ผู้เขียน หัวข้อ: 2009 ซูโหย่วเผิง จำเป็นต้อนเรียนรู้ในการ "พลิกวิกฤตเป็นโอกาส"  (อ่าน 3992 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13249
    • ดูรายละเอียด

1 เมษายน 2009

ซูโหย่วเผิง จำเป็นต้อนเรียนรู้ในการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”

คนเราทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ว่า “สวรรค์ไม่เป็นใจเสมอ” น้อยคนมากที่สามารถมีชีวิตดั่งปรารถนา การงานที่ราบรื่น การเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าของสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นทำให้ยากจะควบคุมได้ ฉะนั้นแต่ละคนก็ยากจะปรับนิสัยและจุดอ่อนของตัวเองให้ออกไปได้ สิ่งเหล่านี้นั้นมันล้วนได้เข้ามามีส่วนในชีวิตของพวกเราโดยปริยายแล้ว เราจำต้องเผชิญกับอุปสรรค์วิกฤตที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย บางคนชีวิตถึงกับต้องจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้โดยลุกไม่ขึ้น ไม่สามารถที่จะก้าวออกไปได้ บางคนสามารถอยู่ในช่วงเวลาอย่างนี้หาช่องทางที่จะปลดปล่อยและหลุดพ้นจะวิกฤต เดินออกจากวิกฤตได้


จากศิลปินโหย่วเผิงที่พวกเราคุ้นเคย จนถึงเถียนจิงซวงที่มีชื่อเสียงมากในจีนนั้น และนักธุรกิจที่ดังที่พึ่งเซ็นสัญญาหมาดๆอย่างเจ้าเหว่ย วิกฤตที่พวกเขาเหล่านั้นเผชิญกันนั้นก็คงไม่ต่างไปจากที่พูด แต่ว่า จะหาช่องทางออกในการเผชิญกับวิกฤตนั้น จากประสบการณ์และเรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นอาจให้ข้อคิดกับคุณได้

“หากว่าการงานอาชีพของคุณอยู่ในสภาพของจุดสูงสุดนั้น คุณก็ตั้งใจในการทำการทำงาน พยายามที่จะหาเงินให้ได้มากหน่อย หากว่าการงานอาชีพคุณตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คุณสามารถที่จะวางงานต่างๆของคุณ ใช้เวลาที่จะอยู่กับเพื่อนๆและคนในครอบครัวให้เยอะหน่อย ให้เวลากับการดูแลสุขภาพของตัวเองให้เยอะหน่อย สิ่งที่จะทำงานก็ไม่ได้น้อยไปกว่าช่วงที่คุณยุ่งเลย จากการมองระยะไกล บางทีสิ่งเหล่านี้มันสำคัญกว่าหน้าที่การงานของคุณอีกด้วย


ซูโหย่วเผิงคิดว่า ชีวิตคนเรานั้นจำต้องผ่านวิกฤตและมรสุม ขณะที่วิกฤตเข้ามาในชีวิต ท่าที่ของคนเรานั้นบางทีก็สำคัญกว่าวิธีการรับมือวิกฤต

วัย 36 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นมองมีเขาแล้วก็ยังมีร่องรอย ไกวๆหู่ ให้เห็นอยู่ และภาพลักษณ์ของขวัญใจนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ปัจจุบันเขาได้เป็นศิลปินระดับต้นๆของวงการที่ได้เซ็นสัญญากับคุณหัวอี้ เขามีที่พักพิงที่มั่นคง การงานของเขาก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงและก้าวไกล อย่าไปดูว่าเขาอายุยังหนุ่ม แต่ว่าอายุประสบการณ์การงานของเขานั้นย่างเข้า 20 ปีแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นั้นเขาได้ผ่านจุดสุดยอดและจุดตกต่ำสุดของชีวิตมาหมดแล้ว นับๆแล้วละครยาวที่เขาแสดงก็ไม่ต่ำกว่า  20 เรื่องเลยแหล่ะ



