ผู้เขียน หัวข้อ: [2017.03.31] [เฟยฉางเต้า] ผู้กำกับชาวราศีกันย์ ซูโหย่วเผิง ไขปริศนา  (อ่าน 2954 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
ซูโหย่วเผิง: เหนื่อยแต่ก็มีความสุข    “เมื่อเราซื่อสัตย์ต่อตนเอง ภาพยนตร์ก็จะออกมาในแบบที่คุณเป็น”
(ฉินหว่าน :สัมภาษณ์)

หลังจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear”ได้เสร็จสิ้นไปซูโหย่วเผิงกับบริษัท Beijing Enlight Media Co., Ltd. ก็มีสัญญากำกับภาพยนตร์กันอีก 1 เรื่อง ด้วยปัจจัยหลายๆด้านทำให้เขาเลือกสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X” ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับผลงานภาพยนตร์จากงานประพันธ์ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะเวอร์ชั่นประเทศจีนคนแรกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่า  ใครๆต่างก็รู้   ว่าชื่อเสียงของคุณฮิงาชิโนะเคโงะเนี่ย โด่งดังมากแค่ไหน แถมยังมีภาพยนตร์ที่ถูกสร้างเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเวอร์ชั่นเกาหลีมาก่อนแล้วด้วย ซึ่งสำหรับผู้กำกับหน้าใหม่อย่างซูโหย่วเผิงแล้วนี่นับได้ว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยทีเดียว ซึ่งเขาพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนๆว่า  “ผมรู้ว่าพวกเขาจะต้องเตรียม “ลับมีด” ไว้รอจับผิดผมอยู่แน่ๆ” 

เพื่อเผชิญหน้ากับ “การจ้องจับผิด” ที่กำลังมาถึง พลังแห่งกลุ่มดาวหญิงสาว (ราศีกันย์) ของเขาก็ปะทุออกมา เขาต้องการให้จางหลู่ยีเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นตามระยะเวลาที่เขากำหนด และต้องการให้หวังข่ายที่แม้แต่ช่วงซักซ้อมการแสดงถึงจะเป็นแค่การขยับลูกกะตาเพียงเล็กน้อย ก็ห้ามโดยเด็ดขาด หรือแม้แต่เพื่อนที่สนิทสนมกันมานานหลายปีที่ขนาดพึ่งตั้งครรภ์ไปแต่ก็ยังมาช่วยแสดงให้อย่างหลินซินหยู  ก็ยังถูกเขาสั่งให้เอาใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละซึ่งในระหว่างการถ่ายทำ เขาได้วัดพละกำลังกันกับเพื่อนร่วมงานของเขา ถ้าหากยังทำได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการล่ะก็  ก็ไม่ต้องหยุดพักกันล่ะ!ซึ่งในที่สุด“The Devotion of Suspect X”เวอร์ชั่นนี้ ก็เป็นที่ยอมรับของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ จนได้

เมื่อย้อนกลับไปมองประสบการณ์การเข้าสู่วงการของซูโหย่วเผิงก็นับว่าเป็นแบบอย่างของศิลปินหน้าใหม่ในตอนนี้จริงๆ เขาเคยถอดภาพลักษณ์ของหนุ่มโอปป้าออก แล้วลองพลิกบทบาทการแสดงครั้งยิ่งใหญ่จนสามารถคว้ารางวัลช่อดอกไม้(Hundred Flowers Awards)ไปได้ กับบทบาท “ไป๋เสี่ยวเหนียน” จากภาพยนตร์เรื่อง  “The Message”ที่ทำให้ฝีมือการแสดงของเขาได้รับการการันตีและจากกระแสในตอนนี้ เขายังกลายเป็น “ผู้กำกับการแสดง” ในเครือคนแรกที่บริษัทกวงเสี้ยน(EnlightPictures)เป็นผู้ปลุกปั้นออกมา นับเป็นช่องทางเกิดที่ไม่เหมือนกับผู้กำกับหน้าใหม่กลุ่มอื่นๆเลยจริงๆส่วนเรื่องของระดับความทุ่มเทที่มีให้กับผลงานของเขานั้นเรียกได้เลยว่า “ไร้เทียมทาน”

นี่เป็นครั้งที่สองกับการมาเยือนรายการเฟยฉางเต้า (ent.ifeng.com/fcd) ของซูโหย่วเผิงและถือเป็นการประกาศผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขาไปด้วยในตัว กับเส้นทางการเป็นผู้กำกับ เขาได้เปลี่ยนวิถี “ค่อยเป็นค่อยไป” มาเป็นมีความมั่นใจในการเป็นผู้กำกับมากยิ่งขึ้น ถึงแม้เส้นทางการเดินสู่การเป็นผู้กำกับนั้นจะเป็นอะไรที่น่าปวดหัว แต่เขาก็รู้สึกว่า ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข

ดังนั้น หลังจากผลงานภาพยนตร์“The Devotion of Suspect X” เสร็จสิ้นลง เขาก็มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าบนเส้นทางของการเป็นผู้กำกับต่อไป

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: [2017.03.31] 苏有朋做客《非常道》 贡献“十八般表情包”
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 09, 2017, 01:05:56 PM »
ต่อไปนี้เป็นบันทึกบทสัมภาษณ์ของซูโหย่วเผิง...

รายการเฟยฉางเต้า:ในงานแถลงข่าวทุกครั้งดิฉันก็ได้อยู่ที่นั่นด้วยค่ะเห็นว่าทุกๆคนต่างก็พากันเม้าท์ว่าคุณเป็นพวกบ้าพลังตามสไตล์ของคนที่เกิดในกลุ่มดาวหญิงสาว (ราศีกันย์) ซึ่งในชีวิตจริงของคุณก็คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกใช่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ครับ มันเป็นแค่เฉพาะในการทำงานเท่านั้นซึ่งในชีวิตจริงตัวผมเองก็อายุมาจนถึงป่านนี้ ถ้าแบบไหนสบายกว่าก็เอาแบบนั้นครับ กับเพื่อนๆก็ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร ไม่ต้องแบกรับภาระอะไรด้วยแบบนี้ถ้ายิ่งเป็นธรรมชาติยิ่งสบายเท่าไหร่ก็ยิ่งดีแต่เป็นเพราะบทบาทในการทำงานที่ผมรับอยู่ตอนนี้เป็นบทบาทของการเป็นผู้กำกับ ซึ่งสำหรับผมแล้ว วิถีการปฏิบัติต่อการทำงานกับเรื่องของชีวิตจริง ผมว่ามันเป็นคนละเรื่องกันครับ

รายการเฟยฉางเต้า:คุณเป็นคนที่ค่อนข้างจะกดดันตัวเองมากว่า หรือว่าค่อนข้างจะกดดันคนอื่นๆมากกว่ากันคะ?

