Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Interviews & Video Clips

2010 Chu Wan Hui Ke Ting

(1/4) > >>

Chomnath:
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ 

“ชุนหวันหุ่ยเค่อทิง-ค่ำคืนแห่งการสนทนาในห้องรับแขก”

11 กุมภาพันธ์ 2010
http://player.youku.com/player.php/sid/XODgxNjE1NzI4/v.swf

专访苏有朋(春晚会客厅 搜狐娱乐)part 1
https://www.youtube.com/watch?v=LCjmgDTxXkU

【补】苏有朋专访(春晚会客厅 搜狐娱乐)part 2
https://www.youtube.com/watch?v=iWCj3DfF1u0

新浪网-苏有朋_2010春晚会客厅(清晰完整版)
http://v.youku.com/v_show/id_XODgxNjE1NzI4.html

搜狐春晚会客厅-苏有朋
http://www.tudou.com/programs/view/lczETHA1BT4/


Chomnath:
โหย่วเผิง-หวงยุ้ย น้ำตาคลอ - การรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นระเบิดทั่วจอเลย

หวงยุ้ย : ที่นี่เป็นรายการ “ชุนหวันหุ่ยเค่อทิง” ซึ่งร่วมกันจัดโดยสถานีหูหนัน กระผมหวงยุ้ย แขกรับเชิญที่จะมารายการของเรานั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติจากสถานียางซือในรายการราตรีตรุษจีน ขอพวกเรายินดีต้อนรับ คุณ ซูโหย่วเผิง

โหย่วเผิง :สวัสดีครับ สวัสดีผู้ชมทุกท่าน ผมชื่อ ซูโหย่วเผิง

(ภาพและเสียงบรรยาย)

หวงยุ้ย : ระยะนี้ ผมเองรู้สึกว่าทุกคนกำลังเพ่งสนใจกับการรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ย ที่จะมาในรายการราตรีตรุษจีนของยางซื่อ เพราะมันได้นำมาซึ่งความทรงจำที่ดีมากมายมาสู่พวกเรา และเป็นสิ่งที่พวกเราเฝ้ารอคอยกัน อาจเรียกได้ว่ามาร่วมกันหวนย้อนอดีตด้วยกัน เมื่อวานผมได้ดูการซ้อมการแสดงของพวกคุณไปแล้ว ตลอดเวลาแห่งการซ้อมนั้นผมเองก็ได้นั่งอยู่ข้างล่าง และกับเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนเราต่างก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่

โหย่วเผิง : ผมเองก็กลั้นไม่อยู่เหมือนกัน

หวงยุ้ย : ใช่ๆๆ ตัวเองก็กลั้นไม่อยู่ ความรู้สึกอย่างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ผมอยากจะรู้จัง

โหย่วเผิง : ตอนนั้นสมองผมมึนไปหมด คิดว่าคนที่ร่วมเติบโตมากับพวกเราก็จะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ตอนนั้นก่อนที่จื้อเผิงจะไปเกณฑ์ทหารนั้นพวกเราได้จัดคอนเสิร์ต “แล้วพบกันใหม่”ขึ้น ตอนนั้นอยู่บนเวที อายุผมยังน้อย ไม่ค่อยรู้ว่าอะไรคือความเจ็บปวดของการลาจาก ไม่รู้ว่าพวกเราจะจากกันในทันใด

หวงยุ้ย : ไม่เข้าใจว่าการลาจากคืออะไรหรือ?

โหย่วเผิง : ใช่ ตอนที่อยู่บนเวที ทันใดที่ร้องเพลง “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” นั้น สมองผมมึนไปหมด คิดขึ้นทันใดว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะร้องเพลงบนเวทีหรือเปล่า หรือว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสร้องเพลงอีกแล้วหรือเปล่า ตอนนั้นผมเองก็เศร้าใจอย่างหนัก ทำให้ร้องเพลงไม่ออกเลย เมื่อวานความรู้สึกอย่างนี้ก็เกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการซ้อมมาหลายครั้งแล้ว ผมคิดว่า ชัวร์แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะเมื่อวานเป็นครั้งแรกที่มีผู้ชมเข้ามาอยู่หน้าเวที จากนั้นพวกเราได้โผล่มาจากใต้เวที เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น จากนั้นผู้ชมข้างล่างต่างก็ปรบมือให้ จริงๆ แล้วทางผู้กำกับ ได้เตรียมกับพวกเราไว้ว่า พวกคุณได้ตกลงกันแล้วมิใช่หรือ? ทั้ง 3 คนจะยืน pose ท่า ให้มันเทห์ๆ ทำไมไกวไกวหู่ อยู่ที่นั่น หัวเราะอะไร มีอะไรทำให้ดีใจหรือ?

