ผู้เขียน หัวข้อ: 2009 Jin Ye Feng Sheng Qi  (อ่าน 9410 ครั้ง)

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
2009 Jin Ye Feng Sheng Qi
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 07:40:42 AM »

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิง จากรายการ Jin Ye Feng Sheng Qi  ; 2009-08-31

ให้สัมภาษณ์กับบทบาท “ไป๋เสี่ยวเหนียน” ใน The Massege (Feng Sheng)






Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 07:46:06 AM »

ญ: สวัสดีผู้ชมรายการทุกท่าน แขกรับเชิญของรายการวันนี้คือ นักแสดงเรื่อง “เฟิงเซิง” คุณซูโหย่วเผิง สวัสดีค่ะโหย่วเผิง

โหย่วเผิง: สวัสดีครับ

ญ: อื่ม พูดถึงบทที่คุณเล่นในเรื่อง “เฟิงเซิง” แล้ว คงจะพูดอย่างขำขันเสียแล้วล่ะ แม้ว่าจะเป็นบทที่ไม่ง่ายเลย แล้วคิดอย่างไรถึงไปรับแสดงเป็น “ไป๋เสี่ยวเหนียน”ล่ะ

โหย่วเผิง: อื่ม เรื่องนี้ถ้าจะพูดก็จะต้องเริ่มจากตอนแรกเลย อื่ม ใครมาทาบทามผมนะ อื่ม ตอนแรกเลยคือ ทางบริษัทนั้นได้ส่งบทมาให้ผม ความรู้สึกแรกคือรู้สึกว่าผมไม่เคยเห็นบทบาทไหนที่สนุกตื่นเต้นกว่าบทนี้เลย ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้คงเตรียมการมานานแล้ว รู้สึกว่าดีมากๆ ก็คือบทพูดในแต่ละฉาก ไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่องราว บวกกับอารมณ์ของตัวละคร ความสนุกของทั้งเรื่องนั้นมันเยี่ยมมากๆ และเรื่องรวมทั้งเรื่องนั้น ผมรู้สึกว่ามันเป็นที่ประทับใจผู้ชมมาก เป็นเหมือนกับเป็นการเล่าเรื่อง เพราะเรื่องราวมันเต็มไปด้วย

ตอนผมอ่านรอบแรก ตัวเองยังไม่อินเข้าไปเป็นตัวละครในเรื่อง ผมเป็นเพียงผู้อ่านคนหนึ่งเท่านั้น ผมก็รู้สึกว่าผมถูกเรื่องราวเหตุการณ์มันจับต้องใจผมเสียแล้ว บทละครเรื่องหนึ่งหากคุณให้ความสนใจตื่นเต้นที่อยากจะอ่านมันต่อไปให้จบนั้น ก็ถือว่าเป็นบทละครที่ไม่ธรรมดาบทหนึ่งแล้ว อย่างที่สองคือ เมื่ออ่านจบแล้ว รู้สึกว่าในช่วงเวลาสถานการณ์ที่วุ่นวายนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งที่หัวใจเต็มไปด้วยความรักชาติ

ผมรู้สึกว่าเรื่องราวนี้นั้นมีอารมณ์มากๆ รูปแบบยิ่งใหญ่มาก อย่างที่สองที่สังเกตเห็นถึงก็คือ “ไป๋เสี่ยวเหนี่ยน”นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ คือบุคลิกของเขา ทำไมการพูดจาของเขานั้น ไม่เหมือนคนพูดเลย ทำไมตัวละครตัวนี้สร้างขึ้นได้พิเศษอย่างนี้

ญ: แล้วต้นฉบับของตำนานเรื่องนี้คุณเคยอ่านไหม

โหย่วเผิง: ต้นฉบับหรือ ตอนที่ผมได้รับตัวบทนี้นั้น ก่อนหน้านั้นผมเองยังไม่เคยอ่านฉบับเดิมเลย แล้วหลังจากที่ผมได้รับตัวบทนี้แล้ว ผมก็ได้ไปอ่านดูหน่อยเหมือนกัน หากว่าผมจำไม่ผิดนะ มันจะเป็นบทบาทของหางเที่ยเซิง บทบาทก็เหมือนกับอาจารย์จื้อเหวินอย่างนั้น ก็คือจะออกแนวช่วยสอบปากคำ ช่วยส่งข่าวอะไรอย่างนั้น แต่ในภาพยนตร์ที่สร้างใหม่นี้นั้น ผมเป็นหนึ่งในผู้ถูกทรมานซึ่งก็จะมีบทบาทและบุคลิกที่ไม่เหมือนกับบทเดิมอย่างมาก มันเป็นบทที่เด่นและแปลกมาก

ญ: แล้วเคยไปถามผู้กำกับเฉิน ไหมว่าทำไมถึงเลือกคุณมารับเล่นบทบาทนี้

โหย่วเผิง: เรื่องนี้ถ้าพูดไปแล้วก็ยาว ตอนหลังผมได้รู้ว่า จริงๆแล้ว ผู้กำกับทั้งสองท่านนั้น ตอนเริ่มแรกพวกเขาก็มองผมมีภาพลักษณ์ที่สง่าผ่าเผย มีราศีของ“องค์ชายห้า” แล้วจะสามารถเล่นบทที่ยากและมีความกดดันกับบุคลิกอย่างนี้ได้หรือเปล่า และตัวผมเองก็ไม่รู้ด้วย น่าจะพูดได้ว่ามันคงเป็นโชคบุญวาสนาหรือเปล่า เพราะในกลางปีที่แล้วผมได้เล่นละครเรื่องหนึ่ง ผมรับบทเป็นผู้ป่วยทางจิต และช่วงนั้นบังเอิญว่าการถ่ายทำเรื่องนั้นเสร็จสิ้นพอดี แต่ก็ยังมีคลาบของบทบาทอย่างนั้นติดตัวอยู่







พอดีผู้กำกับเกา ได้มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง และทางผู้จัดการส่วนตัวผมนั้นได้พาผมไปหาท่านเพื่อจะพูดคุยว่า มีบทอะไรที่ผมสามารถจะรับเล่นได้ เมื่อไปเจอผู้กำกับเกา แล้วทำให้เขาตะลึงผมมาก พูดตามตรงว่าวันนั้นอารมณ์สีหน้าผมก็ปกติ แต่ท่านกลับมองว่าผมนั้นคงมีอะไรดีๆที่ยังซ่อนอยู่ ยังไม่แสดงออกมา เพราะตลอดเวลาผมรับแต่บทที่เป็นพระเอก หรือภาพลักษณ์ที่ดี แต่ว่ายังมีอีกมุมหนึ่งซึ่งผมเองก็น่าจะทำได้ดีกว่า ท่านจึงได้แนะนำเรื่อง “เฟิงเซิง” ให้ผม บอกว่ามีตัวละครหนึ่งที่พิเศษมาก เขาเลยคิดถึงผมอยากให้ผมมาลองดู พอดีผมเองก็เป็นศิลปินค่ายหัวอี้ด้วย





Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 08:04:44 AM »





ญ: แล้วคุณเคยลังเลใจกับบทบาทที่แปลกๆ อย่างนี้ไหม ว่ามันมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยงามเลย

โหย่วเผิง: ภาพลักษณ์นั้นไม่ได้เป็นจุดที่ผมให้ความสำคัญ สำหรับผมนะ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” นั้นเป็นตัวละครที่ดึงดูดคนขนาดนี้ ซึ่งต่างไปจากตัวละครอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ต่อจากนั้นผมก็ได้มานั่งคิดไตร่ตรองดูว่า ผมสามารถทำได้ไหม ก็คือมาประเมินฝีมือของตัวเองว่าถึงขั้นนั้นไหม จริงๆแล้ว “ไป๋เสี่ยวเหนียน”นั้นภูมิหลังของเขาเป็นคนที่มาจากนักร้องละครเพลง และคำพูดในบทแต่ละประโยคนั้น ฮ่าๆๆๆ ใช่ และกิริยาบทต่างๆนั้นมันพิเรนๆอะไรอย่างนั้น เช่น ท่าทางกระเทยๆ

ญ: บทมันถูกกำหนดมาอย่างนั้นแล้ว ก็คือหญิงไม่ใช่ ชายไม่เชิง

โหย่วเผิง: อื่ม มันก็ยากมากๆเหมือนกัน และในเรื่องนั้น พวกเราก็หวังว่าจะมีฉากที่ร้องละครเพลงด้วย และคิดว่าจะต้องให้ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” ร้องเองเลย หากว่าผมจำไม่ผิดนะ ผมจำได้ว่าภาพยนตร์จีนโบราณนั้น ก็มีตัวละครอย่างนี้เหมือนกัน แต่ว่าตัวละครนั้นจะไม่ร้อง แต่จะใช้เสียงร้องคนอื่นอัดเข้าไป แต่ว่ามาตรฐานครั้งนี้นั้นสูงมาก เริ่มแรกนั้นผมเองก็รู้สึกกังวลใจเหมือนกัน แต่ก็คิดว่านี่ก็เป็นโอกาสที่ใช่จะหาได้ง่ายๆ คิดว่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็จะต้องรับการท้าทายนี้ไว้

ญ: พูดถึงร้องละครเพลง แล้วเรียนยากไหม? (ละครเพลงในเฟิงเซิงนั้น เป็นละครเพลงของปักกิ่งจะแตกต่างจากละครเพลงทั่วๆไป)

โหย่วเผิง: มันยากกว่าที่คุณคิดไว้ด้วยซ้ำ








ญ: ใช่ มันเรียนยากจริงๆ

โหย่วเผิง: ใช่ ผมคิดว่านี่เป็นศิลปะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเรา บวกกับในเรื่องนั้นเขาเองก็เป็นกระเทยคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการพูดการจา ท่าทีทวงทำนองนั้นมีมาตรฐานที่สูงและเข้มมากๆ ใช่ว่าจะแบบถูๆไถๆได้ สำหรับคนนอกที่ไม่ได้เรียนหรือยึดอาชีพนี้การร้องอย่างนี้นั้น ผมได้ทุ่มเทกับมันอย่างมาก






Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 08:09:18 AM »




ญ: ใช่ มันไม่ใช่เป็นวัตถุโบราณอะไร แต่มันเป็นศิลปะที่พิถีพิถันมาก แล้วใช้เวลาในการเรียนนานเท่าไหร่?

โหย่วเผิง: จริงๆแล้วจะพูดว่าเรียนจนได้นั้นคงไม่กล้าพูด เพียงแค่เรียนรู้อะไรที่มันแค่ผิวเผินเองเท่านั้น จำได้ว่าตอนที่ผมเริ่มเรียนนั้นเป็นช่วงตรุษจีน ตอนนั้นยังถ่ายทำเรื่อง “ตามหาหลิวซานเจี๋ย” ซึ่งถ่ายทำที่เมืองกว่างซี แล้วในใจก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เรื่อง “เฟิงเซิง” ก็จะมาแล้ว ต้องรีบไปตัดเสื้อแล้ว แล้วตัวเองก็ใจร้อนจนควักเงินตัวเอง เชิญอาจารย์ไป๋ ที่สอนร้องละครเพลงในโรงเรียนที่ปักกิ่ง เชิญท่านนั่งเครื่องจากปักกิ่งมาที่เมืองกว่างซี เพื่อมาสอนผม

ผมก็วางแผนไว้ว่า เมื่อเลิกงานถ่ายทำแล้ว ก็จะเริ่มเรียนการร้องละครเพลงขั้นพื้นฐานก่อน และแค่คำร้องไม่กี่คำในหนึ่งประโยคนั้น คุณก็รู้ว่าการใช้คำในละครเพลงนั้นมันสวยงามไพเราะขนาดไหน ผมดูเนื้อร้องแล้วคิดว่าแค่ไม่กี่ประโยค เรียนไปไม่นานก็คงได้ ใครจะไปรู้ เมื่อเรียนเข้าจริงๆแล้ว แค่คำเดียวเท่านั้นนะ มันเอื้อนขึ้นเอื้อนลงไปมาสูงต่ำนานมากๆ ห้านาทีร้องไปแค่ประโยคเดียวประมาณนั้น ฉะนั้นก็เลยรู้ว่า มันยากกว่าที่คิดไว้อีก มีเนื้อร้องมากมาย แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมเองก็เป็นนักร้องมาก่อน แต่ว่า

ญ: แต่ว่ามันแตกต่างโดยสิ้นเชิงเลย

โหย่วเผิง: ใช่ๆ เพราะมันไม่ใช่ทำนองแบบเพลงทั่วไปที่สามารถจำได้ง่ายๆ เพราะศิลปะการร้องละครเพลงนั้นถูกสืบทอดมาลักษณะตัวต่อตัว และในแต่ละคำนั้นไม่ใช่มีโน๊ตตัวเดียวสองตัว แต่อาจารย์ผมบอกว่ามันมีโน๊ตที่ต้องสูงๆต่ำๆไหลไปไหลมา ฉะนั้นคุณจำต้องฟังทีละประโยค และฟังให้คล่องก่อน อาจารย์เลยบอกว่านี่คือรสชาติของมัน ฉะนั้นคุณต้องฟังให้ชิน ไม่งั้นไม่สามารถที่จะจำโน๊ตได้ ไม่สามารถจะลื่นไหลสูงต่ำได้ ฉะนั้นการทุ่มเทนี้นั้นมันไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้เลย








