยวเหนียนสามารถมีในวันนี้เพราะได้ คำอักษร “แม่” คำเล็กๆสามารถสรุปได้อีกใช่หรือไม่    ความฝันอันแสนสวยนี้เป็นของทุกคน    เพื่อความปรารถนาให้พวกเราลืมยากชั่วนิรันดร์


ซูโหย่วเผิง นั่งคนเดียวอยู่บนเก้าอี้โซฟาในสายตาเกิดสว่างขึ้นมา    โดยใช้การรบเร้าตื่นเต้นซึ่งไม่เคยได้เห็นบ่อจูบหอมพรรณนาไป๋เสี่ยวเหนียน การฝึกฝนแต่ละย่างก้าวเป็นอย่างไร    เมื่อได้รับบทละครแล้วผมจึงสัมผัสกับทำนองเพลงเป็นครั้งแรก    ก่อนหน้านั้นไม่เคยทราบมาก่อนว่าสิ่งของนั้นคืออะไรทั้งสิ้น    ขณะนั้นตัวผมเองอยู่ที่มณฑลกว่างซี(กวางสี)    อยู่ในทีมละครเรื่อง  (สวินเจ่าหลิวซันเจี่ย-A Singing Fairy)    คงเป็นทรงผมยาวอยู่    ทุกวันหลังเลิกงาน    จึงอยู่เขตพื้นที่บนเขาด้านในห้องรับแขกพร้อมกับวิชาชีพเฉพาะจากสถาบันการศึกษาคือ คุณเป่ยคุง ได้บินข้ามมาที่นี่  ซึ่งเป็นอาจารย์สอนงิ้วให้ผม    “ซูโหย่วเผิงคงเรียนต่อเนื่องสองถึงสามครั้งใช้อักษร  “รีบ” มากมาย พรรณนาตัวเองสภาพลักษณะในขณะนั้น    ในบทละครครั้งแรกสุดของไป๋เสี่ยวเหนียน คือต้องร้องเพลงหนังละครนอกเหนือจากตัวเอกแล้ว    ยังต้องร้องเพลงเป็นตัวเอกคนแก่    ทั้งต้องทำตามแผ่นเสียงเก่าๆเพื่อตีจังหวะ”    นั่นคือผมต้องเรียนรู้เอื่อนเอ่ย    การตีจังหวะพร้อมกับทำนองเพลงที่นิยมชื่นชอบแบบนี้ทั้งหมดต่างกัน    ในบทละครเอาสิ่งของเล็กน้อยของผมแบบตามใจชอบก็ควรมีพิถีพิถัน    แล้วก็ต้องศึกษาเรียนรู้    ในขณะนั้นแทบตกใจช็อคเกือบตาย
 

ขณะทำนองหนังเพลงออกนอกลู่นอกทางทั้งหมด เมื่อฟังรู้แล้วว่า ช่วงหลังตรุษจีนจะต้องแต่งตัวแสดง    รีบคว้าจับเอาอย่างบ้าคลั่งสุดๆ    เพราะว่าหนังเรื่อง  (สวินเจ่าหลิวซันเจี่ย)   ยังถ่ายหนังไม่จบ    ดังนั้นเส้นผมบนศีรษะและหนวดเคราอื่นๆของ ซูโหย่วเผิง ในขณะนั้น ขวัญใจที่มีอยู่ล้วนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้    วันที่ 9 มกราคม    หนังเรื่อง  (เฟิงเซิน)   แต่งตัวแสดงเป็นครั้งแรก    ไป๋เสี่ยวเหนียน ในบทใส่ชุดทหาร    ไว้ผมยาวและหนวดเครา    รูปลักษณะเหมือนผู้แพ้หมดเลย    โดนผู้กำกับไม่ให้ผ่านหนึ่งคะแนน    สิบกว่าวันต่อมา    การแต่งตัวแสดงครั้งที่สอง    เอี้ยจิ่นเทียน  ยื่นมือรับทำแต่งแบบบนใบหน้า    ผมบนศีรษะและหนวดเคราซูโหย่วเผิงยังคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้    ผู้กำกับ เกาฉวินซูจึงเปลี่ยนสีหน้า    ตวัดเสียงดังว่า    “คุณเป็นนักแสดงอะไร    ถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้รีบเปิดกล้องแต่งตัวแสดง    ยังไม่ได้ทดสอบแบบรูปอื่นๆ”    “ผมนึกว่าตัวผมเองถูกสับเปลี่ยนตัวแล้ว    ขณะนั้นผมรู้สึกร้อนใจมาก    ไม่มีเวลาไปเรียนหนังงิ้ว    การแต่งตัวแสดง 2 ครั้งล้วนล้มเหลวหมด”
 