ผมตอบว่า ผมควบคุมมันไม่อยู่ ตอนที่ขึ้นมานั้น ทุกคนก็ปรบมือ มันทำให้ผมมีความสุขมากๆในทันใด ทำให้ผมไม่สามารถทำได้ คุณรู้ไหม? จากนั้นอารมณ์ก็เริ่มเข้ามา แล้วยืนอยู่ตำแหน่งของตัวเอง แล้วดนตรีก็เริ่มดังขึ้น เหมือนกับว่าผมกำลังย้อนกลับไปอยู่ในวัยเด็ก ทันใดคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ จนมาถึงเพลงที่ 2 อารมณ์ถึงจะเข้าที่ แล้วเพลงที่ 3 มันนานแล้วที่ผมได้เคยได้สัมผัสและมีความรู้สึกที่เป็นขวัญใจของคนอื่น

หวงยุ้ย : นั่นเป็นเรื่องราวในสมัยอดีต

โหย่วเผิง : ใช่ มาถึงเพลงที่ 3 ผมถึงจะมีอารมณ์ร้อง เริ่มปล่อยตัวสบาย แล้วก็เริ่มเข้าปี่เข้าขลุ่ย และหลังจากเพลงนี้จบไปและพวกเราเดินลงจากเวที อารมณ์ของผมก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง

หวงยุ้ย : ตัวผมเองก็เข้าใจในอารมณ์อย่างนั้นเป็นอย่างดี เพราะขณะที่พวกเราได้ยินเสียงเพลงตอนอยู่ข้างนอกนั้น ทุกคนก็ล้วนดังเหมือนกัน คิดว่าความรู้สึกอย่างนั้นก็เสมือนตัวเองได้หวนคิดถึงอดีต อะไรเล็กๆน้อยๆมันสะกิดใจเรา และตอนที่คุณอยู่บนเวที หลังจากที่คุณลงจากเวทีแล้ว พวกคุณแต่งชุดที่เหมือนกัน พวกเราเห็นอย่างเดียวกันว่า ขณะที่พวกคุณใส่เสื้อเหมือนกันนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยได้กลับมาแล้ว เป็นเสียวหู่ตุ้ยจริงๆ ไม่ว่าเวลาจะห่างกันไปกี่ปีก็ตาม พวกคุณยังเป็นเสี่ยวหุ่ตุ้ยอยู่ดี

โหย่วเผิง : ใช่

หวงยุ้ย : คุณมีความรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า?

โหย่วเผิง : พูดตรงๆว่า เริ่มแรกนั้น ผมคิดอยู่เสมอว่า คำว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นั้นเป็นคำที่คลาสสิค มันสูงเกินกว่าพวกเราทั้ง 3 คนแล้ว ไม่เพียงแต่เป็นของพวกเรา มันกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งไปแล้ว เป็นนามไปแล้ว น่าจะเป็นชื่อหนึ่งที่มีความหมายในแวดวงบันเทิงของชาวจีน

ตลอดเวลา ผมกลัวว่า เมื่อเราได้มีการรวมตัวกันแล้ว การแสดงของเราจะสู้ในอดีตไม่ได้ จะทำให้ความคลาสสิคของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”เสื่อมไป และจะทำให้คุณค่า เสียวหู่ตุ้ย ในใจของทุกคนลดลงไป ผมยังคิดว่า หากการแสดงผิดพลาดขึ้นมา หรือเราทำไม่ได้ดีพอ ก็เหมือนกับการทำลายตัวเอง ก็เหมือนกับไมเคิล แจ๊กสัน หากว่าเขามีชีวิตอยู่ แล้วงานคอนเสิรต์ของเขากลับทำได้ไม่ดีพอ หรือว่าเวลาที่เขาเต้นอาจล้มลงไป ทุกคนก็จะคิดว่า คุณไม่มาเต้นไม่มาแสดงจะดีกว่า

เดิมทีนั้นผมเองก็คิดหนักเหมือนกัน ไม่อยากทำลายภาพ เสียวหู่ตุ้ย ในหัวใจของทุกคน แต่วันนี้ ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าหลังจากที่พวกเราได้มีการซ้อมการแสดงไปแล้ว ทุกคนก็ตั้งใจมากๆ บ้างก็ลดน้ำหนัก บ้างก็ตัดผม โกนหนวด พวกเราแต่ละคนก็ล้วนพยายามทำอย่างที่สุด เพื่อจะให้มีบรรยากาศอย่างอดีต ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชุดที่จัดไว้สำหรับคืนนั้น มองแล้วทุกอย่างมันเข้ากับบรรยากาศอดีตมากๆ เลยทีเดียวเชียว

หวงยุ้ย : เสี่ยวหู่ตุ้ย ในใจคุณกับในใจของพวกเราคงคิด รู้สึกต่างกัน แท้จริงแล้วเป็นวงศิลปินอย่างไรกันแน่ หรือว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เป็นอย่างไร?