ญ: แต่ว่าผลงานที่จะได้มานั้นสวยงามยอดเยี่ยม เพราะผู้กำกับเกาได้เขียนเนื้อร้องที่แสนใจไพเราะ เขาเคยพูดกับคุณไหมว่า เขาพอใจกับผลงานที่ออกมาเป็นอย่างมาก

โหย่วเผิง: การท้าทายในบทบาทนี้สำหรับผมนั้นรู้ว่ามันไม่ง่าย จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้มีการตั้งฉากเวทีตกแต่งนั้น ครั้งแรกของการตกแต่งหน้าของเรานั้นอยู่ที่ลานสนามแห่งหนึ่ง คือตอนนั้นพวกเราก็ได้ตกแต่งฉากสไตล์โบราณที่ได้บรรยากาศอย่างนั้น ทั้งตากล้องกับช่างต่างๆ ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว

ญ: มันสมจริงจริงๆเลย

โหย่วเผิง: ใช่  มันสมจริงมากๆ ผมไม่เคยเจอในลักษณะนี้มาก่อนเลย หลังจากที่ตกแต่งเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่เพียงแค่ถ่ายฉากและบรรยากาศต่างๆ ทุกอย่างที่ทำมันเหมือนกับถ่ายทำจริงๆอย่างนั้นเลย ทั้งผู้กำกับก็มาดูที่จอด้วย ยังดีที่ก่อนหน้านี้ผมได้เชิญอาจารย์มาสอนผมร้องละครเพลง แต่อีกอย่างคือผมพึ่งเรียนมาไม่นานเองนี่ แล้วตอนนั้นจำได้ว่าผู้กำกับให้ผมร้องอะไรนะ อื่ม คือให้ผมจ้องที่กล้องแล้วร้องเพลงไปรำไปอะไรอย่างนั้น

ผมนึกในใจว่า ตายแน่ซวยจัง แต่ไม่รู้ซิ อาจจะเป็นเพราะอยู่ภายใต้ความกดดันเลยทำให้ผมแสดงออกมาได้ดี ผมไม่ใส่ใจว่ามีใครมาดูผม อารมณ์ผมนั้นล้วนอิงอยู่ในบทหมดเลย แล้วผมก็ได้เอาท่ารำเนื้อร้องที่ได้เรียนกับอาจารย์ในกว่างซีมาแสดง และผมก็ไม่สนว่ามันถูกหรือผิดอย่างไร เมื่อเสร็จแล้วก็เห็นใบหน้าของผู้กำกับเกายิ้มรู้สึกถึงความพอใจมาก จากนั้นก็มีอาจารย์เฉินวิ่งมาแตะผมแล้วยิ้มให้ผม แล้วผมเองก็คิดว่ารอดจนได้ คิดว่าบทนี้น่าจะอยู่ในกำมือผมแล้วล่ะอะไรอย่างนี้






Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 08:13:59 AM »





ญ: จริงๆแล้วคุณก็รับแสดงบทต่างๆมามากมายแล้ว และครั้งนี้ก็ได้รับบทนี้ใน “เฟิงเซิง”นั้น

โหย่วเผิง: ใช่ แต่ผมไม่เคยรับบทที่มันยากขนาดนี้ รวมทั้งผมเองยังทุ่มเทให้กับมันมากมาย

ญ: เอ้ แล้วคุณสามารถร้องละครเพลงให้เราฟังสักประโยคสองประโยคได้หรือเปล่า?

โหย่วเผิง: อื่ม งั้นผมจะร้องสั้นๆ

ญ:ขอบคุณคะ


(ร้องละครเพลง – งิ้ว)









โหย่วเผิง: ประมาณนี้

ญ: ขอบคุณมากๆค่ะ รู้สึกว่าเสียงนั้นสูงต่ำต่างกันมากเลย ยังรู้สึกว่าจับเสียงให้มันถูกต้องนี่ยากจริงๆ แต่คุณก็ยังไม่ลืมเสียงทำนองของมันเลยนะ

โหย่วเผิง: ครับ นานแล้วที่ไม่ได้ร้อง ตอนแรกเริ่มนั้นยังต้องจับจังหวะให้ได้ก่อน อันนี้มันสำคัญมาก

ญ: ใช่ๆ หากคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกแบบหนึ่ง อีกบุคลิกหนึ่งนั้นมันไม่ได้เป็นอะไรที่ง่ายๆ

โหย่วเผิง: ใช่ เพราะ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” นั้นเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ และมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจ ที่ไม่หญิงไม่ชาย รวมทั้งเสียงของเขาก็ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือแห่งการแสดง ฉะนั้นจำเป็นจะต้องเตรียมพร้อมด้านนี้ด้วย ตอนนั้นเมื่อถ่ายเสร็จแล้วก็มาดูว่า อื่ม ก็ส่วนใหญ่ก็น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ แต่เมื่อฟังดูดีๆแล้วก็รู้สึกว่า เอ้ เสียงนั้นแมนไปหรือเปล่า คิดว่าเสียงของเขาฟังแปลกๆ สุดท้ายก็เลยมาปรับปรุงเสียงอีกที ก็คือจะออกเสียแนวใหม่ ความคิดนี้ได้มาจากละครเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครในลักษณะแบบนี้







Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 08:18:21 AM »



ญ: ฉันคิดว่าความยากนั้นอยู่ที่ เช่น หากว่าคุณเพียงแสดงแค่ฉากละครเพลงอย่างเดียวนั้น ก็ยังโอเค เพราะเรียนจากพื้นฐานและสามารถจะแสดงไปตามที่ได้เรียนมา แต่ปัญหาคือตัวละครนี้นั้นต้องเอาสิ่งเหล่านั้น เข้ามาใช้อยู่ในชีวิตประจำวันด้วย คิดว่าจุดนี้คงยากมากๆ เลย

โหย่วเผิง: ใช่ ผมคิดว่าสิ่งแรกคือต้องรักษาคุณค่าศิลปะของต้นฉบับ อย่างที่สองนั้นผมเองก็หวังว่า มันเป็นอะไรที่ต้องมีบันยะบันยัง เพราะทุกคนจะเข้าไปชมที่โรงภาพยนตร์ ถ้ามันเลยเถิดไปก็คงไม่งาม

ญ: ก็จะรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า

โหย่วเผิง: แน่นอนก็จะมีความไม่สบายใจ ช่วงนั้นก็จะตกอยู่ในสภาพที่กดดันมากๆ

ญ: นอกจากการแสดงเป็นอย่างนี้แล้ว พวกเรายังเห็นตอนโฆษณานั้น มีการถูกนำไปทรมาน แทบจะทุกครั้งที่ถ่ายฉากถูกทรมานเสร็จก็ต้องใช้เวลาพักผ่อนนานมาก จริงหรือเปล่า

