Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน > Online Interviews & Updates

[2015.09.01] ซูโหย่วเผิงกลับไต้หวัน เพื่อนรักจัดงานวันเกิดล่วงหน้าให้กับเขา

(1/1)

Alec Love Me:










ที่มา http://www.shcaoan.com/wy/Flash/88790.html#13584-tsina-1-85041-1a5b64f7cbc0d1a70da58df0b5e8221c

ซูโหย่วเผิงกลับไต้หวัน เพื่อนรักจัดงานวันเกิดล่วงหน้าให้กับเขา

     วานนี้ ( 1 กันยายน) ซูโหย่วเผิงกลับไต้หวันเพื่อไปถ่ายโฆษณา เพื่อนๆของเขาจึงถือโอกาสจัดงานฉลองวันเกิดล่วงหน้าวัย 42 ปีให้กับเขา พรข้อแรกที่เขาที่กำลังสร้างกล้ามเนื้อเมื่อไม่นานมานี้ขอ ก็คือ ขอให้ซินหรูจะได้รับรางวัลจินจง (金钟奖) เมื่อหลินซินหรูได้ฟังก็ตอบกลับอย่างร่าเริงว่า “ซาบซึ้งมาก”

     เขาเปลี่ยนจากหนุ่มน้อยวัยใส “ไกวไกวหู่” มาเป็นสุภาพบุรุษอย่างเต็มตัว เขาได้ฝึกฟิตกล้ามเมื่อไม่นานมานี้ แต่เมื่อได้โพสต์รูปลงไปแล้ว กลับได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบกลับมาจากแฟนคลับ  ซูโหย่วเผิงตอบกลับอย่างจนปัญญาว่า “ตอนที่โพสต์ไปนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้จะถูกว่าว่าอ้วน หรือลามก น่าเกลียดก็ตาม”  เขารีบลบรูปนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว เขายิ้มแล้วบอกว่าต้องรอให้หุ่นเท่าเผิงหยูเยี่ยน (彭于晏) ก่อน ค่อยโพสต์รูปลงอีกที เขาบอกว่า “ไม่อยากจะเป็นวัยกลางคนเร็วเกินไปนัก” การออกกำลังใจทำให้เขามีจิตใจที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

     ซูโหย่วเผิงยังได้โชว์รอยสักบนแขนของเขาอีกด้วย เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนว่า “Glory Breath is a Blessing” (ทุกการหายใจคือความสุข) ซึ่งได้ช่างสักจากปักกิ่งเป็นผู้สักให้ เขาบอกว่า “นี่คือกำลังใจล่ะ”

     ซูโหย่วเผิงทำงานที่จีนแผ่นดินใหญ่มาเป็นเวลานาน โจ่วเอ่ออผลงานการกำกับชิ้นแรกของเขา มียอดจำหน่ายตั๋วกว่า 500 ล้านหยวน ซึ่งถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย เขาบอกตามตรงว่า “ตกใจมากจริงๆ ทุกอย่างค่อนข้างจะเป็นศิลปะ ไม่ค่อยเหมือนกับภาพยนตร์ทั่วไปในตลาด” และไม่ได้มีเพียงแค่ยอดขายที่ดีเยี่ยมเท่านั้น แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ของเพลงที่นำมาประกอบตัวอย่างภาพยนตร์อีกด้วย ถูกนักดนตรีที่มีฝีมือกล่าวหาว่าก๊อปปี้ผลงานของตัวเอง แม้ว่าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงประนีประนอมกันแล้ว แต่ภายหลังดูเหมือนว่าจะตกลงกันเรื่อง “ค่าเสียหาย” ไม่ลงตัว ซูโหย่วเผิงพูดถึงปัญหานี้ว่า “แต่ละฝ่ายต่างประเมินค่าเสียหายไว้ไม่เท่ากัน ให้ศาลตัดสินจะดีที่สุด”   

     ซูโหย่วเผิงกล่าวต่อว่า “ในงานอีเว้นครั้งก่อนไม่ค่อยได้พูดเรื่องนอกมากนัก แต่ผมก็ได้ไปติดตามทางฝั่งบริษัทปักกิ่งอยู่ตลอด  สุดท้ายแล้วทั้งคู่ต่างก็ไม่ยอมซึ่งกันและกัน แต่ที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าราคาที่ชดใช้ทั่วไปนั้นเท่าไหร่ ดังนั้นผมคิดว่าถ้าจะฟ้องก็ต้องรีบฟ้อง อย่าเอาแต่รั้งไว้”   เขาคิดว่าถ้าหากว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจ หรือถูกคุกคาม ก็ควรจะไปฟ้องศาลโดยตรงเลย เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องค่าเสียหายได้ ซูโหย่วเผิงได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า “ยอดขายตั๋วกับเรื่องค่าเสียหายเป็นสองเรื่อง ไม่สามารถนำยอดขายตั๋วที่ไม่ว่าจะขายได้ดีหรือไม่ดี มาตัดสินว่าควรเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่”

    ซูโหย่วเผิงมีความคาดหวังต่อภาพยนตร์โจ่วเอ่อไม่น้อยเลยทีเดียว บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผ่านการคัดเลือกรอบแรกของรางวัลม้าทองคำแล้ว”  เขายังได้พูดล้อเล่นอีกว่า “หวังว่ากรรมการจะจำได้ว่าผมก็เป็นคนไต้หวันนะ” เขาหวังว่า ผลงานชิ้นแรกจะสามารถได้ใจของคนทุกเพศทุกวัย วันที่ 11 นี้ เขาจะมีอายุครบ 42 ปี ในงานก็ได้เตรียมเค้กให้เขาสองก้อนใหญ่สำหรับวันเกิดที่กำลังจะถึงนี้อีกด้วย