โหย่วเผิง : จริงๆ แล้ว คงไม่ต่างกันหรอก ผมรู้สึกว่า มันเป็นช่วงวัยหนุ่มสาวของพวกเรา ต่างกันเพียงแค่ คุณโตมากับการฟังเพลง แต่ผมโตมากับการร้องเพลง สำหรับผมแล้ว ผมได้โตมากับการร้องเพลงเหล่านี้ คุณอาจฟังไปแล้ว 100 รอบ ผมเองอาจร้องไปแล้ว 1,000 รอบอะไรอย่างนั้น สำหรับคนรุ่นนี้หรือผู้ฟังนั้น พวกคุณอาจมีเรื่องราววัยหนุ่มสาวมากมาย และตัวผมเองก็ไม่ต่างกับพวกคุณ หลังจากที่ผมเข้าสู่ วงเสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว วิถีชีวิตของผม กับคนในวัยเดียวกันกับผมก็เริ่มแตกต่างกันไป ผมก็เริ่มที่จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการงาน เพราะตอนนั้นการเรียนผมก็ยังถือว่าโอเค ทั้งอาจารย์และเพื่อนๆต่างก็คิดว่าอนาคตนั้นผมอาจเป็นถึง ดร. หรือเป็นทนายความ หรือว่าเป็นอาจารย์ แล้วมันไปเป็นศิลปินได้อย่างไร ก็ไม่รู้ มันประหลาดเหมือนกัน

นับแต่นั้น ที่เริ่มย่างก้าวสู่เส้นทางนี้ จะหันกลับก็ไม่ได้แล้ว แน่นอนเริ่มแรกนั้นก็ยังไม่มีชื่อเสียง อายุผมยังน้อย ก็เหมือนกับรูปที่ทุกคนเห็นในสมัยก่อนอย่างนั้น ผมเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ไม่ดื้อ เดียงสา ผมเองก็ไม่รู้ว่านี่เป็นการทำงานแล้ว มันสนุกมาก ทางบริษัทได้จัดตารางให้คุณเรียบร้อย ช่วงปิดเทอมก็จะทำงาน มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ มีอาจารย์มาสอนคุณเต้น มาซ้อมให้กับคุณ บอกว่าตอนออกจากเวทีคุณต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น ผมก็ตอบว่า ครับๆๆ ผมก็แฮปปี้กับมันมาก ไม่คิดอะไรมากมาย แต่ว่าจากนั้นเรื่องราวชีวิตอย่างนี้มันผ่านไปนานเข้านานเข้า ถึงจะรู้ว่าการมีชื่อเสียงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วการมีชื่อเสียงหรือคนอื่นสนใจคุณนั้นจะนำอะไรมาสู่คุณ

จากนั้นตัวเองก็เริ่มมีความทุกข์-สุขส่วนตัวของผมเอง ผมคิดว่ามันก็ไม่ต่างอะไรกับคนรุ่นเดียวกันในช่วงปี 80-90 ตอนนี้ความเดียงสา เด็กดีเหล่านั้นได้จากผมไปแล้ว พวกเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว พวกเราเริ่มเข้าใจแล้วว่า ชีวิตจริงของคนเราเป็นอย่างไร และเพลงเหล่านี้นั้นแท้จริงเป็นมันสื่อถึงอดีตของพวกเราที่อยู่ในวัยช่วงอายุ 10 กว่าถึง 20 ปี มันเคยเป็นช่วงเวลาที่ไร้ทุกข์ไร้โศกของชีวิต

หวงยุ้ย : ฉะนั้นคุณเอา เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นความคลาสสิค เพราะความคลาสสิคอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของคุณ คุณเลยไม่อยากเปิดมันออกอย่างง่ายๆ และไม่อยากจะเตะต้องมันง่ายๆ?