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 12:03:48 PM »

โชคดีเมื่อการแต่งตัวแสดงครั้งที่สาม   (สวินเจ่าหลิวซันเจี่ย)   ถ่ายหนังจนจบอย่างราบรื่น   ดังนั้น ซูโหย่วเผิง จึงใช้ขวานเล่มใหญ่ร่ายรำ หมายถึงดีใจเป็นคนใหม่อีกครั้ง    ผมยาวถูกตัดออก    ผมสองข้างถูกโกนสั้นเกรียน    นวดเคราถูกโกนทั้งหมด    ทั่วทั้งใบหน้าจึงเริ่มวาดสีขาว    ขนคิ้วถูกโกนออก    กลายเป็นคิ้วอันเรี้ยวโค้ง    “ผมอยู่ต่อหน้ากล้องครั้งแรก    เมื่อมองเห็นบนใบหน้าไป๋เสี่ยวเหนียน    รู้สึกน่าเกลียดเป็นพิเศษ    รู้สึกครูบาอาจารย์ เอี้ยจิ่นเทียน ไม่ได้ทำดีๆให้     ในใจจึงแค้นมากจะตาย    “แต่นั่นก็คือเพื่อให้ ซูโหย่วเผิง สร้างแบบรูป “แค้นมากจะตาย”    จึงให้ผ่านเป็นเอกฉันท์    ดังนั้น    การเริ่มเรียนงิ้ว    การร้องประโยคอักษรหนึ่ง    การเปลี่ยนทำนองเพลงคดเคี้ยว วกวนไปมา   ซูโหย่วเผิง ล้วนหยิบกระดาษปากกามาจดจำเอาแล้วรวบรวมออกมา    ทำเสียงสั่นคอค้างอยู่    เพื่อฝึกฝนตัวเอง    ฝึกฝนรูปลักษณะใช้ท่าทางออกมือร่ายรำ    ย่างทีละก้าว ตามแบบอย่างไป๋เสี่ยวเหนียน ในรูปร่างของซูโหย่วเผิง

“หลังจากได้รับรางวัลแล้ว    ทุกคนกล่าวว่า ซูโหย่วเผิง กับ ฝงเหยี่ยนเจิง ใครจะดีกว่ากัน    ซูโหย่วเผิงเทียบแล้วดีกว่า    ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ชนะแล้ว    จริงๆ    ไม่ใช่อย่างนี้    เมื่อคืนนี้ผมเอาสมุดเล่มรูปภาพเปิดออก    เหลียวหลังมองดูนิดๆ    ผมกับไป๋เสี่ยวเหนียนต่างร่วมดำรงชีพด้วยกัน ณ . เวลาครึ่งปีนั้น    โดยไม่มีเรื่องใดๆสลับซับซ้อนอย่างอื่น    จึงได้เป็นความฝันไป๋เสี่ยวเหนียนครึ่งปี    เต็มไปด้วยแรงกดดัน”    จากการเปิดกล้องขณะวันแรกทั่วทั้งใบหน้าตัวสั่นงกๆ ฟังคำกล่าวอบรมชี้แนะอย่างสูง    จนถึงวาระสุดท้ายถ่ายเสร็จปิดกล้อง    ในสายตาของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยดีใจและรู้สึกชอบอกชอบใจ    “อารมณ์ในใจที่มีอยู่ล้วนอยู่ภายในใจ    ถึงแม้ว่าสถานที่ที่ได้ร้องเพลงงิ้วต่อมา จึงถูกตัดทิ้งล้มเลิกไปแล้ว    แต่เพราะว่ามีซ่อนเร้นอยู่ก้นล่างสุด ค้ำหนุนอยู่    การตีจังหวะตามใจชอบล้วนต้องมีพิถีพิถัน    จึงจะสามารถมี ไป๋เสี่ยวเหนียน ในวันนี้เกิดขึ้นได้

เปิดกล่องใช้คำพูดเกี่ยวกับไป๋เสี่ยวเหนียน    ซูโหย่วเผิง จะพูดอย่างไรล้วนมีความหมายหน่อยๆ คล้ายไม่มีสิ้นสุด    สุดท้ายคือเขาอยู่ในวงการอาชีพนักแสดงของป้ายศิลาจารึกริมข้างทาง    เขากล่าวว่าเขารู้สึกอย่างนี้จึงจะเรียกแบบเอาจริงเอาจังเป็นศิลปะนักแสดง    เอาจริงเอาจังทำแสดงภาพยนตร์    อย่างไรก็ตามขั้นตอนในนั้นคือมายากลก็ดี    ความฝันสวยงามก็ดี     1 ปีต่อมาอยู่บนเวทีช่อดอกไม้เก็บเกี่ยวความสำเร็จแล้ว    เป็นไปได้กลายเป็นความฝันสวยงามที่สุดของตัวเองในชาตินี้ (555+แบบนั้นเลยนะ)   จากปี 1997 ของอู่อาเกอ(องค์ชายห้า) จนถึงวันนี้    นี่คือ ซูโหย่วเผิง ตั้งแต่อยู่ในวงการภาพยนตร์มากว่า 13 ปีเพิ่งได้รับรางวัลชิ้นแรก

