ALL About Alec SU YOU PENG | รวบรวมผลงานของ ซูโหย่วเผิง > Directorial

[2017.03.31] [เฟยฉางเต้า] ผู้กำกับชาวราศีกันย์ ซูโหย่วเผิง ไขปริศนา

(1/2) > >>

Alec Love Me:
ซูโหย่วเผิง: เหนื่อยแต่ก็มีความสุข    “เมื่อเราซื่อสัตย์ต่อตนเอง ภาพยนตร์ก็จะออกมาในแบบที่คุณเป็น”
(ฉินหว่าน :สัมภาษณ์)

หลังจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear”ได้เสร็จสิ้นไปซูโหย่วเผิงกับบริษัท Beijing Enlight Media Co., Ltd. ก็มีสัญญากำกับภาพยนตร์กันอีก 1 เรื่อง ด้วยปัจจัยหลายๆด้านทำให้เขาเลือกสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X” ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับผลงานภาพยนตร์จากงานประพันธ์ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะเวอร์ชั่นประเทศจีนคนแรกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่า  ใครๆต่างก็รู้   ว่าชื่อเสียงของคุณฮิงาชิโนะเคโงะเนี่ย โด่งดังมากแค่ไหน แถมยังมีภาพยนตร์ที่ถูกสร้างเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเวอร์ชั่นเกาหลีมาก่อนแล้วด้วย ซึ่งสำหรับผู้กำกับหน้าใหม่อย่างซูโหย่วเผิงแล้วนี่นับได้ว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยทีเดียว ซึ่งเขาพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนๆว่า  “ผมรู้ว่าพวกเขาจะต้องเตรียม “ลับมีด” ไว้รอจับผิดผมอยู่แน่ๆ” 

เพื่อเผชิญหน้ากับ “การจ้องจับผิด” ที่กำลังมาถึง พลังแห่งกลุ่มดาวหญิงสาว (ราศีกันย์) ของเขาก็ปะทุออกมา เขาต้องการให้จางหลู่ยีเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นตามระยะเวลาที่เขากำหนด และต้องการให้หวังข่ายที่แม้แต่ช่วงซักซ้อมการแสดงถึงจะเป็นแค่การขยับลูกกะตาเพียงเล็กน้อย ก็ห้ามโดยเด็ดขาด หรือแม้แต่เพื่อนที่สนิทสนมกันมานานหลายปีที่ขนาดพึ่งตั้งครรภ์ไปแต่ก็ยังมาช่วยแสดงให้อย่างหลินซินหยู  ก็ยังถูกเขาสั่งให้เอาใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละซึ่งในระหว่างการถ่ายทำ เขาได้วัดพละกำลังกันกับเพื่อนร่วมงานของเขา ถ้าหากยังทำได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการล่ะก็  ก็ไม่ต้องหยุดพักกันล่ะ!ซึ่งในที่สุด“The Devotion of Suspect X”เวอร์ชั่นนี้ ก็เป็นที่ยอมรับของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ จนได้

เมื่อย้อนกลับไปมองประสบการณ์การเข้าสู่วงการของซูโหย่วเผิงก็นับว่าเป็นแบบอย่างของศิลปินหน้าใหม่ในตอนนี้จริงๆ เขาเคยถอดภาพลักษณ์ของหนุ่มโอปป้าออก แล้วลองพลิกบทบาทการแสดงครั้งยิ่งใหญ่จนสามารถคว้ารางวัลช่อดอกไม้(Hundred Flowers Awards)ไปได้ กับบทบาท “ไป๋เสี่ยวเหนียน” จากภาพยนตร์เรื่อง  “The Message”ที่ทำให้ฝีมือการแสดงของเขาได้รับการการันตีและจากกระแสในตอนนี้ เขายังกลายเป็น “ผู้กำกับการแสดง” ในเครือคนแรกที่บริษัทกวงเสี้ยน(EnlightPictures)เป็นผู้ปลุกปั้นออกมา นับเป็นช่องทางเกิดที่ไม่เหมือนกับผู้กำกับหน้าใหม่กลุ่มอื่นๆเลยจริงๆส่วนเรื่องของระดับความทุ่มเทที่มีให้กับผลงานของเขานั้นเรียกได้เลยว่า “ไร้เทียมทาน”

นี่เป็นครั้งที่สองกับการมาเยือนรายการเฟยฉางเต้า (ent.ifeng.com/fcd) ของซูโหย่วเผิงและถือเป็นการประกาศผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขาไปด้วยในตัว กับเส้นทางการเป็นผู้กำกับ เขาได้เปลี่ยนวิถี “ค่อยเป็นค่อยไป” มาเป็นมีความมั่นใจในการเป็นผู้กำกับมากยิ่งขึ้น ถึงแม้เส้นทางการเดินสู่การเป็นผู้กำกับนั้นจะเป็นอะไรที่น่าปวดหัว แต่เขาก็รู้สึกว่า ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข

ดังนั้น หลังจากผลงานภาพยนตร์“The Devotion of Suspect X” เสร็จสิ้นลง เขาก็มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าบนเส้นทางของการเป็นผู้กำกับต่อไป

Alec Love Me:
ต่อไปนี้เป็นบันทึกบทสัมภาษณ์ของซูโหย่วเผิง...

รายการเฟยฉางเต้า:ในงานแถลงข่าวทุกครั้งดิฉันก็ได้อยู่ที่นั่นด้วยค่ะเห็นว่าทุกๆคนต่างก็พากันเม้าท์ว่าคุณเป็นพวกบ้าพลังตามสไตล์ของคนที่เกิดในกลุ่มดาวหญิงสาว (ราศีกันย์) ซึ่งในชีวิตจริงของคุณก็คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกใช่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ครับ มันเป็นแค่เฉพาะในการทำงานเท่านั้นซึ่งในชีวิตจริงตัวผมเองก็อายุมาจนถึงป่านนี้ ถ้าแบบไหนสบายกว่าก็เอาแบบนั้นครับ กับเพื่อนๆก็ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร ไม่ต้องแบกรับภาระอะไรด้วยแบบนี้ถ้ายิ่งเป็นธรรมชาติยิ่งสบายเท่าไหร่ก็ยิ่งดีแต่เป็นเพราะบทบาทในการทำงานที่ผมรับอยู่ตอนนี้เป็นบทบาทของการเป็นผู้กำกับ ซึ่งสำหรับผมแล้ว วิถีการปฏิบัติต่อการทำงานกับเรื่องของชีวิตจริง ผมว่ามันเป็นคนละเรื่องกันครับ

รายการเฟยฉางเต้า:คุณเป็นคนที่ค่อนข้างจะกดดันตัวเองมากว่า หรือว่าค่อนข้างจะกดดันคนอื่นๆมากกว่ากันคะ?