โหย่วเผิง : เรื่องนี้นั้นหากจะพูดแล้วมันอาจมีความซับซ้อน พูดยาก แน่นอนในความรู้สึกของผมนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นช่วงวัยหนุ่มของผม นี่เป็น ความคิดส่วนตัวของผม นี่เป็นความคิดหลังจากที่ตัวเองคิดว่า เริ่มแรกก็เป็นการทำงานแล้ว และสุดท้าย มันก็ได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของผม ซึ่งมันสร้างความอัศจรรย์ให้กับชีวิตผม หรือว่ามันเป็นความคลาสสิค สิ่งนี้นั้นแม้ใครก็คิดไม่ถึง จนมาถึงช่วงหลัง ผมรู้สึกว่าคำว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นั้น ผมเองไม่รู้ว่าพูดถูกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันเป็นความเข้าใจรู้สึกของผม

“เสี่ยวหู่ตุ้ย” คำนี้มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่ดูสง่า มีศักดิ์ศรี มันไม่ได้หมายถึงเพียงพวกเรา 3 คนเท่านั้นแล้ว มันเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว มันเป็นปาฏิหาร์ยของแวดวงบันเทิงชาวจีนไปแล้ว มันมีความหมายอย่างนั้น ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งจะไปแทนได้ คำว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นี้กลายเป็นความคลาสสิค

Chomnath:
(ภาพเสียงบรรยาย)

หวงยุ้ย : เป็นช่วงเวลาหนึ่ง และเป็นยุคสมัยหนึ่ง

โหย่วเผิง : ใช่ มันเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว เป็นสิ่งที่สื่อถึงสมัยนั้น ใจขมขื่นที่ถูกปรับปรำเข้าใจผิดของผมนั้น ไม่มีโอกาสได้ระบายเลย

หวงยุ้ย : ทำไมตรุษจีนปีนี้ ถึงได้มีการมารวมตัวกัน ก่อนหน้านี้เคยมีความคิดที่จะรวมตัวกันไหม หรือเป็นการเจอกัน

โหย่วเผิง : จริงๆแล้วปีนี้ ผมคิดว่าเป็นเวลาที่พอดี ปีนี้เป็นปีเสือ (เสี่ยวหู่แปลว่าเสือ) และพอดีทางผู้จัดรายการประสานมา ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสและเวลาที่เหมาะสมมากๆ จริงๆแล้วตัวเองก็เฝ้ารอเวลาโอกาสที่จะมาร่วมหวนระลึกอดีตกับแฟนๆ ทุกคนเหมือนกัน สำหรับผมแล้ว วิธีการหวนคิดระลึกของแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันออกไป ความคิดของผม ก็เหมือนกับเมื่อกี้ที่พูดไป ความคลาสสิคนี้ไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าการประสบความสำเร็จของ เสี่ยวหู่ตุ้ยนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าการประสบความสำเร็จของพวกเราแต่ละคน หลังจากที่พวกเราแยกทางกัน ผมไม่ต้องการให้ความคลาสสิคนี้โดนทำให้เสื่อมไป หรือว่าทำได้ไม่ดีพอ จนทำให้ความคลาสสิคที่อยู่ในใจของทุกคนต้องเสื่อมไป ผมคิดว่าหากทำไปแล้วมันเป็นอย่างนั้นก็เหมือนการทำบาป

ฉะนั้นผมคิดว่าถ้าจะรวมตัวกันก็ต้องคิดและวางแผนให้ดี สิ่งแรก ผมคิดว่าอย่าไปทำแบบขอไปที ก็เหมือนกับคุณหวังเฟย ก็เป็นความคลาสสิคที่อยู่ในใจของทุกคน หลายคนเติบโตมากับเสียงเพลงของเธอ ผมคิดว่าตัวเธอเองก็เข้าใจดีว่า คำว่า หวังเฟย นั้นไม่ใช่หมายถึงเฉพาะตัวของเธอเท่านั้น เธอจำต้องเอาความคลาสสิคสร้างมันขึ้นมา นั่นถึงจะเป็น หวังเฟย ในใจของคนทุกคน หากว่า หวังเฟย เหมือนกับดาราทั่วไปของวันนี้ รายการใดเชิญก็ตอบรับไปออกรายการด้วย หรือว่ารายการไหนก็เห็นแต่ หวังเฟย คุณก็จะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ หวังเฟย ที่เราชื่นชอบ ทำไมถึงสามัญอย่างนี้ ตัวเธอไม่มีอะไรพิเศษ มันทำให้ไม่มีความรู้สึกเป็นเลิศ ไม่มีความรู้สึกอยากเห็นอย่างนั้นแล้ว

