ผู้เขียน หัวข้อ: [ซูโหย่วเผิง] ชีวิตที่ตกสุด พลิกผันมาดังสุด "องค์หญิงกำมะลอ"  (อ่าน 3260 ครั้ง)

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
ซูโหย่วเผิง ชีวิตที่ตกสุด พลิกผันมาดังสุด "องค์หญิงกำมะลอ"

20270006_457652304608031_264056875_n.jpg" border="0

ซูโหย่วเผิง ชีวิตที่ตกสุด พลิกผันมาดังสุด "องค์หญิงกำมะลอ"

>> ฉบับนี้เป็นข้อเขียนตอนที่ 3 ของพระเอกนักร้อง"ซูโหย่วเผิง"แล้ว ซึ่งเขาเขียนถึงชีวิตในช่วงที่ตกอับสุด เริ่มจากดร็อปเรียนจนต้องระเห็จตัวไปอยู่เมืองนอก เจอเรื่องสะเทือนใจอย่างสุดๆ ถึงขนาดขอเล่าเป็นครั้งสุดท้ายและสอนให้เขารู้จักปลง แต่จู่ๆ ชีวิตก็พลิกผันกลายเป็นพระเอกเบอร์หนึ่งจากละครเรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ"นับว่าเนื้อหาเข้มข้นมากก่อนจะพบกับบทสรุปในฉบับหน้า พลาดไม่ได้เชียว...

>>ขอเป็นศิลปินเดี่ยว

>>"หลังออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนเริ่มรู้จักผมเพราะตอนนั้นผมเริ่มมาบุกตลาดฮ่องกง เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของผมจะอยู่ที่ฮ่องกง ตอนนั้นหน้าที่การงานไปได้ไม่เลวแถมยังได้รางวัล"10 นักร้องหน้าใหม่ที่มีอนาคตของสถานีวิทยุฮ่องกงครั้งที่ 17" ด้วย แต่เนื่องจากตอนนั้นนอกจากผมมาหากินที่ฮ่องกงแล้วยังออกอัลบั้มเดี่ยว อาทิ "อั่วจื่อเย่าหนี่อ้ายอั่ว"(ขอเพียงให้คุณรักผม),"เติ้งเต้าน่าอีเทียน"(รอถึงวันนั้น) และ "เจินสีเตอ เป่ยเปา"(เป้ที่หวงแหน) ทั้งยังรับโฆษณาหลายชุด หนำซ้ำยังต้องวิ่งรอกโปรโมทตามประเทศต่างๆ อาทิ เมืองจีน สิงคโปร์ เป็นต้น ทำให้การเรียนยิ่งกระท่อนกระแท่น สุดท้ายผมจึงทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ต่อการเรียนนั่นคือ"ดร็อปเรียน" จากประสบการณ์ครั้งก่อนๆ แม้นครั้งนี้ผมจะตัดสินใจดร็อปเรียนและคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีแรงกดดันอันยิ่งใหญ่ถาโถมเข้ามา ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงคราวเผชิญหน้าจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ดังนั้นเพื่อเป็นการผ่อนคลายแรงกดดัน ผมจึงจำเป็นต้องเลือกวิธีการหนีปัญหาด้วยการเดินทางไปศึกษาต่อที่อังกฤษ ช่วงเวลาที่ไปศึกษาต่อที่อังกฤษ ความจริงเป็นการใช้ชีวิตพเนจรมากกว่า ตอนนั้นผมไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนและไม่มีแผนการที่ชัดเจน ที่นั่นไม่มีใครรู้จักผมๆ สะพายกระเป๋าเป้ใบเดียวใช้ชีวิตเยี่ยงคนแปลกหน้าหลายเดือน ความรู้สึกนั้นช่างอ้างว้างและเงียบเหงามาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่รู้สึกผ่อนคลายไม่มีอะไรมาผูกมัด ไม่มีแรงกดดัน ความรู้สึกอย่างนี้ผมไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่เข้าวงการมา"

