ผู้เขียน หัวข้อ: 2008 Top Men  (อ่าน 5036 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
2008 Top Men
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 10:11:38 AM »
An Article from Top Men 2008 2nd edition


ซูโหย่วเผิงได้มีประสบการณ์ชีวิตเป็นดาราขวัญใจที่ดังมากๆและยังมีชีวิตที่ตกต่ำปราศจากเป้าหมาย ดังวันนี้ วัยที่เกิน 30 อย่างเขาได้เข้าใจเรื่องราวและมองโลกอย่างโปร่งใสถึงเรื่องราวมากมาย เริ่มที่จะมีท่าทีแสวงหาชีวิตที่ปล่อยไปตามกรรมวาสนาและความรู้สึกในจิตใจที่สมดุล ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือ ได้ช่วยเหลือผู้อื่นผ่านทางมูลนิธิ และได้เข้าใจถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตต่างๆผ่านการท่องเที่ยวทัศนาจร

พวกเรามองซูโหย่วเผินเป็น “ไกวๆหู่” มาตลอด แต่แล้ววันหนึ่งได้สังเกตเห็นเขาในทันใด ใบหน้าที่เหมือนเด็กอย่างเขานั้น ในเวลาชั่วขณะเดียวได้ไว้หนวดไว้คราวแล้ว ทุกคนล้วนคิดว่าเขาเป็นเด็กที่จริงจังมาก แต่ว่าพวกเราอาจจะไม่รู้ว่าเพื่อบทบาทหนึ่งของเขาแล้วเขาพร้อมที่จะแหกกฎจิตใจของเขา ทุกคนทราบว่าเขาร้องเพลงเก่ง แต่ว่าอาจจะไม่รู้ว่านักร้องที่เขาชื่นชอบที่สุดคือ Madonna and Jack JackSon หากเขาไม่ได้เข้าวงเสี่ยวหู่ตุ้ยแต่เด็ก เขาอาจจะไปตามความฝันของเขาเป็นนักแต่งเพลงไปแล้ว หรือว่าอาจมีคนน้อยมากทราบว่าในประเทศจีนมีโรงเรียนซีว่างซูโหย่วเผิง เขาได้เป็นทูตแห่งความรัก “โรงเรียนซีว่างแห่งแรกของจีน” จากมูลนิธิเยาวชนจีน มีคนอีกมากมายที่ยังไม่รู้ว่าซูโหย่วเผิงได้ร่วมงานการกุศลต่างๆอย่างไม่ขาดสาย

สัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง อยู่ร้านกาแฟในศูนย์กลางตลาดแห่งหนึ่ง เพราะคริสมาสใกล้เข้ามาแล้ว ร้านกาแฟก็ได้เปิดเพลง jingle Bells ซ้ำๆ ซูโหย่วเผิงได้พิงที่โซฟาพูดคุยอย่างสบายๆ พูดถึงหนังที่เขาดูแล้วสองครั้ง (ปาเบี๋ยถา) (ปาเบี๋ยถาปา) พูดถึงนิสัยที่หนักหน่วงของคน พูดถึงวัฒนธรรที่เขาชอบ พูดถึงความเชื่อและประสบการณ์มูลนิธิของเขา

เหตุที่เข้าสู่วงการเร็วและมีชื่อเสียงเร็ว ซูโหย่วเผิงได้สูญเสียรสชาติความสุขของความเป็นวัยเด็ก ฉะนั้นอายุ 21 ปีนั้นจึงเลือกตัดสินใจออกนอกประเทศ เอาตัวเองไปทิ้งที่อังกฤษ ในสภาพที่เป็นสามัญชนธรรมดาคนหนึ่ง “มองย้อนกลับไปดูประสบการณ์ในช่วงนั้น ก็คือเขาได้กระโดดจากขั่วหนึ่งไปยังอีกขั่วหนึ่ง ที่จริงเขาไม่ได้ไปอยู่จุดศูนย์กลางเลย “เขาในวันนี้ที่ผ่านแรมปี นิสัยนั้นได้ขาดสิ่งหนึ่งของราศีกันย์ แต่มีอารมณ์ขำขันของราศีอื่นเพิ่มเข้ามา เรียนรู้จักที่จะมองทุกอย่างอย่างสันติ ได้ไปตามความนึกคิดของจิตใจ