ซูโหย่วเผิง:แต่ไหนแต่ไรมาผมก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างกดดันตัวเองอย่างหนักนะครับ หลังจากที่ผมโตขึ้นผมก็จะไม่ค่อยกดดันคนรอบข้างซักเท่าไหร่แต่ว่าในส่วนของการทำงานเนี่ย เนื่องจากผมรับหน้าที่เป็นผู้กำกับ เพราะฉะนั้นผมก็จะต้องรับผิดชอบกับผลงาน หลังจากที่รับผิดชอบต่อผลงานแล้วก็ยังจะต้องรับผิดชอบต่อผู้ชมด้วยครับดังนั้นผมจึงทำได้แค่ไม่หยุดที่จะมองให้เห็นถึงปัญหาและพยายามหาคำตอบให้กับมันซะ

รายการเฟยฉางเต้า:พวกเราจำได้ว่าคุณมีสัญญาทำภาพยนตร์กับบริษัทกวงเสี้ยน  (Enlight Pictures)ถึง 2 เรื่อง...

ซูโหย่วเผิง:แหม...คุณจำแม่นจังนะรับ^^

รายการเฟยฉางเต้า:ตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องที่ 2อยู่คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลือกช้อยส์ที่ยากที่สุดให้กับตัวเองอยู่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ผมเชื่อว่าต่อไปจะต้องมีช้อยส์ที่ยากกว่านี้อีกแน่ๆครับ แนวภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าเป็นแนวที่ยากที่สุดเสียทีเดียวหรอกนะ แต่เป็นแค่เพราะระดับความสามารถของผมหลังจากที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” จบ มันยังจำเป็นที่จะต้องออกแรงแหวกว่ายมากๆจริงๆถึงจะทำให้ไม่ต้องจมลงไปในน้ำได้ ถ้าเป็นเรื่องของการเลือกแนวภาพยนตร์ที่จะถ่ายทำ...ปกติแล้ว สำหรับผู้กำกับรุ่นใหญ่ๆ เวลาที่พวกเขากำลังถ่ายทำแผนงานที่อยู่ในมือเวลานั้นทีมงานของพวกเขาก็อาจจะเตรียมแผน 2 3 4 5 รอไว้อยู่แล้วก็ได้ถึงเวลาก็ดูเอาว่าแผนไหนพร้อมที่สุด พอถ่ายทำเสร็จเสร็จก็อาจจะนำแผนต่อไปออกมาถ่ายต่อเลยก็ได้

แต่ตัวผมยังถือว่าเป็นแค่น้องใหม่ คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้มีความคิดที่จะปักหลักไปเลยว่า“จะต้องก้าวเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ให้ได้”  อะไรขนาดนั้น เพราะฉะนั้น หลังจากที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” เสร็จ ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี ไม่ได้มีการเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า คนรอบข้างผมก็เลยช่วยกันคิดในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าคุณได้ติดตามการให้สัมภาษณ์ครั้งที่แล้วของผมก็จะรู้ว่า กับอะไรที่มันง่ายๆหรือซ้ำซากจนเกินไปผมก็จะรู้สึกเบื่อ ด้วยนิสัยที่แอบป่าเถื่อนนี้ของผม ก็เลยนำไปสู่การทำอะไรที่มักจะเลยขีดจำกัดของตัวเองขึ้นมานิดนึงซึ่งบางครั้งก็คิดว่ามันไม่สมควรแฮะและบางทีก็ทำออกมาได้ไม่ดีนัก แต่ว่า...ถ้าความท้าทายนี้มันทำสำเร็จขึ้นมาล่ะ งั้นเราก็จะสามารถทำในสิ่งที่ล้ำหน้าขีดจำกัดของตัวเองได้จริงๆน่ะสิ!

เวลาที่ผมดูหนังผมเองก็ค่อนข้างจะเลือกนะครับ ผมมีความใฝ่ฝันที่จะได้ดูหนังที่มีความลึกซึ้ง มีจุดให้ได้วิเคราะห์ดูมีรสชาติไม่ใช่แค่เข้าไปในโรงหนัง ไปหัวเราะก๊ากๆๆหรือร้องไห้ดราม่า เสร็จแล้วพอเดินออกจากโรงหนังมาก็ลืมหมดละ ผมหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ของพวกเราจะต้องออกมามีรสชาติ มีความเป็นศิลปะ มีความลึกซึ้ง ซึ่งหนังแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทุกๆคนนะจำนวนผู้ชมในกลุ่มเป้าหมายก็คงจะค่อนข้างจะมีจำกัดเหมือนกัน...

และเพื่อให้ไม่เป็นการทำผิดต่อฝ่ายผู้ลงทุน ผมคิดว่าตัวเองก็ไม่ควรที่จะเห็นแก่ตัวมัวคิดถึงแต่ความชอบส่วนตัวในการทำผลงานภาพยนตร์มากจนเกินไปถ้าเอาแต่ทำตามใจตัวเอง แบบนี้ยอดจำหน่ายตั๋วจะต้องไม่สูงแน่ๆ และถ้าผมยังคงดึงดันที่จะทำแบบนั้นอยู่ สุดท้ายก็จะไม่มีใครไปดู หัวหน้าก็ร้องไห้ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆผมเลยหวังว่าในส่วนของเนื้อเรื่อง นอกจากจะมีสิ่งที่ผมชอบอยู่ในนั้นแล้ว ก็ยังจะต้องคำนึงถึงด้านธุรกิจด้วย เพราะฉะนั้น ในส่วนของลีลาการถ่ายทำ ผมก็จะพยายามให้มันออกมามีความเป็นศิลปะ แต่ก็ไม่กระทบกับอารมณ์สุนทรีย์ของผู้ชมด้วยเช่นกัน ทำให้มันออกมาตรงกับความต้องการของตลาด และในขณะเดียวกันก็ต้องมีเรื่องราวที่สนุกสนานด้วยครับ

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: [2017.03.31] 苏有朋做客《非常道》 贡献“十八般表情包”
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 09, 2017, 01:06:39 PM »
รายการเฟยฉางเต้า:ตอนแรกที่ได้ยินว่า คุณจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง“The Devotion of Suspect X”  ดิฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอเป็นพิเศษ ถึงแม้หลายๆคนจะพูดว่างานเขียนชิ้นนั้นเป็นดั่งอัญมณีอันล้ำค่าที่วางอยู่ตรงหน้าเลยนะ แต่คุณเองก็ยังเลือกที่จะลองท้าทายดูซึ่งจริงๆแล้วดิฉันก็อยากจะรอดูผลงานในเวอร์ชั่นประเทศจีนมากๆเลยนะคะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ดัดแปลงเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือจะเป็นทางด้านของนักแสดงที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี...