ซูโหย่วเผิง:แต่ไหนแต่ไรมาผมก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างกดดันตัวเองอย่างหนักนะครับ หลังจากที่ผมโตขึ้นผมก็จะไม่ค่อยกดดันคนรอบข้างซักเท่าไหร่แต่ว่าในส่วนของการทำงานเนี่ย เนื่องจากผมรับหน้าที่เป็นผู้กำกับ เพราะฉะนั้นผมก็จะต้องรับผิดชอบกับผลงาน หลังจากที่รับผิดชอบต่อผลงานแล้วก็ยังจะต้องรับผิดชอบต่อผู้ชมด้วยครับดังนั้นผมจึงทำได้แค่ไม่หยุดที่จะมองให้เห็นถึงปัญหาและพยายามหาคำตอบให้กับมันซะ

รายการเฟยฉางเต้า:พวกเราจำได้ว่าคุณมีสัญญาทำภาพยนตร์กับบริษัทกวงเสี้ยน  (Enlight Pictures)ถึง 2 เรื่อง...

ซูโหย่วเผิง:แหม...คุณจำแม่นจังนะรับ^^

รายการเฟยฉางเต้า:ตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องที่ 2อยู่คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลือกช้อยส์ที่ยากที่สุดให้กับตัวเองอยู่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ผมเชื่อว่าต่อไปจะต้องมีช้อยส์ที่ยากกว่านี้อีกแน่ๆครับ แนวภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าเป็นแนวที่ยากที่สุดเสียทีเดียวหรอกนะ แต่เป็นแค่เพราะระดับความสามารถของผมหลังจากที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” จบ มันยังจำเป็นที่จะต้องออกแรงแหวกว่ายมากๆจริงๆถึงจะทำให้ไม่ต้องจมลงไปในน้ำได้ ถ้าเป็นเรื่องของการเลือกแนวภาพยนตร์ที่จะถ่ายทำ...ปกติแล้ว สำหรับผู้กำกับรุ่นใหญ่ๆ เวลาที่พวกเขากำลังถ่ายทำแผนงานที่อยู่ในมือเวลานั้นทีมงานของพวกเขาก็อาจจะเตรียมแผน 2 3 4 5 รอไว้อยู่แล้วก็ได้ถึงเวลาก็ดูเอาว่าแผนไหนพร้อมที่สุด พอถ่ายทำเสร็จเสร็จก็อาจจะนำแผนต่อไปออกมาถ่ายต่อเลยก็ได้

แต่ตัวผมยังถือว่าเป็นแค่น้องใหม่ คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้มีความคิดที่จะปักหลักไปเลยว่า“จะต้องก้าวเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ให้ได้”  อะไรขนาดนั้น เพราะฉะนั้น หลังจากที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” เสร็จ ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี ไม่ได้มีการเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า คนรอบข้างผมก็เลยช่วยกันคิดในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าคุณได้ติดตามการให้สัมภาษณ์ครั้งที่แล้วของผมก็จะรู้ว่า กับอะไรที่มันง่ายๆหรือซ้ำซากจนเกินไปผมก็จะรู้สึกเบื่อ ด้วยนิสัยที่แอบป่าเถื่อนนี้ของผม ก็เลยนำไปสู่การทำอะไรที่มักจะเลยขีดจำกัดของตัวเองขึ้นมานิดนึงซึ่งบางครั้งก็คิดว่ามันไม่สมควรแฮะและบางทีก็ทำออกมาได้ไม่ดีนัก แต่ว่า...ถ้าความท้าทายนี้มันทำสำเร็จขึ้นมาล่ะ งั้นเราก็จะสามารถทำในสิ่งที่ล้ำหน้าขีดจำกัดของตัวเองได้จริงๆน่ะสิ!

เวลาที่ผมดูหนังผมเองก็ค่อนข้างจะเลือกนะครับ ผมมีความใฝ่ฝันที่จะได้ดูหนังที่มีความลึกซึ้ง มีจุดให้ได้วิเคราะห์ดูมีรสชาติไม่ใช่แค่เข้าไปในโรงหนัง ไปหัวเราะก๊ากๆๆหรือร้องไห้ดราม่า เสร็จแล้วพอเดินออกจากโรงหนังมาก็ลืมหมดละ ผมหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ของพวกเราจะต้องออกมามีรสชาติ มีความเป็นศิลปะ มีความลึกซึ้ง ซึ่งหนังแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทุกๆคนนะจำนวนผู้ชมในกลุ่มเป้าหมายก็คงจะค่อนข้างจะมีจำกัดเหมือนกัน...

และเพื่อให้ไม่เป็นการทำผิดต่อฝ่ายผู้ลงทุน ผมคิดว่าตัวเองก็ไม่ควรที่จะเห็นแก่ตัวมัวคิดถึงแต่ความชอบส่วนตัวในการทำผลงานภาพยนตร์มากจนเกินไปถ้าเอาแต่ทำตามใจตัวเอง แบบนี้ยอดจำหน่ายตั๋วจะต้องไม่สูงแน่ๆ และถ้าผมยังคงดึงดันที่จะทำแบบนั้นอยู่ สุดท้ายก็จะไม่มีใครไปดู หัวหน้าก็ร้องไห้ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆผมเลยหวังว่าในส่วนของเนื้อเรื่อง นอกจากจะมีสิ่งที่ผมชอบอยู่ในนั้นแล้ว ก็ยังจะต้องคำนึงถึงด้านธุรกิจด้วย เพราะฉะนั้น ในส่วนของลีลาการถ่ายทำ ผมก็จะพยายามให้มันออกมามีความเป็นศิลปะ แต่ก็ไม่กระทบกับอารมณ์สุนทรีย์ของผู้ชมด้วยเช่นกัน ทำให้มันออกมาตรงกับความต้องการของตลาด และในขณะเดียวกันก็ต้องมีเรื่องราวที่สนุกสนานด้วยครับ

Alec Love Me:
รายการเฟยฉางเต้า:ตอนแรกที่ได้ยินว่า คุณจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“The Devotion of Suspect X”  ดิฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอเป็นพิเศษ ถึงแม้หลายๆคนจะพูดว่างานเขียนชิ้นนั้นเป็นดั่งอัญมณีอันล้ำค่าที่วางอยู่ตรงหน้าเลยนะ แต่คุณเองก็ยังเลือกที่จะลองท้าทายดูซึ่งจริงๆแล้วดิฉันก็อยากจะรอดูผลงานในเวอร์ชั่นประเทศจีนมากๆเลยนะคะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ดัดแปลงเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือจะเป็นทางด้านของนักแสดงที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี...