โหย่วเผิง: ถูก เพราะทุกคนล้วนต้องถูกทรมาน การทรมานของผมนั้น จริงๆพูดถึงการทรมานของผม เอ้ เก้าอี้นี้ก็เหมือนกับอันนั้นเลย

ญ: เห็นเก้าอี้แล้วใจห่อเหี่ยวเลย



 





โหย่วเผิง: จริงแล้วเรื่องการที่ผมจะต้องถูกทรมานนั้น ในบทนั้นเขียนได้ไม่ค่อยชัดเจน แต่ว่าเมื่อมาถึงที่ถ่ายทำแล้ว สังเกตุเห็นว่า เอ้ นั่นมันอะไรหรือ นี่สำหรับผมเหรอ พวกเขาก็ว่า ใช่แล้ว เป็นอะไรที่เพิ่มเข้ามาในบท ในบทที่เขียนที่เก้าอี้มีตะปูตัวหนึ่ง เป็นเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยตะปู แต่ที่มันพิเศษก็คือ ตรงกลางที่นั่งนั้นมีตะปูตัวหนึ่งที่ใหญ่และยาวมาก คุณก็น่าจะรู้ดีว่านั่นเอามาเพื่อทำอะไร

ญ: แค่เห็นก็สยองแล้ว

โหย่วเผิง: อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดในยุคที่มีความสันติ






Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 08:26:06 AM »



ญ: คิดว่าจากนี้เป็นต้นไปคุณคงไม่กล้าทำผิดอีกต่อไปแล้ว

โหย่วเผิง: อย่างที่สอง รู้สึกว่า ผู้กำกับ นี่วิปริตจริงๆ การทรมานที่พิเรนๆอย่างนี้คุณไปคิดมาได้ไง อีกอย่างคุณก็รู้ว่า ชีวิตปกติของพวกเราไม่มีเลยที่จะได้เจอกับสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นก็ต้องไปจิตนาการว่า หากมันเกิดขึ้นกับตัวคุณจริงๆแล้วล่ะก็ คุณจะรู้สึกอย่างไร จะเหลือเหรอ เริ่มแรกเลยช่วงที่ยังไม่ไปนั่งเก้าอี้ พวกเขาลากเส้นผมของผมตลอด ดูก็รู้ว่า ไม่รู้ตายไปกี่ครั้งแล้ว อยู่ในห้องสอบสวนที่มืดทึบอย่างนั้น แล้วเก้าอี้ตัวนั้น จริงๆแล้วผมถูกพวกเขาอุ้มขึ้นไปนั่ง แต่ตอนถ่ายทำนั้น ก็คือพวกทหารที่จับพวกเรานั้น

ญ: คือพวกที่ทุบตีพวกคุณ

โหย่วเผิง: ใช่ เขาไม่เห็นว่าพวกเราเป็นคนเลย

ญ: พวกเขาทำไปก็เพื่องานจะออกมาดี

โหย่วเผิง: ผมเองยังไม่ทันรู้เลยว่าพวกเขาจะเล่นไปอย่างนั้น ทีแรกคนว่าตายก็ตาย แต่สุดท้ายพวกเขากลับทำอย่างนี้ต่อ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” แล้วตอนนั้นผมเองก็คิดว่าจะแสดงอย่างไรให้ตายไปจบๆ กันไป คิดว่าจะทำแบบตายทันที คือนั่งลงไปก็สลบตายไปเลย ก็น่าจะ “อ้า” คำเดียวก็ตายได้แล้ว แล้วพวกเขาว่าไม่ได้ และทางผู้กำกับเดินเข้ามาถามผมว่า “ทำไมได้ยินแค่- อ้า- แล้วเสียงหายไปเลย” ผมตอบว่า “ก็ผมสลบตายไปแล้วนิ ผมก็น่าจะสลบตายไป” แล้วท่านก็บอกว่า “คุณต้องร้องเยอะกว่านี้” แล้วก็ถ่ายใหม่ต้องร้อง “อ้าๆ” ทุกครั้งที่ถูกทุ่มลงไป จนไม่นานก็ไม่มีเสียแล้ว









ญ: ก่อนหน้านี้ ทุกคนที่มาให้สัมภาษณ์ก็ระวังคำพูดมากๆ กลัวว่าจะหลุดตอนจบออกมา

โหย่วเผิง: ผมไม่กลัว เรื่องตอนจบนั้นปีหน้าผมจะมาเล่าให้ฟัง

ญ: จริงๆแล้วตัว “ไป๋เสี่ยวเหนียน”นั้นจะไม่ถูกสงสัย แต่สุดท้ายก็โดนสงสัยจนได้

โหย่วเผิง: แน่นอน ผู้อยู่เบื้องหลังของ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” มีตำแหน่งใหญ่ เขาเลยไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน

ญ: แล้วตอนจบของต้นฉบับกับการแสดงครั้งนี้นั้นมีความแตกต่างกันมาก จนบางฉากนั้นเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือ ตัว“ไป๋เสี่ยวเหนียน”นั้นเป็นคนที่น่าชังของคนอื่น

โหย่วเผิง: แน่นอน อะไรเปลี่ยนได้แต่ตัว “ไป๋เสี่ยวเหนียน”ที่เป็นตัวรังเกียจนั้น ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแน่นอน เพราะการพูดการจาไม่เหมือนผู้เหมือนคนเลย ผมจำได้ว่ามีอยู่ฉากหนึ่ง แต่เสียดายมากฉากนี้ตอนหลังถูกตัดทิ้งไปเสียแล้ว ก็คือตอนนั้นผมและทุกคนถูกสอบสวน ก็คือบทที่อาจารย์จื้อเหวินได้มาสอบสวนพวกเรา ก็คือตอนที่ท่านเข้ามาในบ้านแล้ว ท่านก็ได้มาทำสงครามจิตใจกับทุกคน ผมยังจำฉากนั้นได้ ก็คือผมได้วิ่งเข้าไปที่บ้านไปพูดอะไรมากมาย ไปเจอหัวหน้าลี่ยืนอยู่ที่หน้าประตู ดูท่าหัวหน้าลี่คงมาฟ้องความลับอะไรอย่างนั้น แล้วไป๋เสี่ยวเหนียนก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว คุณก็อยู่ด้วยเหรอ งั้นพวกคุณคุยตามสบาย ฉันขอตัวก่อน” สุดท้ายไปก็ไม่ได้ไปหรอก ตั้งใจเดินไปรอบๆแอบฟังว่าพวกเขาคุยไรกัน ก็คือไม่กลัวถูกว่า ก็เดินอยู่รอบๆนั้นแหล่ะ อยากฟังว่าเขาคุยอะไรกัน อย่างนี้แหล่ะ เป็นที่รังเกียจของพวกเขา





Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 08:31:43 AM »





