ผู้เขียน หัวข้อ: 2013 The One (magazine)  (อ่าน 3412 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
2013 The One (magazine)
« เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2014, 11:04:39 AM »

 [13 พฤษภาคม 2013] 《The one magazine》ซูโหย่วเผิง— ผมอยากแสดงบทผู้ป่วยจิตเภท
ซูโหย่วเผิง— ผมอยากแสดงบทผู้ป่วยจิตเภท
《ยีห้าว》เนื้อเรื่อง:ซุนยีซิง

บทนำ

เข้าสู่วงการเมื่อตั้งแต่อายุยังน้อย หนีปัญหาด้วยการออกจากวงการ กลับมาอีกครั้ง และสุดท้ายสู่การผันตัวเป็นผู้กำกับ ตัวหนังสือไม่กี่ประโยคนี้ สามารถอธิบายเรื่องราวชีวิตของ ซูโหย่วเผิง ได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังแล้ว ไกวไกวหู่ ต้องลำบากแค่ไหนครั้นเผชิญกับเสียงวิพากวิจารณ์จากสังคม เราเห็นแค่ชายหนุ่มที่ยืนจัดชุดสูทหน้ากระจกคนนี้ กาลเวลาคงจะชื่นชอบใบหน้าเขาเหมือนกัน ถึงจะผ่านอะไรมามากมาย แต่ก็กลับไม่สามารถทิ้งร่องรอยของการเวลาบนใบหน้าหล่อเหลานี้ได้ หรือบางทีนี่อาจถือเป็นการชดเชยให้กับสิ่งที่เคยเผชิญครั้นยังวัยรุ่นนั้นก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเหล่านั้นก็ได้หล่อหลอมให้เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซูโหย่วเผิง ณ ตอนนี้ ไม่ใช่หนุ่มไร้เดียงสา“ไกวไกวหู่”อีกต่อไป แต่เป็น ซูเผิงโหย่ว คนใหม่ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามกรอบอีกต่อไป

 “ผมไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซาก จำเจ ผมว่าความท้าทายน่าสนใจกว่า”

จาก ไป๋เสี่ยวเหนียน ในเรื่อง 《ฟงเซิง》ถึง บท ฮั่นเสี้ยนตี้ ในเรื่อง 《ถงเช้วไท่》ทุกการปรากฎตัวครั้งใหม่ของ ซูโหย่วเผิง มักสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ชมได้เสมอ และขณะที่เขาสามารถฉีกภาพลักษณ์ “ไกวไกวหู่”ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น ซูโหย่วเผิง ก็ผันตัวสู่นักแสดง เริ่มต้นจากพระเอกหน้าใหม่ของ ฉงเหยา (นักเขียนเรื่ององค์หญิงกำมะลอ)จนสุดท้ายกลายเป็นนักแสดงมืออาชีพในวงการ “ตอนนี้ถ้าเป็นหนังที่คล้ายกับเรื่อง 《องค์หญิงกำมะลอ》《เพลงรักมนต์สายฝน》ผมก็คงไม่รับแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวละครมันค่อนข้างเรียบง่าย ผู้ชมส่วนมากอาจจะชอบหนังรักคอมเมดี้แนวนี้ แต่จากมุมมองของผู้กำกับแล้ว ผมคลุกคลีและคุ้นเคยกับหนังแนวนี้แล้ว ตอนนี้ไม่อยากทำเรื่องที่ซ้ำกันอีก”

 “ความท้าทาย” คงจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ ซูโหย่วเผิง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการแสดงเท่านั้น แม้แต่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน เขาก็จะไม่ร้องเพลงฮิตหรือที่เพลงคนส่วนมากนิยมร้องกัน “ถ้าหากผมท้าทายเพลงนี้ได้สำเร็จ คราวหน้าผมก็จะไม่เลือกเพลงนี้อีก ผมไม่ชอบร้องเพลงเดียวซ้ำๆ ผมไม่ชอบเลือกเพลงที่ไม่ได้ร้องง่ายเกินไปด้วยเหมือนกัน ผมไม่ได้เป็นคนแปลกหรืออะไรหรอกนะครับ แค่ไม่อยากทำอะไรที่จำเจเท่านั้น เพราะการท้าทายสิ่งใหม่ๆจะทำให้ผมมีแรงผลักดันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าร้องเพลงที่เราถนัด แล้วให้คนอื่นชมว่าร้องเก่งร้องเพราะอะไรอย่างนั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อนะ ผมชอบให้มีความท้าทายบ้าง มีสิ่งใหม่ๆให้ทุกคนได้เห็นบ้าง การแสดงก็เช่นกันครับ”