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่านักแสดงของเราตอนนี้นับเป็นการคัดสรรและเลือกเฟ้นที่สุดยอดที่สุดในใจผมเลยนะครับ พวกเขาทั้งสองมีคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ มีบางครั้งที่จู่ๆผมก็หันไปโฟกัสที่การสร้างสรรค์คุณค่าเชิงวรรณคดีซึ่งผมก็จะโฟกัสไปแค่ตรงส่วนนั้นจริงๆ ผมมักจะมองข้ามเรื่องของเชิงธุรกิจหรือเรื่องของการตลาดไปบ่อยๆ เพราะเรื่องของการทำการตลาดถือว่าเป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งซึ่งตัวผมก็ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก ก็เลยไม่ค่อยไปยุ่งกับมันมาก   

ดังนั้น การที่ผมเลือกเฟ้นนักแสดงมาก็หวังว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีทักษะการแอคติ้งที่ยอดเยี่ยม เพราะตอนที่ผมเป็นผู้ชม เมื่อเดินเข้าไปในโรงหนังแล้วได้เจอหนังดีๆพร้อมกับการแสดงที่ยอดเยี่ยม ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะมาเป็นอันดับต้นๆนะส่วนอื่นๆอย่างเช่นเทคนิคการตัดต่อหรือบรรยากาศในการถ่ายทำ ผมคิดว่าคงจะมาเป็นอันดับหลังๆ ก่อนอื่นเลย ผมต้องการจะเป็นผู้กำกับที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ และในส่วนของนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อให้เห็นถึงความเข้มข้นของภาพยนตร์ หรือจะเป็นการดึงดูดให้ผู้ชมตามเข้าไปอยู่ในเรื่องราวและโลกของความคิดของตัวละครนั้นๆก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ซึ่งตัวผมก็มักจะพิจารณาอยู่กับแค่ส่วนนี้บ่อยๆเลยเหมือนกัน

หัวหน้าของผมมักจะเตือนผมอยู่บ่อยๆว่า ยังไงก็ตาม จะต้องคำนึงถึงเรื่องเชิงธุรกิจด้วยนะ เพราะพวกเขาค่อยๆดึงผมกลับมา ผมเลยสามารถทำให้ทั้งสองส่วนออกมาบาลานซ์ได้ ก็คือว่า พวกเราจะเน้นทั้งสองอย่าง ทำให้นักแสดงที่ตรงกับความต้องการแบบนี้จึงพบเจอได้น้อยมากจริงๆ อัจฉริยะขั้นเทพทั้งสองคน คุณจะต้องมีแววตาที่ชาญฉลาด รวมไปถึงช่วงอายุของพวกเขาด้วย ซึ่งจริงๆแล้วเนื้อเรื่องในนิยายได้กำหนดอายุของตัวละครให้แก่กว่าหน่อย แบบนั้นก็กลายเป็นว่า เนื้อเรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องราวของผู้ชายวัยกลางคนแต่ในเมื่อพวกเขาเป็นถึงอัจฉริยะขั้นเทพ ผมเลยคิดว่าถ้าให้พวกเขาอายุประมาณ 40 ล่ะก็  ก็คงจะไม่สนุกแล้วแหละ ผมก็เลยเซตให้อายุของตัวละครน้อยลงมานิดนึงซึ่งผมคิดว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับตัวภาพยนตร์นักหรอก  ด้วยช่วงอายุประมาณนี้ และยังจะต้องมีทักษะการแสดงที่เก่งมากๆอีก พวกเขาทั้งสองจะต้องถ่ายทอดบทบาทการปะทะกันของวีรบุรุษทั้งสอง และยังจะต้องเป็นผู้ที่มีคาแรคเตอร์แรงดึงดูดต่อตลาดด้วย จริงๆแล้วช้อยส์แบบนี้มีคนที่ตอบโจทย์ให้พวกเราเลือกไม่มากเลยเพราะฉะนั้นพวกเราเลยรู้สึกโชคดีมากจริงๆที่เชิญนักแสดงเหล่านี้มาได้สำเร็จ

รายการเฟยฉางเต้า:การที่ซินหยูเข้ามาร่วมแสดง เหตุผลหลักๆเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเพื่อนใช่ไหมคะ ก็เลยเข้ามาช่วยแสดงให้?
ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่าหลักๆน่าจะใช่นะครับ เพราะพวกเราถ่ายทำกันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งพวกเราต่างก็รู้ดีว่า เมื่อปีที่แล้วเธอเพิ่งได้รับข่าวดีที่สุดของการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พวกเราสองคนถึงแม้จะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนในสมัยสงครามปฏิวัติด้วยกันความสนิทสนมของพวกเรายังคงอยู่ ไม่ว่าเวลาไหนๆขอเพียงแค่บอกมาว่าต้องการสิ่งใด ถึงแม้เราจะไม่ได้ติดต่อกัน ไม่ได้พูดอะไรกันมาก แต่ก็อาจจะออกมาช่วยเหลือกันทันที อย่างแรกเลย ซินหยูเป็นคนที่เมาะสมกับคารแรคเตอร์นี้มากๆ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะเลือกตกลงร่วมแสดงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของเธอ ผมไม่สามารถเข้าไปแซกแซงอะไรได้