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่านักแสดงของเราตอนนี้นับเป็นการคัดสรรและเลือกเฟ้นที่สุดยอดที่สุดในใจผมเลยนะครับ พวกเขาทั้งสองมีคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ มีบางครั้งที่จู่ๆผมก็หันไปโฟกัสที่การสร้างสรรค์คุณค่าเชิงวรรณคดีซึ่งผมก็จะโฟกัสไปแค่ตรงส่วนนั้นจริงๆ ผมมักจะมองข้ามเรื่องของเชิงธุรกิจหรือเรื่องของการตลาดไปบ่อยๆ เพราะเรื่องของการทำการตลาดถือว่าเป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งซึ่งตัวผมก็ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก ก็เลยไม่ค่อยไปยุ่งกับมันมาก   

ดังนั้น การที่ผมเลือกเฟ้นนักแสดงมาก็หวังว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีทักษะการแอคติ้งที่ยอดเยี่ยม เพราะตอนที่ผมเป็นผู้ชม เมื่อเดินเข้าไปในโรงหนังแล้วได้เจอหนังดีๆพร้อมกับการแสดงที่ยอดเยี่ยม ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะมาเป็นอันดับต้นๆนะส่วนอื่นๆอย่างเช่นเทคนิคการตัดต่อหรือบรรยากาศในการถ่ายทำ ผมคิดว่าคงจะมาเป็นอันดับหลังๆ ก่อนอื่นเลย ผมต้องการจะเป็นผู้กำกับที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ และในส่วนของนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อให้เห็นถึงความเข้มข้นของภาพยนตร์ หรือจะเป็นการดึงดูดให้ผู้ชมตามเข้าไปอยู่ในเรื่องราวและโลกของความคิดของตัวละครนั้นๆก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ซึ่งตัวผมก็มักจะพิจารณาอยู่กับแค่ส่วนนี้บ่อยๆเลยเหมือนกัน

หัวหน้าของผมมักจะเตือนผมอยู่บ่อยๆว่า ยังไงก็ตาม จะต้องคำนึงถึงเรื่องเชิงธุรกิจด้วยนะ เพราะพวกเขาค่อยๆดึงผมกลับมา ผมเลยสามารถทำให้ทั้งสองส่วนออกมาบาลานซ์ได้ ก็คือว่า พวกเราจะเน้นทั้งสองอย่าง ทำให้นักแสดงที่ตรงกับความต้องการแบบนี้จึงพบเจอได้น้อยมากจริงๆ อัจฉริยะขั้นเทพทั้งสองคน คุณจะต้องมีแววตาที่ชาญฉลาด รวมไปถึงช่วงอายุของพวกเขาด้วย ซึ่งจริงๆแล้วเนื้อเรื่องในนิยายได้กำหนดอายุของตัวละครให้แก่กว่าหน่อย แบบนั้นก็กลายเป็นว่า เนื้อเรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องราวของผู้ชายวัยกลางคนแต่ในเมื่อพวกเขาเป็นถึงอัจฉริยะขั้นเทพ ผมเลยคิดว่าถ้าให้พวกเขาอายุประมาณ 40 ล่ะก็  ก็คงจะไม่สนุกแล้วแหละ ผมก็เลยเซตให้อายุของตัวละครน้อยลงมานิดนึงซึ่งผมคิดว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับตัวภาพยนตร์นักหรอก  ด้วยช่วงอายุประมาณนี้ และยังจะต้องมีทักษะการแสดงที่เก่งมากๆอีก พวกเขาทั้งสองจะต้องถ่ายทอดบทบาทการปะทะกันของวีรบุรุษทั้งสอง และยังจะต้องเป็นผู้ที่มีคาแรคเตอร์แรงดึงดูดต่อตลาดด้วย จริงๆแล้วช้อยส์แบบนี้มีคนที่ตอบโจทย์ให้พวกเราเลือกไม่มากเลยเพราะฉะนั้นพวกเราเลยรู้สึกโชคดีมากจริงๆที่เชิญนักแสดงเหล่านี้มาได้สำเร็จ

รายการเฟยฉางเต้า:การที่ซินหยูเข้ามาร่วมแสดง เหตุผลหลักๆเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเพื่อนใช่ไหมคะ ก็เลยเข้ามาช่วยแสดงให้?
ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่าหลักๆน่าจะใช่นะครับ เพราะพวกเราถ่ายทำกันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งพวกเราต่างก็รู้ดีว่า เมื่อปีที่แล้วเธอเพิ่งได้รับข่าวดีที่สุดของการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พวกเราสองคนถึงแม้จะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนในสมัยสงครามปฏิวัติด้วยกันความสนิทสนมของพวกเรายังคงอยู่ ไม่ว่าเวลาไหนๆขอเพียงแค่บอกมาว่าต้องการสิ่งใด ถึงแม้เราจะไม่ได้ติดต่อกัน ไม่ได้พูดอะไรกันมาก แต่ก็อาจจะออกมาช่วยเหลือกันทันที อย่างแรกเลย ซินหยูเป็นคนที่เมาะสมกับคารแรคเตอร์นี้มากๆ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะเลือกตกลงร่วมแสดงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของเธอ ผมไม่สามารถเข้าไปแซกแซงอะไรได้

มีบางครั้งที่ผมลองคิดย้อนกลับไปดู ถ้าผมเป็นหลินซินหยู ช่วงที่สุขสบายดีขนาดนี้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาแสดงเลยจริงๆนะอีกอย่าง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ บทบาทของ “เฉินจิ้ง” ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องและจุดพลิกผันของเรื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งฉากที่ต้องแสดงของบทนี้ก็เยอะมากๆ ถึงมันจะไม่ใช่บทที่ต้องเล่นเยอะที่สุด แต่ก็เป็นบทที่เล่นยากมากๆ เพราะคาแรคเตอร์ของสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังของผู้หญิงมันจะค่อนข้างซับซ้อน แถมยังเป็นบทที่คบคนทีไรก็เลือกไม่ดีชอบโดนรังแกอยู่ตลอด เป็นผู้หญิงที่เลือกผู้ชายทีไรก็มักจะเลือกผิดเสมอ เป็นผู้หญิงที่ลำบากแทบทั้งชีวิต ซึ่ง...ในช่วงเวลาของชีวิตจริงที่มีความสุขมากขนาดนี้ จะลงไปรับบทที่ชีวิตขื่นขมระทมใจไปทำไมกัน?เรื่องนี้ถือว่าเป็นบทที่ลำบากมากจริงๆบทหนึ่ง ซึ่งผมต้องขอขอบคุณในความมีสัจจะของเธอมากๆ ที่ตกลงช่วยแสดงบทนี้ให้

รายการเฟยฉางเต้า:ขณะที่ถ่ายทำอยู่คุณได้ปกป้องเธอซักหน่อยไหมคะ? เพราะมีฉากประเภทที่ต้องทุบกระจกให้แตกอะไรแบบนี้ด้วย...
ซูโหย่วเผิง:ทุกๆคนต่างก็ต้องได้รับการปกป้องทั้งนั้นครับ ไม่ใช่แค่หลินซินหยูคนเดียวที่ผมจะต้องปกป้องเธอ ทุกๆคนต่างก็เป็นคนที่ผมรักกันทั้งหมด

รายการเฟยฉางเต้า:ผู้ประพันธ์เดิมได้สื่อถึงเรื่องการทุ่มเทในรัก รวมถึงเรื่องของการประลองความรู้ทางหลักกฎหมายด้วย...

ซูโหย่วเผิง:ใช่ครับ สิ่งที่ผู้ประพันธ์เดิมได้ยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์นั้นมีอยู่ค่อนข้างเยอะทีเดียว

รายการเฟยฉางเต้า:หัวห้อหลักๆของการปรับ-เรียบเรียงเนื้อหาภาพยนตร์ในครั้งนี้ คือหัวข้ออะไรคะ?
ซูโหย่วเผิง:อืม...ทุกๆหัวข้อล้วนอยู่ในภาพยนตร์ทั้งหมดเลยครับ

รายการเฟยฉางเต้า:จริงๆแล้วคุณค่าเชิงวรรณคดีของตัวผู้ประพันธ์เดิมเองค่อนข้างจะมีความขัดแย้งกันอยู่นิดหน่อยเพราะบทบาทของฉือเฉินกับวิธีการช่วยเหลือแม่ลูกทั้งสอง...