 “ไม่ใช่ว่าทุกการท้าทายจะประสบความสำเร็จหมดหรอกครับ พูดตามตรงนะ ผมก็มีเรื่องท้าทายมากมายที่ทำไม่สำเร็จ (หัวเราะ) แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะผมไม่ชอบความจำเจจริงๆหนิ ยกตัวอย่างเช่น การแสดงหนังและการกำกับ ผมรู้ว่าต้องทำหน้าหรือโพสท่าไหนถึงจะผ่าน ถึงจะถูกใจตากล้อง ถ่ายมุมมองถึงจะได้มุมที่สวยที่สุด แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ ต้องเพิ่มอะไรใหม่ๆเข้าไปอีก ถ้าเหมือนกันทุกครั้งก็คงน่าเบื่อ แล้วมันจะสนุกได้อย่างไรล่ะ?”

เมื่อพูดถึงผลงานที่มีทำให้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญนั้นมีอยู่สองเรื่องคือ 《องค์หญิงกำมะลอ》และ《ฟงเซิง》 “ตอนที่ถ่ายทำ《องค์หญิงกำมะลอ》นั้น ผมแสดงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทำให้ผมไม่ตัดใจจากวงการนักแสดงไปก่อน การที่ไม่ถูกแบนที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำงาน สำหรับเรื่องการแสดงนั้น เรื่อง《ฟงเซิง》เป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีการพัฒนามากที่สุด มันเป็นหนังเรื่องแรกที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับผม และ ไป๋เสี่ยวเหนียน ก็เป็นบทที่แสดงยากที่สุดและแปลกที่สุดที่ผมเคยได้รับ มันช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ผม เพราะหลังจากที่รู้ว่าเราสามารถทำได้ มันทำให้ผมกล้ามากขึ้นครับ”

การท้าทายบทละครใหม่ๆทุกครั้ง ซูโหย่วเผิง มักจะหาเรื่องให้ตนเอง เพื่อจะสามารถเข้าถึงตัวละครได้มากขึ้นและแสดงออกมาได้ดีที่สุด “บทที่ผมอยากลองที่สุดในตอนนี้คือ ผู้ป่วยจิตเภท เพราะว่าบุคลิกจะต่างจากคนปกติ เมื่อเราอยู่ต่อหน้าคนอื่น เรามีพฤติกรรมที่คล้ายๆกันเพื่อไม่ให้ตนดูแตกต่างไปจากสิ่งที่คนทั่วไปทำกัน แต่ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าทุกคนล้วนมีบุคลิกลับหลังผู้คนอีกด้วย และจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เราสวมหน้ากากที่ต่างกันออกไปเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ถ้ามีโอกาสได้แสดงบทสองบุคลิกแบบนี้ คงเป็นเรื่องที่น่าสนุกเหมือนกันครับ


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: พ.ค.- 2013 The One (magazine)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2014, 11:05:16 AM »
 “ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องได้บทผู้ใหญ่หรือคนแก่ เพราะว่าบทที่ได้รับควรเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