มีบางครั้งที่ผมลองคิดย้อนกลับไปดู ถ้าผมเป็นหลินซินหยู ช่วงที่สุขสบายดีขนาดนี้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาแสดงเลยจริงๆนะอีกอย่าง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ บทบาทของ “เฉินจิ้ง” ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องและจุดพลิกผันของเรื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งฉากที่ต้องแสดงของบทนี้ก็เยอะมากๆ ถึงมันจะไม่ใช่บทที่ต้องเล่นเยอะที่สุด แต่ก็เป็นบทที่เล่นยากมากๆ เพราะคาแรคเตอร์ของสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังของผู้หญิงมันจะค่อนข้างซับซ้อน แถมยังเป็นบทที่คบคนทีไรก็เลือกไม่ดีชอบโดนรังแกอยู่ตลอด เป็นผู้หญิงที่เลือกผู้ชายทีไรก็มักจะเลือกผิดเสมอ เป็นผู้หญิงที่ลำบากแทบทั้งชีวิต ซึ่ง...ในช่วงเวลาของชีวิตจริงที่มีความสุขมากขนาดนี้ จะลงไปรับบทที่ชีวิตขื่นขมระทมใจไปทำไมกัน?เรื่องนี้ถือว่าเป็นบทที่ลำบากมากจริงๆบทหนึ่ง ซึ่งผมต้องขอขอบคุณในความมีสัจจะของเธอมากๆ ที่ตกลงช่วยแสดงบทนี้ให้

รายการเฟยฉางเต้า:ขณะที่ถ่ายทำอยู่คุณได้ปกป้องเธอซักหน่อยไหมคะ? เพราะมีฉากประเภทที่ต้องทุบกระจกให้แตกอะไรแบบนี้ด้วย...
ซูโหย่วเผิง:ทุกๆคนต่างก็ต้องได้รับการปกป้องทั้งนั้นครับ ไม่ใช่แค่หลินซินหยูคนเดียวที่ผมจะต้องปกป้องเธอ ทุกๆคนต่างก็เป็นคนที่ผมรักกันทั้งหมด

รายการเฟยฉางเต้า:ผู้ประพันธ์เดิมได้สื่อถึงเรื่องการทุ่มเทในรัก รวมถึงเรื่องของการประลองความรู้ทางหลักกฎหมายด้วย...

ซูโหย่วเผิง:ใช่ครับ สิ่งที่ผู้ประพันธ์เดิมได้ยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์นั้นมีอยู่ค่อนข้างเยอะทีเดียว

รายการเฟยฉางเต้า:หัวห้อหลักๆของการปรับ-เรียบเรียงเนื้อหาภาพยนตร์ในครั้งนี้ คือหัวข้ออะไรคะ?
ซูโหย่วเผิง:อืม...ทุกๆหัวข้อล้วนอยู่ในภาพยนตร์ทั้งหมดเลยครับ

รายการเฟยฉางเต้า:จริงๆแล้วคุณค่าเชิงวรรณคดีของตัวผู้ประพันธ์เดิมเองค่อนข้างจะมีความขัดแย้งกันอยู่นิดหน่อยเพราะบทบาทของฉือเฉินกับวิธีการช่วยเหลือแม่ลูกทั้งสอง...

ซูโหย่วเผิง:เขาเป็นคนที่มีเจตนารมณ์สูงส่งมากนะครับ แต่ว่าทักษะและวิธีการของเขาอาจจะดูขัดๆกันหน่อย

รายการเฟยฉางเต้า:ทุกคนถึงขนาดรู้สึกได้เลยว่า การกระทำกับแม่ลูกคู่นี้ในตอนนั้น อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการ “ปกป้องมากจนเกินเหตุ” เขาไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีนี้มาปกป้องพวกเธอเลยมันค่อนข้างมีความขัดแย้งในคุณค่าเชิงวรรณคดีนะคะ

ซูโหย่วเผิง:จริงๆแล้วท่าทีที่ผู้กำกับมีต่อเรื่องราวทั้งหมดหรือที่มีต่อกรณีนี้เนี่ย ผมได้ใส่คำตอบลงไปในภาพยนตร์หมดแล้วครับ ถ้าหากตั้งใจดูกันล่ะก็ จะเห็นว่าท่าทีของผู้กำกับที่มีต่อเรื่องนั้นๆได้ถูกใส่ลงไปในภาพยนตร์ด้วย เพราะว่าในหนังเรื่องหนึ่งเนี่ยถ้าหากผู้กำกับจะจู้จี้ขนาดนั้น ชอบพูดขนาดนี้ งั้นทุกคนก็คงไม่ต้องไปดูหนังกันแล้วล่ะเพราะผมได้เอาสิ่งที่เป็นความสนุกสนานของผู้ชมมาสปอยจนหมดแล้ว...ซึ่งผมคิดว่าถ้าผมเป็นผู้ชม ผมคงจะโกรธผู้กำกับแบบนี้เอามากๆเลยล่ะ

Alec Love Me:
รายการเฟยฉางเต้า:ดิฉันได้เห็นเวลาที่คุณกำลังถ่ายทำ และจะขอพูดถึงเนื้อหาที่อยู่ในนิยายด้วยนะคะซึ่งในเนื้อเรื่องของนิยายต้นฉบับเนี่ยมันจะมีสภาพการณ์บางอย่างที่เมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้วก็ดูค่อนข้างล้าหลังหรือล้าสมัยไปบ้าง อย่างเช่น พวกเขายังคงใช้โทรศัพท์สาธารณะกันอยู่อะไรแบบนี้  แต่สุดท้ายคุณก็เหมือนจะยังเลือกใช้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ดี...

ซูโหย่วเผิง:ถูกต้องครับจริงๆแล้วพวกเราได้วิจัยในเรื่องนี้กันเป็นพิเศษเลยนะครับ เรื่องนี้เราน่าจะทำกันถูกต้องแล้วนะ พวกเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญของทางตำรวจมา และยังมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายอีก ครั้งนี้ในภาพยนตร์ของพวกเราได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาเยอะมากเป็นพิเศษ เรามีผู้เชี่ยวชาญทางด้านฟิสิกส์ผู้เชี่ยวชาญของทางตำรวจ ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ซึ่งในทุกๆส่วน พวกเราล้วนจริงจังกับมันเป็นพิเศษ เพราะผมรู้ดีว่า บรรดาหนอนหนังสือและแฟนคลับแต่ละคนเมื่อรู้ข่าวว่าผมจะทำภาพยนตร์แนวนี้ พวกเขาก็เตรียมลับมีดรอไว้อยู่แล้ว เตรียมที่จะคอยจับผิดผมอยู่ตลอดเวลาผมก็เลยพยายามขอร้องให้ในทุกๆรายละเอียดล้วนทำออกมาได้อย่างถูกต้องทั้งหมดน่ะครับ