สำหรับความสุข นิยามของซูโหย่วเผิงนั้นง่ายๆ “ หากผมสามารถทำให้คนอื่นมีความสุข ผมก็มีความสุขแล้ว” อาจจะเพราะเหตุนี้เองที่เขาได้ทุ่มเทกับงานกุศลมูลนิธิอย่างมาก ในปีนี้โรงเรียนซีว่างที่ใช้ชื่อของเขานั้นได้มีพิธีเปิดไปแล้ว เขาเคยไปที่ "เจิ้นโจวเหอหนัน" ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคนในพื้นที่ ยิ่งกว่านั้นครูใหญ่ของโรงเรียนได้พูดกับเขาด้วยน้ำตา “ ขอบคุณคุณ พวกเราจะจดจำคุณตลอดไป” เขาในตอนนั้นลึกๆในใจสัมผัสได้ว่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำไปนั้น ได้มีอิทธิพลอย่างไรกับคนอื่นๆ


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Top Men
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 10:17:14 AM »

B=  ( หนังสือพิมพ์ไว้ทัน)

S=   ซูโหย่วเผิง

โรงเรียนซีว่างซูโหย่วเผิง

B=ได้ยินว่าคุณมีโรงเรียนซีว่างซูโหย่วเผิงแห่งหนึ่ง

S= ใช่ครับ พิธีเปิดปีนี้ได้ไปที่นั่นด้วย ที่จริงหมู่บ้านนั้นก็มีบ้านเพียงไม่กี่หลัง แต่ว่าวันนั้นคนที่อยู่ระแวกนั้นก็
มาร่วมด้วย มีลุงแก่คนหนึ่งได้แบกไข่หนึ่งตระกร้ามามอบให้กับผม ครูใหญ่พูดกับผมด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “ขอบคุณคุณ พวกเราจะจดจำคุณตลอดไป” ในตอนนั้นผมพึ่งรู้สักว่า สิ่งนี้ที่ผมได้ทำ สำหรับพวกเขาแล้วมีความหมายมากๆ



B= มีสิ่งใดที่หวั่นไหวสะเทือนใจต่อจิตใจของคุณ ทำให้คุณไปเชื่อและศัทธา?

S= ที่จริงผมนั้นถูกชะตากับพุทธศาสนามากๆ ผมศัทธาพุทธศาสนามานานหลายปี เคยไปที่อินเดีย ไปยังสถานศักดิ์สิทธิ์ มันอาจเป็นเพราะคนที่นั่นไม่ค่อยมีเงิน ฉะนั้นทั้งวัดวาอารามและโบราณสถานดูเหมือนธรรมดาเรียบๆ ไม่เหมือนกับได้เผยแพร่ออกไปที่จีน ญี่ปุ่นที่รุ่งเรืองที่นั่น อย่างไรก็ตามผมเองก็รู้สึกว่าสถานศักดิ์สิทธิ์ที่อินเดียนั้นยังพิเศษมากๆ มีลักษณะพิเศษอย่างสนามแม่เหล็ก จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศลักษณะพิเศษของความสันติ

B=  พระในดวงใจของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คุณมีความเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร?

S= หากพูดตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จะพูดได้ว่าคนเรานั้นมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ได้ผ่านวัฏจักรเวียนไหว้ตายเกิด กรรมในชาติก่อน พวกเราได้มาเกิดเป็นคน ครั้งเมื่อคลอดออกมาก็จะมีตัณหาของมนุษย์ และสัมผัสทั้งห้าของเราที่ได้รับรสของโลกนี้นั้นก็เป็นอย่างนี้ จากนั้นก็จะรู้สึกว่ามีเงินถึงจะมีตำแหน่ง จะต้องมีอำนาจถึงจะมีตำแหน่ง คุณก็จะถูกกิเลสตัณหาเหล่านี้ผูกมัด แต่หลักพุทธศาสนาจะสอนคุณว่า ที่จริงธาตุแท้ของมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นเช่นนี้ ขณะที่คุณกำลังแสวงหาสิ่งที่อนิจังนั้น มันอาจกระทำการผิดไว้บ้าง ทำร้ายคนบ้างคน จากนั้นก็ได้สร้างกรรมไว้ คุณก็จะถูกทรมานในวัฏจักร พุทธศาสนาจะสอนคุณว่าจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร จากจุดนี้ให้เราเห็นถึงธาตุแท้ของตัวเอง มันอาจพูดได้ว่ามันจะเป็นวิธีการสอนคุณจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง

B=  เป็นเพราะศัทธาในพระพุธท ฉะนั้นจึงมีความทุ่มเทในด้านการกุศลเป็นพิเศษ?

S=   ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็คือชอบทำนั่นแหละ ผมรู้สึกว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ แม้ว่าตามธรรมชาติแล้วความเป็นมนุษย์นั้นอาจมีจุดบกพร่องอีกหลายๆด้าน แต่ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ตัวเองรู้สึกมีความสุข สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เหมือนกันทุกคน อีกอย่างผมคิดว่านี่ก็เป็นของขวัญตอบแทนมั้ง ผมเข้าสู่วงการมานาน บางครั้งก็หวนกลับไปคิดถึงชะตาของตัวเอง เคยได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่นมามากมาย และเคยมีปราฏิหารเกิดขึ้นอีกด้วย ขณะที่ชีวิตตกต่ำนั้น สวรรค์ก็ไม่เคยให้เส้นทางชีวิตผมตัน ยกตัวอย่างว่าก่อนที่ผมจะได้ถ่ายหนังเรื่อง ( องค์หญิงกำมะลอ) (องค์หญิงกำมะลอ ภาค2) นั้น เป็นช่วงชีวิตที่สุดแย่ ในตอนนั้นไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร บวกกับภาวะปัญหาการเงินอีกด้วย ต่อมาสถานการณ์พลิกผัน ให้หนทางที่ไม่เลวกับผม ฉะนั้นตอนนี้หวนคิดถึงแล้วรู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าตราบใดที่ยังมีกำลังอยู่นั้น จะต้องทำเยอะหน่อย ขอเพียงแต่มีคนเชิญผมเท่านั้น ขอเพียงเป็นงานการกุศลผมพร้อมที่จะไปร่วมทำ


ชินกับชีวิตที่ต้องแบก ลูกศร(ธนู)

B=  ธรรมดาแล้วมักไปทัศนาจรบ่อยๆ ไปดูที่ต่างๆเปล่า?

S= ชอบท่องเที่ยวทัศนาจร อาจเป็นเพราะผมมีชื่อเสียงเร็วไปหน่อย หลายคนที่น่าจะมีชีวิตแห่งความสุขความสำราญในช่วงวัยแตกหนุ่มนั้นผมกลับไม่ได้ประสบมันเลย ฉะนั้นเมื่อถึงสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักแม้แต่คนเดียวนั้น สำหรับตัวเองแล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันจริงๆ

B=  ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักคุณนั้น คุณจะปล่อยตัวสบายๆและทำในสิ่งที่ธรรมดาทำไม่ได้ไหม?

S=   ก่อนหน้านี้ผมได้ยกตัวอย่างหนึ่งไปแล้ว หากว่าสายตาของคนเป็นดังลูกศรดอกหนึ่ง ผมก็จะรู้สึกว่าขณะที่ผมก้าวออกไป ตัวของผมนั้นก็จะเต็มไปด้วยลูกศร และเมื่อไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผม แรกๆก็มีความรู้สึกว่าจะโดนลูกศรเหมือนกัน แต่เมื่อตอนหลังรู้สึกว่าไม่มีลูกศร หลังจากนั้นก็จะค่อยๆความรู้สึกสบายๆขึ้นมา แต่ว่าปล่อยตัวปล่อยใจไปทำสิ่งที่ใจปราถนานั้นๆรู้สึกว่าไม่มี เพราะว่าตอนนี้ความแตกต่างมันไม่เยอะ ผมเองรู้สึกว่ามีความเป็นกันเองกับลูกศรเหล่านั้นแล้ว ฉะนั้นเมื่อไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผม มีไม่จำเป็นต้องไปปลดปล่อยอะไรอย่างนั้น

B=  มีสถานที่ที่อยากจะไปเป็นพิเศษหรือเปล่า?