ฉะนั้นผมเองคิดว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็เช่นกัน ฉะนั้นผมก็ได้เฝ้ารอหาโอกาสอย่างนี้ ก็เหมือนกับเมื่อหลายปีที่แล้ว ผมคิดว่า หวังเฟย จะมาร้องเพลงออกรายการกับงานการกุศลที่ใหญ่ๆ หรือว่างานที่ยิ่งใหญ่อะไรสักอย่าง ก็เหมือนกับปีนี้ที่เธออยากจะร้องเพลงแล้ว แล้วเธอก็ได้เลือกเอารายการราตรีตรุษจีน ร้องเพลงหนึ่ง เธอยังคงจะรักษาความเป็น ราชินีหญิง ซึ่งอยู่ในดวงใจของทุกคน ความชื่นชอบต่อเธอนั้นไม่เคยตกต่ำเลย ตลอดเวลาเธอจะอยู่แบบเงียบๆ เธอมีเกียรติ์มาก เธอคลาสสิคมาก เธอเป็นคนที่พิเศษมาก “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ในใจผม ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนี้ และโอกาสเวลาของปีนี้นั้น มันเป็นช่วงที่เหมาะและถึงเวลาแล้ว มันพอดีจริงๆ

หวงยุ้ย : จริงๆ เรื่องเวลาและโอกาสพอดีนั้น ผมอยากจะพูดนอกเรื่องหน่อย จริงๆแล้วเรื่องการรวมตัวการนั้นแฟนๆของทางโซ่วหู่ ก็ได้มีการพยายามเรียกร้อง เพราะก่อนหน้านี้รายการราตรีตรุษจีนนั้น ขณะที่มีการออกแบบสำรวจนั้น มีแฟนคลับของสถานีโซ่วหู่มากมายต้องการจะให้เสี่ยวหู่ตุ้ยรวมตัวกัน แต่สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าทางผู้กำกับผู้จัดรายการก็ได้นำเรื่องนี้ไปพิจารณาและจัดการ จนเรื่องนี้สำเร็จ ฉะนั้นทางแฟนๆของสถานีโซ่วหู่น่าจะมีผลต่อการรวมตัวครั้งนี้ของเสี่ยวหู่ตุ้ยไม่น้อยเลย

โหย่วเผิง : ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกๆคน จริงๆแล้วก็อยากจะขอบคุณทางรายการด้วย

หวงยุ้ย : เป็นแฟนคลับสมัยช่วงปี 70-80 ฉะนั้นทุกคนก็ล้วนคุ้นเคยกับพวกคุณมากๆ

โหย่วเผิง : เรื่องพวกนี้ก็เป็นการพูดคุยถึงความในใจของพวกเรา มีสหายเก่าแก่มากมายที่มาเจอกัน ได้ทักทายกันก็เป็นเรื่องที่มีความสุขมากๆ แล้ว

หวงยุ้ย : เพราะก่อนหน้านี้ที่คุยนั้น ส่วนมากจะพูดสมัยเป็นนักเรียนด้วยกัน ในโรงเรียนของตัวเองก็เคยมี เสี่ยวหู่ตุ้ย ทุกชั้นก็จะเลือกขึ้นมา 3 คน

โหย่วเผิง : ผมก็ได้ยินเรื่องอย่างนี้เหมือนกัน

หวงยุ้ย : คุณคงไม่เคยได้ยินเรื่องของในห้องผม ในห้องผมเองก็ถูกเลือกเป็น ไกวไกวหู่

โหย่วเผิง : จริงหรือ?

หวงยุ้ย : ขณะที่ความทรงจำในอดีต ได้หวนกลับคืนมานั้น พอดีช่วงเทศกาลตรุษจีนก็เป็นช่วงที่พิเศษด้วย เพราะในตลอด 1 ปีที่ผ่านมานั้น ช่วงเวลาตรุษจีนนั้นทุกคนก็จะหวนคิด ก็จะมองเห็นอนาคต ก็จะมองเห็นความหวัง อารมณ์ความรู้สึกนั้นมันพิเศษจริงๆ และช่วงเวลาตรุษจีนนี้พวกคุณได้รวมตัวกันอีกนั้น รู้สึกถึงความรู้สึกที่เจอกับครั้งแรกอย่างนั้นยังมีอยู่หรือเปล่า? ยังเหมือนเดิมไหม?