ซูโหย่วเผิง:เขาเป็นคนที่มีเจตนารมณ์สูงส่งมากนะครับ แต่ว่าทักษะและวิธีการของเขาอาจจะดูขัดๆกันหน่อย

รายการเฟยฉางเต้า:ทุกคนถึงขนาดรู้สึกได้เลยว่า การกระทำกับแม่ลูกคู่นี้ในตอนนั้น อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการ “ปกป้องมากจนเกินเหตุ” เขาไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีนี้มาปกป้องพวกเธอเลยมันค่อนข้างมีความขัดแย้งในคุณค่าเชิงวรรณคดีนะคะ

ซูโหย่วเผิง:จริงๆแล้วท่าทีที่ผู้กำกับมีต่อเรื่องราวทั้งหมดหรือที่มีต่อกรณีนี้เนี่ย ผมได้ใส่คำตอบลงไปในภาพยนตร์หมดแล้วครับ ถ้าหากตั้งใจดูกันล่ะก็ จะเห็นว่าท่าทีของผู้กำกับที่มีต่อเรื่องนั้นๆได้ถูกใส่ลงไปในภาพยนตร์ด้วย เพราะว่าในหนังเรื่องหนึ่งเนี่ยถ้าหากผู้กำกับจะจู้จี้ขนาดนั้น ชอบพูดขนาดนี้ งั้นทุกคนก็คงไม่ต้องไปดูหนังกันแล้วล่ะเพราะผมได้เอาสิ่งที่เป็นความสนุกสนานของผู้ชมมาสปอยจนหมดแล้ว...ซึ่งผมคิดว่าถ้าผมเป็นผู้ชม ผมคงจะโกรธผู้กำกับแบบนี้เอามากๆเลยล่ะ

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: [2017.03.31] 苏有朋做客《非常道》 贡献“十八般表情包”
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เมษายน 09, 2017, 01:11:46 PM »
รายการเฟยฉางเต้า:ดิฉันได้เห็นเวลาที่คุณกำลังถ่ายทำ และจะขอพูดถึงเนื้อหาที่อยู่ในนิยายด้วยนะคะซึ่งในเนื้อเรื่องของนิยายต้นฉบับเนี่ยมันจะมีสภาพการณ์บางอย่างที่เมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้วก็ดูค่อนข้างล้าหลังหรือล้าสมัยไปบ้าง อย่างเช่น พวกเขายังคงใช้โทรศัพท์สาธารณะกันอยู่อะไรแบบนี้  แต่สุดท้ายคุณก็เหมือนจะยังเลือกใช้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ดี...

ซูโหย่วเผิง:ถูกต้องครับจริงๆแล้วพวกเราได้วิจัยในเรื่องนี้กันเป็นพิเศษเลยนะครับ เรื่องนี้เราน่าจะทำกันถูกต้องแล้วนะ พวกเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญของทางตำรวจมา และยังมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายอีก ครั้งนี้ในภาพยนตร์ของพวกเราได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาเยอะมากเป็นพิเศษ เรามีผู้เชี่ยวชาญทางด้านฟิสิกส์ผู้เชี่ยวชาญของทางตำรวจ ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ซึ่งในทุกๆส่วน พวกเราล้วนจริงจังกับมันเป็นพิเศษ เพราะผมรู้ดีว่า บรรดาหนอนหนังสือและแฟนคลับแต่ละคนเมื่อรู้ข่าวว่าผมจะทำภาพยนตร์แนวนี้ พวกเขาก็เตรียมลับมีดรอไว้อยู่แล้ว เตรียมที่จะคอยจับผิดผมอยู่ตลอดเวลาผมก็เลยพยายามขอร้องให้ในทุกๆรายละเอียดล้วนทำออกมาได้อย่างถูกต้องทั้งหมดน่ะครับ

อย่างเรื่องโทรศัพท์ของนิยายต้นฉบับที่คุณพูดถึงเมื่อสักครู่ ผมคิดว่ามันเป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญมาก มีบางอย่างที่เราเข้าไปขยับปรับเปลี่ยนมันมากเกินไปไม่ได้ ผมคิดว่าเรายังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องความสมเหตุสมผลก่อนดีกว่า บางทีสิ่งที่คุณพูดอาจจะสมเหตุสมผลมากกว่าก็เป็นได้ แต่ถ้าเราหันมามองในจุดของผู้อ่านประเภทที่ยึดข้อมูลที่มาก่อนเป็นหลักเสมอนะ ถ้าเราไปขยับปรับเปลี่ยนอะไรทีนึงพวกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยคิดว่า ถ้าตรงไหนที่สามารถไม่ต้องไปขยับมันได้ เราก็จะพยายามไม่ไปขยับมัน ยกเว้นว่ามันจะเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่มากจริงๆ อย่างเช่น เนื้อหาในนิยายต้นฉบับที่ได้เขียนถึงเรื่องจักรยานหาย ซึ่งในนิยายได้เน้นมากๆเลยว่าเขาอุตส่าห์ตั้งใจสรรหาจักรยานที่ใหม่เป็นพิเศษมาพอมันหาย เขาก็เลยไปแจ้งตำรวจแถมยังพากำลังตำรวจเข้าไปล้อมอยู่ในเส้นทางอุโมงค์ของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีนั้นสถานีนี้ ซึ่งเส้นทางภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นเส้นทางอุโมงค์ที่ซับซ้อนมากอะไรประมาณนี้น่ะครับ ซึ่งในตอนนั้นพวกเราก็ได้เข้าไปปรับแก้ในจุดนี้ด้วย ซึ่งทางฝ่ายร่างบทภาพยนตร์ได้บอกกับผมว่า ถ้าเป็นจักรยานที่ดีเป็นพิเศษในจีนเลยเนี่ย ก็คงจะไม่มีใครเอามาจอดทิ้งไว้ข้างถนนหรอกไหม?แถมไม่ค่อยจะเห็นใครที่ออกมาซื้อจักรยานใหม่ๆเจ๋งๆเป็นพิเศษแบบนี้กันบ่อยนักซึ่งถ้าคุณซื้อจักรยานแบบนั้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่กล้าเอาไปจอดรวมกับจักรยานของคนอื่นอีกอยู่ดีเพราะถ้าคุณกล้าเอาจักรยานไปจอดรวมกับของคนอื่น ก็แสดงว่ามันเป็นแค่จักรยานธรรมดาๆ และถ้ามันหาย คุณก็คงจะไม่ไปแจ้งตำรวจ หรือต่อให้ไปแจ้งตำรวจ ตำรวจก็คงจะไม่สนใจอะไรคุณมากมาย เพราะฉะนั้น โครงเรื่องประเภทนี้ในนิยายต้นฉบับ พอยกประเด็นแบบนั้นมาที่ประเทศจีน ทุกคนก็จะมองว่าเหตุผลมันฟังไม่ขึ้น ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือซะเท่าไหร่

