ผู้เขียน หัวข้อ: 2004 ซูโหย่วเผิง: ผมเป็นแก้วตาดวงใจของแม่เลยล่ะ  (อ่าน 2553 ครั้ง)

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
MingXing Vol. 11 October 2004

2004 ซูโหย่วเผิง: ผมเป็นแก้วตาดวงใจของแม่เลยล่ะ



prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
Re: 2004 ซูโหย่วเผิง: ผมเป็นแก้วตาดวงใจของแม่เลยล่ะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2012, 07:49:52 AM »
ซูโหย่วเผิง:ผมเป็นแก้วตาดวงใจของแม่เลยล่ะ

โตมาได้ดีเพราะได้รับการเลี้ยงดูตามธรรมชาติตัวเอง

แม่ของผมเป็นอาจารย์ครับ ถ้าพูดกันโดยทั่วๆ ไปแล้ว คนที่มีพ่อแม่เป็นอาจารย์คงจะต้องลำบากกันหน่อยล่ะ เพราะพวกเค้ามักจะเอากฎระเบียบและวิธีการต่างๆ ที่ใช้กับนักเรียนในโรงเรียนมาใช้กับลูกๆ ด้วย แต่กับแม่ของผมนั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยครับ ตั้งแต่เด็กแม่ก็ไม่เคยบังคับให้ผมทำอะไรที่ขัดกับตัวผมเลย ปล่อยให้ผมคิดเองว่าอยากจะดำเนินชีวิตไปในเส้นทางไหน ไม่เคยสร้างแรงกดดันใดใดให้ผมอีกด้วย

จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมจะชอบดูทีวีมากเด็กคนอื่นๆ พอเค้ากลับบ้านกันก็จะต้องลงมือทบทวนบทเรียนกันเลย แต่ผมนั้นจะทำการบ้านให้เสร็จที่โรงเรียนและพอกลับถึงบ้านสิ่งแรกที่จะทำคือจะต้องเปิดทีวีดูก่อน หลังจากนั้นก็กินข้าวเย็น แล้วถึงจะค่อยทวนหนังสือ...ผมชอบดูหมดเลยนะ ทั้งการ์ตูนเอย ละครเอย ดูไปก็กระโดดโลดเต้นบนเตียงและทำการแสดงให้คนในบ้านดูไปด้วย จนถึงตอนนี้แม่ผมก็ยังดูผมแสดงผ่านทางทีวีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและอบอุ่น คงจะพูดได้ว่าเทคนิคในการแสดงของผมก็คงได้มาจากการฝึกฝนด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้นเอง

ถึงจะเป็นเด็กที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองแต่แม่ก็ให้โอกาสและกำลังใจเสมอ

ถ้าผมเป็นแม่ของตัวเองนะ ผมคงจะเอาขี้เถ้ายัดปากตัวเองตายไปแล้วล่ะ เพราะผมน่ะดื้อสุดๆ จริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโตผมก็จะเป็นคนที่จะทำตามความคิดของตัวเองมาโดยตลอด จนคนส่วนใหญ่ในบ้านมักจะเอาผมไม่ค่อยอยู่ แต่แม่คงจะเข้าใจในลักษณะนิสัยของผมเป็นอย่างดี ถึงได้ไม่เคยบังคับให้ผมต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำเลย ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่จะดีมากมาตั้งแต่ยังเล็กๆ

ที่บ้านของเรามีอะไรก็จะคุยกันได้ทุกเรื่อง ถ้าผมอยากจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งแล้วมีเหตุผลที่เพียงพอ แม่ก็จะสนับสนุนเต็มที่ เหมือนตอนที่ผมตัดสินใจจะเข้าวงเสี่ยวหูตุ้ย ตอนนั้นก็ยังเรียนไม่จบ คนที่บ้านเลยค่อนข้างจะต่อต้านไม่อยากให้ผมทำ เพราะกลัวจะทำให้เสียการเรียน และต่างก็บอกแม่ผมกันใหญ่เรื่องไม่อยากให้ผมทำ แต่แม่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร แล้วยิ่งพอเห็นท่าทีที่จริงจังมากของผมในตอนนั้น แม่ก็เลยไม่พูดอะไรสักคำเดียว ได้้แต่พยักหน้าอนุญาตให้ผมทำ

พอหลังจากได้เข้าร่วมวงเสี่ยวหูตุ้ยแล้วแม่ก็ยังไม่เคยว่าอะไรเลย เพียงแต่เวลาที่ท่านเห็นผมต้องทั้งเรียนทั้งทำงานไปพร้อมๆ กันซึ่งมันเป็นอะไรที่หนักและลำบากมาก แม่ก็จะเข้ามาดูแลเอาใจใส่ผมเสมอ จนบางครั้งน้องชายผมถึงกับพูดออกมาว่าแม่ลำเอียง เอาความรักที่มีมาทุ่มเทให้ผมคนเดียว จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมไม่สบายใจ ซึ่งวันนั้นแม่เองก็ดูออก แม่จึงเอาอกเอาใจผมเป็นพิเศษ ให้กลับบ้านมากินข้าวเร็วๆ แล้วก็ยังซื้อซุปตุ๋นและเหล้าให้ผมด้วย ตอนเย็นวันนั้นผมก็รินเหล้าดื่ม ดื่มไปกินนู่นกินนี่ไปด้วย