S=   อยากไปเดินเที่ยวที่อังกฤษ ผมประทับใจกับประเทศอังกฤษมาตลอด นั่นเป็นสถานที่ที่อนุรักษ์ที่สุด ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก จากนั้นอยากไปเนปาล ไปเนปาลไปซื้อพระ

B=  ตอนนั้นได้ไปเรียนที่อังกฤษพักอยู่ที่เมืองไหน?

S=   พักอยู่ที่เมืองลอนดอน อยู่ถัดไปจากวอบูเนียดอนอีกสถานี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แข่งเทนนิสพอดี ผมเองก็ชื่นชอบเทนนิสมากๆ แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าจะซื้อตั๋วเข้าชมอย่างไร ตอนนั้นประมาณ 21 ปี ผมได้ทิ้งตัวเองคนเดียวไว้ที่นั่น ตอนนี้หวนคิดช่วงเวลาตอนนั้นก็ยังน่าสนุก

B=  ในช่วงเวลานั้นเป็นตัวตนแท้จริงของตัวเองหรือเปล่า?

S=  ผมรู้สึกว่าหลายครั้งการมองชีวิตของเราในช่วงนั้น กับเมื่อเวลาผ่านไปแล้วค่อยมองนั้น สิ่งที่เราได้รู้นั้นมันแตกต่างกัน หากว่าตามความคิดของผมในตอนนี้แล้ว หันกลับไปมองประสบการณ์ในช่วงนั้น มันก็เป็นเหมือนจากขอบหนึ่งกระโดดไปอีกขอบหนึ่ง ที่จริงมันไม่ได้อยู่จุดศูนย์กลาง สำหรับตัวเองแล้ว ผมแสวงหาความสมดูลย์ความเป็นสายกลางมาตลอด ต้องค่อยๆนะ

B=  อังกฤษกับเนปาลนั้นเหมือนกับว่าเป็นประเทศที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่หรือเปล่าที่แค่อยากให้พ้นจากที่เดิมก็พอแล้ว?

S=  ที่จริงแล้วไม่มีการกำหนดตายตัวอะไร การไปทัศนาจรนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงสภาพปัจจุบัน ใจจริงคืออยากไปเปิดหูเปิดตาหน่อย ไปที่ที่ไม่เหมือนกัน ก็จะทำให้รู้สึกว่าคนเรานั้นน่าสนใจมาก เชื้อชาติที่ต่างกัน ตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ต่างกันนั้นได้คิดค้นวิถีชีวิตของตัวเองขึ้นมาใช้ อาหารการกิน เสื้อผ้าการแต่งตัวนั้นได้ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น ได้สร้างวิถีแต่ละอย่างไม่เหมือนกันขึ้น ขณะที่ผมได้ออกไปทัศนาจรต่างถิ่นนั้นจะใส่ใจในเรื่องของวัฒนธรรม วิถีชีวิตของพวกเขา

B=  ธรรมชาติมีอิทธิพลต่อคุณมากกว่า หรือสังคมมนุษย์อันไหนมากกว่ากัน?

S=  ผมรู้สึกว่าผมห่วงใยในตัวคนมากกว่า แม้ว่าจะเคยไปดูน้ำตกที่สวยที่สุดในแคนนาดามาแล้ว ได้ดูทิวทัศน์ที่ทิเบตมาแล้วก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ผมสะท้อนใจบ่อยๆนั้น ก็ยังเป็นเรื่องราวของคนเรา ก็เหมือนกับ (เพลง blog) เพราะว่าเป็นหนังร้อยปี แต่พระเอกในหนังนั้นแสดงจากเด็กจนโต ก็เป็นเหมือนกับการยืมเอาทั้งชีวิตของพระเอกมาสะท้อนถึงระยะเวลาร้อยปี ดูประเภทที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้นั้น มักจะทำให้อารมณ์ผมสะเทือน


“การปล่อยชีวิตตามธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” (ตามเวรตามกรรม)

B=  ราศีมีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากขนาดไหน?