โหย่วเผิง: จริงๆแล้วเมื่อบท “ไป่เสี่ยวเหนียน” ได้ถ่ายเสร็จสิ้นไปแล้ว ผมเองก็อยากจะออกมาขอบคุณหลายๆคนด้วย ท่านแรกที่อยากจะขอบคุณคืออาจารย์เกา ผมรู้สึกว่าท่านได้ดูแลผมเป็นอย่างดี ตั้งแต่วันแรกที่พวกเราได้ทำงาน ตอนนั้นผมมีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ท่านได้เข้าใจในความเป็นคนเรียบร้อยของผมมากๆ และท่านก็ได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากมายแก่ผม จนถึงทุกวันนี้ผมเองก็ยังไม่ลืมท่านเลย และคิดว่าท่านเองก็ชื่นชอบในตัว “ไป๋เสี่ยวเหนียน” เพราะมีหลายอย่างที่ผมเองก็ยังคิดไม่ถึงเกี่ยวกับ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” แต่ท่านก็ได้ให้คำแนะนำกับผม

ท่านที่สองที่ผมอยากจะขอบคุณคืออาจารย์อิงต๋า เพราะวันแรกที่ผมแสดงนั้น โชคไม่ดีเลย คือตอนเข้าฉากกับท่านนั้นผมแสดงได้แย่มาก และท่านเองก็อดทนและให้คำแนะนำผมได้ดีมาก ผมรู้สึกว่าท่านนั้นมีความรู้มากมาย ท่านได้อดทนต่อผมมาก อีกอย่างก็คือ ตอนนั้นผมเองก็หวั่นไหวมาก แต่ท่านไม่ได้แสดงกิริยาที่เซ็งเบื่อหน่ายอะไรเลย อีกอย่างก็คือจังหวะการพูดของ “ไป๋เสี่ยวเหนียน”นั้นไม่เหมือนกับคนอื่น นอกจากนี้ คำพูดของเขาหลายๆคำนั้น สมัยนี้ไม่ใช้กันแล้ว จนทำให้ผมเครียดกับคำพูดของ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” มาก ผมต้องอ่านท่องบทคำพูดเหล่านั้นอย่างไม่หยุด เมื่อท่านได้ยินที่ผมท่องแล้ว ท่านก็ได้ให้คำแนะนำกับผม เพราะท่านเป็นคนปักกิ่ง เรื่องสำเนียงพวกนี้ท่านเข้าใจดีกว่าผมมาก ฉะนั้นท่านก็เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเลื่อมใสมาก

ญ: จางหันอี๋บอกว่า เมื่อเขากับอิงต๋าเถียงกันตกลงกันไม่ได้ก็จะไปหาคุณ ทำไมคุณถึงมีส่วนในพวกเขาด้วย?

โหย่วเผิง: อ้าว ก็นักแสดงผู้ชายก็มีแค่เรา 3 คนที่อยู่ด้วยกัน ไม่หาผมแล้วจะไปหาใครล่ะ









ญ: แสดงว่า “ไป๋เสี่ยวเหนียน” นั้นมีประโยชน์มากๆเลย

โหย่วเผิง: เพราะว่าพวกเราหลายๆครั้งนั้น ก็คือการถ่ายทำนั้นต้องใช้เวลามาก การแสดงของหนังก็ต้องละเอียดอ่อนมาก อะไรก็ละเอียดอ่อนไปหมด ฉะนั้นบางครั้งช่วงรอไม่รู้ทำอะไร ก็พูดเรื่องไร้สาระมาคุยว่ากัน เพื่อจะไม่ให้เบื่อเซ็งไง

ญ: หวังจื้อเหวินเข้าฉากกับคุณเยอะไหม

โหย่วเผิง: เยอะมาก ผมรู้สึกว่าเขาเข้าฉากกับทุกคนเลย เพราะว่าเขาเป็นคนดำเนินเรื่อง พูดง่ายๆคือ เขาทำงานให้ทางการญี่ปุ่น

อาจารย์จื้อเหวินนั้น นิสัยแข็งมาก และโหดด้วย ผมยำเกรงเขามาก ผมคิดว่านักแสดงในเรื่องแต่ละคนก็ต้องใช้แต่ละวิธี เพื่อจะทำให้ตัวเองอยู่รอด ทุกครั้งที่เจอท่านแล้ว เห็นสายตาของท่านนั้น คือเมื่อเข้าฉากและอยู่ต่อหน้าท่านนั้น ท่านมองผมจนผมลืมบทไปเลย และเขาเองก็ชอบแหย่ “ไป๋เสี่ยวเหนียน”ด้วย แล้วทุกครั้งที่เจอผม ท่านจะเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่เลี่ยนมาก “เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋” จนขนลุกเลย แล้วท่านเองก็ได้เลียนแบบเสียงผม ล้อผม


ญ: เขาเลียนเสียงอย่างนี้หรือ

โหย่วเผิง: ไม่นะ จำได้ว่าตอนนั้นเราถ่ายทำเสร็จแล้ว และท่านเจอผมและทักผมด้วยเสียอย่างนั้น จนผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

ญ: เอาล่ะ  ไม่พูดถึงอาจารย์แล้ว  มาพูดถึงนักแสดงสาว 2 คน ทั้ง 2 ก็เก่งมากเลยใช่ไหม





Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 08:36:09 AM »



โหย่วเผิง: พวกเธอล้วนเอาจริงเอาจังมาก กับการแสดงนั้นแน่นอน รูปแบบและแนวทางของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป ด้านเสี่ยวโจวนั้นมี เรื่องสนุกตลกมากมาย พอดีในเรื่องนั้นพวกเรามีฉากที่ต้องเมาเหล้าหลายๆฉากด้วย ฉะนั้นปกติกองถ่ายของเราก็จะมีเหล้าอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จะมาเยี่ยมเราที่กองถ่าย ก็จะมีเหล้ามาด้วย เพื่อจะมาร่วมดื่มทำให้เราผ่อนคลาย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ไปขอเหล้าองุ่นกับเขา ส่วนเขานั้น ไม่รู้ว่าได้ยินจากไหน บอกว่าผมนั้นเรื่องดื่มเหล้านั้นคออ่อนมาก(ดื่มนิดหน่อยก็เมา) ผมนั้นประมาณหนึ่งอึกก็จะรู้สึกเลยว่ามีอาการแล้ว แล้วเธอก็ได้ริมเหล้าให้ผมแก้วหนึ่ง ยังไม่ทันดื่มเธอก็รีบมากระซิบผมว่า “อย่าดื่มจนเมาล่ะ” พูดง่ายๆก็คือเขาคิดว่าเขาให้เหล้ากับผม เขาต้องมีส่วนรับผิดชอบกับการเมาของผมด้วย แต่ผมก็บอกเขาไปว่า “ไม่ต้องห่วง ผมไม่เมาหรอก” ฮ่าๆๆ น่ารักจริงๆ