“จริงๆผมยังชอบร้องเพลงมาก    ร้องเพลงยิ่งสามารถแสดงความเป็นของตัวตนของตัวเอง    มีอิสระบ้างหน่อย    การแสดงหนังเริ่มต้นจนถึงสุดท้ายจะต้องเอาตัวเองแสดงเป็นอีกบุคคลหนึ่ง    ไม่มีวิธีอื่นเป็นของตัวเอง    ปกติเพียงอาศัยมองดูละครกล่าวคำวาจาเป็นของตัวเองสะสมเรื่อยมา    รอคอยจนกว่าถึงเวลาได้ระเบิดออกมาจึงระเบิดขึ้นมา    ก็จะไม่มีระเบิดในวันนั้น    อย่าลืม    ขวัญใจเนื้อแท้ดีเด่นอันนี้ ในช่วงวัยต้นๆสามารถสอบได้ผลคะแนนมัธยมปลายทั่วทั้งไต้หวันในอันดับที่ 5 ของนักศึกษาอันดับเกียรตินิยมดีเด่น    ความช่ำชองที่สุดก็คือการเรียนสะสมคะแนน    แต่ว่าตั้งแต่เป็นนักร้องขวัญใจจนถึงนักแสดงเจ้าบทบาท    หนทางสายนี้ในที่สุดจึงมีความยากลำบากบ้างโดยใช้วาจาแบบเปรียบเทียบยากกว่า    แม้กระทั่งการได้รับรางวัลต่อมา ซึ่งมีความรู้สึกหายใจโล่งอกโล่งใจบ้างหรือไม่ ?   “ผมกำลังผ่านพ้น ณ.เวลานั้นมาหลายปีแล้ว    กล่าวถึงรายการรางวัลเกี่ยวกับ ซูโหย่วเผิง ตอนนี้    ก็เหมือนสัมภาษณ์ออกอากาศในปีนั้นเช่นกัน    เมฆจางลมเบา (สบายใจ)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 12:18:31 PM »

โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่บ้านเรือนชาย

ผลงานหนังใหม่กำลังออกฉาย    หนังภาพยนตร์  (มี่สื้อจือปู้เข่อเก้าเหริน)    ซูโหย่วเผิง แสดงเป็นบุคคลที่มีหนวดเคราบ้างคนหนึ่ง    ไตร่ตรองแบบละเอียดแน่นลออของนักประพันธ์นวนิยายบ้านเรือนชายไม่เรียบร้อย    มากล่าวถึง ซูโหย่วเผิง เข้าใจเกี่ยวกับมีจิตใจตื่นเต้นเร้าใจทุกเรื่องทุกแบบ “บทบาทแสนประหลาด”   การแปลงโฉมครั้งนี้นับว่าไม่ยาก    เพราะว่าปกติเขาก็เป็นแบบอย่างบ้านเรือนชายท่านหนึ่ง-โอตาคุ

อายุ 15 ปีเข้าสู่วงการจึงโด่งดังถึงเดี๋ยวนี้    ความชำนาญที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ อยู่ในตัวของ ซูโหย่วเผิง ได้พิมพ์ประทับใจแบบลึกๆ    ผมเด็กเกินไปที่ได้เข้าสู่วงการมา    แม้กระทั่งเมื่อวัยเยาว์วัยหนุ่มปกติทั่วไป    ผมยังไม่ได้ก้าวเดินจนจบ    เพราะฉะนั้นจึงได้ขาดแคลนความชำนาญส่วนหนึ่ง    ของบางสิ่งบางอย่างจึงไม่มีอย่างนี้    ดาราทุกคนล้วนมีโชคของตัวเองหรือไม่    ซูโหย่วเผิง สามารถมีแต่เพิ่มคำว่า “มากยิ่งขึ้น”   ที่จริงล้วนเป็นการกล่าวเรื่องราวที่คล้ายๆกัน    เป็นนักแสดงคนหนึ่ง    ผมกำลังถูกเปรียบ เทียบกับบุคคลอื่นว่าโชคดีกว่า    เปรียบเทียบแล้วสามารถได้รับความสนใจและเอาใจใส่มากกว่า    แต่ว่า    ต้นเหตุคนโชคไม่ดีมาจากเรื่องอย่างนี้    เพราะเหตุว่าได้รับความสนใจ    เพราะฉะนั้นการดำรงชีพปกติมีน้อยมาก   นักแสดงต้องแบกรับความรับผิดชอบของสังคม    ดาราหลายคนชอบหมกอยู่แต่ในบ้าน    ที่จริงล้วนไม่มีทางเลือก    ใครเล่าไม่หวังเช่นเดียวกับทุกคน    เมื่อไม่สบายใจก็อยู่ริมข้างทางดื่มๆเบียร์    ดื่มจนเมาแล้วก็อยู่ริมข้างทางปัสสาวะ    เริ่มต้นตั้งแต่เล็กๆ    ผมก็เริ่มสูญเสียความปกติในการดำรงชีวิต”