โหย่วเผิง : เรื่องนี้ถ้าพูดแล้วความจะยาว เพราะว่าในตอนนั้น เวลาทำงานของพวกเรานั้นยาวจริงๆ ตอนนั้นนอกจากเวลาเรียนของผมที่มีมากแล้ว ฉะนั้นทุกคนในค่ายก็เข้าใจดี ฉะนั้นงานทุกอย่างของพวกเราจะอยู่ในช่วงปิดเทอม ปกติแล้ว เวลาปิดเทอมก็จะทำงานเกี่ยวกับ การโปรโมทงานของ เสี่ยวหุ่ตุ้ย งานถ่ายเอ็มทีวี ถ่ายโปสเตอร์ เช้าจรดเย็น พวกเราอยู่ด้วยกันทุกวัน ความสัมพันธ์อย่างนั้นมันเหมือนกับชีวิตที่อยู่ในค่ายเกณฑ์ทหาร หรือช่วงออกศึก ด้านการทำงานพวกเราเข้าขากันมากๆ เพราะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และนอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเรา 3 คนจะถูกจัดให้มี มาดหรือบุคลิก ในสไตร์ที่ไม่เหมือนกัน และทุกคนก็ชอบในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน และเรื่องมุมมองชีวิตหรือทัศนะของพวกเรา ก็จะไม่เหมือนกัน หรือว่าแวดวงของเพื่อนพวกเราก็แตกต่างกัน ฉะนั้นหลังจากที่เสร็จงานแล้ว ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ดี แต่เป็นเพราะมันไม่เหมือนกับตอนทำงานที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา

และตั้งแต่หลังจากที่จื้อเผิงไปเกณฑ์ทหารแล้ว หลังจากที่พวกเราแยกทางกันแล้ว ยุคสมัยของแวดวงบันเทิงก็มีการผลัดเปลี่ยนกันไปตามสมัย ฉะนั้นทำให้พวกเราต่างก็จะต้องลองไปแสดงหาหนทางเส้นทางชีวิตของตัวเอง ไปหาความถนัดของตัวเองแล้ว จากนั้นพวกเราก็คงจะไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ทำงานอยู่ด้วยกันอย่างนั้น.

Chomnath:
(ภาพและเสียงบรรยาย)

หวงยุ้ย : เพราะว่าก่อนหน้านี้ ฉีหลง มารายการและได้ให้สัมภาษณ์กับรายการของเรา ก็บอกอย่างนั้นว่าสมัยนั้นพวกคุณ 3 คนกินนอนอยู่ด้วยกันเลย และได้เรียนด้วยกัน และได้แก้ไขปัญหาด้วยกัน เขาเปรียบเวลาช่วงนั้นของพวกคุณว่าเป็นช่วงเวลาที่ใกล้ชิดสนิทกันที่สุด เป็นอย่างนี้จริงๆหรือ?

โหย่วเผิง : ใช่ ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ

หวงยุ้ย : พวกคุณยังนอนด้วยกันด้วย?

โหย่วเผิง : นอนคงไม่นอนด้วยกัน ทางบริษัทเรานั้นขี้เหนียวมากๆ ไม่ได้ให้ห้องพักกับเรา ฮ่าๆ เรื่องนี้ผมก็จำไม่ค่อยได้

หวงยุ้ย : ฉะนั้นคุณก็จะมีความทรงจำอดีตที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันอย่างนั้น มีอย่างนั้นจริงๆนะ

โหย่วเผิง : ใช่ เรื่องของช่วงนี้ผมจะพูดอย่างไรดีล่ะ ก็คือเป็นประสบการณ์แห่งช่วงเวลาที่ร่วมฝ่าฟันอุปสรรค์มาด้วยกัน ความทรงจำนี้มีคุณค่ามากๆ เป็นสิ่งที่พวกเราเคยมีด้วยกัน

หวงยุ้ย : เป็นความทรงจำที่มีร่วมกัน

โหย่วเผิง : ใช่

หวงยุ้ย : ฉะนั้นผ่านไปหลายปีแล้วตอนนี้ได้มีโอกาสมาอยู่ร่วมกัน คุ้นเคยหรือยัง?หรือว่าผ่านกาลเวลาค่อยคุ้นเคย

โหย่วเผิง : พูดตรงๆ เลยนะ ตอนแรกๆ ก็ยังรู้สึกห่างๆไม่ชินเหมือนกัน เพราะผ่านมาหลายปี เราต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเอง มีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง เช่นตอนนั้นพวกเราได้สังกัดในค่ายเดียวกัน เราได้ร่วมต่อสู้ด้วยกัน แต่ตอนหลังเราต่างก็ไปสังกัดในค่ายที่ต่างกัน แล้วเราต่างก็มีเพื่อนร่วมรบใหม่ มีเป้าหมายใหม่ มีความใฝ่ฝันใหม่ของชีวิต ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตน การที่ต่างคนต่างทำงานของตัวเองนั้น เป็นเหตุให้เวลาในการสานความสัมพันธ์น้อยลง