เมื่อถูกถามถึงเรื่องใหม่《Sweet Alibis》นั้น ซูโหย่วเผิง หัวเราะพูดว่า “พูดเยอะไม่ได้ครับ” แต่เขาแอบเผยว่าตนเป็นคนขอให้บทมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้การถ่ายทำสนุกยิ่งขึ้น “ตั้งแต่ตอนที่คุยกับผู้กำกับเรื่องตัวละคร เขาก็ตกใจเหมือนกันที่ผมเลือกวิธีนำเสนอแบบนี้ เขาก็เห็นด้วยนะ แค่รู้สึกว่าผมเลือกวิธีที่ยากไปหน่อย ผมคิดว่าการทำงานภายใต้ความกดดันและความยากในระดับพอเหมาะ จะสามารถทำให้แสดงออกมาดีขึ้น ” การแสดงเป็นหนุ่มวัยกลางคนนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับ ซูโหย่วเผิง เลย และเขายอมรับตรงๆว่าเป็นบท “คุณอา” “ปีนี้ผมอายุ 40 แล้ว แสดงบทแบบนี้เป็นเรื่องปกตินะ ก็ไม่ใช่ว่าอายุ 40 แล้วจะให้ผมไปแสดงเป็นนักศึกษาหรือหนังวัยรุ่น มันก็ไม่ใช่ ผมไม่ซีเรียสเรื่องจะมีภาพลักษณ์ที่แก่หรืออะไรอย่างนั้น อายุเท่าไหร่ควรแสดงบทอะไร มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วครับ”

 “ในเรื่องผมต้องค่อยดูแลหลานคนเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนผู้ปกครองจริงๆ ผมดีใจที่มีเรื่องราวแนวนี้อยู่ด้วย มันไม่จำเป็นต้องมีบทพูดมากมาย ก็สามารถสื่อถึงอารมณ์นั้นได้ ในหนังเรื่องนี้ ทุกคนจะได้เห็นถึงผมที่ต่างจากเดิม ในเรื่องมีสีสันของคอมเมดี้ด้วยนะ ผมไม่แสดงคอมเมดี้มานานแล้วเหมือนกัน อ๊ะ!ผมพูดเยอะไปแล้ว (หัวเราะ)”

สำหรับเรื่องที่ว่าตั้งใจเอาเรื่องนี้ชิงรางวัลม้าทองคำรึเปล่านั้น ซูโหย่วเผิง หัวเราะ“พวกคุณคิดมากไปแล้ว” เวลาทำอะไรต้องคิดขึ้นความสุขในขณะทำด้วย จะเอาแต่คิดถึงผลลัพธ์อย่างเดียวเลยคงไม่ได้ ถ้าทำงานแล้วหวังแต่ผลที่จะตามมา ความสุขก็คงลดลงไปด้วย ทำด้วยใจและสนุกกับมันให้ถึงที่สุด แล้วผลงานก็จะออกมาดีเอง “วงการหนังไต้หวันเงียบเหงาไปนาน สองสามปีมานี้เริ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความสดใสในแบบฉบับของศิลปะไต้หวัน เนื่องจากงบที่จำกัด เราอาจจะไม่สามารถที่สร้างฉากยิ่งใหญ่อลังการได้ กลายเป็นว่าต้องใส่ใจ ใส่ความคิด ใส่อะไรใหม่เข้าไป ทำให้มีมุมคอมเมดี้บ้าง และค่อยๆกลายมาเป็นสไตล์หนังไต้หวัน”

 “ผมไม่ชอบใช้ประเด็นมาสร้างข่าวให้ตนเอง เพราะว่าเรื่องราวเล็กน้อยพวกนั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจ”

ประเด็นต่างๆในวงการบันเทิงนั้นไม่เคยมีจุดสิ้นสุด จะทำให้ตัวเองออกจากวงจรข่าวเหล่านี้คงเป็นไปได้ยากสำหรับเหล่าดารา  ซูโหย่วเผิง กลับมองว่า การที่คุณคิดยังไงกับข่าวพวกนั้นสำคัญกว่าการไปพยายามอธิบายความจริง “หลายคนก็เตือนผมด้วยความหวังดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาบอกผมว่า การที่ผมเย็นชาและไม่ยุ่งเกี่ยวกับข่าวในวงการแบบนี้จะทำให้เราหายไปจากวงการได้ง่าย แต่คุณลองคิดดูนะ ข่าวที่ดังไปทั่วประเทศเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ตอนนี้คุณยังจำได้มั้ย? แน่นอนว่าจำไม่ได้หรอก มันก็เป็นเพียงข่าวเพื่อความบันเทิงชั่วขณะเท่านั้น เหมือนกับเรื่องที่ เวยป๋อ ผมถูกแฮ็ค ผมก็เคยผ่านเรื่องนี้มาแล้ว ไม่ว่าคุณทำยังไง ก็ต้องมีคนว่าคุณอยู่ดี สู้ไม่ฟังไม่เชื่อไม่สนใจเลยดีกว่า ผมไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนี้มากนะ เป็นแค่ข่าวบันเทิงเท่านั้น สองเดือนผ่านไปจะมีคนจำได้มั้ย? บางเรื่องมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายด้วยครับ ”