พอดื่มไปได้นิดหน่อยความทุกข์ความอัดอั้นใจก็เริ่มระบายออกมาเป็นน้ำตา ผมกลั้นไม่อยู่จึงร้องไห้ออกมา แม่นั้นไม่ได้พูดอะไรเลยแต่ท่านเอาตัวผมไปกอดแน่น หลังจากนั้นมีวันหนึ่งตอนที่คุยอะไรเล่นๆ กันอยู่ แม่ก็เล่าว่า วันนั้นที่ท่านเห็นผมร้องไห้ ท่านเองรู้สึกผิดมาก คิดว่ามันเป็นเพราะตัวท่านเองดูแลผมไม่ดีพอ ที่ปล่อยให้ผมไปลำบากลำบนทำงานอยู่นอกบ้าน แต่แม่ครับ แม่ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้ว อ้อมกอดของแม่ในวันนั้นมันเติมพลังให้กับผมมากแค่ไหน มันทำให้ผมได้ระบายความทุกข์ข้องหมองใจที่มีออกมาจนหมด ผมคิดไว้ในใจเสมอว่าสักวันหนึ่งจะต้องดูแลและปกป้องแม่ให้ได้อย่างนี้บ้างเช่นกัน

ต้องเตรียมอาหารบำรุงให้ผมเสมอ

แม่จะเป็นคนที่รักงานของตัวเองมาตลอด ดังนั้นพอตอนนี้ที่ผมสามารถจะดูแลแม่ได้เต็มที่แล้ว แม่ก็กลับไม่ค่อยอยากจะทิ้งงานนัก ตัวผมเองต้องออกไปถ่ายละครนอกสถานที่บ่อยๆ ทำให้ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แม่ก็เลยยิ่งเป็นห่วงเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงตัวผมแต่เป็นเพราะว่าห่วงว่าผมเองจะเจอปัญหามากกว่า

แม่คิดว่าในเมื่อท่านเองก็ไม่สามารถจะตามมาดูแลผมได้ทุกวัน ดังนั้นผมจึงควรจะมีแฟนสักคนมาทำหน้าที่นั้น แต่พอมาถึงตอนที่ท่านเกษียณอายุออกมาและได้ติดตามผมไปตามกองถ่ายต่างๆ แล้วพบว่าเวลางานเวลาพักของผมไม่ค่อยแน่นอน กินข้าวนอนหลับก็ไม่เป็นเวลา แล้วที่แย่ไปกว่านั้นก็คือไม่มีเวลาไปหาแฟนอีกด้วย ดังนั้นแม่ผมก็เลยทำตัวเป็นผู้ดูแลส่วนตัวให้ผมเสียเองตามผมไปถ่ายละคร ดูแลผมทุกอย่าง ที่แม่ทำก็คือ ในแต่ละวันท่านจะคอยทำอาหารบำรุงที่ไม่ซ้ำชนิดกันและก็ต้มซุปมาให้ผม และที่สำคัญกว่านั้นแม่ก็จะคอยช่วยให้ผมได้ระบายเรื่องราวที่ทำให้ทุกข์หรืออึดอัดใจออกไป มีแม่มาคอยปลอบใจและสนับสนุนแบบนี้ อะไรก็ตามที่ผมทำนั้นก็มีพลังเพิ่มขึ้นกว่าที่เคยเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว

ความรักที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้

ตามปฏิธินจันทรคตินั้น ผมกับแม่ถือว่าเกิดวันเดียวกัน แต่ว่าคิดๆ ดูแล้ว โอกาสที่เราจะได้ฉลองร่วมกันนั้นกลับค่อนข้างน้อย ด้วยความที่ผมเป็นนักแสดง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวในวันเทศกาลต่างๆ บางครั้งมีคิวต้องถ่ายละครแน่นมากจนแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยก็มี ผมก็เลยมีนิสัยชอบทำอะไรชดเชยให้เสมอ

ผมคิดว่าตัวเองอาจจะอยู่ด้วยไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอส่งของไปทดแทนก็แล้วกัน ผมซื้อของให้แม่เยอะมาก ตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงเครื่องประดับต่างๆ แต่แม่ที่เป็นคนประหยัดก็จะชอบบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้หรอกแต่มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจมาก คือแม่ผมเริ่มทำตัวฟุ่มเฟือยขึ้นมาบ้างนิดหน่อยแล้ว เมื่อไม่นานมานี้แม่ยืมกระเป๋าหลุยส์ วิตตองไปใช้ แต่ปรากฎว่ายืมแล้วยืมเลย ยังไม่ได้คืน...แล้ววันแม่ เดิมผมตั้งใจจะซื้อกระเป๋าหลุยส์ วิตตองใบใหม่ไปให้แม่แต่แม่กลับทำให้ผมแปลกใจนิดๆ เมื่อท่านบอกว่าอยากได้บัตรสมาชิกของฟิตเนสมากกว่า เพราะว่าฟิตเนสร้านนั้นมีสาขาที่เซี่ยงไฮ้แล้วก็ที่ไทเป ดังนั้นไม่ว่าจะไปพักที่บ้านใครก็สามารถไปออกกำลังกายได้เช่นกัน

 เรื่องอะไรที่ทำให้แม่มีความสุขก็นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่เล็กจนโต แม่ก็จะดูแลผมราวกับผมเป็นแก้วตาดวงใจ ตอนนี้ที่ผมโตแล้ว สิ่งที่ผมทำเพื่อตอบแทนแม่ได้นั้นยังถือว่าเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับสิ่งที่แม่เคยทำให้ผม และสิ่งของต่างๆ นั้นก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ พื้นที่สำหรับแม่ในใจของผม ผมจะเก็บรักษาที่ว่างส่วนที่ไม่สามารถมีอะไรมาทดแทนได้ให้แม่ที่รักของผม ตลอดไป