ซูโหย่วเผิงไม่เปิดลมแบบเบาๆ-- ใส่เต็มที่   เขียนข้อความแขกผู้กว้างขวาง  จึงเป็นพื้นฐานของลักษณะสภาพ สองวันตากแห สามวันตกปลา --เอาใจผู้ชม    เพราะว่าเขาไม่ชอบวิธีแบบนี้เพื่อบันเทิงใจให้แก่ผู้อื่น    หรือว่าถูกผู้อื่นเพื่อบันเทิงให้    “ผมหวังอย่างยิ่งว่าผมสามารถทำเหมือน จางหันหวี่ แบบนี้    พอออกมาก็ให้ผู้ชมดุภาพยนตร์    ผมหวังว่าตัวเองกำลังผ่านพ้นเมื่อก่อนระดับขั้นบันไดแบบนั้น    “ทำเป็นบ้านเรือนชายมาตรฐาน    ซูโหย่วเผิงเห็นว่าตัวเองยังดำรงชีวิตธรรมดาปกติ “ที่จริงมันช่างน่าเบื่อ”   “ไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ    ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวควรทำให้ได้    สิ่งที่ควรเอาให้ได้  หรือไม่สถานที่ที่ต้องไปให้ได้    นั่นก็คือหมกมุ่งอยู่แต่ในบ้าน    แต่จริงๆหมกมุ่งอยู่แต่ในบ้านก็จำต้องทานข้าว    หลับนอน   ดูอินเตอร์เนต   ตากเสื้อผ้า   พูดให้สุดๆ    ตากเสื้อผ้าก็คือกำลังทำงานอยู่”

 “ที่จริงเมื่อก่อนผมไม่เคยคิดมุมหักแหเรื่องนี้ ที่ไม่ไปบ้านเรือนตัวเอง    ตอนนี้กำลังฝึกฝนตัวเองอยู่    ยังเป็นจริงมีแบบนี้นิดๆ    เมื่อเวลาผมไม่ได้ไปทำงานจริงๆก็ไม่ค่อยออกจากบ้าน    ผมมีโรคความกลัวผู้คนนิดๆ    เพราะว่าเป็นไปได้ยังเด็กเกินไปที่ออกสู่วงการ    ก็กลัวแบบนี้    หมกมุ่งอยู่แต่ในสถานที่ที่มีผู้คน จึงรู้สึกว่าช่างไม่เป็นตัวของตัวเองเสียเลย    ช่างแปลกจริงๆ    “เมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านี้    น้ำเสียงพูดค่อยๆของ ซูโหย่วเผิง    คำพูดเร็วมาก    เขากล่าวว่าเขาใจเต็มร้อยหวังว่าตัวเอง มีเวลาควรออกไปข้างนอกเที่ยวเล่นบ้าง    แต่บนความเป็นจริงคือทุกวันล้วนอยู่แต่ในบ้านตัวเอง    ในลักษณะทางความคิดขัดแย้งและบิดงอชนิดหนึ่งมาตลอด    เรื่องฝืนใจทำให้คนกลัดกลุ้มอย่างแน่นอน    “แต่ว่านี่ไม่ใช่ศิลปะนักแสดงลักษณะที่ต้องการ    ศิลปะนักแสดงล้วนบิดงอขัดแย้งโดยตลอด    “ดีที่ตัวเองเป็นนักแก้หัวเราะเยาะอย่างชำนาญ    ชีวิตบ้านเรือนชายของ ซูโหย่วเผิง นับว่ามีความสุขมาก

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 12:34:33 PM »