>>จุดพลิกผัน

>>"แม้นว่าการพักร้อนอย่างไม่มีกำหนดจะรู้สึกสบาย แต่ก็รู้สึกว้าเหว่ ซึ่งผมเคยป่วยครั้งหนึ่ง โชคดีที่ได้เพื่อนที่นั่นคอยดูแล จึงไม่เป็นอะไร ทว่าปัจจุบันไม่ค่อยได้ติดต่อกับเพื่อนพวกนี้เลย แต่ความรู้สึกยังคงสนิทสนมกับพวกเขา ถ้าได้เจอกันเชื่อว่าคงมีเรื่องคุยกันไม่รู้จบ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นที่รู้จักกันยังไม่รู้แบ็คกราวด์ของอีกฝ่าย ทุกคนไม่มีภาระ ดังนั้นความห่วงใยของทุกคนจึงค่อนข้างบริสุทธิ์ และเนื่องจากมีช่วงเวลาว่างทำให้ผมได้คิดอะไรหลายอย่าง ดังนั้นหลังกลับมาไต้หวันผมจึงออกหนังสือของตัวเองชื่อ"ผมไจ้เจี้ยนจงเตอยื่อจื่อ"(วันเวลาของผมที่เจี้ยนจง) หวังว่าจะเอาประสบการณ์ของตัวเองมาแบ่งปันให้กับทุกคน ความจริงช่วงเวานั้น นอกจากการ"พเนจร" ที่อังกฤษจะทำให้ผมมองอะไรทะลุปรุโปร่งได้หลายอย่าง ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีทัศนะคติใหม่ต่อชีวิตอีกด้วย ซึ่งตอนนี้มักมีคนมาถามว่าทำไมผมจึงมองสิ่งต่างๆ อย่างเรียบง่าย ไม่ยึดติด หรือเป็นเพราะผมเข้าวงการมาตั้งแต่ยังเด็กหรือมีสาเหตุอื่นกันแน่? ผมก็ขอพูดตามตรงสาเหตุหลักเป็นเพราะผลกระทบเรื่องนี้ ความจริงผมไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเก่าอีก ซึ่งปกติผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะนึกถึง แต่เรื่องนี้มีผลกระทบกับจิตใจผมมาก เชื่อว่าหลังจากครั้งนี้ผมจะไม่เอ่ยถึงมันอีก เนื่องจากทุกครั้งที่พูดถึงมันทำให้ผมไม่สบายใจทุกที

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
20370245_457655944607667_1065350817_n.jpg" border="0

เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างนี้"ผมกับเพื่อนไปเที่ยวเขาด้วยกันแล้วเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เนื่องจากพวกเราไปกันหลายคนเลยต้องแบ่งกันนั่งรถ 2 คัน ตอนนั้นพวกเราขับไปตามไหล่เขา ผมนั่งอยู่ในรถคันหน้า จู่ๆ พบว่ารถคันหลังไม่ได้ตามมา ดังนั้นพวกเราจึงลงไปดูและมองลงไปข้างล่าง ซึ่งมันทำให้ผมตกใจมาก เพราะพบว่าพวกเขาตกลงไปที่หน้าผาพร้อมกับรถ หัวรถถูกต้นไม้ใหญ่ทับซะแบน คนขับรถตายในที่เกิดเหตุ เพื่อนที่นั่งข้างคนขับอาการหายใจพะงาบๆ เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ทุกคนคงนึกออกใช่มั้ยความรู้สึกของผมตอนนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนั้นผมได้แต่สวดมนต์อธิษฐานขอพรให้สวรรค์ช่วยคุ้มครองพวกเขาให้แคล้วคลาดปลอดภัยด้วย"

>>จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตคนเรามันเปราะบางยิ่งนัก ชะตาชีวิตไม่แน่นอนอย่างนี้แหละ ไม่มีใครรู้ว่าอึดใจต่อไปจะเป็นอย่างไรไฉนเราต้องยึดมั่นถือมั่นด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผมเป็นคนไม่กระตือรือร้นหรอกนะ ผมก็ยังคงทุ่มเทเต็มที่กับทุกเรื่องที่ทำ อย่างที่เรียกว่า"พยายามเต็มที่ แล้วแต่สวรรค์" คือผมจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หลังจากนั้นเป็นเรื่องของสวรรค์

>>ถึงแม้ผมจะเจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะแต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ไม่ดีครั้งแล้วครั้งเล่า ผมเชื่อว่าครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุดเลย แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะหน้าที่การงานที่ตกต่ำจนถึงก้นเหวก็เริ่มกระเตื้องขึ้น จุดพลิกผันนี้เริ่มจากผมรับละครเรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ" แต่ตอนที่เล่นเรื่องนี้ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีผลงานดีอย่างทุกวันนี้