พูดถึงข่าวลือที่ว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย มีเกณฑ์จะมีผลงานใหม่ออกมาอีกครั้ง ซูโหย่วเผิง พูดถึงเรื่องนี้ เขาเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังทันที “ปีนี้คงไม่ทันแล้วครับ ที่จริงพวกผมดีใจที่จะได้ทำอะไรอย่างนี้ และหวังว่าจะสามารถทำออกมาได้ดีที่สุด  ไม่ไปทำลายภาพลักษณ์ที่ดีในใจของทุกคน(หัวเราะ) เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ต้องใช้เวลาและตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุดครับ” พอพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเสือทั้งสาม ซูโหย่วเผิง เหมือนจะแกล้งทำอะไรซะอย่าง แล้วตะโกนใส่เครื่องอัดเสียงว่า “ พวกทั้งสามเข้ากันไม่ได้อยู่แล้วหนิ” แล้วหัวเราะพูดต่อว่า “ล้อเล่นนะครับ มีคนบอกว่าพวกเราเข้ากันไม่ได้ เราก็ไม่ได้สนใจกันนะ ยิ่งไปสนใจเรื่องมันก็จะยิ่งเลยเถิดกันไปใหญ่ หากว่าผมอยากเกาะข่าวดังจริงๆ ก็ไปสนใจเรื่องนี้หน่อย แล้วถือโอกาสเกาะเรื่องนี้ดังซะหน่อย แต่เป็นเพราะว่าผมไม่อยากเอาข่าวพวกนี้มาทำเรื่องแบบนี้ ในฐานะที่เป็นศิลปิน เราทำให้คนร้องไห้ ทำให้คนยิ้มได้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากเลยนะ ฉะนั้นควรที่จะใช้เวลานี้ให้มีค่า เพราะว่างานแต่ละคนค่อนข้างยุ่ง ทำให้เราไม่มีเวลาติดต่อกันมาก แต่เราต่างมีกันในใจเสมอ เมื่อวานผมก็เพิ่งคุยโทรศัพท์กับ อู๋ฉีหลงเหมือนกันครับ”

 “ผมไม่ยอมจะเสียอย่างอื่นมากมาย เพื่อแลกกับชื่อเสียง ชีวิตไม่ควรสลับต้น-ปลาย”

เมื่ออายุเข้า 30 ซูโหย่วเผิง บอกว่าเหมือนอยู่ดีๆก็เข้าใจถึงชีวิต เขาเริ่มรู้จักปรับเวลาการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ใช้เวลากับงานมากเกินไป “สิ่งที่ได้มาจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือเงินทอง ควรจะอยู่ภายใต้ความสุขและสุขภาพของเรา สองสิ่งนี่ไม่ควรสลับกัน อย่าเสียอะไรมากมายเพื่อแลกกับของเหล่านี้ ต่อไปจะให้เวลาการใช้ชีวิตกับตัวเองมากขึ้น ทำในเรื่องที่ทำแล้วมีความสุข” •ในด้านของความรักนั้น ตอนนี้ยังไม่มีความคิดหรือวางแผนอะไร “พออายุมากขึ้น ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีไม่ได้ เมื่อตอนวัยรุ่น อาจจะมีบางครั้งที่รู้สึกเหงา แต่ตอนนี้อารมณ์ค่อนข้างสงบ ไม่เหมือนกับวัยรุ่น ผมว่ามันก็ดีครับ”