หลังจากที่พวกเราจากกันไปกว่า 10 ปี พวกเราได้เจอกันแทบจะไม่ถึง 10 ครั้ง เราต่างก็ได้แค่เพียงนานๆ ส่งข้อความหากันทีหนึ่ง ความผูกพันธ์นี้สามารถบอกได้ว่า แม้จะห่างแต่ความสัมพันธ์นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนทหารร่วมรบด้วยกัน มันจะไม่มีวันหายไป พวกเราคงจะไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างนั้นไปแล้ว ฉะนั้นแรกๆที่เจอกันก็จะมีความรู้สึกอย่างนั้นบ้าง เพราะว่าไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว แต่ว่าเมื่อมีแฟนๆ บวกกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้น เห็นเหมือนกับในค่ายทหารเมื่อมีเสียงเรียกความพร้อมดังขึ้น ท่าเตรียมของพวกเราก็ยังคงเหมือนเดิม การเข้าขากันยังคงอยู่

หวงยุ้ย : ฉะนั้นเรื่องความสัมพันธ์อาจจะมีความเหินห่างไม่สนิทอยู่บ้าง น่าจะเป็นเพราะเวลาที่ห่างกัน 10 กว่าปีและไม่ได้เหมือนก่อนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน และช่วงเวลา 10 กว่าปีนั้นพวกคุณสานความสัมพันธ์โดยการส่งข้อความหากัน แล้วได้มาเจอกันโดยบังเอิญในงานกิจกรรมนั้นคงมีน้อยมากใช่ไหม?

โหย่วเผิง : เจอ จื้อเผิง ในงาน 2 ครั้ง ตอนที่เจอเขาผมเองตื้นตันใจมาก เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราคงจะเจอเรื่องดีเรื่องร้ายมาไม่น้อยเหมือนกัน มีครั้งหนึ่ง ผมจำได้ว่าน่าจะ 2-3 ปีก่อน ครั้งนั้นสถานีจงยางมีรายการหนึ่ง คนที่อยู่ต่อหน้าผมคือ เขา-จื้อเผิง วันนั้นจำได้ว่าน่าจะเป็นวันคล้ายวันเกิดเขา ทางรายการก็ได้วางให้ผมมอบของขวัญให้กับเขา ได้เซอร์ไพรส์เขา ตอนที่ผมอยู่หลังเวทีนั้น ผมเห็นจื้อเผิงร้องเพลงอยู่บนเวที ตอนนั้นเขาเพิ่งออกอัลบั้มใหม่ของเขา ที่เพลงหนึ่งในอัลบั้มซึ่งแปลมาจากภาษาเกาหลี ข้างๆผมมีโปรเจ็กเตอร์ที่ฉายเครื่องหนึ่ง ทันใดนั้นผมมองเห็นเขา เพราะนานแล้วที่ผมไม่เคยเห็นเขาออกมาแสดงบนเวทีอย่างนี้

Chomnath:
โหย่วเผิง : ตอนมองเขาเห็นว่าเขาแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก เขามากด้วยประสบการณ์ เขามีสไตร์ของเขาที่สุดยอดมาก ด้านหนึ่งรู้สึกอารมณ์หลงไหลตามบรรกาศ อีกด้านหนึ่งรู้สึกตื้นตันใจมาก พี่รอง คุณเจ๋งมากๆ พวกเราล้วนเดินผ่านมาไกลขนาดนี้แล้ว ผมเองก็ได้ผ่านร้อนหนาวมามากมายเหมือนกัน และได้เจอกันอีก หลายปีแล้วที่ไม่ได้เจอ คุณก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ดูคุณก็รู้ว่าคุณผ่านร้อนหนาวมาไม่น้อยเหมือนกัน ทันใดนั้นผมทั้งตื้นตันใจและประทับใจ จากนั้นตอนขึ้นไปบนเวทีผมก็กลั้นไม่ไหวแล้ว แปลกจริงๆ เป็นการจัดวันเกิดให้เขา แต่ผมกลับน้ำตาคลอเบ้า ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมกอดเขาไว้ได้ไง และเขาก็ได้ปาดน้ำตาผม บอกว่า น้องสาม เขาไม่รู้ว่าผมได้ฟังเพลงของเขาอยู่ข้างล่าง ผมตื้นตันใจจนทนไม่ไหวจริงๆ

หวงยุ้ย : ในบรรดาพวกคุณ 3 คนนั้น บ่อน้ำตาใครตื้นที่สุด ผมรู้สึกสนใจพวกคุณ 3 คน

โหย่วเผิง : ดูเหมือนแปลก แต่จริงๆแล้วผมเองไม่ใช่พวกบ่อน้ำตาตื้น แต่ว่าผมไม่รู้จริงๆ หากว่ามีอะไรที่มันสะกิดใจแล้ว ผมเองก็เป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวเหมือนกัน ในการทำงานนั้นผมเป็นคนที่ชอบอิงกับอารมณ์