>>อันดับ 1 ของจีน

>> ความจริงก่อนเล่นละครเรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ" หน้าที่การงานของผมเรียกได้ว่าลุ่มๆ ดอนๆ ดังนั้นหลังเล่นหนังศิลปะเรื่อง"ฉิงเช่อ"(เซ็กส์) และมาเล่นละครเรื่องนี้ ผมไม่คิดว่านี่เป็นจุดพลิกผันในหน้าที่การงานของตัวเองเลย ผมคิดแต่เพียงว่าต้องไขว่คว้าทุกๆ โอกาสที่เข้ามา ต้องพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตอนแรกที่ถ่ายทำละครผมรู้สึกไม้คุ้นเคยเลย ถึงแม้เมื่อก่อนผมจะมีประสบการณ์ถ่ายละครที่เมืองจีน แต่ไม่เคยอยู่ที่นั่นนานอย่างนี้มาก่อน เป็นเวลาเกือบครึ่งปี อีกอย่างผมเป็นคนทางใต้อากาศที่แห้งของที่นั่นไม่เหมาะกับผม ทำให้ผมมีอาการร้อนในอย่างหนัก ใบหน้ามีผื่นเต็มไปหมด จนผมกังวลใจมาก ประกอบกับนี่เป็นละครชุดเรื่องแรกที่ผมเล่น ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผมจึงเป็นเรื่องที่แปลก จำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวระยะหนึ่ง

>>แต่แล้วละครเรื่องนี้ให้อะไรกับผมมากมาย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเรตติ้งที่มีส่วนช่วยในงานของผม ละครเรื่องนี้ทำให้ผมได้พบกับเพื่อนที่ดีๆ เยอะมากเช่น เจ้าเวย และ หลินซินหยู เมื่อก่อนนอกจาก จื้อเผิงและฉีหลง แล้ว ความจริงผมมีเพื่อนในวงการไม่กี่คน เพราะเมื่อก่อนผมร้องเพลงเป็นหลักกับนักแสดงคนอื่นๆ เรียกได้ว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป โอกาสที่จะคบกันจริงๆ จังๆ มีไม่มาก แต่การถ่ายละครพวกเราต้องอยู่ร่วมกันครึ่งปี เห็นหน้ากันทุกค่ำเช้า ทำให้เกิดความสัมพันธ์ขึ้นมาแม้ตอนนี้พวกเราเจอหน้ากันน้อยลง ต่างคนต่างมีงานยุ่งแต่ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ไม่เคยลดน้อยถอยลง สิ่งนี้มีส่วนช่วยงานของผมอย่างมาก ตอนแรกที่ออกอากาศที่เมืองจีนมีฟีดแบ็คก่อน นิตยสารฉบับต่างๆ มีการรายงานข่าว เวลายืนถ่ายรูปหมู่กับศิลปินชายคนอื่นๆ ผมมักจะเป็นเบอร์ 1 แต่ที่ไต้หวันผมกลับไม่ดังผิดกับที่เมืองจีนฟีดแบ็คดีมาก ตอนนั้น"เสี่ยวเยี่ยนจื่อ"ดังที่สุด ส่วนนักแสดงชายผมดังที่สุด เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองดวงขึ้นจากนั้นผมก็ค่อยๆ ดังขึ้นตามที่ต่างๆ

>>ผมรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็ที่ฮ่องกง พูดตามตรงครั้งที่แล้วที่มาหากินที่ฮ่องกงไม่ถือว่าประสบความสำเร็จมากนัก ข้อแรกเป็นเพราะตัวเองอายุยังน้อยทำอะไรยังไม่เป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องบุคลากรของบริษัทเพลง ประกอบกับที่ผ่านมาผมคิดว่าคนฮ่องกงไม่ค่อยต้อนรับคนต่างชาติ ฉะนั้นคนต่างชาติจะเจาะตลาดฮ่องกงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นผมไม่มีความหวังมากนักในการเจาะตลาดฮ่องกง จึงไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับจากคนฮ่องกง เมื่อผมกลับมาฮ่องกงอีกครั้งเพื่อโปรโมทละครเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ ผมแทบไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าจะเป็นความจริง ในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่ามันเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่? เพราะมีแฟนละครและนักข่าวจำนวนมากมารอผมที่สนามบิน มันทำให้ผมเซอร์ไพรส์มาก..!!