อย่างเรื่องโทรศัพท์ของนิยายต้นฉบับที่คุณพูดถึงเมื่อสักครู่ ผมคิดว่ามันเป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญมาก มีบางอย่างที่เราเข้าไปขยับปรับเปลี่ยนมันมากเกินไปไม่ได้ ผมคิดว่าเรายังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องความสมเหตุสมผลก่อนดีกว่า บางทีสิ่งที่คุณพูดอาจจะสมเหตุสมผลมากกว่าก็เป็นได้ แต่ถ้าเราหันมามองในจุดของผู้อ่านประเภทที่ยึดข้อมูลที่มาก่อนเป็นหลักเสมอนะ ถ้าเราไปขยับปรับเปลี่ยนอะไรทีนึงพวกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยคิดว่า ถ้าตรงไหนที่สามารถไม่ต้องไปขยับมันได้ เราก็จะพยายามไม่ไปขยับมัน ยกเว้นว่ามันจะเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่มากจริงๆ อย่างเช่น เนื้อหาในนิยายต้นฉบับที่ได้เขียนถึงเรื่องจักรยานหาย ซึ่งในนิยายได้เน้นมากๆเลยว่าเขาอุตส่าห์ตั้งใจสรรหาจักรยานที่ใหม่เป็นพิเศษมาพอมันหาย เขาก็เลยไปแจ้งตำรวจแถมยังพากำลังตำรวจเข้าไปล้อมอยู่ในเส้นทางอุโมงค์ของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีนั้นสถานีนี้ ซึ่งเส้นทางภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นเส้นทางอุโมงค์ที่ซับซ้อนมากอะไรประมาณนี้น่ะครับ ซึ่งในตอนนั้นพวกเราก็ได้เข้าไปปรับแก้ในจุดนี้ด้วย ซึ่งทางฝ่ายร่างบทภาพยนตร์ได้บอกกับผมว่า ถ้าเป็นจักรยานที่ดีเป็นพิเศษในจีนเลยเนี่ย ก็คงจะไม่มีใครเอามาจอดทิ้งไว้ข้างถนนหรอกไหม?แถมไม่ค่อยจะเห็นใครที่ออกมาซื้อจักรยานใหม่ๆเจ๋งๆเป็นพิเศษแบบนี้กันบ่อยนักซึ่งถ้าคุณซื้อจักรยานแบบนั้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่กล้าเอาไปจอดรวมกับจักรยานของคนอื่นอีกอยู่ดีเพราะถ้าคุณกล้าเอาจักรยานไปจอดรวมกับของคนอื่น ก็แสดงว่ามันเป็นแค่จักรยานธรรมดาๆ และถ้ามันหาย คุณก็คงจะไม่ไปแจ้งตำรวจ หรือต่อให้ไปแจ้งตำรวจ ตำรวจก็คงจะไม่สนใจอะไรคุณมากมาย เพราะฉะนั้น โครงเรื่องประเภทนี้ในนิยายต้นฉบับ พอยกประเด็นแบบนั้นมาที่ประเทศจีน ทุกคนก็จะมองว่าเหตุผลมันฟังไม่ขึ้น ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือซะเท่าไหร่

ในเวลาที่ผมเป็นผู้ชม ผมมักจะคิดว่าการที่หนังเรื่องหนึ่งจะสามารถทำให้ผู้ชมอย่างผมรู้สึกเชื่อไปด้วยเนี่ย ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นในภาพยนตร์ของเรา เมื่อเราเจอกับรายละเอียดประเภทนี้ เราก็จะต้องเข้าไปปรับเปลี่ยนมัน  ย้อนกลับไปที่ปัญหาเรื่องโทรศัพท์สาธารณะที่คุณพูดถึง พวกเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญของทางตำรวจมา ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด ผู้เชี่ยวชาญได้บอกว่า เว้นเสียแต่คุณจะแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการและระบุว่าเขาคือผู้กระทำผิด คุณถึงจะมีสิทธิ์ยื่นคำร้องได้ เพราะมันจำเป็นจะต้องยื่นคำร้องก่อนคุณถึงจะมีสิทธิ์ใช้เครื่องมือรับสัญญาณเพื่อดักฟังเสียงการสนทนาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะได้  ดังนั้นการสนทนาผ่านโทรศัพท์สาธารณะนี้จึงถือเป็นความลับส่วนบุคคลอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถดักฟังได้ ซึ่งในเรื่องเนี่ย ถ้าจะต้องพูดจริงๆนะ โดยส่วนตัวแล้วเย่จู่ซินที่รับบทเป็นตำรวจก็รู้สึกสังหรณ์ใจอยู่แล้วล่ะ คิดว่าเฉินจิ้งมักจะมีการอ้างหลักฐานแก้ตัวตลอดว่าเธอไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุตลอด ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาไหนก็ดูจะไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือเธอ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ดี แต่ตอนนั้นเขายังไม่สามารถพอที่จะขอดักฟังการสนทนาได้