ญ: ใช่ นิสัยเขาร่าเริงมาก

โหย่วเผิง: ใช่  จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่จริงใจมาก

ญ: เมื่อเทียบกับปิงปิงแล้ว ก็จะหนักกว่าหน่อย

โหย่วเผิง: ผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่บทบาทเพราะว่าในเรื่อง "หยินสุ่ยเหยา"นั้น ปิงปิงก็มีนิสัยที่ร่าเริงดี แต่ว่าในเรื่องนี้นั้น บทของหัวหน้าลี่นั้นจะเป็นผู้ใหญ่ เพราะเป็นหัวหน้าของเสี่ยวม่ง ฉะนั้นก็จะออกในแนวที่ขรึมหน่อยๆ หรือโหดหน่อยๆ

ญ: ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้คุณกับหวงเสี่ยวหมิงนั้นได้เปลี่ยนจากอดีตที่มีภาพลักษณ์ที่ดีทั้งคู่ ตอนนี้กลับมารับบทที่ต่างจากอดีต

โหย่วเผิง: จริงๆ แล้วเสี่ยวหมิงก็ได้ทุ่มเทอะไรมากมาย เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย เขาจะฝึกอ่านภาษาญี่ปุ่นให้ได้ แล้วไปเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น ผมคิดว่าในเรื่องนี้นั้น นักแสดงแต่ละคนก็ได้ทุ่มเทไม่น้อยเลย








Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2010, 05:53:37 PM »



ญ: จริงๆ แล้วภาพลักษณ์ของโหย่วเผิงที่ทุกคนฝังใจนั้นเป็นนักร้องคนหนึ่ง แต่ว่าการเปลี่ยนอาชีพจากนักร้องมาเป็นนักแสดงนั้นเกี่ยวกับความรักความชอบหรือ ตามความนิยมของแฟนๆ

โหย่วเผิง: อื่ม เริ่มงานแสดงก็นานกว่าสิบปีแล้ว และเรื่องที่จริงๆจังๆเรื่องแรกนั้นก็น่าจะเป็นเรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ” เรื่องก่อนองค์หญิงกำมะลอนั้น ผมก็คิดว่าตัวเองก็แค่มือสมัครเล่น เรื่องถนัดคือร้องเพลง ผมก็รู้ดีว่า การจะเป็นนักร้องนั้นเมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็จะรู้ว่ามันไปไม่ได้แล้ว เหมือนกับเดินอยู่กับที่ ไม่มีอะไรใหม่ๆเลย บวกกับดารานักร้องใหม่ก็มีขึ้นมาเยอะ อายุตัวเองก็มากแล้ว จำต้องมีอะไรใหม่ๆให้คนอื่นดู เพราะเรื่องเก่าๆนั้นหากินไม่ได้อีกแล้วล่ะ เริ่มแรกก็รู้สึกว่าว้าวุ่นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ตอนหลังนั้นก็คิดว่าโชควาสนามาแล้ว ก็คืออาอี้ฉวงเหยาให้ผมแสดงองค์หญิงกำมะลอ เขาก็มาหาผมกับพี่จื้อเผิง รับบทเป็นเชื้อพระวงศ์

ญ: อย่างไรก็ตาม สำหรับนักแสดงเรื่องนั้นแล้ว นั่นก็ถือว่าเป็นงานที่โชคดีงานหนึ่ง

โหย่วเผิง: ใช่ๆ เราไม่เคยคิดมาก่อนเลย พวกเราหลายคนยังทนทุกข์ต่อสู้กับเรื่องนั้นมาไม่น้อยเลย เหตุเพราะพวกเราล้วนไร้ประสบการณ์ คิดไม่ถึงจริงๆว่า ตอนหลังจะดังขนาดนี้









ญ: หลังจากนั้น ฉันเองก็เห็นถึงผลงานด้านงานแสดงของคุณนั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งมากขึ้นและหลากหลายขึ้น ตอนแรกๆอาจจะมีภาพลักษณ์ที่เป็นบทที่เป็นผู้ดี เช่น เรื่อง มนต์รักในสายฝน หรือว่าภาพยนตร์แนวโบราณอะไรอย่างนั้น แนวกำลังภายใน อะไรเป็นต้น ก็คือยังมีภาพลักษณ์ที่เป็นพระเอกหรือตัวเอกอยู่ แต่ว่าช่วงหลังๆ มานี้จะเห็นว่าคุณได้เปลี่ยนบทเล่นไป นี่เป็นการเรียกร้องของตัวเองหรือเปล่า?

โหย่วเผิง: ตรงนี้นั้น อย่างแรกก็น่าจะพูดว่าการเป็นนักแสดงนั้นยิ่งนานวันมุกก็ยิ่งหมดไป อย่างที่สองคือ จริงๆแล้วโดยนิสัยผมนั้น ผมเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบ ผมเกลียดกับการยืนอยู่กับที่มาก ผมชอบในการพลิกผันเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อมีคนเอาหมวกมาสวมให้คุณว่าให้คุณเป็นอย่างนี้นะ ผมก็จะขัดขืนประชดเลยว่าผมจะไม่เป็นอย่างนี้ ผมจะชอบทำอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้าน และเมื่อเส้นทางการแสดงมันมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ตัวเองก็บอกกับตัวเองว่า พอแล้วล่ะ เริ่มจะมีการซ้ำซากแล้ว ผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น

ผมอยากเปลี่ยนแปลงพลิกผันชีวิต ผมไม่อยากเดินอยู่กับที่แล้ว แม้ว่าผลงานในก่อนหน้านี้จะออกมาดีก็ตาม และตอนนั้นบทแสดงที่มันคล้ายๆเหมือนๆกับบทที่เคยแสดงมาก่อนนั้นตัวเองก็ รู้สึกว่าไม่อยากเล่นแล้ว และกลับรู้สึกว่าตัวเองอยากจะทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ เช่น ละครเวที หรือบทที่ปีที่แล้วพึ่งแสดงไปคือบทของคนป่วยทางจิต พวกนี้เป็นต้น


ญ: สำหรับ ละครเวทีแล้วทุกคนก็คงจะรู้สึกได้เลยว่าเป็นอะไรที่สนุกมากๆ แล้วคุณจะยอมเอาเวลาที่มากมายขนาดนั้นไปแสดงบทละครที่เหมือนกันอย่างนั้น หรือ