ในเวลาที่ผมเป็นผู้ชม ผมมักจะคิดว่าการที่หนังเรื่องหนึ่งจะสามารถทำให้ผู้ชมอย่างผมรู้สึกเชื่อไปด้วยเนี่ย ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นในภาพยนตร์ของเรา เมื่อเราเจอกับรายละเอียดประเภทนี้ เราก็จะต้องเข้าไปปรับเปลี่ยนมัน  ย้อนกลับไปที่ปัญหาเรื่องโทรศัพท์สาธารณะที่คุณพูดถึง พวกเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญของทางตำรวจมา ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด ผู้เชี่ยวชาญได้บอกว่า เว้นเสียแต่คุณจะแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการและระบุว่าเขาคือผู้กระทำผิด คุณถึงจะมีสิทธิ์ยื่นคำร้องได้ เพราะมันจำเป็นจะต้องยื่นคำร้องก่อนคุณถึงจะมีสิทธิ์ใช้เครื่องมือรับสัญญาณเพื่อดักฟังเสียงการสนทนาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะได้  ดังนั้นการสนทนาผ่านโทรศัพท์สาธารณะนี้จึงถือเป็นความลับส่วนบุคคลอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถดักฟังได้ ซึ่งในเรื่องเนี่ย ถ้าจะต้องพูดจริงๆนะ โดยส่วนตัวแล้วเย่จู่ซินที่รับบทเป็นตำรวจก็รู้สึกสังหรณ์ใจอยู่แล้วล่ะ คิดว่าเฉินจิ้งมักจะมีการอ้างหลักฐานแก้ตัวตลอดว่าเธอไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุตลอด ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาไหนก็ดูจะไม่มีทางที่จะเป็นฝีมือเธอ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ดี แต่ตอนนั้นเขายังไม่สามารถพอที่จะขอดักฟังการสนทนาได้

รายการเฟยฉางเต้า:ยังมีวิธีการเอาศพไปทิ้งอีก ที่ตอนแรกคุณคิดจะฝังมันไว้บนภูเขาใช่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:เรื่องนั้นผมโดนด่าไปเรียบร้อยแล้วครับ ในกระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน ผมถูกผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านท้าทายและจ้องจับผิดไม่หยุดเลยครับจนสุดท้ายพวกเราก็คิดได้  อันนี้ไม่รู้จะพูดดีมั้ยเรื่องนี้โยงไปถึงศาสตร์ของการเอาศพไปทิ้งอย่างสมบูรณ์และเพอร์เฟคด้วยนะ มีบางครั้งที่การจัดการกับศพนั้นเราทำกันผิดวิธี จากตอนแรกที่ผมคิดว่าจะเอาศพไปฝังไว้ซักที่บนภูเขาทีนี้พนักงานจากฝ่ายอาร์ตของเราครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้นะ อาจเป็นเพราะสายการทำงานของเขาหรืออาจเป็นเพราะความสนใจส่วนตัวที่ทำให้เขาได้ศึกษาวิจัยในศาสตร์เหล่านี้มาเป็นอย่างดี อย่างเช่น “100เทคนิคการฆ่าคน” “100 เทคนิคการจัดการกับศพ”หรือแม้กระทั่ง “How to ศาสตร์การทิ้งศพอย่างผู้เชี่ยวชาญ” ฯลฯ ซึ่งเขาได้มีการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มา เขาได้เสนอข้อคัดค้านลงในกลุ่มวีแชทของพวกเรา เขาบอกว่า “จะเอาศพไปฝังบนภูเขาได้ยังไง? ในนิยายที่เขาเขียนว่าเอาซากศพไปทิ้งลงน้ำน่ะ เขาได้มีการศึกษามาแล้วนะถึงได้เขียนออกมาแบบนั้น” ซึ่งในเชิงรูปธรรมเขาศึกษากันยังไงก็คงจะไม่เอามาสอนทุกคนหรอกนะครับ คือผมถามไปว่า ทำไมถึงจะเอาศพไปทิ้งบนภูเขาไม่ได้?  เขาก็บอกว่า “หัวกะโหลกของมนุษย์เนี่ยจะ50 ปีหรือจะกี่ปีก็ตามมันก็จะยังไม่ผุกร่อนนะแบบนี้ถ้าสุนัขตำรวจเข้าไปแค่แป๊บเดียวก็ดมหาเจอแล้ว!แล้วคนที่ไอคิวสูงๆอย่างฉือเฉินถ้าจะก่ออาชญากรรมทั้งทีก็คงไม่ทำอะไรผิดพลาดแบบนี้แน่ๆ ในเมื่อทุกๆสถานการณ์เขาก็วางแผนการก่ออาชญากรรมได้อย่างสมบูรณ์เพอร์เฟคตลอด เพราะฉะนั้นในขั้นตอนของการเอาศพไปทิ้งนี้ เขาไม่มีทางจะทำเรื่องผิดพลาดที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ได้เป็นอันขาด!” เขาคัดค้านอย่างหนัก พอเขาใส่จบไอ้ที่ด่าผมก็ด่าจนถึงแค่นั้น หลังจากนั้นเขาก็ไปพูดๆๆกับทีมร่างบท จัดไป 1 ยกเสร็จแล้วเขาก็ไม่สนผมละ ตอนแรกทีมร่างบทภาพยนตร์ก็คิดเหมือนกันว่า “แล้วทำไมล่ะ? ภูเขาใหญ่จะตาย ถ้าสุนัขตำรวจเข้าไปหา ก็จะต้องหาเจอเท่านั้นเลยหรือไง?” ทีมร่างบทภาพยนตร์ก็โกรธมากๆเหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็เข้าไปพูดว่า พอๆๆ ไม่ต้องทะเลาะกันละ ในนิยายเขาเขียนว่าโยนทิ้งลงน้ำ เรื่องนี้มันไม่ใช่จุดร้ายแรง เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนมัน แต่ก็คงจะไม่อยู่ๆก็โยนทิ้งน้ำไปแบบส่งๆเหมือนกันมันเป็นเหตุอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ ยังไงๆเราก็ต้องหาทางจัดการกับส่วนนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องวิธีการผมไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะยังไงในหนังก็มีบอกอยู่แล้ว และในหนังยังมีชิ้นส่วนของศพปลอมอที่พวกเรานั่งประดิษฐ์กันจริงๆด้วยนะครับ พวกเราทำขึ้นอย่างพิถีพิถันและผลิตโดยใช้เทคนิคชั้นสูง ผมเองก็คงจะพูดได้แค่นี้แหละครับ

รายการเฟยฉางเต้า:ในครั้งนี้ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่ได้มีการเข้าไปปรับ-เรียบเรียงอีกใช่ไหมคะ อย่างเช่นในส่วนที่ใช้อุปกรณ์ตรวจจับการซุ่มยิงเพื่อปะทะกับถางชวน โครงเรื่องนี้มาจากนิยายต้นฉบับแน่ แต่เพื่อเพิ่มบทแอคชั่นกับฉากไล่ตามรถ ก็เลยทำออกมาเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ?”