รายการเฟยฉางเต้า:ยังมีวิธีการเอาศพไปทิ้งอีก ที่ตอนแรกคุณคิดจะฝังมันไว้บนภูเขาใช่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:เรื่องนั้นผมโดนด่าไปเรียบร้อยแล้วครับ ในกระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน ผมถูกผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านท้าทายและจ้องจับผิดไม่หยุดเลยครับจนสุดท้ายพวกเราก็คิดได้  อันนี้ไม่รู้จะพูดดีมั้ยเรื่องนี้โยงไปถึงศาสตร์ของการเอาศพไปทิ้งอย่างสมบูรณ์และเพอร์เฟคด้วยนะ มีบางครั้งที่การจัดการกับศพนั้นเราทำกันผิดวิธี จากตอนแรกที่ผมคิดว่าจะเอาศพไปฝังไว้ซักที่บนภูเขาทีนี้พนักงานจากฝ่ายอาร์ตของเราครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้นะ อาจเป็นเพราะสายการทำงานของเขาหรืออาจเป็นเพราะความสนใจส่วนตัวที่ทำให้เขาได้ศึกษาวิจัยในศาสตร์เหล่านี้มาเป็นอย่างดี อย่างเช่น “100เทคนิคการฆ่าคน” “100 เทคนิคการจัดการกับศพ”หรือแม้กระทั่ง “How to ศาสตร์การทิ้งศพอย่างผู้เชี่ยวชาญ” ฯลฯ ซึ่งเขาได้มีการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มา เขาได้เสนอข้อคัดค้านลงในกลุ่มวีแชทของพวกเรา เขาบอกว่า “จะเอาศพไปฝังบนภูเขาได้ยังไง? ในนิยายที่เขาเขียนว่าเอาซากศพไปทิ้งลงน้ำน่ะ เขาได้มีการศึกษามาแล้วนะถึงได้เขียนออกมาแบบนั้น” ซึ่งในเชิงรูปธรรมเขาศึกษากันยังไงก็คงจะไม่เอามาสอนทุกคนหรอกนะครับ คือผมถามไปว่า ทำไมถึงจะเอาศพไปทิ้งบนภูเขาไม่ได้?  เขาก็บอกว่า “หัวกะโหลกของมนุษย์เนี่ยจะ50 ปีหรือจะกี่ปีก็ตามมันก็จะยังไม่ผุกร่อนนะแบบนี้ถ้าสุนัขตำรวจเข้าไปแค่แป๊บเดียวก็ดมหาเจอแล้ว!แล้วคนที่ไอคิวสูงๆอย่างฉือเฉินถ้าจะก่ออาชญากรรมทั้งทีก็คงไม่ทำอะไรผิดพลาดแบบนี้แน่ๆ ในเมื่อทุกๆสถานการณ์เขาก็วางแผนการก่ออาชญากรรมได้อย่างสมบูรณ์เพอร์เฟคตลอด เพราะฉะนั้นในขั้นตอนของการเอาศพไปทิ้งนี้ เขาไม่มีทางจะทำเรื่องผิดพลาดที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ได้เป็นอันขาด!” เขาคัดค้านอย่างหนัก พอเขาใส่จบไอ้ที่ด่าผมก็ด่าจนถึงแค่นั้น หลังจากนั้นเขาก็ไปพูดๆๆกับทีมร่างบท จัดไป 1 ยกเสร็จแล้วเขาก็ไม่สนผมละ ตอนแรกทีมร่างบทภาพยนตร์ก็คิดเหมือนกันว่า “แล้วทำไมล่ะ? ภูเขาใหญ่จะตาย ถ้าสุนัขตำรวจเข้าไปหา ก็จะต้องหาเจอเท่านั้นเลยหรือไง?” ทีมร่างบทภาพยนตร์ก็โกรธมากๆเหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็เข้าไปพูดว่า พอๆๆ ไม่ต้องทะเลาะกันละ ในนิยายเขาเขียนว่าโยนทิ้งลงน้ำ เรื่องนี้มันไม่ใช่จุดร้ายแรง เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนมัน แต่ก็คงจะไม่อยู่ๆก็โยนทิ้งน้ำไปแบบส่งๆเหมือนกันมันเป็นเหตุอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ ยังไงๆเราก็ต้องหาทางจัดการกับส่วนนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องวิธีการผมไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะยังไงในหนังก็มีบอกอยู่แล้ว และในหนังยังมีชิ้นส่วนของศพปลอมอที่พวกเรานั่งประดิษฐ์กันจริงๆด้วยนะครับ พวกเราทำขึ้นอย่างพิถีพิถันและผลิตโดยใช้เทคนิคชั้นสูง ผมเองก็คงจะพูดได้แค่นี้แหละครับ

รายการเฟยฉางเต้า:ในครั้งนี้ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่ได้มีการเข้าไปปรับ-เรียบเรียงอีกใช่ไหมคะ อย่างเช่นในส่วนที่ใช้อุปกรณ์ตรวจจับการซุ่มยิงเพื่อปะทะกับถางชวน โครงเรื่องนี้มาจากนิยายต้นฉบับแน่ แต่เพื่อเพิ่มบทแอคชั่นกับฉากไล่ตามรถ ก็เลยทำออกมาเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ?”

ซูโหย่วเผิง: จริงๆแล้วนี่เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของต้นฉบับนะครับ จริงๆแล้วสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ขึ้นแบบองค์รวมซึ่งในครั้งนี้ที่พวกเราได้ปรับ-เรียบเรียงให้มีฉากไล่ตามรถเพิ่มขึ้นมา ก็เพราะเนื้อหาในต้นฉบับมีเพียงแค่ฉากการปะทะคารมกันเท่านั้น ก็เหมือนกับที่ผมพูดไปเมื่อกี๊แหละครับ ผมรู้สึกห่วงกับความรู้สึกของคนดู กลัวว่าทุกคนจะเบื่อ ซึ่งถ้ามันเป็นแค่เนื้อเรื่องที่เป็นตัวหนังสือก็ช่างมันไปเถอะครับ แต่ถ้าหากมาดูหนังแล้วยังมีแค่ฉากพูดกันไปพูดกันมาไม่หยุดอีก อาศัยแค่บทพูดเป็นตัวแสดงข้อเท็จจริงไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็น่าเบื่อแย่สิ...  สำหรับอุปกรณ์ประกอบการแสดงประเภทHighไอคิวและใช้เทคนิคชั้นสูงอย่างอุปกรณ์ตรวจจับแหล่งที่มาของเสียงที่เกิดจากการซุ่มยิงนี้ จริงๆแล้วก็เคยเห็นมีปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง “กาลิเลโอ ยอดอัจฉริยะไขคดีป่วน” ด้วยเหมือนกันนะครับนี่ก็ถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง

รายการเฟยฉางเต้า:เมื่อก่อนคุณเองก็เคยถูกเข้าใจว่าเป็นศิลปินชายในฝัน  ซึ่งตอนนี้คุณก็ได้ก้าวผ่านจุดเปลี่ยนของตัวเองมาแล้วหลายครั้ง อย่างครั้งหนึ่งที่คุณรู้สึกภาคภูมิใจมากๆเลยก็คือ ตอนที่คุณคว้ารางวัลช่อดอกไม้ไปครอง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพราะช่วงนั้นคุณรู้สึกว่ามันติดอยู่แค่นั้นก็เลยอยากจะลองหาบทบาทอะไรใหม่ๆให้กับชีวิตดูบ้างใช่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ตัวผมเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจะชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจมากเกินไปอยู่แล้วนะครับการทำอะไรที่ซ้ำซากแถมง่ายและคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็จะทำให้รู้สึกเซ็งนิดหน่อย ผมจะชอบทำอะไรที่ต้องคิดวิเคราะห์ แต่เรื่องบางเรื่องที่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ก็จะมีระดับความยากในตัวของมันด้วยเหมือนกันอาจเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของคุณในตอนนี้ มีบางทีที่มันดูไม่สมควร และมีบางครั้งที่ต้องเผชิญกับล้มเหลว แต่ก็มีบางครั้งที่เราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้สำเร็จจริงๆ

รายการเฟยฉางเต้า:ในตอนนั้น ที่คุณยังแสดงเรื่อง “Design of Death” กับเรื่อง“โจโฉ” อยู่ มันเป็นบทตัวร้ายทั้งหมดเลยนะคะ ในตอนนั้นก็เลยแอบคิดว่า เหมือนซูโหย่วเผิงจะค้นพบแนวการแสดงของตัวเองได้อีกแนวอย่างทันทีทันใด...

ซูโหย่วเผิง:จริงๆแล้วตอนนั้นผมไม่ได้เซตแนวอะไรไว้เลยครับ แค่หวังว่า ทุกๆขั้นตอนของการสร้างสรรค์ผลงานมันจะออกมาน่าสนใจ มีบทบาทบางอย่างที่ไม่ซ้ำกับของเก่า แต่ว่า บทแบบนั้นมันก็ยากมากจริงๆ  มีธรรมเนียมปฏิบัติอะไรเยอะ ซึ่งตัวละครพิเศษๆแบบนี้มีน้อยนะ

รายการเฟยฉางเต้า:งั้นคุณคิดว่า การที่ได้ก้าวมาเป็นผู้กำกับ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในสายงานของคุณ ที่นับว่าประสบความสำเร็จอีกสายงานหนึ่งด้วยไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:มันถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งครับ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง อายุผมในตอนนี้มันยังจะต้องข้ามไปสู่ขอบเขตใหม่ๆอีกครับเหมือนกับการปีนขึ้นสู่อีกยอดเขาหนึ่งซึ่งมันจะต้องอาศัยความพยายามและทุ่มเทขึ้นอีกเป็นเท่าตัวครับ

รายการเฟยฉางเต้า:หลังจากภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” ได้สิ้นสุดลง คุณได้ให้ลองคะแนนฝีมือการกำกับภาพยนตร์ของตัวเองบ้างหรือเปล่าคะ?

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะออกมาเพอร์เฟคนะครับ เพราะก่อนที่จะเริ่มผมเองก็ไม่ได้คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าต่อไปจะได้ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ มันเหมือนเป็นช่วงของการก้าวไปข้างหน้า  และในขณะเดียวกัน สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าทุกๆครั้งของการเข้าไปลองมันคือโอกาสของการเรียนรู้ ซึ่งผมเองก็ได้รับบทเรียนบางอย่างมาด้วยนะ

จริงๆแล้วภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” มีจังหวะหนังไปในแนวดราม่าเมื่อเอาไปลงในตลาดจีนเมื่อสองปีที่แล้วกับคำนิยามที่ทุกๆคนมีต่อหนังวัยรุ่นผมคิดว่ามันค่อนข้างจะจำกัดไปหน่อยนะครับเพราะหนังวัยรุ่นมันไม่ได้มีแค่แบบเดียว ตอนนั้นทุกๆคนมักจะคิดว่า ถ้าฉันจะดูหนังวัยรุ่น ก็หมายความว่าฉันจะเข้าโรงหนังเพื่อไปตามหาความหลังของฉัน “โอ๊ยหล่อ!โอ๊ยใช่เลย!สมัยฉันเรียนอยู่ในโรงเรียนก็เป็นแบบนี้แหละ!”  ทุกๆคนเซตผู้ชมกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มนักเรียนกับกลุ่มนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบกันหมด  ซึ่งสำหรับคนที่อายุประมาณนั้น ก็น่าจะชื่นชอบหนังแนววัยรุ่นฮอตๆเสียมากกว่า ไม่ค่อยเห็นใครจะชอบหนังแนวเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง“The Left Ear” ที่จะออกไปในทางของการสัมผัสกับประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นของคนคนนึงกับการได้เรียนรู้และโตขึ้น ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง  “The Left Ear” มีเนื้อหาของความเป็นปฏิปักษ์กันของวัยรุ่น มีการที่จะต้องชดใช้กันมีขอบเขตความคิดในแบบต่างๆ และสุดท้ายก็โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่...

ส่วนประเด็นข้อที่สอง  ผมคิดว่า คุณจะต้องรู้ว่ากลุ่มผู้ชมหลักๆของคุณเป็นใคร ถ้าคุณยึดตัวเองเป็นหลักมากจนเกินไปคุณก็อาจจะตีโจทย์ในสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่แตก แบบนี้แล้วพวกเขาก็จะออกมาโจมตีคุณกลับในภายหลัง คุณจึงจะต้องเคารพตลาด และต้องเคารพคนดูด้วยประมาณนี้ครับ...    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ลูกเล่นที่จะเอาใจตลาดกับเรื่องของคุณค่าเชิงศิลปะวรรณคดีครับ  ในเรื่องของระดับเนี่ย...  จากทั้งสองฝั่งแล้วคุณจะเน้นให้มันออกมาตรงใจตลาดมากกว่า  หรือจะเน้นเรื่องของคุณค่าเชิงวรรณกรรมมากกว่ากัน นี่คือสิ่งที่คุณต้องเลือก  และหลังจากที่เลือกแล้ว  ข้อแรกเลย  คุณมีความสามารถพอที่จะทำให้เข้าขั้นได้หรือเปล่า หลังจากทำได้เข้าขั้นแล้ว คุณจะสามารถยอมรับกระแส feedback ที่ตลาดตอบกลับมาได้หรือเปล่า  ผมคิดว่าจากการทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” ทำให้ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์ในหลายๆเรื่องเลยล่ะครับ

รายการเฟยฉางเต้า:ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าหลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X” เสร็จ ตอนนี้คุณมีความมั่นใจที่จะเป็นผู้กำกับแล้วหรือยังคะ? จะเดินหน้าต่อหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง:ก็คงต้องดูกระแสการตอบรับจากผู้ชมแล้วล่ะครับ

รายการเฟยฉางเต้า:เพราะคุณเองก็เคยเซ็นสัญญาการเป็นผู้กำกับมาถึง 2 เรื่องแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าต่อไปจะยังมีการเซ็นสัญญาเป็นผู้กำกับอีกหรือเปล่าน่ะค่ะ? หรือว่าคุณจะค่อยๆดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆก่อน?