โหย่วเผิง: อื่ม หลายๆเรื่อง ถ้าพูดตามอายุประสบการณ์แสดงของผมแล้วล่ะก็ บวกกับผมที่เข้าสู่วงการนานแล้ว จะรู้สึกว่าสภาพจิตใจท่าทีของตัวเองนั้นนิ่งแล้ว ผมจะไม่แคร์ในเรื่องของ "ผล"มากไปกว่าเรื่องของ "วิธีการ" ด้วยเหตุที่มีนักแสดงมากมายเป็นคนที่นิสัยร้อน ทำให้วัดทุกสิ่งทุกอย่างด้วย "ผลของงาน" แต่สำหรับผมแล้วมันตรงข้ามกัน ผมต้องพิจารณาว่า "ขั้นตอนวิธีการ"นั้นดีไหม สนุกไหม สิ่งเหล่านี้จะสำคัญกว่า

ญ: สำหรับนักแสดงแล้วก็ยังมีบางอย่างที่ต้องกังวล เช่น นอกจากงานแสดงแล้ว ยังมีงานอย่างอื่นนั้นจะทำอย่างไร หรือว่า อนาคตหากเปลี่ยนอาชีพแล้ว หรือว่าไม่มีงานให้แสดงแล้ว แล้วจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะนักแสดงไต้หวัน ก็จะมีการคิดเรื่องนี้มากมาย เช่นจะไปประกอบธุรกิจอะไรอย่างนี้

โหย่วเผิง: ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สู้ดีในด้านนั้นเลย และผมเองก็คิดว่าการที่ผมเดินในเส้นทางอาชีพนี้นั้นมันถูกต้องแล้ว ถ้าไปทำอาชีพธุรกิจก็คงไปไม่รอดแน่






Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2010, 05:57:44 PM »




ญ: และฉันเองก็รู้สึกว่า ในช่วงวัยที่แตกต่างกันไปนั้น ความรับรู้ต่อตัวเองนั้นก็ต่างกันด้วย ได้ข่าวว่าช่วงหนึ่งนั้น คุยเคยปฏิเสธกับการที่คนอื่นจะมองคุณว่าเป็นไกวไกวหู่ เป็นนักร้องขวัญใจอะไรอย่างนี้ และกับตอนนี้นั้นคุณก็รู้สึกเฉยๆกับมันไปแล้ว ใช่เปล่า

โหย่วเผิง: อื่ม มันไม่ได้เป็นการปฏิเสธอะไรอย่างนั้น อื่ม เรื่องนี้จะอธิบายว่าอย่างไรดี

ญ: เป็นการคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงหรือเปล่า?

โหย่วเผิง: จริงๆแล้ว ก็ใช่ว่าไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงนะ ก็คือ ตอนนั้นจะว่าไปแล้วผลงานความสำเร็จของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นดีมาก และภาพอย่างนั้น ทุกคนคงจำฝังใจไปตลอด แต่ว่าเมื่อผมได้โตขึ้นแล้ว ผมหวังว่าจะเปลี่ยนอาชีพสู่การแสดง และมีบทหลายบทที่ต้องทำลายภาพลักษณ์ที่ดี และการเปลี่ยนมาทำงานอย่างนี้นั้นแน่นอนแรกๆผลงานก็คงจะไม่ดีมาก แต่ว่าในใจของทุกคนก็ยังมีความคิดในสมัยอดีตว่าผมต้องดีต้องประสบความสำเร็จ อะไรอย่างนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม พวกเราก็ยังคิดว่าคุณก็ยังต้องเป็นไกวไกวหู่ ต้องมีภาพลักษณ์อย่างนั้น ฉะนั้นเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม อยากจะให้พวกเขาลองให้เวลาในการพิสูจน์ตัวผมด้วยได้ไหม ผมไม่ได้ปฏิเสธอดีตของผม แต่ผมอยากจะให้ทุกคนมองปัจจุบันของผม

ญ: แต่ฉันคิดว่า คนเรานั้นจำต้องผ่านประสบการณ์เรื่องราวมาก่อน ถึงจะสามารถพิสูจน์เรื่องต่างๆได้ ก็คือ เมื่อคุณได้ตั้งใจทำแล้ว จนการเปลี่ยนแปลงของคุณเป็นที่ยอมรับของทุกคนแล้ว คุณจะไม่แคร์ว่าคนอื่นจะมองคุณอย่างไรอีกต่อไป

โหย่วเผิง: ก็คือในช่วงนั้นทุกคนมองคุณด้วยสายตาที่ยุติธรรมแล้ว คุณจะรู้สึกว่าสามารถพูดคุยอย่างยุติธรรมได้แล้ว









ญ: จริงๆแล้วเรื่องการร้องเพลงนั้น หลายปีมานี้คุณก็ไม่ได้ทิ้งมันไปเลย คุณยังมีร้องพวกเพลงต่างๆนิดๆหน่อยๆอยู่ด้วย

โหย่วเผิง: คุณไม่รู้หรอกว่าผมนั้นชอบร้องเพลงขนาดไหน พูดตามตรงเลยว่า ตอนที่ผมเริ่มก้าวเข้าสู่วงการแสดงนั้น ผมก็หวังไว้ว่าวันหนึ่งจะกลับมาร้องเพลงอีก ผมชอบร้องเพลงมากๆ ตอนนั้นนะ แม้กระทั่งเวลาอาบน้ำก็ยังร้องเพลงไปด้วย

ญ . เวลาอาบน้ำใครก็ร้องด้วยเหมือนกันแหล่ะ

โหย่วเผิง: จริงซิ อย่างไรก็ตามผมเป็นคนที่ชอบร้องเพลง แม้กระทั่งตอนที่ถ่ายละคร “องค์หญิงกำมะลอ” แม้มือจะถือบทอ่านไปก็ยังร้องเพลงไปด้วยเลย ผมก็หวังไว้ว่าจะหาโอกาสมาร้องเพลงอีก แต่ตอนแสดงก็เอาจริงเอาจริงกับการแสดงเหมือนกัน อย่างไรก็ตามตัวเองนั้นชอบร้องเพลงมากกว่า

ญ: ฉันคิดว่าตอนนั้นคงจะเป็นเวลาที่จะรอโอกาส

โหย่วเผิง: ถูกแล้ว รอโอกาสที่จะร้องเพลงอีก

ญ: แล้วตอนนี้ยังมีความคิดอย่างนี้อยู่หรือเปล่า






Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2010, 06:08:07 PM »



โหย่วเผิง: ตอนนี้นั้นอาจจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามตัวเองก็ยังรู้สึกว่ายังรักในการร้องเพลงอยู่ จริงๆแล้วการได้เรียนสิ่งเหล่านี้ในอดีตนั้นก็คิดว่าคงจะได้ใช้มันในอนาคต แน่นอน แต่ท่าทีจิตใจตอนนี้นั้นคงจะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมรู้สึกว่า การเป็นนักแสดงคนหนึ่งนั้น ก็เหมือนกับผมเป็นนักแสดง ตอนนี้อายุก็ไม่น้อยแล้ว การที่จะยึดอาชีพนักแสดงนั้นคิดว่าจะยืนยาวกว่า โดยเฉพาะงานแสดงนั้นยิ่งทำก็ยิ่งมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญขึ้น มันก็ยิ่งจะเปิดหนทางข้างหน้าของเรามากขึ้นกว่าเดิม แต่สำหรับเวทีเพลงแล้ว จุดนี้คงจะไม่มีหรือไม่เหมือน ส่วนมากนักร้องบนเวทีก็จะเป็นเวทีของนักศึกษาเหล่าบรรดาวัยหนุ่มสาวมากกว่า ฉะนั้นผมเองก็คิดว่า งานหลักของผมนั้นก็คงจะเจาะจงในทางงานการแสดงมากกว่า