     สำหรับพรสามข้อที่เขาขอ ข้อที่หนึ่งก็คือขอให้แก่หลินซินหรู พูดอย่างขำๆว่า “หวังว่าหลินซินหรูจะได้เป็นนางเอก” และได้บอกต่ออีกว่า “หวังว่าโจ่วเอ่อจะเข้าตากรรมการตัดสินรางวัลม้าทองคำในปีนี้ด้วย” และภาพยนตร์เรื่องต่อไปน่าจะเริ่มเปิดกล้องภายในสิ้นปีนี้ เขาบอกว่า “เป็นผลงานการประพันธ์จากนักเขียนชาวญี่ปุ่น Keigo Higashino ส่วนตัวแล้วเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลึกซึ้ง” แต่ในเรื่องของรายละเอียดนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการ

     ซูโหย่วเผิงเปิดตัวในฐานะผู้กำกับด้วยผลงานชิ้นเยี่ยม โจ่วเอ่อ ตอนนี้ดูเหมือนว่ามุมมองของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ค่อยเหมือนกับภาพยนตร์ทั่วๆไป เขาบอกว่า “จากมุมมองที่ดูตอนนี้แล้วไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ถึงแม้ว่าจะสามารถเดาได้ว่าผู้ชมทั่วไปชอบอะไร แต่สำหรับในฐานะผู้ผลิตแล้ว ต้องพิจารณาอีกทีว่าจะสร้างดีไหม” เขายิ้มแล้วบอกว่า “ต้องถามใจตัวเองก่อน ว่ามันจะโอเครึเปล่า” และเขาก็ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าตอนที่จะถ่ายทำเรื่องโจ่วเอ่อนั้น ต้องพิจารณาถึงด้านไหนบ้าง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้เลือกบนเส้นทางวรรณกรรมของเยาวชน

     เมื่อพูดถึงภาพยนตร์ไต้หวันเรื่อง Our times เขาบอกว่าได้ดูแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้กับโจ่วเอ่อล้วนเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับนักเรียน เมื่อถูกถามว่ามีจุดไหนที่เหมือนกันบ้าง ซูโหย่วเผิงออกตัวอย่างรวดเร็ว “ไม่มี ต่างกันมากเลย โจ่วเอ่อค่อนข้างเป็นหนังอาร์ท ไม่ใช่แบบนั้นจริงๆ”

    ซูโหย่วเผิงคิดว่า Our times เป็นภาพยนตร์ที่เข้าใจจิตใจเด็กสาวจริงๆ มีบางช่วงที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักร้องยอดนิยม ซึ่งมันไม่ใช่แนวของเขาซักเท่าไหร่  แต่ตอนที่หวังต้าลู่ (王大陆) บอกลาเพื่อนของเขาที่ริมทะเลนั้น เขาก็ซาบซึ้งนะ เมื่อเขาได้เห็นข่าวของตัวเองที่พักการเรียนในตอนต้นของภาพยนตร์แล้ว ก็ไม่ลืมที่จะแสดงความคิดเห็นว่า “ข่าวหน้าหนึ่งของผมเมื่อปีนั้น กลายเป็นอนุสรณ์ของรุ่นนี้ไปแล้ว”

     หวนคิดถึง “ช่วงที่ยังหนุ่ม” ของตัวเองแล้ว ซูโหย่วเผิงบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ในช่วงมัธยมปลายนั้น ตนได้เป็นสมาชิกวงเสี่ยวหู่ตุ้ยที่มีชื่อเสียงแล้ว “ผมกลายเป็นตัวประหลาดในโรงเรียน ก็เลยไม่ค่อยไม่ความทรงจำในช่วงที่เป็นนักเรียนมากนัก” เขาบอกต่ออีกว่า “ตอนนั้น แถวๆโรงเรียนมัธยมสตรีไต้หวัน โรงเรียนสตรีจงซาน และโรงเรียนสตรีอื่นๆ พวกเธอจะหาแต่ชื่อ “ไกวไกวหู่” เพื่อนผู้ชายที่โรงเรียนก็เลยเกลียดผมกันหมด”

     ซูโหย่วเผิงจำได้ว่า มีครั้งหนึ่งเป็นงานฉลองที่โรงเรียน ตอนนั้นเขาอยู่มอห้า เขาถูกเพื่อนชวนให้นำรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นมาโรงเรียน ผลปรากฏว่ากิจกรรมของคนในห้องในวันนั้นก็คือ ขายรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของเขา เขาได้ย้ำอีกครั้งว่า “ช่วงวัยรุ่นของผมนั้นแปลกจริงๆ”

คำชี้แจง: เว็บข่าวบันเทิงจงหัวมีจุดประสงค์ที่เผยแพร่ข้อมูลนี้เพื่อส่งต่อข่าวสารแก่ทุกคน และไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

Alec Love Me:
 

แก้ไขนะคะ จากที่ดูภาพขยายลายสักของเฮีย เขียนว่า "Every Breath is a Blissing" นะคะ แต่ตามข่าวก็รายงานตามที่แปลค่ะ //อ.

Alec Love Me:





Alec Love Me:









นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

Go to full version