ซูโหย่วเผิง: จริงๆแล้วนี่เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของต้นฉบับนะครับ จริงๆแล้วสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ขึ้นแบบองค์รวมซึ่งในครั้งนี้ที่พวกเราได้ปรับ-เรียบเรียงให้มีฉากไล่ตามรถเพิ่มขึ้นมา ก็เพราะเนื้อหาในต้นฉบับมีเพียงแค่ฉากการปะทะคารมกันเท่านั้น ก็เหมือนกับที่ผมพูดไปเมื่อกี๊แหละครับ ผมรู้สึกห่วงกับความรู้สึกของคนดู กลัวว่าทุกคนจะเบื่อ ซึ่งถ้ามันเป็นแค่เนื้อเรื่องที่เป็นตัวหนังสือก็ช่างมันไปเถอะครับ แต่ถ้าหากมาดูหนังแล้วยังมีแค่ฉากพูดกันไปพูดกันมาไม่หยุดอีก อาศัยแค่บทพูดเป็นตัวแสดงข้อเท็จจริงไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็น่าเบื่อแย่สิ...  สำหรับอุปกรณ์ประกอบการแสดงประเภทHighไอคิวและใช้เทคนิคชั้นสูงอย่างอุปกรณ์ตรวจจับแหล่งที่มาของเสียงที่เกิดจากการซุ่มยิงนี้ จริงๆแล้วก็เคยเห็นมีปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง “กาลิเลโอ ยอดอัจฉริยะไขคดีป่วน” ด้วยเหมือนกันนะครับนี่ก็ถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง

รายการเฟยฉางเต้า:เมื่อก่อนคุณเองก็เคยถูกเข้าใจว่าเป็นศิลปินชายในฝัน  ซึ่งตอนนี้คุณก็ได้ก้าวผ่านจุดเปลี่ยนของตัวเองมาแล้วหลายครั้ง อย่างครั้งหนึ่งที่คุณรู้สึกภาคภูมิใจมากๆเลยก็คือ ตอนที่คุณคว้ารางวัลช่อดอกไม้ไปครอง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพราะช่วงนั้นคุณรู้สึกว่ามันติดอยู่แค่นั้นก็เลยอยากจะลองหาบทบาทอะไรใหม่ๆให้กับชีวิตดูบ้างใช่ไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ตัวผมเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจะชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจมากเกินไปอยู่แล้วนะครับการทำอะไรที่ซ้ำซากแถมง่ายและคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็จะทำให้รู้สึกเซ็งนิดหน่อย ผมจะชอบทำอะไรที่ต้องคิดวิเคราะห์ แต่เรื่องบางเรื่องที่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ก็จะมีระดับความยากในตัวของมันด้วยเหมือนกันอาจเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของคุณในตอนนี้ มีบางทีที่มันดูไม่สมควร และมีบางครั้งที่ต้องเผชิญกับล้มเหลว แต่ก็มีบางครั้งที่เราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้สำเร็จจริงๆ

รายการเฟยฉางเต้า:ในตอนนั้น ที่คุณยังแสดงเรื่อง “Design of Death” กับเรื่อง“โจโฉ” อยู่ มันเป็นบทตัวร้ายทั้งหมดเลยนะคะ ในตอนนั้นก็เลยแอบคิดว่า เหมือนซูโหย่วเผิงจะค้นพบแนวการแสดงของตัวเองได้อีกแนวอย่างทันทีทันใด...

ซูโหย่วเผิง:จริงๆแล้วตอนนั้นผมไม่ได้เซตแนวอะไรไว้เลยครับ แค่หวังว่า ทุกๆขั้นตอนของการสร้างสรรค์ผลงานมันจะออกมาน่าสนใจ มีบทบาทบางอย่างที่ไม่ซ้ำกับของเก่า แต่ว่า บทแบบนั้นมันก็ยากมากจริงๆ  มีธรรมเนียมปฏิบัติอะไรเยอะ ซึ่งตัวละครพิเศษๆแบบนี้มีน้อยนะ

รายการเฟยฉางเต้า:งั้นคุณคิดว่า การที่ได้ก้าวมาเป็นผู้กำกับ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในสายงานของคุณ ที่นับว่าประสบความสำเร็จอีกสายงานหนึ่งด้วยไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:มันถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งครับ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง อายุผมในตอนนี้มันยังจะต้องข้ามไปสู่ขอบเขตใหม่ๆอีกครับเหมือนกับการปีนขึ้นสู่อีกยอดเขาหนึ่งซึ่งมันจะต้องอาศัยความพยายามและทุ่มเทขึ้นอีกเป็นเท่าตัวครับ

รายการเฟยฉางเต้า:หลังจากภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” ได้สิ้นสุดลง คุณได้ให้ลองคะแนนฝีมือการกำกับภาพยนตร์ของตัวเองบ้างหรือเปล่าคะ?

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะออกมาเพอร์เฟคนะครับ เพราะก่อนที่จะเริ่มผมเองก็ไม่ได้คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าต่อไปจะได้ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ มันเหมือนเป็นช่วงของการก้าวไปข้างหน้า  และในขณะเดียวกัน สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าทุกๆครั้งของการเข้าไปลองมันคือโอกาสของการเรียนรู้ ซึ่งผมเองก็ได้รับบทเรียนบางอย่างมาด้วยนะ

จริงๆแล้วภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” มีจังหวะหนังไปในแนวดราม่าเมื่อเอาไปลงในตลาดจีนเมื่อสองปีที่แล้วกับคำนิยามที่ทุกๆคนมีต่อหนังวัยรุ่นผมคิดว่ามันค่อนข้างจะจำกัดไปหน่อยนะครับเพราะหนังวัยรุ่นมันไม่ได้มีแค่แบบเดียว ตอนนั้นทุกๆคนมักจะคิดว่า ถ้าฉันจะดูหนังวัยรุ่น ก็หมายความว่าฉันจะเข้าโรงหนังเพื่อไปตามหาความหลังของฉัน “โอ๊ยหล่อ!โอ๊ยใช่เลย!สมัยฉันเรียนอยู่ในโรงเรียนก็เป็นแบบนี้แหละ!”  ทุกๆคนเซตผู้ชมกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มนักเรียนกับกลุ่มนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบกันหมด  ซึ่งสำหรับคนที่อายุประมาณนั้น ก็น่าจะชื่นชอบหนังแนววัยรุ่นฮอตๆเสียมากกว่า ไม่ค่อยเห็นใครจะชอบหนังแนวเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง“The Left Ear” ที่จะออกไปในทางของการสัมผัสกับประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นของคนคนนึงกับการได้เรียนรู้และโตขึ้น ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง  “The Left Ear” มีเนื้อหาของความเป็นปฏิปักษ์กันของวัยรุ่น มีการที่จะต้องชดใช้กันมีขอบเขตความคิดในแบบต่างๆ และสุดท้ายก็โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่...