สำหรับเรื่องคู่ชีวิต ซูโหย่วเผิง พูดอย่างติดตลกว่า “สื่อก็ชอบถามผมเรื่องนี้กันจัง ที่จริงผมเป็นเหมือนคนทั่วไปครับ อยากให้คู่ชีวิตของผมเป็นคนดี น่าสนใจ และเข้ากันได้ ถ้าหากแบ็คกราวชีวิตต่างกัน ก็คงไม่มีประสบการณ์แบบเดียวกัน คงจะเข้ากันได้ยากเหมือนกัน ผมคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญครับ ตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เมื่อถูกถามว่ามีแฟนแล้วจะออกสื่อรึเปล่า ซูโหย่วเผิง ตอบว่า “ไว้มีแล้วค่อยคิดละกันครับ ผมยังไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นเลย ผมคิดมาเสมอว่า มีเรื่องราวหลายอย่างที่ตอนนี้เราอาจจะยังคอนเฟิร์มไม่ได้ ยิ่งกับคนที่วันหนึ่งอาจจะมีความคิดล้านแปดเรื่องอย่างผม” (หัวเราะ)

สำหรับ ซูโหย่วเผิง แล้ว ชีวิตของคนเรามีช่องว่างให้เราพัฒนาให้ดีกว่าเสมอ สิ่งที่เขาได้รับจากการนับถือศาสนาคือแนวทาง “ผมนับถือศาสนาพุทธ นับถือพระพุทธเจ้า ท่านคือผู้ที่รู้ถึงแกนแท้ของชีวิตและจักรวาล เพราะเหตุนี้ คำสอนของท่านถึงได้อยู่มาจนทุกวันนี้ ผมมักจะเข้าร่วมกิจกรรมการกุศลบ่อยๆ แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเพราะศาสนาอย่างเดียว ที่จริงแล้วคนเราทุกคนมีความเมตตา ความต้องการอยากช่วยเหลือภายใต้จิตสำนึกของเราอยู่แล้ว และเมื่อคุณได้ทำสิ่งนั้นแล้ว คุณก็จะมีความสุข แต่ว่าศาสนาจะบอกคุณ เรื่องสัจธรรมของ ความจริง ความเมตตา และความสวยงาม จะทำให้คุณสงบ มีสติมากขึ้น แต่นี่เป็นแค่พื้นฐานเท่านั้น คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มันมากมายกว่าสิ่งเหล่านี้แน่นอนครับ”


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: พ.ค.- 2013 The One (magazine)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2014, 11:05:37 AM »
ถามไวตอบเร็ว

1.ผู้กำกับที่คุณชื่นชอบมากที่สุดคือ?
ตอบ ลี่อาน ครับ

2.หนังที่ชอบที่สุด?
ตอบ 《Closer》ตอนนั้นผมชอบเรื่องนี้มากเลยนะ น่าจะ 8 ปีได้มั้ง ตอนนั้นอยู่ที่นิวยอร์ก ผมเห็นโปสเตอร์หนังจากรถเมย์ที่ขับผ่าน จากนั้นผมดูเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คลั่งไคล้ไปหลายปีเลย ตอนนี้ก็อาจจะลืมไปบ้างแล้ว แต่วันก่อนผมเห็นจาก ช่อง HBO อีกที ผมยังคงรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังหนึ่งในดวงใจของผมตลอดกาล

3. นักร้องที่ชอบที่สุด?
ตอบ Madonna ครับ เธอเป็นนักร้องที่ผมชอบที่สุดตอนวัยรุ่น ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้คลั่งไคล้เธอเหมือนตอนเด็ก แต่ว่าเธอเคยครองใจผมนานขนาดนั้น เหมือนที่ เสี่ยวหู่ตุ้ย ครองใจแฟนๆ มันเหมือนความเป็นอมตะ ถึงตอนนี้คุณจะไม่ได้ฟังทุกวัน แต่ไม่มีอะไรมาแทนที่นี้ได้