เขาเคยรักชอบพอในการรวบรวมแผ่นเสียงที่สุด    ตอนนี้ไม่เอาแล้ว    เพราะว่า    การพัฒนาก้าวหน้าของอินเตอร์เนต ไม่ว่าอะไรเพื่อให้คุณ ควรคิดถึงทรัพยากรธรรมชาติไว้บ้างแบบง่ายๆ    ไม่มีอะไรที่จะหาสิ่งของไม่เจอ    ดังนั้น   การสนุกสนานกับการครอบครองแผ่นเสียงอันล้ำค่าหนึ่งแผ่นจึงไม่มีแล้ว   ความหมายคือในอินเตอร์เนตมีทุกสิ่งที่ต้องการ
 
แต่ว่า    เป็นนักแสดงผู้เข้าสู่วงการในฐานะเป็นนักร้องคนหนึ่ง    ซูโหย่วเผิง ที่ชอบดนตรีแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง    เมื่อพักอยู่ในบ้าน    เปิดเครื่องแผ่นเสียงฟังค่อยๆเบาๆ   ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง    “จริงๆผมอยากทำดนตรี    อีกทั้งถ้าหากตอนนี้ผมทำใหม่อีกครั้ง    แน่นอนต้องมีสิ่งของใหม่ๆมากมายและจิตวิญญาณอยู่ในนั้น    แต่ว่าตอนนี้ดนตรีไม่มีคุณค่าแล้ว    ค่อยเทปก็ซบเซา    ถ้าหากทำดนตรี    ต้องสิ้นเปลืองเสียเวลาอย่างแน่นอน    ประกอบร่วมกับการโฆษณาหลากหลาย    มิเช่นนั้นก็ต้องใช้จ่ายเงินสิ้นเปลืองแน่ๆ    ผมคิดอยากจะทำ    แต่ว่าต้องช้าหน่อย    ซูโหย่วเผิง พูดแบบจืดๆ    “เพราะฉะนั้นผมขอฉลองผู้โชคดีมาก    อยู่บนเวทีเวลาทานอย่างรวดเร็ว (พบความสำเร็จเร็ว)ยังไม่เหมือนในตอนนี้    ยังเก็บสิ่งของเหลือไว้บ้าง”


แต่เมื่อเริ่มต้นถูกผู้ใช้แต่ไม่เป็นอิสระ    ผลที่สุดก็ไม่ใช่โชคดีเสมอไป    ซูโหย่วเผิง มีใจรักโดดเดี่ยวคนเดียวในเรื่องธุรกิจการกุศลจึงเป็นอย่างนี้    “นั่นก็คือเมื่ออยู่วัยต้นๆเพิ่งเริ่มมีชื่อเสียง    กิจกรรมการกุศลหลากหลายมาหาผมขอเข้าร่วมการกุศล    ขอให้ผมช่วยโฆษณา    หวังว่าได้รับความสนใจอย่างมาก    จริงๆแล้ว    เวลานั้นผมเป็นผู้ถูกใช้    จึงรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี    จึงได้ไปทำ”    แต่โชคดีสักวันหนึ่งย่อมเป็นผู้ถูกใช้กลายเป็นผู้ดำเนินการ    “ไม่กี่ปีที่แล้วตัวเองก่อตั้งโรงเรียนประถมแห่งควมหวัง    เป็นครั้งแรกในชีวิตรู้สึกว่ามีการกระตุ้นคิดอยากเป็นผู้ดำเนินการทำอะไรบ้างกับผู้ถูกใช้เป็นต้น    ไม่เหมือนผู้ดำเนินการยื่นมือออกมา    ผลที่สุด    ผมทำแล้ว    ผมได้รับสำเร็จแล้ว

ด้วยสาเหตุนี้    ปกติท่านนี้ไม่ชอบเรียกเพื่อนเรียกมิตร    แล้วยังชอบเป็นบ้านเรือนชายที่มีความสุขตามลำพัง    ปีนี้ได้ผ่านพ้นวันเกิดที่คึกคักที่สุด    “แป้งวุ้นของผมตั้งความหวังหาให้พบแบบเด็กนักเรียนประถม    ครูใหญ่รวมทั้งคนชนบท   ได้ไปอัดเทปช่องสถานีโทรทัศน์ อวยพรสุขสันต์วันเกิดของผมหนึ่งตอน    ซูโหย่วเผิง ได้คิดครึ่งค่อนวันจะพรรณนาบรรยายอารมณ์ในใจของตัวเองได้อย่างไรดี    ในที่สุดยังคงใช้คำประโยคจีนกลางแบบไต้หวันด้านมาตรฐานมาสรุป    “พระพุทธให้ความเมตตามากมายแก่ผม    แต่ความศรัทธาพระพุทธและทำการกุศลทั้งนี้ ไม่ใช่เหตุเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม    คือการช่วยเหลือบุคคลอื่นถึงจะมีความสุข    นี่คือบนพื้นฐาน ของจิตสำนึก   จริงๆก็เป็นอย่างนี้    เมื่อคุณช่วยเหลือผู้อื่น    ในใจผู้อื่นจะถูกจดจำไว้ตลอด    เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมจะถูกตอบแทน สนองคืนความอบอุ่นให้แก่คุณบ้าง    เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่มีลางเหตุแจ้งล่วงหน้า    ดังนั้น    จิตใจจึงมีความอบอุ่นมากขึ้น