ส่วนประเด็นข้อที่สอง  ผมคิดว่า คุณจะต้องรู้ว่ากลุ่มผู้ชมหลักๆของคุณเป็นใคร ถ้าคุณยึดตัวเองเป็นหลักมากจนเกินไปคุณก็อาจจะตีโจทย์ในสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่แตก แบบนี้แล้วพวกเขาก็จะออกมาโจมตีคุณกลับในภายหลัง คุณจึงจะต้องเคารพตลาด และต้องเคารพคนดูด้วยประมาณนี้ครับ...    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ลูกเล่นที่จะเอาใจตลาดกับเรื่องของคุณค่าเชิงศิลปะวรรณคดีครับ  ในเรื่องของระดับเนี่ย...  จากทั้งสองฝั่งแล้วคุณจะเน้นให้มันออกมาตรงใจตลาดมากกว่า  หรือจะเน้นเรื่องของคุณค่าเชิงวรรณกรรมมากกว่ากัน นี่คือสิ่งที่คุณต้องเลือก  และหลังจากที่เลือกแล้ว  ข้อแรกเลย  คุณมีความสามารถพอที่จะทำให้เข้าขั้นได้หรือเปล่า หลังจากทำได้เข้าขั้นแล้ว คุณจะสามารถยอมรับกระแส feedback ที่ตลาดตอบกลับมาได้หรือเปล่า  ผมคิดว่าจากการทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” ทำให้ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์ในหลายๆเรื่องเลยล่ะครับ

รายการเฟยฉางเต้า:ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าหลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X” เสร็จ ตอนนี้คุณมีความมั่นใจที่จะเป็นผู้กำกับแล้วหรือยังคะ? จะเดินหน้าต่อหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง:ก็คงต้องดูกระแสการตอบรับจากผู้ชมแล้วล่ะครับ

รายการเฟยฉางเต้า:เพราะคุณเองก็เคยเซ็นสัญญาการเป็นผู้กำกับมาถึง 2 เรื่องแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าต่อไปจะยังมีการเซ็นสัญญาเป็นผู้กำกับอีกหรือเปล่าน่ะค่ะ? หรือว่าคุณจะค่อยๆดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆก่อน?

ซูโหย่วเผิง:ตอนแรกก็คิดว่าจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปน่ะนะครับ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าการเป็นผู้กำกับก็ดูน่าสนใจดี ปวดหมองดีด้วย ไม่ใช่แค่นักแสดงสองคนที่ปะทะกันในจอจนจนพวกเขารู้สึกปวดหมองนะ การปะทะไอคิวของทั้งสองก็ทำให้คนที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์อย่างผมปวดประสาทไปด้วยเหมือนกัน คือมันเหนื่อยแต่ก็แฮปปี้ดีนะ ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจดี น่าจะไปต่อแหละครับ

รายการเฟยฉางเต้า:คุณคิดว่า คุณหาสไตล์การเป็นผู้กำกับของตัวเองเจอแล้วหรือยังคะ?

ซูโหย่วเผิง:ตั้งแต่ทำภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” คนรอบข้างผมก็ยกประเด็น “สไตล์ผู้กำกับ” คำนี้ขึ้นมาพูดกันนะ ซึ่งตอนนั้นผมไม่แคร์กับเรื่องนั้นเลยจริงๆ เพราะมีบางคนเนี่ย... เพื่อคำว่า “สไตล์ผู้กำกับ”แล้ว ก็ถึงขั้นแปะฉลากให้กับตัวเอง คือไม่ว่าหนังเรื่องไหนๆ ก็จะต้องมีอันนี้ใส่ลงไปนะ ต้องเกี่ยวเนื่องกับอันนี้ด้วยนะ อะไรประมาณนี้ครับ ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด ในภาพยนตร์ของผม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความนัยแฝงของเรื่องนั้นๆน่ะครับ

พอถ่ายทำเสร็จทั้งสองเรื่อง ผมก็พบว่า จริงๆแล้วเมื่อคุณเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถ มีความกล้าหาญ และซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเองมากๆแล้ว คุณค่าเชิงวรรณคดีหลายๆอย่างที่สะท้อนออกมา รวมไปถึงวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวของคุณหรืออารมณ์หนังที่คุณทำ สิ่งต่างๆเหล่านี้จะค่อยๆกลายมาเป็นสไตล์ของคุณ ไม่ใช่ว่า ในช่วงเริ่มต้นการถ่ายทำ คุณก็เซตสไตล์ของคุณเอาไว้แล้วเรียบร้อย เสร็จแล้วคุณก็จะต้องไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองเมื่อนั้นภาพยนตร์ก็จะออกมาในแบบที่คุณเป็น

รายการเฟยฉางเต้า:คุณได้มีความคาดหมายกับเรื่องของการตลาดหรือคำยกย่องที่จะมีต่อภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X”บ้างไหมคะ? เจ้านายของคุณกดดันคุณบ้างหรือเปล่า?

ซูโหย่วเผิง:เจ้านายไม่ได้กดดันครับ แต่ก็มีบางครั้งที่การสร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ของพวกเราจะมีการชักกะเย่อกันจริงๆก็เหมือนอย่างที่ผมพูดไปน่ะนะครับ  ผมคิดว่างานของผู้กำกับก็คือ ผมจะต้องเฝ้าปกป้องรักษาภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ พยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อสะท้อนให้ความเป็นศิลปะของมันถูกแสดงออกมาอย่างอลังการที่สุด ซึ่งในแต่ละฝ่ายเองก็อาจจะมีเป้าหมายของฝ่ายพวกเขาที่ไม่เหมือนกัน อาจจะเพราะยืนอยู่ในคนละจุดกันก็เลยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน

ยกตัวอย่างเช่นฝ่ายเปิดฉากการแสดงซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็จะต้องหวังกันแน่นอนอยู่แล้วแหละครับเขาบอกว่า...  ผู้กำกับให้ส่วนของผมออกมาอลังการที่สุดสิ ผมจะได้มีแรงกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไง ผมก็บอกว่า ถ้าส่วนของคุณอลังฯสุด งั้นหนังผมทั้งเรื่องจะทำยังไงล่ะ มันไม่ใช่โฆษณาความยาว 1 ชั่วโมง20นะ...   ก็คือมักจะมีการชักกะเย่อกันในลักษณะแบบนี้ตรงส่วนกลางๆเรื่องก็มีที่ทัศนคติที่ไม่ค่อยตรงกันบ้างเหมือนกัน ตอนที่โต้แย้งกันแบบดุเดือดก็โวยวายจนต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกันขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังคงประนีประนอมกันและช่วยทำให้มุมมองของผู้กำกับคนนึงสมหวังได้นะ

รายการเฟยฉางเต้า:ระยะนี้การแสดงออกของนักแสดงไอดอลอายุน้อยๆ ได้มีบางจุดที่นำไปสู่ประเด็นการโต้เถียงบางอย่าง ซึ่งตัวคุณเองเป็นนักแสดงที่ได้สลัดคราบของศิลปินหนุ่มโอปป้าออกและทะลวงความสามารถที่ติดค้างอยู่แค่นั้นไปได้ คุณมีคำแนะนำอะไรฝากไปถึงพวกเขาไหมคะ?

