ผู้เขียน หัวข้อ: เกินคำบรรยายจากใจนักประพันธ์ "ฉิงเซินเซิน หวี่หมงหมง"  (อ่าน 3277 ครั้ง)

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
 5/1 เกินคำบรรยายจากใจนักประพันธ์>>ฉงเหยาและสถานีโทรทัศน์จง ได้ร่วมมือกันทำละครเรื่อง "ฉิงเซินเซิน หวี่หมงหมง" และตอนนี้ในบ้านเราก็กำลังถ่ายทอดละครเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ได้ชมกันอยู่ด้วย โดยปกติฉงเหยาเองก็เป็นคนที่มักจะดึงดูดความสนใจจากวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี และมาคราวนี้ฉงเหยานักปั้นมือทองก็ตั้งใจที่จะสร้างความประหลาดใจและความประทับใจให้กับแฟนๆ ละครเหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้วในละครเรื่อง "องค์หญิงกำมะลอ" แต่ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้นเชื่อว่าคนที่จะบอกได้ก็คงต้องเป็นเพื่อนๆ ที่กำลังติดตามละครเรื่องนี้กันอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ถ้าจะให้ดูแต่ผลงานที่ถ่ายทอดออกมาก็ดูจะกระไรอยู่ มาคราวนี้พวกเราทีมงาน Special mini mag. ก็ขอเอาใจเพื่อนๆ ด้วยการลงบทความเบื้องหลังการแสดงที่เขียนจากปลายปากกาของนักประพันธ์ชื่อดังที่มีนามว่าฉงเหยาคนนี้กันดีกว่า...>>จำได้ว่าเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ฉันไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ และได้เห็นกับตาของตัวเองว่านักแสดงที่แสดงละครเรื่องนี้ต่างก็ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำไม่ได้หลับไม่ได้นอน เนื่องจากว่าตารางเวลาการทำงานในแต่ละวันก็มักจะต้องเปลี่ยนสถานที่กันบ่อยๆ จึงทำให้นักแสดงทุกๆ คนในละครเรื่องนี้ต้องเสียเวลาไปกับการจัดฉากและการเดินทาง เป็นผลให้นักแสดงสำคัญหลายคนเช่น จ้าวเวย,หลินซินหยู,ซูโหย่วเผิงและกู่จีจี้ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่ได้พักผ่อน ฉันเองก็เคยพูดคุยเรื่องการแบ่งเวลาพักผ่อนให้กับนักแสดงกับทีมงานของกองละครหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะมันเป็นเรื่องที่สุดวิสัยโดยที่ทางทีมงานเองก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างถูกตระเตรียมและกำหนดเวลาไว้อย่างลงตัวและเหมาะสมที่สุดแล้ว ตัวฉันเองก็รู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของพวกเขามากพอๆ กับเป็นห่วงประสิทธิภาพของการถ่ายละครเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่าทุกครั้งที่เห็นพวกเค้าถ่ายละคร ทุกคนต่างก็ดูมีชีวิตชีวาทำงานกันอย่างสุดความสามารถไม่มีการบ่นกันเลยสักครั้งเดียว ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากเลย

5/2>>โหย่วเผิงผู้ลำบาก หลังจากที่โหย่วเผิงได้รับบาดเจ็บจากการตกม้าได้ไม่นาน เขามีฉากต้องแสดงฉากทะเลาะวิวาทบนถนนที่เซี่ยงไฮ้ ฉากนั้นเป็นฉากสำคัญในตอนที่ 1 ของบทละครเรื่องนี้โดยในฉากเขาและกู้จีจี้ต้องพลิกตัวออกมาจากรถทางหลังคารถที่ด้านล่างของรถ จากถนนใหญ่ถึงซอยเล็กๆ พวกเขาทั้ง 2 ยังต้องล้มลุกคลุกคลานวิ่งตามรถกันอย่างบ้าคลั่ง เฉพาะฉากนี้ฉากเดียวต้องใช้เวลาถ่ายทำกันถึง 4 วันเต็มๆ ถึงจะเสร็จ เมื่อทุกคนได้ชมละครก็คงต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าขณะที่โหย่วเผิงกำลังถ่ายทำฉากนี้อยู่นั้นมือของเขายังไม่หายดีเลย เดิมทีในตอนแรกฉันคิดว่าจะสามารถเลื่อนการถ่ายทำฉากนี้ไปวันอื่น รอจนกว่าอาการบาดเจ็บที่มือของโหย่วเผิงจะหายดีเสียก่อนจึงค่อยมาถ่ายทำฉากนี้กันต่อ แต่ก็อีกนั่นแหละในฉากนี้จำเป็นต้องใช้ตัวประกอบเยอะมากอีกทั้งยังต้องจัดเตรียมรถไฟฟ้า รถเมล์ และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือทางทีมงานได้เซ็ทฉากนี้และได้กำหนดวันถ่ายทำฉากนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ โหย่วเผิงจึงต้องกัดฟันถ่ายทำฉากนี้ให้เสร็จเรียบร้อย จนทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจในความอดทนของเขามากเหลือเกิน เพราะละครเรื่องนี้นอกจากจะถ่ายทำกันด้วยความยากลำบากที่สุดแล้ว ยังมีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ฉันไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ว่าการแสดงของเขาดีกว่าเรื่ององค์หญิงกำมะลอมาก มิน่าล่ะคนที่ได้ดูละครเรื่องนี้ต่างก็ชมเชยเขาเป็นเสียงเดียวกันว่าโหย่วเผิงแสดงได้เป็นธรรมชาติมาก>>เจ้าเหวยที่ป่วย ผิวหนังของเจ้าเหวยระคายเคืองได้ง่าย จำได้ว่าครั้งที่ถ่ายเรื่ององค์หญิงกำมะลอเธอไม่สามารถใส่ต่างหูได้ เพียงแค่ใส่ต่างหูเธอก็แพ้จนหูเป็นหนอง การถ่ายทำครั้งนั้นพวกเราก็พยายามให้เธอใส่ต่างหูแค่ไม่กี่ครั้งเพราะกลัวว่าเธอจะมีอาการแพ้ขึ้นมาอีก แต่พอมาถ่ายทำละครเรื่องนี้ปัญหาอาการแพ้ของเจ้าเหวยก็เกิดขึ้นมาอีก

5/3ในกลางดึกของคืนวันหนึ่ง วันนั้นฉันพึ่งกลับมาถึงไทเปก็ได้รับโทรศัพท์จากทีมงานที่ถ่ายละครบอกฉันว่า "น้าฉงเหยาตาขวาของเจ้าเหวยเนี่ยบวมอีกแล้ว เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาตลอดเลย คืนนี้ก็ยังมีอีกฉากที่ต้องถ่ายทำ หลังจากนั้นถึงจะพักได้ เหวยเหวยเองก็บอกว่าจนทนถ่ายต่อจนเสร็จ แต่ว่าถ่ายออกมาแล้วภาพที่ออกมาจ่าเกลียดจะทำยังไงดี" ฉันได้ฟังแล้วก็รู้สึกวิตกกังวลรีบขอพูดโทรศัพท์กับผู้กำกับหลี่ผิงทันที ฉันถามเขาว่า"ตาของเหวยเหวยเป็นยังไงบ้าง" ผู้กำกับหลี่ผิงบอกฉันว่า "ที่จริงบนหน้าของเหวยเหวยมีผดผื่นขึ้นมาตั้งหลายวันแล้ว เพราะทำงานตั้งแต่เช้าและยังต้องถ่ายทำล่วงเวลาถึงกลางคืน เธอก็เลยไม่ได้มีเวลาพัก หน้ามันก็เลยเกิดผื่นแดงและกลายเป็นหนอง แต่พอตอนนี้ผื่นแดงมันแตกและก็มีเลือดไหลออกมาจนทำให้ไม่สามารถแต่งหน้าได้" พอฉันได้ฟังก็คิดว่าทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ ฉันก็รีบพูดกับผู้กำกับหลี่ทันทีว่า "อย่าถ่ายทำอีกเลย เก็บของเถอะ" ผู้กำกับหลี่ก็ถามฉันทันทีว่า "จะเลิกงานเลยจริงๆ เหรอ เพราะถ้าเราไม่ถ่ายทำฉากนี้ให้เสร็จในคืนนี้ พรุ่งนี้ฉากนี้ก็จะถูกทำลายแล้วนะ แล้วเราก็จำเป็นที่จะต้องถ่ายฉากนี้ให้เสร็จภายในคืนนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ต้องเริ่มทำฉากและเก็บฉากใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น"

5/4>>ถึงฉันจะได้ฟังผู้กำกับหลี่พูดอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังยืนกรานที่จะให้เขาล้มเลิกงานทั้งหมด และพอได้ยินผู้กำกับหลี่พูดกับทางทีมงานว่าให้เก็บของและวางหูโทรศัพท์ฉันลง ฉันก็พึ่งจะมารู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปจริงๆ อาศัยตำแหน่งผู้เรียบเรียงบทละครสั่งเลิกงานกลางคัน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพวกเค้าเลย แล้วยังกลับมาอยู่บ้านพักผ่อน ดูแล้วช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเสียจริงๆ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ดูแลการผลิตภาพยนตร์ก็โทรศัพท์มาหาฉันทันที แล้วเขาก็พูดกับฉันว่า "เจ้าเหวยควรจะถ่ายฉากนี้ให้เสร็จ มิฉะนั้นคิวถ่ายทำจะหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วค่าเช่าสถานที่และฉากของการถ่ายทำก็จะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ" ฉันถอนหายใจแล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ให้เธอถ่ายทำต่อเถอะ" ตอนที่พูดอย่างนั้นออกไป ฉันรู้สึกละอายใจตัวเองมาก อยากพูดว่าเธอเจ็บอยู่ถึงแม้ว่าเหวยเหวยจะพูดว่าไม่เป็นไร ไม่เจ็บ ฉันสามารถแสดงต่อได้ก็เถอะ แต่ผู้หญิงคนไหนที่จะไม่รักสวยรักงามบ้างล่ะ? แล้วถ้าขืนถ่ายทำสภาพแบบนี้ของเหวยเหวยออกไป บนตาของเธอมีผื่นแดงเม็ดเล็กๆ แต่ในใจของเธอต้องคิดว่ามีผื่นเม็ดใหญ่ๆ อยู่แน่ๆ ดังนั้นฉันก็เลยพูดออกไปว่า "แล้วไปเถอะ ถ้ามันสิ้นเปลืองนิดหน่อยก็ปล่อยให้สิ้นเปลืองไปเถอะ"

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
 6/1 เมื่อผู้ควบคุมการผลิตได้ยินที่ฉันพูดอย่างนั้นก็พูดกับฉันว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ได้" แล้วพอวันรุ่งขึ้นทางทีมงานก็ได้พาหมอมาทำการรักษาเจ้าเหวย หลังจากหมอทำการรักษาแล้วก็พูดกำชับกับทีมงานทุกคนว่า "เจ้าเหวยต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 1 อาทิตย์ ถึงจะเริ่มถ่ายทำต่อได้ ไม่อย่างนั้นเม็ดผื่นไม่มีทางหายแน่ๆ" คราวนี้นักแสดงทุกคนต้องยุ่งวุ่นวาย ถ้าหากเจ้าเหวยต้องพักรักษาตัวถึง 1 อาทิตย์ นักแสดงคนอื่นต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก แล้วฉากอื่นๆ ที่ตามมาก็จะถูกเลื่อนทำให้เสียเวลา ซึ่งจะทำให้การถ่ายทำล่าช้าออกไปอีก ก็ไม่ต้องคิดเลยว่าจะต้องเสียเวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะปิดกล้องละครเรื่องนี้ได้ เจ้าเหวยเองก็รู้ถึงผลลัพธ์นี้เธอพักผ่อนเพียงแค่ 2 วันก็ฝืนตัวเองมาทำงาน พอฉันรู้ข่าวฉันก็รีบโทรศัพท์ไปหาเธอทันทีแล้วถามเธอว่าไหวเหรอ เธอพูดอย่างจริงจังว่า "คุณน้าคะ คุณน้าช่วยฉันมามากแล้วให้ฉันได้พักผ่อนถึง 2 วัน ฉันไม่สามารถให้กองถ่ายเสียเวลากับผดผื่นเล็กๆ เพียงนิดเดียวของฉันได้หรอก แค่นี้ฉันทนได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันยังแต่งหน้าไม่ได้เท่านั้นเอง มันอาจจะดูน่าเกลียดไปสักหน่อย แต่ถ้าคุณน้าเห็นหน้าตาของฉันเวลาฉายออกอากาศแล้วรู้สึกว่ามันดูน่าเกลียดเพราะตามันจะดูบวมๆ ก็อย่าโกรธ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ" พอได้ฟังอย่างนั้น ฉันรู้สึกขอบคุณเธอมากจริงๆ ขอบคุณที่เธอสละเวลาของตัวเองให้กับเราได้มากถึงขนาดนี้

6/2>>ซินหยูผู้เข้าใจจิตใจผู้อื่น>>นิสัยของซินหยูเป็นคนที่กล้ำกลืนความอัปยศอดสู เพื่อที่จะดำเนินการให้ภารกิจที่หนักอึ้งนั้นสำเร็จ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน เธอพยายามที่จะร่วมมือประสานงาน ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกในการร่วมงานกันตอนที่ถ่ายทำละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอ แล้วมาครั้งนี้ในละครเรื่อง "ฉิงเซินเซินหวี่หมงหมง" แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยบ่น แล้วยิ่งในละครเรื่องนี้มีการร่วมงานของนักแสดงมากมายเพราะฉะนั้นถ้านักแสดงหนึ่งคนคิวงานเลื่อนขึ้นมา ตารางคิวของนักแสดงคนอื่นก็จะวุ่นวายตามไปด้วย ซินหยูกับโหย่วเผิงมีหลายวันที่เขาทั้งสองต้องถ่ายหนังกันตลอดโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอน แล้วมีอยู่วันหนึ่งฉันได้ไปเยี่ยมกองถ่ายที่ลู่เจี๋ย ตอนนั้นซินหยูกำลังแต่งหน้าอยู่พอเธอเห็นฉันเธอก็รีบวิ่งกุลีกุจอมากอดฉันแน่น ตอนนั้นฉันถามเธอว่า "เหนื่อยมากเลยใช่มั้ย?" ซินหยูหันมาพูดที่ข้างๆ หูฉันว่า "เหนื่อยมาก แต่ว่าแค่นี้ฉันทนได้ คุณน้าคะ คุณน้ายังมีอีกหลายเรื่องที่กังวลอยู่ เพราะฉะนั้นคุณน้าไม่ต้องมากังวลเรื่องของฉันหรอก แค่นี้ฉันสบายมาก">>ความเห็นใจผู้อื่นของซินหยูก็อยู่ตรงจุดนี้แหละ และฉันก็คิดว่านี่คงเป็นเสน่ห์ของเธอที่ทำให้ใครต่อใครที่ได้เห็นและได้รู้จักนึกชอบเธอ

6/3>>กู่จีจี้ผู้น่าสงสาร>>ในบรรดานักแสดงทั้งหมดกู่จีจี้เป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุด เพราะแทบทุกฉากของละครเรื่องนี้เขาเป็นคนที่รับบทหนักที่สุด เพราะฉะนั้นก็อย่าได้คิดเลยว่าเขาจะได้พักผ่อน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็นับถือเขามากในฐานะที่เขาเป็นนักแสดงที่ขยันและรับผิดชอบในหน้าที่มาก เวลาแสดงเขาก็จะตั้งใจและทุ่มเทกับงานมาก ในละครมีฉากที่เขาต้องกระโดดจาสะพานลงในน้ำเพื่อไปช่วยอี้ผิงที่ตกลงไปในน้ำ ทุกคนไม่คาดคิดว่าเขาจะถ่ายทำฉากนี้ด้วยตัวเองแล้วเมื่อถ่ายทำฉากนี้เสร็จตัวเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผล>>จำได้ว่าก่อนตรุษจีนฉันได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งพอได้ยินเสียงคนพูดเป็นภาษากวางตุ้ง ฉันก็นึกว่าเป็นเขาเลยถามออกไปว่า "คุณคือกู่จีจี้หรือเปล่า?" ผิดคาดเขาตอบว่า "ไม่ใช่ ผทแซ่เห๋อ" ตอนนั้นฉันชะงักชั่วครู่ ในใจคิดว่าเอาอีกแล้วอาการทักคนผิดของฉันกำเริบขึ้นอีกแล้ว แต่ว่าพอคิดไปคิดมาก็คิดไม่ออกว่ามีเพื่อนคนไหนที่แซ่เห๋อแล้วพูดภาษากวางตุ้ง แล้วเขาก็คงรู้ว่าที่ฉันเงียบไปเพราะงง...>>เขาก็หัวเราะแล้วก็พูดว่า "ชื่อของผมคือเห๋อซูหวน" อ้า! ฉันก็ยังคงถูกทำให้ตกใจ ตอนนั้นในใจคิดคนชื่อซูหวนนี้สบายใจเสียจริงๆ เพราะตอนนั้นฉันจำได้ว่าซูหวนคนที่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้นั้นลำบากน่าดู หลังจากนั้นไม่นานกู่จีจี้ก็บินมาอัดเพลงที่ไต้หวัน พอเขาอัดเสร็จก็แวะมาหาฉันที่บ้าน มาบังคับให้ฉันดูเรื่อง "ฉิงเซินเซิน หวี่หมงหมง" เพื่อจะได้พิจารณาการแสดงของเขา ฉันก็เลยตัดสินใจเอาตอนสุดท้ายเปิดให้เขาดู

6/4>>"ผมผอมซูบอย่างนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยฝีแบบนี้คนดูเค้าจะดูกันออกมั้ยน้า" เขาพูดออกมาเปรยๆ "แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าฉากนี้ดูจะสั่นสะเทือนแล้วตัวผอมลงขนาดนี้ คงจะดูดีนะ" ฉันก็เลยถามเขาว่า "ตอนถ่ายทำเธอมีสถิติอดนอนเป็นเวลา 1 อาทิตย์ไม่ใช่เหรอ" เขามองฉันและพูดว่า "เหมือนว่าตั้งแต่เปิดกล้องก็ไม่ได้นอนแล้ว" ฉันบันทึกพวกนี้เอาไว้เพื่อจะบอกทุกคนว่าความสำเร็จในละครชุดนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ฉันรู้สึกขอบคุณนักแสดงพวกนี้มาก โดยการแสดงอย่างเอาจริงเอาจังของพวกเค้า แม้ว่าตอนที่ถ่ายทำนักแสดงบางคนจะมีเรื่องหรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจนทำให้ฉันรู้สึกกังวลและทุกข์ใจมาก แต่ว่าในวินาทีนี้ฉันจำได้แต่เพียงความดีของพวกเขา เพราะถ้าไม่มีความทุ่มเทของพวกเขา เมื่อฉันพบอุปสรรคก็อาจจะท้อถอยได้ แล้วแล้วถ้าฉันท้อถอยก็อาจจะไม่มีละครเรื่องนี้ผ่านมาสู่สายตาผู้ชมอย่างแน่นอน และแน่นอนว่านักแสดงในละครเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขา 4 คนเท่านั้น เพราะไม่มีละครเรื่องไหนที่อาศัยนักแสดงเพียงแค่ไม่กี่คนก็จะประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะละครชุดยาวขนาดนี้ ทำให้ฉันต้องนับถือนักแสดงทุกคน แล้วถ้าพวกคุณดูละครเรื่องนี้แล้วรับรองได้ว่าพวกคุณต้องถูกใจการแสดงของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่อย่างไรพวกคุณก็อย่าลืมให้กำลังใจและสนับสนุนพวกเขา เพราะว่าผลงานชิ้นนี้กว่าจะสำเร็จและออกมาสู่สายตาผู้ชมได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...