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 12:41:38 PM »

เคยเห็นทิวทัศน์มามากมาย    ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะแบกหามใจกระตือรือร้นอีก

เรื่องความสนใจวงการเพลงดนตรีที่นิยมมีกลุ่มคนในต้นปีที่ควรรู้จัก    ซูโหย่วเผิง แผ่นเสียงสุดท้ายถูกรวบรวมจดจำชื่อเรียกว่า  ((เจินซีเตอเป้ยเปา)    แหล่งต้นกำเนิดนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย เมื่อมีการแยกย้ายจากกัน หลังจากได้ออกแสดงคนเดียว   จึงได้ไปท่องเที่ยวกรุงดอนลอนประเทศอังกฤษมาครั้งหนึ่ง    ในฐานะบ้านเรือนชาย    ทั้งไม่ใช่เป็นอุปสรรคขณะเดียวกัน ซูโหย่วเผิง เป็นถึงขั้นบุคคลผู้เป็นแขกแบกสะพายกระเป๋า    “ผมดูแผนที่เป็น    แล้วรู้จักทิศทางอย่างดี    เมื่อเดินสับสนก็ไม่หลงทาง”    แล้วเขาเป็นแขกใจกว้างเวลานี้กำลังเรียงรายวันใกล้ๆนี้ขึ้นเครื่องตรงไปกรุงดอนลอน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมรูปถ่ายงานแสดงของภาพยนตร์วั่นเสี้ยง    เกี่ยวกับเขาตอนเยาว์วัย การผจญภัยความหรูหราโอ่อ่าในสนามที่แห่งนั้น    เป็นเรื่องของธรรมชาติอีก  ไม่เพียงแต่กลายเป็นการสนทนาข้อมูลต่อมา 

                   
เสี่ยวหู่ตุ้ย เมื่อเพิ่งแยกย้ายกันไป    ซูโหย่วเผิงตอนวัยเยาว์ได้เผชิญการแสดงเดี่ยว ธุรกิจการแสดงร่วงหล่นลงเหว    แน่นอนจึงได้ตัดสินใจไปจากไต้หวัน เพื่อหยุดเรียนในการเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด    บินตรงสู่กรุงลอนดอน    เพราะว่าการมีชื่อเสียงตอนวัยต้นๆ    เมื่อไปกรุงลอนดอนชาวจีนมีน้อยมาก    ไม่มีผู้ใดรู้จักผม ผมรู้สึกว่าแม้กระทั่งอากาศล้วนแล้วเป็นอิสระ    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสดใสใหม่เอี่ยม    เบาตัวเบาใจมากๆ    ซูโหย่วเผิงตอนเยาว์วัยมือถือแผนที่ยืนอยู่ตรอกซอกซอยใหญ่ๆที่ลอนดอน    กลางวันนั่งรถเมล์    กลางคืนนอนโรงแรมตามวัยหนุ่มสาวพักกัน    เรื่องนี้ขณะนั้นจึงได้ดึงดูดผู้สื่อข่าวไต้หวันมาใช้อำนาจคำพูดขู่เข็ญบังคับจู่โจม    เปิดอ่านดูหนังสือพิมพ์แล้ว    หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์รูปภาพและตัวหนังสือครึ่งหน้า ล้วนโจมตีด่าเขา “ช่างไม่รับผิดชอบเสียเลย จึงละทิ้งแฟนเพลงหนีออกนอกประเทศ”