ญ: จริงๆแล้วงานการแสดงนั้นถือว่าเป็นเวทีที่ใหญ่มากๆ ก็คือสะสมประสบการณ์ยิ่งเยอะก็ยิ่งจะมีโอกาสที่ดี

โหย่วเผิง: ก็เหมือนกับการร้องละครเพลงของผมอย่างนั้นเลย คุณยิ่งเอื้อนก็ยิ่งมีให้เอื้อนจนไม่มีที่สิ้นสุดเลย









ญ: เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย อื่ม ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องการรักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วงนี้นั้นน้อยมากที่จะได้ยินคุณไปทำงานเกี่ยวกับงานด้านนี้ แต่ว่าถ้าไปสืบดูแล้วก็จะเห็นว่า คุณได้เริ่มทำงานด้านสาธารณะประโยชน์เอย ด้านมูลนิธิเอย งานพวกนี้นั้นคุณทำมาแต่ต้นแล้ว งานเหล่านี้นั้นเป็นการเลือกทำด้วยตัวเองหรือเปล่าหรือว่าอย่างไร?


โหย่วเผิง: อื่ม จริงๆแล้ว การเป็นศิลปินคนหนึ่งนั้นก็ย่อมมีชื่อเสียงบ้าง และงานด้านสาธารณะประโยชน์นั้นจำเป็นจะต้องให้คนที่สังคมรู้จัก เพื่อจะเป็นที่สนใจของประชาชน งานเหล่านี้ถึงสามารถจะเปิดกว้างมากขึ้นได้ ฉะนั้นพวกเราก็มักจะได้รับเชิญจากหน่วยงานเหล่านี้ และเกี่ยวกับงานเหล่านี้นั้น หากว่าผมไม่ติดขัดอะไรนั้นผมก็ยินดีจะเข้าร่วมทุกครั้งเลย ผมไม่กล้าที่จะปฏิเสธมัน และคงไม่ไปคิดว่าจะได้ตำแหน่งหรือได้หน้าอะไรสิ่งเหล่านั้นผมไม่สนใจ ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย ผมก็ได้พูดกับบรรดาทีมงานว่า ต่อไปอย่าไปรับโล่เกียรติยศโล่อะไรที่เมื่อเราทำดีแล้วเขาจะให้ สิ่งเหล่านี้มันไม่มีความหมาย การทำความดีนั้นสำคัญคือต้องไปทำ ไม่ใช่ว่ามารับโล่โน้นโล่นี้ แต่ว่าพวกเราก็ได้ไปร่วมงานมอบโล่เกียรติยศอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน แล้วพวกเขาก็ชอบที่จะมองโล่ให้กับคุณ สิ่งเหล่านั้นสำหรับผมแล้วมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือต้องไปทำ


ญ: อื่ม แล้วอนาคตจะแบ่งเวลาหรือกำลังให้กับงานอย่างไร

โหย่วเผิง: อื่ม เกี่ยวกับอาชีพการงานของผมหรือ ผมคิดว่าตอนนี้ผมก็อยู่ในช่วงของแล้วแต่ดวงมั้ง ผมคิดว่าประสบการณ์ชีวิตไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ หนาวหรือร้อนก็ได้ผ่านมาไม่น้อยแล้ว ผมรู้สึกว่าอิ่มพอแล้ว และรู้สึกถึงว่า โอเคแล้วล่ะ ฉะนั้นอนาคตหากว่าผมยังมีโชคนะ ผมอยากจะเล่นภาพยนตร์สักเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่จะให้ทุกคนดูแล้วฝังใจกับผม เลยอะไรประมาณนี้เรื่องหนึ่ง คิดว่าอย่างนี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ










Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 รายการ Jin Ye Feng Sheng Qi
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2010, 06:11:32 PM »



ญ: แท้จริงแล้ว ผ่านทางภาพยนตร์ “เฟิงเซิง” ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงอีกมุมอีกด้านหนึ่งของโหย่วเผิง มีความสามารถที่หลากหลาย ไม่เพียงแค่เป็นได้แต่ "อู่อาเกอ"อย่างนั้น

โหย่วเผิง: ใช่ ผมอยากจะให้ทุกคนเห็นว่าผมก็พยายามอยู่ตลอดเวลา

ญ: แล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ล่ะ

โหย่วเผิง: สำหรับเรื่องนี้นั้น อื่มจริงๆ แล้ว เมื่อกี้ก็ได้พูดไปมากมาย เกี่ยวกับบทของ "ไป๋เสี่ยวเหนียน" แท้จริงแล้วตัวละครทุกตัวล้วนสนุกทั้งนั้น ในเรื่องนั้นเรามีนักแสดงมืออาชีพมากมายเลย มีทั้งพวกที่เปี่ยมไปด้วยฝีมือ มีทั้งคนฉากหน้า คนฉากหลัง หากว่าเราได้มีโอกาสเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้เชื่อว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน คุณจะได้เห็นถึงการทุ่มเทของบรรดานักแสดงแต่ละคนอย่างสุดยอด นอกจากนี้คุณก็จะได้เห็นถึงกลุ่มลูกหลายชาวจีนที่ต่อสู้เพื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งจะทำให้คุณประทับใจพวกเขามาก ผมเชื่อว่าทุกคนที่เข้าไปชมนั้นจะประทับใจเป็นอย่างมาก

ญ: โดยเฉพาะผลงานที่ออกมาดีเยี่ยมอย่างนี้นั้น ไม่พ้นการทุ่มเทแรงกายแรงใจของนักแสดงทุกคน

โหย่วเผิง: ใช่ครับ ก็ขอขอบพระคุณ “ค่ายหัวอี้” ที่ให้โอกาสที่ดีอย่างนี้กับพวกเราทุกคน

ญ: พวกเราล้วนรอคอยภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยใจจดใจจ่อ และขออวยพรให้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมียอดทะลุเป้าอย่างถล่มทลาย และขออวยพรให้คุณ ในการที่จะเจอบทดีๆ บทที่ตัวเองชอบ ขอบคุณค่ะ

โหย่วเผิง: ขอบคุณครับ








จบสัมภาษณ์