4. สถานที่ที่อยากไปที่สุดคือ?
ตอบ ไม่มีที่ที่อยากไปนะครับ บางทีที่รู้สึกเหนื่อย ผมก็อยากพักผ่อนอาบแดดบนเกาะซักแห่ง แต่ว่าจนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าควรจะไปเรียนและเที่ยวต่างประเทศ ถึงผมจะเคยไประยะสั้น แต่ก็รู้สึกว่าไม่พออยู่ดี ผมอยากกลับไปเรียนต่อที่โรงเรียนในอังกฤษอีกซักครึ่งปี ในด้านของการปฎิบัติธรรม ปีนี้ผมก็ยังคงจะไปนั่งสมาธิจำศีล 10 วันเหมือนเคยครับ

6.เรื่องขายหน้าที่สุดคือเรื่องอะไรครับ?
ตอบ เป็นเรื่องที่โง่มาก สมัยที่ผมยังเป็น “ไกวไกวหู่“ ตอนนั้นผมเรียน ม.6 มีคืนหนึ่งผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านหลังเสร็จอีเว้น น่าจะประมาณ 4 ทุ่ม แล้วเจอคนถามว่า “ทำไม ไกวไกวหู่ กลับบ้านดึกขนาดนี้?” ภาพลักษณ์ของผมในตอนนั้นคือ……..(หัวเราะ) ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่โง่มากเหมือนกัน ที่ผมเคยเครียดกับเรื่องภาพลักษณ์ของ “ไกวไกวหู่”มาก เพราะผมไม่อยากให้ทุกคนต้องผิดหวัง พอเครียดมากขึ้นหลังๆมาผมก็เริ่มเก็บตัว ตอนนั้นผมเคยพูดว่า “คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าผมเหนื่อยแค่ไหน” ตอนนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาซะเลย

6.อาหารที่ชอบมากที่สุดคือ?
ตอบ อร่อย และไม่ซ้ำซากในแต่ละวันจะดีที่สุดครับ

7. ถ้าเลือกใหม่ได้ คุณจะเป็นนักแสดงไหมครับ?
ตอบ คำตอบนี้วกไปวนมาอยู่ในใจผม และต่างกันไปในแต่ละปี แต่ถ้าคุณถามผมตอนนี้ ผมคิดว่า ก็โอเคนะ ถึงผมจะเคยบอกว่าไม่ชอบเลย

8.ชอบผู้หญิงแบบไหนครับ
ตอบ ผมคิดว่าผมระบุออกมาเลยไม่ได้หรอกครับ พรหมลิขิตเป็นเรื่องพูดยากนะ และผมก็ไม่ได้อยู่ในอายุที่จะตื่นเต้นกับความรักแล้ว ค่อนข้างที่จะเข้าใจความรู้สึกของตนเองมากขึ้น อีกอย่าง ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พรหมลิขิตก็ต่างกันไป แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นวัยที่จะให้ใจใครไปง่ายๆแล้วครับ

9. ปกติแล้วคุณระบายความเครียดอย่างไรบ้างครับ
ตอบ ต้องแล้วแต่สถานการณ์ ณ ตอนนั้นด้วยครับ ถ้าสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ผมคิดว่าการนั่งสมาธิเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ก็จะทำให้เราเข้าใจถึงเหตุและผล ในด้านพระธรรมนั้น ผมเรียนรู้เร็วเหมือนกันนะ บางทีก็สงบสติ แล้วหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ออกกำลัง หรือ อาบแดด บางทีการรับทัศนคติด้านบวกเยอะๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้เหมือนกัน หรือไม่ก็การนอนหลับ การนอนหลับสนิทสำคัญมากเลยนะครับ เพราะว่าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองครับ

10. เวลาที่ไม่ทำงาน ชอบทำอะไรมากที่สุดครับ
ตอบ เหม่อลอย ติ้งต๊อง ก็ถือว่าเป็นความเคยชินอีกอย่างหนึ่งมั้งครับ เหมือนว่าไม่รู้ว่าทำไมต้องนอนดึก แต่ก็ยังคงนั่งเหม่อลอยต่อไป (หัวเราะ)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: พ.ค.- 2013 The One (magazine)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2016, 11:36:47 AM »





Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: พ.ค.- 2013 The One (magazine)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2016, 10:49:50 AM »



Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: พ.ค.- 2013 The One (magazine)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2016, 10:50:17 AM »






Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13250
    • ดูรายละเอียด
Re: 2013 The One (magazine)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2016, 09:29:05 AM »