 “ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นนักผจญภัย    ทำตาโตๆ    ทั้งตัวเต็มไปด้วยความองอาจ    ผมไม่ชอบเอาตัวเองมาถูกใส่ในตู้    แต่ตอนนี้    ความสนุกตื่นเต้นยิ่งมายิ่งสูง    สิ่งที่หายากมากคือ เรื่องราวความรู้สึกสนุกสนาน    ด้วยเหตุนี้     หลังจากเรื่องราวห่างกันมาแค่ 10 กว่าปี จึงกลับไปที่เดิม(ลอนดอน)ไปเดินทางท่องเที่ยวใหม่อีกครั้ง    ซูโหย่วเผิง ทั้งยังไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นรบเร้าใจ    จริงๆแล้วจะมีการรับความรู้สึกแตกต่างกันบ้าง    แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนตรงข้ามกัน    เมืองของเมืองนั้นไม่เปลี่ยนแปลง    เปลี่ยนแปลงก็คือตัวคุณ    เพราะฉะนั้นความรู้สึกการรับอารมณ์ของคุณไม่เหมือนกัน    ตอนนี้ผมมองดูสายตาของโลกกำลังเหมือนกับเวลาวัยเด็กที่ไม่เหมือนกัน

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 12:43:54 PM »

ใน 20 ปีนี้ที่ได้เป็นนักแสดง    ซูโห่วเผิง เคยไปแหล่งสถานที่มาหลายแห่ง    เคยเห็นทิวทัศน์มาหลายที่    จึงไม่ใช่ง่ายๆซึ่งถูกแบกหามแบบกระตุ้นเร้าใจอีก    แน่นอน    ยกเว้นตลอดการดำรงชีวิตที่เหลืออยู่    เคยเดินทางผ่านมาหลายแห่ง    ประเทศจีนด้านตะวันตกยังยอมรับว่า ซูโหย่วเผิง ใจตื่นเต้นตุบๆ    “มณฑลหวินหนาน   กว่างซี ด้านนั้นเริ่มแต่เช้า เพราะก็ต้องไปทำงานแล้ว    ที่นั่นมีแต่สิ่งของวัฒนธรรมชนเผ่าจำนวนน้อยหลากหลาย    ช่างน่าประหลาดอัศจรรย์ใจ    เพราะฉะนั้นผมจึงถูกดึงดูด    มณฑลชิงไห่  ซีจ้าง (ธิเบต)เป็นแหล่งสถานที่กราบสักการบูชาพระพุทธรูป    ที่นั่นมีแหล่งสถานที่ดึงดูดพิเศษชนิดหนึ่ง    รู้สึกเงียบสงบมาก    มีพลังจิตใจลึกลับมาก    เพื่อทำให้คุณรู้สึกใจเต้นระทึกขึ้นมาทันที    ในใจซ่อนเงื่อนแรงอัดและเจ็บปวดก็สามารถรับถึงการชำระล้างอย่างมหัศจรรย์ “    ถึงแม้ว่า ซูโหย่วเผิง เห็นว่า พรรณนาบรรยายความหมายการเดินทางท่องเที่ยว ย่อมสมปรารถนาแต่ลืมคำพูดไว้    แต่ว่า “สิ่งของแบบนั้นผมรูสีกว่าทุกคนล้วนชื่นชอบ    เพราะว่าทุกคนล้วนมีแหล่งสถานที่ซึ่งไปได้ยากกว่า   ความหมายคือที่ใดไม่เคยไป  ที่นั่นจะรู้สึกตื่นเต้น


ขั้นตอนในการเดินทางท่องเที่ยวมีชีวิตเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง    ยึดถือระยะเวลาช่วงวัยกลางคนของการทำงาน    ย่อมคือหินหล่นขึ้นๆลงๆของบทความและขั้นตอนการออกเดินทางแบบไม่ขาดสาย    เคยเห็นและผ่านประสบการณ์วงการบันเทิงขึ้นๆลงๆมากต่อมากของ ซูโหย่วเผิง    แน่นอนไม่มียกเว้น    ขณะที่คุณดู ผ่านบทละครหลากหลาย    ถ่ายหนังผ่านมาหลายเรื่อง    มีงานทำอีกเมื่อมีงานมาหาถึงคุณ    คุณง่ายนักไหมจากงานในนั้นแบกหามขึ้นสะพานช่วงหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเคยเห็นเคยทดลองมาบ้าง    แต่ว่าผมเป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่ชอบทำเรื่องราวซ้ำๆซากๆ    เพราะฉะนั้นมาตรฐานของคุณยิ่งมายิ่งสูง    เพื่อปล่อยให้คุณเอ่ยถึงสิ่งของเร้าใจทั้งสิ้นยิ่งมายิ่งน้อย”    แต่จึงได้เป็นเช่นนี้    ซูโหย่วเผิงยังเต็มไปด้วยความหวังเช่นเดิม    “ผมทราบอุปนิสัยแบบนี้ของผมเพื่อให้ตัวเองลำบากมากๆ    แต่ผมหวังมาตลอดว่าสามารถมีสิ่งของยิ่งใหม่ยิ่งดีปรากฏขึ้น    จริงๆการรับรางวัลครั้งนี้    คุยเรื่องเกี่ยวกับผม    ก็เป็นของจุดเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด    ผมจะยกระดับขั้นที่ผ่านไปกล่าวคำว่าบ๋ายบ่าย (ลาก่อน)   หลังจากนั้นต่อมาต้องยิ่งเดินยิ่งดีอย่างแน่นอน”