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่อายุน้อยหรือว่าอายุมาก ประสบการณ์น้อยหรือว่าประสบการณ์มาก รวมไปถึงตัวผมเองที่ตอนนี้อาจจะทำงานอยู่ในเบื้องหลัง และรวมไปถึงทีมงานเบื้องหลังทุกๆคนก็เหมือนๆกันทั้งนั้นแหละครับ ผมคิดว่าการที่เราให้เกียรติและนับถือในสายงานของตัวเราเอง และมีความเคารพยำเกรงในมันอยู่เสมอจะทำให้คุณพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดนิ่งครับ

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
source
http://ent.ifeng.com/fcd/new/special/suyoupeng/
http://www.weibo.com/1704024994/ECtFReCHz?type=repost#_rnd1499004295640
http://photo.weibo.com/1704024994/wbphotos/large/mid/4091705353485365/pid/65915ba2ly1fe67j8g34xj20c88u1x6r

[非常道]处女座导演苏有朋揭秘《嫌疑人》
[เฟยฉางเต้า] ผู้กำกับชาวราศีกันย์ ซูโหย่วเผิง ไขปริศนา《ผู้ต้องสงสัย》


“เฟยฉางต้าว” ผู้กำกับมือใหม่ซูโหย่วเผิงเผยความลับภาพยนตร์ เสียนอี๋เหรินฯ The Devotion Of Suspect X

ตั้งแต่นักร้องไอดอลแห่งวงเสี่ยวหู่ตุ้ย ถึงนักแสดงมากฝีมือจากละครองค์หญิงกำมะลอ ปัจจุบัน ซูโหย่วเผิงที่อายุ 44 ปี ได้เปลี่ยนบทบาทอีกครั้ง สู่การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ วันที่ 31 มีนาคม เวลา 14.00 น. ซูโหย่วเผิงเป็นแขกรับเชิญในรายการ “เฟิงหวงหว่างเฟยฉางต้าว” พาทุกท่านรู้จักกับภาพยนตร์เรื่อง เสียนอี๋เหรินฯ The Devotion Of Suspect X

“เฟยฉางต้าว” สัปดาห์นี้มาแล้ว อยากรู้ว่าผลงานชิ้นที่ 2 ของ “ผู้กำกับมือใหม่” ท่านนี้จะเป็นอย่างไร เชิญไปชมภาพยนตร์ “เสียนอี๋เหรินฯ” The Devotion Of Suspect X ภาคจีนได้เลย

สำหรับการเคยเป็น “หนุ่มน้อย” ซูโหย่วเผิงเผยว่าการจะเป็นที่ยอมรับในฐานะไอดอลได้ไม่มีคำว่าทางลัด ไม่ว่าอายุจะน้อยหรือมาก ล้วนแต่ต้องมีความเคารพในอาชีพของตนเอง อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะมีความก้าวหน้า   

การเป็นผู้กำกับครั้งที่ 2 นี้ ซูโหย่วเผิงมีความคุ้นเคยกว่าครั้งแรกมาก เขาบอกว่า “โจ่วเอ่อ” The Left Ear ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้ตนได้เรียนรู้อะไรมากมาย

สำหรับรายละเอียดของฉากที่มีการนำศพไปไว้ริมฝั่นแม่น้ำบนภูเขา ซูโหย่วเผิงถูกผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆท้วงติง ถูกเสียดสีอยู่ตลอด
เพื่อให้รายละเอียดในภาพยนตร์เรื่องนี้สมจริงมากขึ้น ซูโหย่วเผิงและทีมงานได้ทำการบ้านอย่างหนัก ทั้งยังเชิญผู้เชี่ยวชาญมากมาย “มีผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์ ด้านตำรวจ ด้านคณิตศาสตร์ ทำให้สมจริงมากที่สุดในทุกฉากทุกตอน เพราะผมรู้ว่าพอมีข่าวว่าผมจะทำภาพยนตร์เรื่องนี้ แฟนหนังสือก็พร้อมที่จะจับผิดผมแล้ว”

หลินซินหยูที่เพิ่งมีงานมงคลไปเมื่อปีที่แล้ว กลับรับปากซูโหย่วเผิงร่วมแสดงในบทที่แสนขมขื่นบทนี้ ทั้งยังมาถ่ายทำขณะตั้งครรภ์อยู่ด้วย ซูโหย่วเผิงบอกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองแล้ว เขาอาจจะไม่รับเลยก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นต้องขอขอบคุณสปิริตของหลินซินหยูจริงๆ 

ในภาพยนตร์ เสียนอี๋เหรินฯThe Devotion Of Suspect X ภาคจีนนี้ หลินซินหยูเพื่อนรักของซูโหย่วเผิงก็ได้มาช่วยเหลือโดยการรับบทเป็นนักแสดงนำหญิง ซูโหย่วเผิงให้คำจำกัดความมิตรภาพของทั้งสองไว้ว่า “สำหรับพวกเรา ไม่ต้องติดต่อ ไม่ต้องพูดมาก ก็รีบมาแล้ว” มิตรภาพของ “องค์ชายห้า” และ “จื่อเวย” ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

เมื่อพูดถึงนักแสดงในเรื่อง หวังข่าย รับบทเป็นถังชวน นักสืบผู้มีพรสวรรค์ จางหลู่อี รับบทเป็น สือหง ผู้ต้องสงสัยที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ ซูโหย่วเผิงบอกว่า พวกเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับบทเหล่านี้

จาก “โจ่วเอ่อ” The Left Ear สู่ “เสียนอี๋เหรินฯ” The Devotion Of Suspect X ซูโหย่วเผิงต้องผ่านด่านที่ยากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนบทภาพยนตร์จากนิยายของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ เรื่อง เสียนอี๋เหรินฯ The Devotion Of Suspect X นี้ ยิ่งเคยมีภาคญี่ปุ่นมาก่อนแล้ว ความกดดันก็ยิ่งมีมากขึ้น อย่างไรก็ตามซูโหย่วเผิงก็ปล่อยมุกตลกๆว่าตน “นิสัยโหดร้ายนิดหน่อย”  “เรียบๆเกินไปก็น่าเบื่อ”  ดังนั้นก็เลยมักอยากท้าทายขีดจำกัดของตัวเองอยู่เสมอ 

ซูโหย่วเผิงเผยอายุขนาดนี้แล้ว ตัวตนที่แท้จริงจะสบายๆ ง่ายๆ อย่างไร แต่เมื่อถ่ายภาพยนตร์ หน้าที่ของตัวเองคือเป็นผู้กำกับ ดังนั้นก็ “ต้องมีอีกหน้ากากหนึ่ง”

การสัมภาษณ์ใกล้ออกอากาศแล้ว เพื่อนๆที่ชอบซูโหย่วเผิง เสี่ยวเฝิงของส่งรูปให้ดูก่อนแล้วกัน บ่ายสอง มีนัดกับผู้กำกับซูโหย่วเผิงใน “เฟยฉางต้าว”



http://ent.ifeng.com/fcd/new/special/suyoupeng/zhibo.shtml
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1362610940444062
http://www.weibo.com/1704024994/ECtFReCHz?type=repost#_rnd1498977982994

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
VDO
http://www.weibo.com/1704024994/EClqhrjoc?type=repost

[非常道]处女座导演苏有朋揭秘《嫌疑人》
http://ent.ifeng.com/fcd/new/special/suyoupeng/zhibo.shtml
http://tieba.baidu.com/p/5053205755

[2017.03.31] 苏有朋做客《非常道》 贡献“十八般表情包”
http://ent.ifeng.com/a/20170331/42895532_0.shtml#p=1
http://www.weibo.com/1704024994/ECtFReCHz?type=repost#_rnd1491043328758

凤凰网娱乐讯 从小虎队的偶像歌手,到《还珠》、《情深深雨蒙蒙》中的实力演员,而今,44岁的苏有朋转身一变,成为一位电影导演,而且还是个被演员们“吐槽”的处女座导演!3月31日14:00,《嫌疑人X的献身》导演苏有朋,做客《凤凰网非常道》,畅聊《嫌疑人X的献身》戏里戏外那些事。