หวงยุ้ย : ตอนที่จื้อเผิงจากไปนั้น เขาได้หวนคิดเล่าว่า เขาเป็นคนที่ร้องไห้เสียใจที่สุด เสียดาย วันนี้ไม่ได้เอาคลิปวันนั้นให้คุณดู เพราะก่อนหน้านี้ ฉีหลงมาในรายการนี้ ผมเองก็ได้เปิดคลิปนั้นให้เขาดูเหมือนกัน หลังจากที่เขาดูจบแล้วเขาทนต่อไปไม่ได้ ผมคิดว่า หากวันนี้ผมเอามาเปิดให้คุณดูแล้วคุณคงจะเหมือนกัน ฉีหลง

โหย่วเผิง : อื่ม คุณรู้ก็ดีแล้ว

หวงยุ้ย : ขณะที่เอ่ยถึงพวกคุณ 3 คน ผมมักจะเห็นนัยต์ตาจื้อเผิงมีแต่น้ำตา เวลาเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของพวกคุณนั้น คุณก็คงจะมีความรู้สึกอย่างนั้นแน่ เพราะวันวานของพวกคุณนั้น ใช่ว่าเป็นความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนทั่วไปอย่างนั้น

โหย่วเผิง : พวกเรามีเรื่องราวมากมาย คิดว่าทุกคนก็น่าจะเหมือนกับพวกเรา

หวงยุ้ย : สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกับที่ผมเคยพูดถึงความสัมพันธ์ที่ดีมากๆกับเพื่อนในสมัยมัธยมปลายเหล่านั้น หากว่าไม่ได้เจอกับ 10 กว่าปี และเมื่อมาเจอกันอีก ความรู้สึกนี้ก็อาจจะเหมือนกับที่ผมเคยพูดไป คุณจะรู้สึกว่าคุ้ยเคยกันมาก และก็จะรู้สึกแปลกหน้าเหมือนกัน หากคุณได้โอบกอดกับเขา และได้พูดคุยกับเขา มันอาจทำให้สนิทขึ้น อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงมีความห่างเหินเล็กน้อย

โหย่วเผิง : เหตุเพราะมีความห่างเหินนั้นอยู่ ทำให้เวลาที่อยู่กับยิ่งนานก็จะยิ่งไม่เหมือนเดิม เพราะเดิมทีนิสัยก็ไม่เหมือนกันแล้ว ผมคิดว่าความผูกพันธ์ฉันเพื่อนในสมัยอดีตนั้นยังคงอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเราล้วนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ความคิดก็ย่อมแตกต่างกัน มันอาจต้องใช้เวลาหน่อยในการปรับหากัน

หวงยุ้ย : ขณะที่ทุกคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่ และความคิดก็ไม่เหมือนกันแล้ว ในท่ามกลางพวกคุณหากมีปัญหาอย่างนี้ขึ้นมา พวกคุณจะจัดการอย่างไร ผมคิดว่านิสัยที่ต่างกัน ความคิดที่ต่างกัน คุณอาจจะเจอปัญหามากมายในขณะนั้น ท่าทีของทั้ง 3 คนก็ย่อมไม่เหมือนกัน

โหย่วเผิง : ใช่ ถูกต้องครับ

หวงยุ้ย : เมื่อเจอปัญหาที่ความเห็นต่างกัน แล้วพวกคุณจะหาทางแก้ไขกันอย่างไร?

โหย่วเผิง : ปกติแล้วผมเองก็เหมือนกับตอนนี้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยออกความเห็น

หวงยุ้ย  : เมื่อก่อนคุณก็เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเหมือนกันนะ

โหย่วเผิง : ใช่ จริงๆแล้วเมื่อก่อนผมแทบจะไม่มีโอกาสพูด และไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน

หวงยุ้ย : เพราะคุณเป็นคนที่เล็กที่สุด

โหย่วเผิง : ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะต้องพูด เพราะตอนนี้นักข่าวจ้องที่จะเขียนข่าวผม ทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรเลย พวกคุณว่าอย่างไร ผมก็ว่าอย่างนั้นประมาณนี้

หวงยุ้ย : ตอนนั้นฉันฟังพวกเขาพูดว่า คุณจะเป็นคนที่ฟังพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ เพราะอายุคุณอ่อนกว่า พวกเขา 2 คนแก่กว่าคุณเล็กน้อย

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version