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 12:51:48 PM »

To ;    ถึงแม้เป็นเรื่องธรรมดา    แต่ยังคงแสดงความยินดีต่อคุณก่อน    ยังมีเรื่องจะถามอารมณ์ทางใจของคุณหลังจากการได้รับรางวัล.....

ที่จริงผมไปร่วมงานดูพิธีมา    ทั้งหมดไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าตัวเองจะได้รับรางวัล    แม้กระทั่งกล่าวคำพูดอะไรขอบคุณที่ได้รับรางวัลล้วนไม่เคยนึกคิดมาก่อน    นี่ก็ได้ไปมาแล้ว

To ;    ยังจำได้ไหมว่าเป็น ไป๋เสี่ยวเหนียน ครั้งหลังสุดหนึ่งวัน ลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง?

ครั้งหลังสุดหนึ่งวัน ถ่ายคนนั่งรถเข้าไปในร้านขายเสื้อหนังสัตว์เพียงไม่กี่คน ในลานสนามนั้น    ต้องถ่ายหนังให้จบลงทันที    ทุกคนยังเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเข้าไปในลักษณะสภาพนั้น    ถนนข้างทางยังมีสุนัขกัดแทะศพอยู่(ทุกคนรอคอยความหวังอยู่)    ในใจผมคิดว่า บ๋ายบ่ายแล้ว    ไป๋เสี่ยวเหนียน    ก็ไม่ต้องถูกโกนคิ้วเรียวแล้ว”    แต่ว่าหนัง (เฟิงซิน)  ทั้งเรื่องล้วนเป็นไปด้วยแรงกดดัน    เพราะฉะนั้นไม่ว่านักแสดงจะมีหนังแสดงมากน้อยแค่ไหน    การขยายพลังกำลังฝีมือนักแสดงล้วนใหญ่โตมาก    ดังนั้นยังคงหวนรำลึกคิดถึงมาก

To ;    กลายเป็นบ้านเรือนชาย    ปกติชอบเดินเที่ยวเตร่ซื้อของบ้างไหม ?

อย่างอื่นไม่บ่อย    แต่ว่าซื้อเสื้อผ้าบ่อย    เพราะว่าสิ่งของเหล่านี้คือส่วนหนึ่งในการทำงานของผม    ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ    ในการดำรงชีพของผมที่จริงไม่ต้องการเสื้อผ้าเยอะขนาดนั้น    แต่ว่าไม่มีวิธีอื่นใด    จำนวนการซื้อสิ่งของได้เกินกว่าที่ผมต้องการอย่างแท้จริง

To ;    ชอบแหล่งสถานที่ใดในกรุงปักกิ่งมากที่สุด ?   

สวนหย่อมเฉาหยาง    ผมไปรำมวยไท่เก๊กที่นั่นบ่อยๆ
 
To ;    .....โกหก

ฮาๆ(เสียงหัวเราะ)    แหล่งสถานที่ที่ผมชื่นชอบจะบอกคุณได้อย่างไร    ถ้าหากบอกคุณจริงๆแล้ว ผมก็ไม่มีแหล่งสถานที่ไปแล้ว

To ;    การเดินทางท่องเที่ยวมีความหมายเกี่ยวกับคุณคือ?

ชอบมากเลย    แต่ว่ามีโอกาสน้อยมาก    เป้าหมายการท่องเที่ยวของผมคือต้องอาศัยเวลาช่วงสั้นช่วงยาวและจุดประสงค์ต้องแบ่งแยกออกมา    ก็ต้องมีเฉพาะบ้างเพื่อไปชื้อของแล้วไปท่องเที่ยวบ้าง    แบบของผมที่ชื่นชอบเทียบแล้วคือสามารถพักอาศัยอยู่ในเมืองเมืองหนึ่งโดยใช้เวลานานๆ    มีชีวิตดำรงอยู่หลายเดือน    การรับอารมณ์แบบนั้นจึงมีชีวิตแตกต่างกัน    ช่างน่าสนุกจัง    แต่ว่าโอกาสแบบนี้มีน้อยทีเดียว
                                                   





Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13271
    • ดูรายละเอียด
Re: 2010 Timeout Beijing
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2016, 12:46:27 PM »