ความรุ่งโรจน์ของวัยหนุ่มนั้นนำจุดสูงสุดของชีวิตมา

ขณะที่โหย่วเผิงกำลังเรียนมัธยมต้นนั้น วันหนึ่งถูกแมวมองของทางค่ายเพลงหมายตา จนมาปั้นเป็นหนึ่งในสามของนักร้องไต้หวันในวงเสี่ยวหู่ตุ้ย สิ่งที่โหย่วเผิงคาดไม่ถึงคือ แค่เพียงชั่วค่ำคืนเดียวก็ทำให้เขาดังไปทั่วไต้หวัน ต่อจากนั้นก็ดังไปที่จีน รวมไปถึงในเอเชียที่มีชาวจีนอยู่ด้วย  “ไกวๆหู่”  ชื่ออันนี้นั้นได้กลายเป็นชื่อที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเลย

ใครจะไปรู้ว่าในค่ำคืนเดียววันนั้นก็นำความมั่งคั่งมาสู่เขาด้วย ทั้งซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อหุ้น เป็นคนมือเติบไปแล้ว ใจกล้า ในสายตาของคนช่วงวัยของเขานั้นดูเขาว่าเป็นคนรวยมาก “ในช่วงเวลานั้น” เป็นเวลาประมาณ 3 ปี วัย18 ปีอย่างโหย่วเผิงนั้นก็ต้องเผชิญกับการต้องสอบเข้ามหาลัย

ในสังคมไต้หวันสมัยนั้น ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นก็คือลูกสามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงดังๆได้ เพื่อจะมีการงานที่ดีในอนาคต จบแล้วสามารถมีงานที่มั่งคงทำ รวมทั้งตัวโหย่วเผิงเองด้วย แม้ว่าจะเป็นศิลปินขวัญใจแล้วหลายปี ลึกๆในใจของเขาแล้วเขาคิดว่าตัวเองก็เป็นแค่ศิลปินประดับวงการคนหนึ่งเอง สุดท้ายตัวเองจะต้องกลับเข้าสู่เส้นทางอาชีพที่พ่อแม่เป็นอยู่อย่างนั้น

อยู่ที่ไต้หวัน นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งหากสอบเข้ามหาลัยไม่ได้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างโหย่วเผิงหากสอบไม่ติดแล้วเนี่ย ผลจะเป็นอย่างไรนั้นก็คงรู้กัน โหย่วเผิงได้หวนคิดอดีตแล้วกล่าวว่า

"ในเวลานั้นตัวเองนั้นไม่มั่นใจมากๆ ความรู้นั้นเสมือนเยื่อบางๆยิ่งกว่ากระดาษ เพราะตลอดสามปีการบ้านของเขาที่ไม่ได้ทำส่งนั้นมีมากมาย เพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัย โหย่วเผิงได้เจรจากับทางค่ายเพลงหยุดต่อสัญญากับทางค่าย ในขณะเดียวกันมีบางสาเหตุทำให้ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” แยกย้ายกันไป ทำให้เขานั้นได้มีเวลาเต็มที่ในการเตรียมตัวที่จะสอบเข้ามหาลัย ทั้งวันและคืนในการอ่านทำให้เขาฝ่าฝันเข้าไปได้ ความพยายามนั้นไม่เคยละคนที่มีความมานะ โหย่วเผิงก็สอบเข้ามหาลัยดังแห่งหนึ่งของไต้หวันได้ และยังเป็นมหาลัยที่ดีและมีอนาคตอีกด้วย สุดท้ายก็โล่งใจอย่างโหย่วเผิงเมื่อเข้ามาเรียนในมหาลัยแล้วถึงจะรู้ว่า การท้าทายที่ใหญ่กว่าเดิมนั้นกำลังรอเขาอยู่"



พักการเรียนกลางคันเผชิญกับช่วงชีวิตที่ตกต่ำ

ในช่วงปีที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยนั้น ในใจโหย่วเผิงคิดอยู่อย่างเดียวคือจะขายหน้าไม่ได้ การสอบได้นั้นถือว่าได้รับชัยชนะ และแล้วเมื่อเขาได้นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนถึงจะรู้ว่า จริงๆแล้วตัวเองไม่ชอบคณะที่ตัวเองกว่าจะสอบได้มาอย่างยากลำบากแสนเข็นเลย จนต้องปากกัดตีนถีบในการที่จะเรียนไปจนผ่านไปสองเทอม สุดท้ายโหย่วเผิงเองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว และยังมีสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาทนเรียนต่อไปไม่ได้คือ ศิลปินที่มีชื่ออย่างเขานั้นหากว่าเมื่อมีผลการสอบออกมาแล้วเขาไม่ผ่านนั้น ก็จะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

จากความกดดันนานาประการ โหย่วเผิงได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่คนในตอนนั้นอาจเรียกว่า “การตัดสินใจที่บ้า” ลาออก หลังจากที่หนีออกมาจากรั่วมหาลัยแล้ว เขาได้ตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ลอนดอน นัยหนึ่งนั้นอยากจะเปลี่ยนคณะที่เรียนไปเรียนอย่างอื่น อีกด้านหนึ่งนั้นก็คือปลีกตัวออกจากสังคมที่รู้จักตัวเองไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักแล้วปรับตัวเองใหม่ และแล้ว การท้าทายของแท้ถึงจะเริ่มขึ้น

หลังจากครึ่งปี โหย่วเผิงก็ได้กลับจากลอนดอน “ตอนนั้นตัวเองก็เป็นคนทำงานเต็มตัวแล้ว ไม่มีใบปริญญา การที่จะไปเป็นนักแสดงตัวเองก็ไม่ได้เรียนมาโดยตรง ได้แต่เคยแสดงละครเวทีมาเรื่องหนึ่งเอง แต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่”  โหย่วเผิงหวนคิดแล้วกล่าวว่า หลังจากที่สัญญาของ“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้สิ้นสุดแล้ว รายได้จากการแสดงที่เคยได้สูงมากนั้นกลับหมดลง มันปรับตัวไม่ทันจริงๆ ตอนนั้นเขาเองไม่เพียงแต่จะดูแลค่าใช้จ่ายของครอบครัว ในแต่ละเดือนยังจะต้องจ่ายให้เป็นค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ไม่น้อยเลยที่เดียว บางครั้งดูเหมือนกับว่าชีวิตเราไปไม่รอดแล้วจริงๆ

ที่แย่กว่านั้นคือ โหย่วเผิงที่คิดว่าอยากจะมีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งจากหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้ แล้วตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไม่นิ่ง เดิมที่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นอยู่แล้ว แล้วมอบอำนาจการทั้งหมดให้กับญาติคนหนึ่งมาบริหาร สุดท้ายหุ้นที่ลงทุนได้นั้นขาดทุนไป ชีวิตคนเรานั้นจะหาโชคดีสองหนนั้นยากมาก แต่พวกหนีเสือปะไอ้เข้นั้นมีบ่อยจังเลย สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของโหย่วเผิงในตอนนั้นคือ หลังจากที่ได้ขายรถไปแล้วหลายคัน เหลือเพียงคันเดียวที่ตัวเองจะใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหนได้ เอามันไปจอดไว้ข้างถนนอย่างดี อยู่ดีๆก็ดันมีรถมาชนชีวิตคนเรามันชั่งเหมาะเจาะบังเอิญอะไรขนาดนี้ ชีวิตที่ตกต่ำที่สุดของซูโหย่วเผิงนั้นก็ประมาณสามปีกว่าๆ



โดย (องค์หญิงกำมะลอ)ทำให้เขาดังขึ้นเป็นรอบที่สอง


ปี 1997 เป็นปีเดียวที่เขาอายุ  24  เขาถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นนักแสดงละครหนังเรื่ององค์หญิงกำมะลอ ในเวลานั้นโหย่วเผิงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าละครหนังที่ตัวเองแสดงไปนั้นตอนหลังมันดังเป็นที่นิยมกันขนาดนั้น เขาคิดแต่เพียงว่าฉวยโอกาสเอาไว้เรียนรู้ในการแสดงเฉยๆ กลางวันก็ทั้งเรียนไปด้วยฝึกไปด้วย กลางคืนก็เปิดไฟอ่านอย่างจริงๆจังๆ ทำไปแบบถูกๆผิดๆบ้างจนทำให้เขาแสดงละครหนังเรื่องนี้จนจบ และแล้วก็เหมือนดั่งความฝันที่ดังไปทั่วอณาจักร

ต่อจากนั้น อีกครั้งวันเวลาที่ราบรื่นเฮงๆนั้นได้มาดั่งนัดกันไว้ “นักร้องขวัญใจ”ในตอนนั้นได้กลายเป็น “นักแสดงขวัญใจ” ไปแล้ว ละคร หนัง และอัลบั้มที่เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่มีออกมาให้เห็น จนทำให้อาชีพการงานของโหย่วเผิงนั้นไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง

หลังจากนั้น เขาก็เหมือนกับศิลปินคนอื่นๆของไต้หวัน โหย่วเผิงได้เข้าสู่การตลาดที่จะมุ่งไปทางประเทศจีน ก็เหมือนดั่งปลาได้น้ำ ว่ายไปแบบไร้พรมแดน โหย่วเผิงได้เริ่มทำธุระกิจซื้อบ้านที่ไต้หวัน เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งอีกครั้ง ทรัพย์สินที่ตัวเองได้สะสมของแต่ละปีนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อระยะเวลาผ่านไป โหย่วเผิงก็เข้าสู่ช่วงที่มั่นคงของชีวิต กับการที่จะไปแสดงละครเป็นนักแสดงขวัญใจนั้นก็ค่อยๆถึงจุดที่สุด เขารู้ว่า การท้าทายครั้งที่สามกับการงานและชีวิตของเขานั้นมาถึงแล้ว และตอนนี้เขาเองก็ไม่ดื้อดึงรู้จักปล่อยวางเยอะแล้ว เขาได้กล่าวกับพวกเราว่า วิธีการที่สำคัญในการเผชิญกับสิ่งต่างๆนั้นต้องเรียนรู้ในการที่จะให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและมายังไงก็ไปอย่างนั้น


“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ  แต่ผมเองก็ไม่ได้หมายความว่าการออกแรงไปทำนั้นก็จะไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่ใช่ แต่มีผลลัพธ์บางอย่างนั้นไม่สามารถได้มาโดยการออกแรงทำ ฉะนั้นผมเองก็ไม่เน้นเรื่องของผลลัพธ์ซักเท่าไหร่ สิ่งที่คุณทำได้คือแค่ทำอย่างสุดกำลัง แต่ว่าผลลัพท์นั้นก็ไม่ใช่ว่าเมื่อผมพยายามทำแล้วจะสามารถกำหนดผลลัพท์ได้” ที่เขามีท่าทีความคิดอย่างนี้ ทำให้เขาได้ผ่านมรสุมชิวิตที่หนักหน่วงของช่วงนั้นมาได้

การไปตามธรรมชาติที่โหย่วเผิงว่านั้นเป็นการมองในโลกแง่ดี อย่างไรก็ตามหากมันไม่ได้อย่างที่คิดไว้ก็ไม่ฝืน เขาเข้าใจถึงความฝืนและความสมดูลย์ เขาได้เข้าใจถึงเหตุและผมของเรื่องราวต่างๆ แน่นอนเขาก็จะไม่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไม่ควรเปลี่ยน สุดท้ายก็คือเป็นไปตามธรรมชาติ

“ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไร ชิวิตคนเราก็ขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว ขณะที่ขึ้นนั้นก็มีวิธีการทำของมัน ขณะที่ขาลงก็มีวิธีการของขาลง จริงๆแล้วชีวิตคนเราไม่ใช่ว่ามีแต่งานๆๆ หากว่าการงานไม่ราบรื่น ธุรกิจไปไม่ได้แล้ว ก็รีบฉวยโอกาสในการมีความรัก คุณก็ยังสามารถทำสิ่งอื่นๆได้ หรือว่ามันอาจเป็นเวลาโอกาสที่ดีที่คุณจะอยู่กับครอบครัว และถ้าหากเป็นผมก็จะฉวยโอกาสไปท่องเที่ยว ผมสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ว่าถ้าหากจังหวะเวลาของการทำงานมาถึง คุณก็ไปตั้งใจที่จะทำมัน และงานบางอย่างก็จำต้องเสียสละมันไป” สุดท้ายโหย่วเผิงสรุปไว้ว่า “ที่จริงเพียงง่ายๆคำเดียว หากจะให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแล้ว จำเป็นจะต้องเรียนรู้ในการเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างถูกวิธี

“ผมเองก็เชื่อว่าบางอย่างนั้นมันถูกลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พึ่งในกำลังของตัวเองทำได้ทุกอย่าง ผมเองนั้นเห็นด้วยกับการให้เป็นไปตามธรรมชาติ และผมเองก็ไม่ฝืนกับผลลัพท์ เพียงแค่ตัวเองทำอย่างดีทีสุด และผลลัพท์นั้นมันไม่ได้กำหนดมาโดยกำลังที่เราทำไป