ซูโหย่วเผิง:ตอนแรกก็คิดว่าจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปน่ะนะครับ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าการเป็นผู้กำกับก็ดูน่าสนใจดี ปวดหมองดีด้วย ไม่ใช่แค่นักแสดงสองคนที่ปะทะกันในจอจนจนพวกเขารู้สึกปวดหมองนะ การปะทะไอคิวของทั้งสองก็ทำให้คนที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์อย่างผมปวดประสาทไปด้วยเหมือนกัน คือมันเหนื่อยแต่ก็แฮปปี้ดีนะ ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจดี น่าจะไปต่อแหละครับ

รายการเฟยฉางเต้า:คุณคิดว่า คุณหาสไตล์การเป็นผู้กำกับของตัวเองเจอแล้วหรือยังคะ?

ซูโหย่วเผิง:ตั้งแต่ทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” คนรอบข้างผมก็ยกประเด็น “สไตล์ผู้กำกับ” คำนี้ขึ้นมาพูดกันนะ ซึ่งตอนนั้นผมไม่แคร์กับเรื่องนั้นเลยจริงๆ เพราะมีบางคนเนี่ย... เพื่อคำว่า “สไตล์ผู้กำกับ”แล้ว ก็ถึงขั้นแปะฉลากให้กับตัวเอง คือไม่ว่าหนังเรื่องไหนๆ ก็จะต้องมีอันนี้ใส่ลงไปนะ ต้องเกี่ยวเนื่องกับอันนี้ด้วยนะ อะไรประมาณนี้ครับ ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด ในภาพยนตร์ของผม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความนัยแฝงของเรื่องนั้นๆน่ะครับ

พอถ่ายทำเสร็จทั้งสองเรื่อง ผมก็พบว่า จริงๆแล้วเมื่อคุณเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถ มีความกล้าหาญ และซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเองมากๆแล้ว คุณค่าเชิงวรรณคดีหลายๆอย่างที่สะท้อนออกมา รวมไปถึงวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวของคุณหรืออารมณ์หนังที่คุณทำ สิ่งต่างๆเหล่านี้จะค่อยๆกลายมาเป็นสไตล์ของคุณ ไม่ใช่ว่า ในช่วงเริ่มต้นการถ่ายทำ คุณก็เซตสไตล์ของคุณเอาไว้แล้วเรียบร้อย เสร็จแล้วคุณก็จะต้องไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองเมื่อนั้นภาพยนตร์ก็จะออกมาในแบบที่คุณเป็น

รายการเฟยฉางเต้า:คุณได้มีความคาดหมายกับเรื่องของการตลาดหรือคำยกย่องที่จะมีต่อภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X”บ้างไหมคะ? เจ้านายของคุณกดดันคุณบ้างหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง:เจ้านายไม่ได้กดดันครับ แต่ก็มีบางครั้งที่การสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ของพวกเราจะมีการชักกะเย่อกันจริงๆก็เหมือนอย่างที่ผมพูดไปน่ะนะครับ  ผมคิดว่างานของผู้กำกับก็คือ ผมจะต้องเฝ้าปกป้องรักษาภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ พยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อสะท้อนให้ความเป็นศิลปะของมันถูกแสดงออกมาอย่างอลังการที่สุด ซึ่งในแต่ละฝ่ายเองก็อาจจะมีเป้าหมายของฝ่ายพวกเขาที่ไม่เหมือนกัน อาจจะเพราะยืนอยู่ในคนละจุดกันก็เลยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน

ยกตัวอย่างเช่นฝ่ายเปิดฉากการแสดงซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็จะต้องหวังกันแน่นอนอยู่แล้วแหละครับเขาบอกว่า...  ผู้กำกับให้ส่วนของผมออกมาอลังการที่สุดสิ ผมจะได้มีแรงกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไง ผมก็บอกว่า ถ้าส่วนของคุณอลังฯสุด งั้นหนังผมทั้งเรื่องจะทำยังไงล่ะ มันไม่ใช่โฆษณาความยาว 1 ชั่วโมง20นะ...   ก็คือมักจะมีการชักกะเย่อกันในลักษณะแบบนี้ตรงส่วนกลางๆเรื่องก็มีที่ทัศนคติที่ไม่ค่อยตรงกันบ้างเหมือนกัน ตอนที่โต้แย้งกันแบบดุเดือดก็โวยวายจนต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกันขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังคงประนีประนอมกันและช่วยทำให้มุมมองของผู้กำกับคนนึงสมหวังได้นะ

รายการเฟยฉางเต้า:ระยะนี้การแสดงออกของนักแสดงไอดอลอายุน้อยๆ ได้มีบางจุดที่นำไปสู่ประเด็นการโต้เถียงบางอย่าง ซึ่งตัวคุณเองเป็นนักแสดงที่ได้สลัดคราบของศิลปินหนุ่มโอปป้าออกและทะลวงความสามารถที่ติดค้างอยู่แค่นั้นไปได้ คุณมีคำแนะนำอะไรฝากไปถึงพวกเขาไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่อายุน้อยหรือว่าอายุมาก ประสบการณ์น้อยหรือว่าประสบการณ์มาก รวมไปถึงตัวผมเองที่ตอนนี้อาจจะทำงานอยู่ในเบื้องหลัง และรวมไปถึงทีมงานเบื้องหลังทุกๆคนก็เหมือนๆกันทั้งนั้นแหละครับ ผมคิดว่าการที่เราให้เกียรติและนับถือในสายงานของตัวเราเอง และมีความเคารพยำเกรงในมันอยู่เสมอจะทำให้คุณพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดนิ่งครับ

Alec Love Me:
2017.04.01 非常节目【苏有朋:痛并快乐着】
https://www.youtube.com/watch?v=z8PPRjG-O9c&feature=youtu.be















นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version