S=  ผมรู้สึกว่าราศีของคนนั้นช่วยให้ผมเข้าใจคนอื่น ช่วยผมแยกแยะบทบาท ตอนนี้บางครั้งได้รับบทละคร การแนะนำในตัวบุคคลนั้นก็จะแนะนำราศีด้วย

B=  ฉลากประเภทนี้ หากคุณมีความรู้ด้านราศี มันสามารถช่วยให้คุณกลั่นลูกตัวอ่อนออกมา

S=  ผมรู้สึกว่าอุปนิสัยตอนเด็กนั้นล้วนเป็นราศีกันย์ แสวงหาความครบบริบูรณ์ แต่ว่าหลังจาก 30 ไปแล้ว ถูกราศีกุมภ์มาบดบัง ผมก็กลายเป็นคนอะไรก็ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็คิดว่าอภัยให้อภัยตัวเอง อภัยให้คนอื่นเป็นวิธีหนึ่งที่ไม่เลว

B=  เรื่องอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง?

S=  ผมรู้สึกว่าผมมีอารมณ์ขำขันตลกกว่าเมื่อก่อน ตามทฤษฏีนั้นราศีกันย์นั้นเป็นพวกไม่สุกเอาเผากัน ตอนนี้ได้รับอิทธิพลจากราศีกุมภ์ ผมก็จะมีทางด้านตลกนิดๆ มีมุมมองแห่งการให้อภัยต่อคนอื่น

B=  ตอนนี้ท่าทีของชีวิตนั้นเป็นอย่างไร?

S=  ผมคิดว่าปล่อยไปตามธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ก็เหมือนกับจีนในปัจจุบันที่กำกับพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สำหรับคนมากมายแล้ว ความใฝ่ฝันในอดีตที่ไม่เป็นไปไม่ได้นั้น ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าแล้ว หลายคนรีบที่จะฉวยโอกาสเหล่านี้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือเงินทอง ผมรู้สึกว่าหลายครั้งคนมักจะเปลี่ยนไปเป็นคนอารมณ์ร้อนไป หรือเปลี่ยนไปเป็นคนที่กระหายหาแต่ความสำเร็จ  แต่ส่วนตัวเองนั้นจะรู้สึกว่า การมีชีวิตที่สุภาพอ่อนโยนนั้นดีที่สุด

B=  นั่นก็หมายความว่าคุณก็จะไม่ค่อยไปสนใจกับสภาพแวดล้อมรอบข้างคุณที่มีผลกระทบต่อคุณ?

S=  สำหรับตัวเองแล้ว การประสบความสำเร็จหรือจุดสุดยอดนั้นผมเองก็เคยประสบผ่านมาบ้างแล้ว ฉะนั้นวันนี้ที่จะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้นั้น ตัวเองก็คงไม่ดิ้นรนมัน หรือว่าจะเอาให้ได้อย่างนั้น ฉะนั้นท่าที่ชีวิตของผมนั้นเป็นแบบปล่อยไปตามธรรมชาติ ง่ายๆหน่อย

B= ในชีวิตนั้น คุณได้ทุ่มค่าใช้จ่ายด้านไหนมากที่สุด?

S=  สำหรับวัตถุนั้นตัวเองไม่เรียกร้องเกินไป ตอนนี้เงินที่ต้องทุ่มให้มากที่สุดก็คือชุดเสื้อผ้า เหตุเพราะเกี่ยวข้องกับการงาน หลายครั้งจำเป็นต้องใช้เสื้อผ้าหลายชุด นอกเหนือจากนี้ ผมไม่มีอะไรที่จะต้องไปทุ่มเงินอีก ผมมักชอบแสวงหาสิ่งที่อยู่ในใจมากกว่า  เช่น หากมีเวลาก็จะไปดูละครเวที ผมต้องการความสมดูลย์ทั้งกายใจ หรือว่าแสวงหาความสงบของจิตใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมสนใจมากกว่า




Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Top Men
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2016, 09:26:14 AM »









Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Top Men
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2016, 09:30:40 AM »









Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Top Men
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2016, 09:36:57 AM »


















Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Top Men
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2016, 09:38:17 AM »